Dek-D.com ใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสบการณ์ของ
ผู้ใช้ให้ดียิ่งขึ้น เรียนรู้เพิ่มเติมที่นี่
ยอมรับ

หาเงินแบบเด็กบ้านนอก สู่อาณาจักร เป็ดหมัก 100,000 ล้านในจีน ส่องธุรกิจและการตลาดจีน

ตั้งกระทู้ใหม่
ตั้งกระทู้ใหม่
หาเงินแบบเด็กบ้านนอก สู่อาณาจักร เป็ดหมัก 100,000 ล้านในจีน
 ส่องธุรกิจและการตลาดจีน

 

 

จากเด็กบ้านนอกคนหนึ่ง ที่รู้จักแต่คำว่า "จน" และได้ผลักดันนำพาตัวเองไปสู่ชีวิตที่ต้องดิ้นรนในเมืองเศรษฐกิจ โดยมีเป้าหมายต้องการที่จะหลุดพ้นกับคำว่า “ยากจน” จึงต้องทำทุกอย่างเพื่อให้ตัวเองมีชีวิตที่ดีขึ้น จนมาเจอธุรกิจค้าขายที่เกือบเอาชีวิตตัวเองไม่รอดในธุรกิจ “เป็ดหมัก” ที่ขายบนท้องถนนทั่วไป แต่ด้วยความที่ไม่ยอมแพ้ เด็กบ้านนอกที่ชื่อ โจว ฟู่ ยวี่  ต้องการที่จะยืนหยัดในการทำธุรกิจเกี่ยวกับอาหาร จึงรวบรวมความรู้และประสบการณ์ ตั้งแต่การเริ่มต้นธุรกิจขายของข้างถนน สู่เช่ารถเข็นจนสามารถเป็นเจ้าของธุรกิจเป็ดหมัก มีชื่อว่าแบรนด์ โจว เฮย ยา และได้มีชื่อเสียงโด่งดังไปทั่วประเทศจีน ซึ่งเรื่องราวจะน่าสนใจขนาดไหนบทความนี้รอคุณอยู่ครับ

heart
heart

            ก่อนจะไปดูวิธีการและแนวคิดของคนสำเร็จเรามารู้จักความเป็นมาของเขาก่อนเลยนะครับ เริ่มจาก โจว ฟู่ ยวี่ ผู้ที่เป็นคนก่อตั้งสูตรเป็ดหมักที่โด่งดังในประเทศจีนผู้นี้ ในสมัยตอนที่เขายังเด็ก โจว ฟู่ ยวี่  เกิดในครอบครัวที่อาศัยอยู่ในหมู่บ้านชนบทที่อยู่ในเมือง ฉงชิ่ง ที่เป็นอีกหนึ่งเมืองใหญ่ของประเทศจีน โดยพ่อแม่ของเขาตั้งใจที่จะตั้งชื่อลูกชายคนนี้ให้ได้สุขสบายสมชื่อ โดยคำว่า โจว เป็นเพียงแค่นามสกุล ส่วน ฟู่ ยวี่ นั้น แปลว่า ร่ำรวย และในการตั้งชื่อครั้งนี้ผู้เป็นพ่อของ โจว ฟู่ ยวี่  มีความหวังว่าลูกชายที่เขาได้ให้กำเนิดมานี้จะนำพาโชคลาภมาสู่ตระกูลของเขา frownเพราะในตอนนั้นครอบครัวของ โจว ฟู่ ยวี่  มีความลำบากและยากจนจริง ๆ แต่ต้องบอกเลยนะครับว่าเพียงแค่การตั้งชื่อมงคลไม่ได้ทำให้รวยเร็วแต่อย่างใด เพราะตัวของ โจว ฟู่ ยวี่  เองก็ต้องใช้เวลาพอสมควรที่จะนำตัวเองไปสู่เศรษฐีอันดับต้น ๆ ของจีนได้ โจว ฟู่ ยวี่ ได้กำเนิดในปี ค.1975 ถ้าเทียบเป็น พ.ศ ก็คงอยู่ที่ พ.2518 ซึ่งในปัจจุบันก็ถือได้ว่าไม่ได้มีอายุที่สูงเกินไป กำลังอยู่ในช่วงวัยกลางคนsurprise

