อยากรวย ต้องดู! เทคนิคหาเงินแบบ มหาเศรษฐี EP3 - KYLIE JENNER มหาเศรษฐีอายุน้อยที่สุดในโลก

วันนี้เราจะมาดูกันครับว่า วิธีคิดดี ๆ ในแบบคนรวยที่ว่า “เขาทําอย่างไรให้ประสบความสำเร็จได้อย่างต่อเนื่อง” มาฝากกัน คนส่วนใหญ่มักคิดว่าเป็นสิ่งที่ไม่แฟร์เอาเสียเลยที่คนรวย รวยแล้วก็ยิ่งรวยขึ้นอีก จริง ๆ แล้วปัจจัยด้านเงินทุนไม่ได้เป็นสิ่งเดียวที่ทำให้พวกเขาประสบความสำเร็จนะครับ คนรวยยังต้องมีวิธีคิดที่แตกต่างจากคนทั่วไปเพื่อสร้างพลังอันยิ่งใหญ่ให้แก่ตัวเขาที่จะทำตามฝันให้ได้อย่าง ไคลี เจนเนอร์ (KYLIE JENNER) ที่เป็นมหาเศรษฐีอายุน้อยที่สุดในโลก และได้มาจากความสามารถของเธอจริง ๆ ซึ่งไม่แน่ว่าเมื่อคุณลองทำตามแนวคิดของสาวคนนี้ คุณอาจเป็นมหาเศรษฐีคนต่อไปก็เป็นได้  ว่าแต่ ไคลีย์ เจนเนอร์ (KYLIE JENNER) เค้ามีแนวคิดอย่างไร มีความเป็นมาจากที่ไหน มาดูกันครับ!!

            นับว่าเป็นข่าวที่มาแรงมากเลยทีเดียว กับสาวสุดฮอตคนเล็กของบ้านคาแดเชียน ไคลีย์ เจนเนอร์ (KYLIE JENNER) ซึ่ง ณ ตอนนี้เธอได้กลายเป็นมหาเศรษฐีระดับพันล้านเหรียญสหรัฐ (Billionaire) ที่อายุน้อยที่สุด ด้วยความสำเร็จของเธอในการเริ่มต้นคิดค้นแบรนด์เครื่องสำอางค์ Kylie ทำให้โค่นล้มสถิติเศรษฐีอายุน้อยพันล้านอย่าง แซงมาร์ค ซัคเคอร์เบิร์ก (Mark Zuckerberg) ไปได้ เมื่อตอนที่เธอมีอายุเพียงแค่ 23 ปี เท่านั้นเอง

            ไคลีย์ เจนเนอร์ (KYLIE JENNER) เกิดเมื่อวันที่ 10 สิงหาคม ปี 1997 เกิดที่เมือง Calabasas, Los Angeles รัฐ California ประเทศสหรัฐอเมริกา โดยเป็นลูกของ คริส เจนเนอร์ (Kris Jenner) และ บรูซ เจนเนอร์ (Bruce Jenner) ที่เป็นหนึ่งในสุดยอดนักทศกรีฑาที่ได้ติดตามมาในช่วงเวลาหลายทศวรรษซึ่ง ณ ปัจจุบัน ได้กลายร่างมาเป็น Caitlyn Jenner ที่นับได้ว่าเป็นสาวประเภทสองในวัย 66 ปี ที่มีผู้ติดตามบน IG มากที่สุดในโลกคนหนึ่งเลยก็ว่าได้ และนอกจากนี้ ไคลีย์ เจนเนอร์ (KYLIE JENNER) ได้มีพี่สาวอีกหนึ่งคนคือ  เคนดัลล์ เจนเนอร์ (Kendall Jenner) ที่เป็นนางแบบชื่อดังอีกด้วย