            และตลอดระยะเวลาที่ โจว ฟู่ ยวี่  ได้เติบโตมาในครอบครัวของเขา เขาไม่เคยรู้จักคำไหนเลยนอกจากคำว่า “จน” และเมื่อเขาอายุได้ 19 ปี เขาเริ่มมองเห็นโอกาสที่จะเข้าไปหาเงินในเมือง ฉงชิ่ง ที่เปรียบเสมือนเป็นเมืองธุรกิจพิเศษของประเทศจีนcheeky บางคนอาจเข้าใจว่าในเมื่อเป็นเมืองเศรษฐกิจแต่แล้วทำไมยังมีคนยากจนอาศัยอยู่ ถ้าจะให้ผมอธิบายและมองเห็นภาพอย่างชัดเจนก็อาจจะต้องเปรียบเทียบในเมืองหลวงของประเทศไทยอย่าง กรุงเทพมหานคร ที่ไม่ว่าจะยุคไหน ๆ ก็ยังมีการแบ่งแยกคนรวยคนจนกันอยู่ ซึ่ง โจว ฟู่ ยวี่  เองก็ได้อาศัยในหมู่บ้านของคนจนทั่ว ๆ ไป ที่ถึงแม้ว่าจะอยู่ในเมืองเศรษฐกิจก็ตาม และจุดเริ่มต้นของ โจว ฟู่ ยวี่  ก็ได้เกิดขึ้นเมื่อเขาตัดสินใจเดือนทางไปหาพี่สาวที่เมือง อู่ฮั่น มณฑล หูเป่ย์ เนื่องจากพี่สาวของเขาได้เปิดร้านขายเป็ดหมัก และจุดประสงค์ของเขาเองก็คือ อยากจะมาช่วยแบ่งเบาภาระพี่สาวดีกว่าอยู่ในหมู่บ้านที่เมือง ฉงชิ่ง แล้วอยู่เฉย ๆ มองไม่เห็นโอกาสอะไรในการหาเงิน ซึ่งในช่วงเริ่มแรกที่ โจว ฟู่ ยวี่  ได้เข้ามาช่วยพี่สาวค้าขายเป็ดหมักแบบค้าปลีกทั่วไป และเขาก็ไม่ได้ทำอะไรไปมากกว่าช่วยพี่สาวหมักเป็ดแล้วนำออกไปขาย เป็นอยู่อย่างนั้นสักระยะหนึ่ง ตัวของ โจว ฟู่ ยวี่  เองก็คิดว่าชีวิตเขาเริ่มดีขึ้นเพราะสามารถมีเงินใช้ได้บ้าง โดยตอนนั้นเขาเคยให้สัมภาษณ์ว่าระหว่างที่ช่วยพี่สาวเขาขายเป็ดหมักนั้น เขามีเงินใช้วันละ 5 เหม่า หรือตกเป็นเงินไทยก็จะประมาณวันละ 3 บาท หรือจะพูดง่าย ๆ ว่ามีเงินใช้ต่อวันแค่ครึ่งหยวนเท่านั้น ซึ่งมูลค่าแค่ครึ่งหยวนที่ว่านี้เมื่อย้อนไปสิบกว่าปี ก็ถือว่ายังไม่มากสักเท่าไหร่angel

 

            จน โจว ฟู่ ยวี่  ก็มาเอะใจว่า อุตส่าห์พาตัวเองออกมาจากหมู่บ้านที่ยากจนได้ แต่ก็ต้องมาเจอชีวิตที่ดีได้เพียงแค่นี้หรือ จึงทำให้เขาตัดสินใจลงมือหมักและขายเป็ดย่างด้วยตัวของเขาเองเลยblush โดยจะเน้นกายเป็ดหมักในรูปแบบขายส่ง จะได้ไม่ซ้ำกับพี่สาว และในตอนที่เขาเริ่มขายนั้น โจว ฟู่ ยวี่  ก็ได้วางขายแบบหาบเร่ และได้ขอยืมตะแกงพี่สาวมาวางขายเป็ดหมักก่อน และเขาก็ได้วิ่งไปขายตามหน่วยงานรัฐบาลในประเทศจีน ส่วนใหญ่ไม่มีใครให้ความสนใจในเป็ดหมักของเขาเลย จนสุดท้ายก็ยังมีคนสนใจที่จะซื้อ แต่ทว่าโชคร้ายที่คนซื้อเป็ดหมักจากเขาไปไม่ยอมจ่ายเงินให้กับเขา พอ โจว ฟู่ ยวี่  จะไปทวงค่าเป็ดหมักจากคนที่ซื้อไปยามที่ดูแลหน้าหน่วยงานก็พากันรุมกระทืบเขา จนทำให้เขารู้สึกว่าชีวิตมันเป็นอะไรที่ลำบากมากจนเขาเริ่มที่จะท้อแท้ และระหว่างที่เขาได้กลับมาทบทวนและคิดหาทางที่จะมองหาโอกาสในการหาเงิน สิ่งที่ทำให้เขาท้อไปกว่าเดิมคือกลับมาก็เจอสภาพห้องของตัวเองโดนขโมยไม่เหลืออะไรเลยจากเดิมที่ไม่มีอะไรให้ขโมยอยู่แล้ว โจว ฟู่ ยวี่  เลยเขียนจดหมายไปหาพ่อของเขาว่าอยู่ที่นี้ลำบากเหลือเกิน อยากจะไปวิ่งราว ขโมยของจากคนอื่น ๆ บ้าง แต่โดยความเป็นพ่อ ก็เป็นห่วงลูกชายจึงบอกให้กลับบ้าน แต่ โจว ฟู่ ยวี่  เอง ก็ได้มีปณิธานไว้แล้วว่า เมื่อตัดสินใจออกมาจากบ้านก็ต้องมีชีวิตที่ดีกว่าเดิม ถ้าเขาไม่สามารถประสบความสำเร็จได้เขาก็ขอยอมตายในเมืองนี้ดีกว่าyes