            ภายในปี 2007 ในวัย 10 ปี ได้เข้าสู่วงการบันเทิง ในรายการ Keeping up with the Kardashians โดยเป็นเรียลลิตี้ซีรี่ย์ของตระกูล Kardashian-Jenner โดย ไคลีย์ เจนเนอร์ (KYLIE JENNER) เป็นสมาชิกที่อายุน้อยที่สุดในครอบครัว จนเกิดความโด่งดังเป็นอย่างมากทั้งในสหรัฐอเมริกาและทั่วโลก ซึ่งจากข่าววงในมีการประมาณการว่า ในการถ่ายทำแต่ละ Episode นั้น ครอบครัว Kardashian-Jenner นี้ได้เงินค่าตอบแทนราว ๆ มากกว่า 10,000,000 เหรียญสหรัฐฯ ซึ่งคาดว่าอย่างน้อย ๆ ส่วนแบ่งของ ไคลีย์ เจนเนอร์ (KYLIE JENNER) ต่อหนึ่งตอนน่าจะอยู่ที่ราว ๆ 500,000 เหรียญสหรัฐฯ โดยตั้งแต่เปิดรายการมา มีแล้วมากกว่า 220 ตอน ซึ่งเธอได้แสดงในซีรี่ย์ประมาณ 158 ตอน หรือเธอน่าจะได้ค่าเหนื่อยตลอด 10 ปีอยู่ที่ราว ๆ 158×500,000 = 79 ล้านเหรียญสหรัฐฯ ตีเป็นเงินไทยก็ราว ๆ 2,370,000,000 บาท (โดยเป็นตัวเลขประมาณการแบบคร่าว ๆ) ซึ่งนี้เป็นแค่รายได้ช่องทางแรกของเธอ

ขอบคุณเครดิตรูปภาพจาก https://www.sanook.com/women/124433/

            โดยที่ ไคลีย์ เจนเนอร์ (KYLIE JENNER) เริ่มมีความโด่งดังมากขึ้นเรื่อย ๆ และคนทั่วโลกก็ได้ให้ความสนใจเธอเป็นพิเศษ เพราะนอกจากความสามารถของเธอแล้วความสวยของเธอก็ไม่ได้เป็นสองรองใครในครอบครัว Kardashian-Jenner เลย จนเริ่มมีสินค้าแบรนด์ดังต่าง ๆ ติดต่อให้ ไคลีย์ เจนเนอร์ (KYLIE JENNER) ร่วมเป็นแบรนด์แอมบาสเดอร์มากมายไม่หวั่นไม่ไหว แต่!! ใครจะรู้ว่า ไคลีย์ เจนเนอร์ (KYLIE JENNER) นั้น จะมีใจและมีหัวไปทางด้านธุรกิจที่ไม่ใช่แค่เป็นดาราเพียงอย่างเดียว โดยในปี 2015 เธอได้ทำแอปพลิเคชั่นสำหรับแฟนคลับพิเศษขึ้นมา เพื่อติดตามชีวิตส่วนตัวของเธอแบบฉบับพิเศษและให้คนที่สนใจสมัครและจ่ายเป็นรายได้ ซึ่งถ้าผมจำไม่ผิดน่าจะอยู่ที่ 100 บาทไทยต่อเดือน ในเวลาต่อมาและปีเดียวกัน ไคลีย์ เจนเนอร์ (KYLIE JENNER) ได้ทำเว็บไซต์ขายสินค้า เครื่องประดับ เสื้อผ้า ที่มีชื่อว่า The Kylie Shop จนมาถึงปัจจุบัน  

            นอกจาก ไคลีย์ เจนเนอร์ (KYLIE JENNER) เธอจะได้กลายเป็นมหาเศรษฐีระดับพันล้านเหรียญสหรัฐ (Billionaire) แล้ว เธอยังเป็นเจ้าแม่โซเชี่ยล เน็ตเวิร์ค ที่มีคนติดตามใน Instagram ถึง 227 ล้านคน (จำนวนผู้ติดตามในปัจจุบัน) ซึ่งถือว่าเป็น 1 ใน 5 ของ Instagram ที่มีผู้ติดตามเยอะที่สุดในโลก ต่อมาในช่วงปลายปีของ 2015 ที่ถือว่าเป็นจุดพีคของเธอ เป็นจุดตัดสินใจทำให้ ไคลีย์ เจนเนอร์ (KYLIE JENNER)  นำเงินเก็บจำนวน 250,000 เหรียญสหรัฐฯ เพื่อว่าจ้างบริษัทผลิตเครื่องสำอางเป็นจำนวน 15,000 ชุด ซึ่งในหนึ่งเซ็ทประกอบไปด้วย ลิปสติกสีสันฉูดฉาดตามสไตล์ของเธอ พร้อมกับที่เขียนมุมปาก (lipstick and lip liner) โดยเธอเริ่มต้นจากการผลิตเซ็ทลิปสติก Kylie Lip Kits ซึ่งมีเพียง 3 เฉดสี