 


ขอบคุณเครดิตรูปภาพจาก http://www.52lucai.com/23339.html
 

            เมื่อ โจว ฟู่ ยวี่  ตัดสินใจที่จะสู้ต่อ เขาก็มานั่นคิดแล้วว่าเมื่อเป็ดหมักของเขายังไม่ได้มีรสชาติที่แตกต่างจากร้านค้าอื่น งั้นขอแก้ไขปัญหาในส่วนนี้ก่อนแล้วกัน โดยเริ่มจากการไปศึกษาเครื่องเทศที่นำมาปรุงรสในเป็ดหมักของเขาblush ซึ่งเขาก็ได้ไปอาศัยหาข้อมูลศึกษาหาความรู้ตามห้องสมุดและร้านขายหนังสือทั่วไป หลังจากนั้นมา เขาก็ได้ทดลองหมักเป็ดตามสูตรที่เขาได้คิดค้นขึ้นมาเป็นเวลาหลายเดือน จนสุดท้ายได้เป็ดหมักสูตรเฉพาะของ โจว ฟู่ ยวี่  ที่ทุกคนลงความเห็นว่ามีรสชาติที่อร่อยที่สุดแล้ว และเมื่อสามารถหารสชาติเป็ดหมักที่ถูกปากกับคนส่วนใหญ่ ซึ่งเขาก็ได้หาช่องทางในการวางขายสินค้า โดยการไปขอความช่วยเหลือจากคนรู้จักในตลาดและขอพื้นที่เช่าหน้าร้านในการขายเป็ดหมักโดยเจ้าของพื้นที่นั้นก็ได้ให้ทำสัญญาการเช่าเป็นเวลา 3 เดือน  แต่เมื่อเวลาผ่านไป 1 เดือน พอ โจว ฟู่ ยวี่  ได้ลองขายเป็ดหมักสูตรของเขา ก็รู้สึกว่ามันไม่คุ้มทุนเลยไหนจะ ค่าเช่า ต้นทุนสินค้า และค่าของยิบย่อย ทำให้เขามีความคิดที่ เริ่มอยากจะกลับบ้านที่เมือง ฉงชิ่ง ขึ้นมา แต่เขาก็คิดได้ว่า เขายังมีสัญญาในการเช่าขายของอีก 2 เดือน จึงตัดสินใจลุกมาสู้อีกครั้ง และถ้าครั้งนี้มันยังไม่ไปไหนอีกก็คงต้องกลับบ้านจริง ๆ เสียแล้วkiss

           yesทว่าในการกลับมาสู่ครั้งนี้ก็ต้องมาเจอกับอุปสรรคอีก เนื่องจากมีร้านค้าขายเป็ดหมักผุดขึ้นมาในระแวกที่เขาขายเพิ่มเป็น 4-5 ร้าน ทีนี้เขาไม่รู้แล้วว่าจะสู้อย่างไร จึงตั้งใจที่ขายสินค้าด้วยการตัดราคา แต่การขายสินค้าที่ถูกลงมานั้น โจว ฟู่ ยวี่  ก็ได้ไปสืบหาวิธีว่าจะทำอย่างไรให้ต้นทุนเป็ดมันต่ำลงมาให้มากที่สุด จนเขาได้มาจับจุดสังเกตร้านพ่อค้าแม่ค้าที่ขายเนื้อสัตว์ ในช่วงเย็น ๆ มักจะมีการลดราคาเนื้อสัตว์ลงมา เพราะไม่สามารถเก็บเอาไว้ได้นาน โจว ฟู่ ยวี่  จึงตัดสินใจไปเหมาเป็ดตามร้านค้าที่ขายเป็ดที่ลดลงมา แล้วนำมาขายในราคาที่ถูกกว่าร้านอื่น ๆ จนทำให้ในเดือนต่อมาร้านค้าเป็ดหมักในระแวกนั้นพากันปิดกิจการ และธุรกิจของเขาก็ขายดีขึ้นเรื่อย ๆ มีคนมาต่อคิวกันอย่างล้นหลาม และในเดือนถัดไปเขาก็เลือกที่จะเช่าสถานที่ตรงนี้เพื่อขายเป็ดหมักต่อblush จนกระทั่งปลายปีเขามีเงินเก็บจากรายได้ที่ขายเป็ดหมักทั้งหมด 10,000 หยวน ตีเป็นเงินไทยก็จะประมาณ 50,000 กว่าบาท ในเวลานั้นก็ถือว่าเก็บเงินได้เยอะพอสมควรจากคนที่ไม่มีอะไรเลย