            ซึ่งในระหว่างที่ทำการผลิตสินค้า เธอก็ทำการตลาดด้วยการโพสต์ตัวเองที่กำลังใช้ลิปติกของแบรนด์เธอเองอยู่เรื่อย ๆ เป็นระยะเวลาประมาณ 1 เดือนก่อนที่จะวางขายจนกระทั่งในวันที่ 30 พฤศจิกายน ปี 2015 เธอก็ได้ประกาศขายผ่านทางออนไลน์บน IG ของเธอ ในราคาเซ็ทละ 29 เหรียญสหรัฐฯ ซึ่งผ่านไปไม่เพียงกี่นาที สินค้าของเธอก็ถูกชาวเน็ตแห่เข้ามาซื้อจนหมดเกลี้ยงทั้ง 15,000 ชุด โดยคิดเป็นยอดขายได้ประมาณ 435,000 ดอลล่าร์ฯ (ประมาณ 13 ล้านบาท) นั่นเท่ากับว่า เป็นเงินก้อนแรกที่เธอได้ลงทุนไปนั้น ได้เกิดกำไรทันทีกว่า 185,000 เหรียญสหรัฐฯ (หรือราว ๆ 5.55 ล้านบาท) เลยทีเดียว และในปัจจุบัน ไคลีย์ เจนเนอร์ (KYLIE JENNER) ก็ได้คิดค้นหรือวางจำหน่าย Kylie skin เป็นที่เรียบร้อยแล้ว เหตุผลที่ทำให้เธอได้เป็น มหาเศรษฐีระดับพันล้านเหรียญสหรัฐ (Billionaire) ได้ในตอนนี้ส่วนใหญ่จะเป็นรายได้ที่มาจากการทำธุรกิจ Kylie Cosmetics และ Kylie skin กว่า 90% นั่นเอง

ขอบคุณเครดิตรูปภาพจาก https://positioningmag.com/1254332
 

            และแล้วเราก็มาถึงบทสรุปแนวคิดในการหาเงิน ของ ไคลีย์ เจนเนอร์ (KYLIE JENNER) กันแล้วนะครับ แม้ว่าธุรกิจของเธอจะเริ่มต้นด้วยการขายของออนไลน์ผ่านโซเชียลมีเดียเป็นหลัก แต่เธอก็มีวิสัยทัศน์ที่จะนำสินค้าไปวางขายในหน้าร้าน เพื่อที่ว่าลูกค้าในกลุ่มวัยรุ่นในสหรัฐอเมริกาที่ยังไม่สามารถทำบัตรเครดิตการ์ดเพื่อซื้อของออนไลน์ได้นั้น ได้เข้าถึงสินค้าและมีประสบการณ์ที่ดีกับแบรนด์ของเธอ ซึ่งถือว่าเป็นกลยุทธ์ในการทำการตลาดให้สินค้าสามารถเข้าถึงกลุ่มลูกค้าทุกรูปแบบได้ดีอย่างหนึ่ง แต่จุดสังเกตไม่ได้มีเพียงเท่านี้ ซึ่งผมจะมาบอกคุณเป็นข้อ ๆ ว่า ที่แท้จริงการหาเงินของ ไคลีย์ เจนเนอร์ (KYLIE JENNER) มีปัจจัยใดบ้าง ดังนี้

       1. สร้างชื่อเสียงในเชิงบวก : หรือถ้ามองอีกมุมมองหนึ่งก็คือการสร้างชื่อเสียงโดยให้ประโยชน์กับคนทั่วไปก่อน เช่น ให้ความเพลิดเพลิน ดูแล้วสบายตา จนไปถึงสามารถเป็นแรงบันดาลใจให้กับใคร
หลาย ๆ คน

   2.  สร้างมูลค่าจากชื่อเสียงในวงกว้าง : เนื่องจาก ไคลีย์ เจนเนอร์ (KYLIE JENNER) เป็นบุคคลที่ดูเหมือนจะสร้างรายได้ให้กับตัวเองในตอนอายุยังน้อย จนทำให้เขาต้องพัฒนาตัวเองอยู่เสมอ ๆ จนคนโหวตให้เป็นวัยรุ่นไฟแรง ที่มีทั้งเงินและความสามารถ จากคนในประเทศที่ติดตามเธอตอนนี้ก็กลายเป็นทั่วโลก ฉะนั้น เวลา ไคลีย์ เจนเนอร์ (KYLIE JENNER) จะทำอะไรก็ดูว่าคนจะสนใจเธอไปเสียทุกเรื่อง

          3. สินค้าเหมาะสมกับฐานแฟนคลับ : คนที่โชคดีคือคนที่รู้ว่าอะไรคือจุดเด่นของตัวเอง แล้วนำจุดเด่นเหล่านั้นออกมาหาเงิน เหมือนกับ ไคลีย์ เจนเนอร์ (KYLIE JENNER) ที่รู้ตัวว่าตัวเองมีความชอบเรื่องความสวยความงาม และการแต่งตัว จึงทำให้เธอนั้น มีไอเดียที่จะผลิตสินค้าที่เป็นดั่งไลฟ์สไตล์ของเธอออกมาขาย เพราะรู้ว่าแฟนคลับหรือคนที่ติดตามเธอส่วนใหญ่แล้ว ต้องมาจากการที่เธอมีหน้าตาและหุ่นที่สวยงาม มาเป็นอันดับแรก ๆ นั่นเอง ที่สำคัญไปกว่านั้น อย่างที่ผมเคยบอกไปแล้วในข้างต้นว่า  เธอเริ่มต้นด้วยการขายของออนไลน์ผ่านโซเชียลมีเดียเป็นหลัก แต่เธอก็มีวิสัยทัศน์ที่จะทำให้ทุกคนสามารถเข้าถึงสินค้าของเธอได้ง่ายขึ้น จากการทำการตลาดทั้งออนไลน์และออฟไลน์

     4.  ขยายกลุ่มสินค้าให้มากขึ้น : แนวคิดข้อนี้คุณสามารถรู้ได้อย่างง่ายจากบทความที่ผ่านมา โดยความที่ ไคลีย์ เจนเนอร์ (KYLIE JENNER)  เป็นเจ้าแม่โซเชี่ยล เน็ตเวิร์ค ที่มีคนติดตามใน Instagram ถึง ร้อยล้านกว่าคนมาแล้วในตอนโด่งดังจากการทำคลิป YouTube กับ เรียลลิตี้ซีรี่ย์ของตระกูล Kardashian-Jenner  เธอจึงใช้จุดแข็งในส่วนนี้ทำแอปพลิเคชั่นสำหรับแฟนคลับพิเศษขึ้นมาและเก็บเงินค่าดูคลิปเป็นรายเดือน ต่อมาก็ได้ออกโปรดักส์สุดพิเศษออกมา Kylie Lip Kits ที่ขายดีมาจนถึงปัจจุบัน และก็แตกไลน์โปรดักส์สินค้าออกมาเป็น Kylie skin ทำให้ก่อกำไรได้อย่างมหาศาลจนมาถึงทุกวันนี้

ดังนั้น ผมอยากจะบอกเลยว่า สิ่งสำคัญที่ทำให้คนหลาย ๆ คนสามารถเป็นมหาเศรษฐีระดับพันล้าน (Billionaire) ได้ วิธีการคิดในการทำธุรกิจไม่ได้ต่างกันเสียเท่าไหร่ เพียงแค่ต่างกันตรงที่จุดเริ่มต้นของแต่ละบุคคล ซึ่งก็อาจจะเป็นคนที่เริ่มจากศูนย์หรือคนที่รวยอยู่แล้วก็ตาม ต่างก็เป็นคนรวยได้ขึ้นอยู่กับเป้าหมายของคุณ และที่สำคัญการลงมือทำถือว่าเป็นสิ่งสำคัญที่สุด หรือคุณคิดว่าอย่างไรสามารถคอมเมนต์มาได้ตามด้านล่างนี้เลยนะครับ

 =================================================

   สำหรับใครที่อยากได้รับอรรถรสเพิ่มมากขึ้น สามารถคลิกวีดีโอได้ตามด้านล่างนี้นะครับ