            enlightenedตั้งแต่นั้นมา จากกลยุทธ์ตัดราคาทำให้เขามียอดสั่งหรือยอดขายเป็ดหมักมากถึง 10,000 กว่าตัวต่อเดือน และในปี ค.1993 เมื่อเขาอายุได้ 23 ปี ก็ได้เริ่มขยายรถเข็นสินค้าของของไปตามจุดต่าง ๆ ทำให้จำเป็นที่จะต้องขึ้นราคาเป็ดหมักเพียงนิดหน่อย เพื่อนำกำไรส่วนนั้นมาใช้จ่ายค่าแรงให้กับลูกน้อง แต่ทีนี้จุดเปลี่ยนของเขาก็เริ่มเห็นได้ชัดกว่าเดิมจากตอนที่เขาเริ่มขายในปีแรกที่ได้กำไร 10,000 หยวน หรือประมาณ 50,000 กว่าบาท แต่ในสิ้นปีนี้เขามีกำไรถึง 3 แสนหยวน ซึ่งตีเป็นเงินไทยประมาณ 1 ล้านกว่าบาท กิจการของ โจว ฟู่ ยวี่  ก็เริ่มดีขึ้นมาเรื่อย ๆ จนมาเจอวิกฤตเป็ดขึ้นราคาอีกครั้ง ทำให้เขาต้องหาทางออกเพื่อที่จะได้คงค่าราคาเป็ดหมักของเขาไว้ จนได้ไอเดียที่ใครก็ไม่คาดคิด นั่นก็คือ ขายเป็ดหมักด้วยการแยกชิ้นส่วน เช่น คอเป็ดราคานี้ แล้วส่วนอื่น ๆ ราคาเท่านี้ และไม่น่าเชื่อว่าการขายด้วยกลยุทธ์นี้กลับมีกำไรได้มากกว่าและขายสินค้าได้มากขึ้น โดยเฉลี่ยกำไรในปีนั้นแล้ว โจว ฟู่ ยวี่  มีกำไรเพิ่มขึ้น 3% เลยทีเดียว

 


ขอบคุณเครดิตรูปภาพจาก https://www.sohu.com/a/349630286_115207
 

            yesต่อมาในปี ค.2002 เจ้าของร้านเป็ดหมักอย่างคุณ โจว ฟู่ ยวี่  ได้มีความคิดที่อยากจะขยายธุรกิจไปยังเมืองปักกิ่ง แต่ก็ต้องมาเจอกับปัญหาโรคระบาดอย่างโรคซาร์สบวกกับรัฐบาลไม่ให้เปิดร้านค้าใด ๆ ทำให้สินค้าที่เขานำมาเกิดความเสียหายไปประมาณ 5 แสนหยวน เงินไทยประมาณ 2 ล้านกว่าบาท ซึ่งเงินก้อนนี้เป็นเงินที่ โจว ฟู่ ยวี่  ได้เก็บมาจากการทำธุรกิจเกือบทั้งหมด และในตอนนั้นเองเขาก็ได้กลับมาทำธุรกิจที่เมือง อู่ฮั่น อีกครั้ง แต่กลับมาครั้งนี้กลับพบว่ามีพ่อค้าแม่ค้ามากหน้าหลายตาที่ขายสินค้าแบบเดียวกับเค้าเต็มไปหมด โดยใช้ชื่อร้านที่เหมือน ๆ กันว่า “เป็ดรสชาติแปลก” เพียงแต่ชื่อคนทำก็แตกต่างกันออกไป เมื่อเกิดเหตุการณ์แบบนี้ขึ้นมาผลกระทบที่เขาจะต้องเจอก็คือ ยอดขายตกลงมาเยอะพอสมควร จนทำให้เขาต้องกลับมาคิดทบทวนหาทางออกอีกครั้ง จนรู้ว่าสิ่งสำคัญที่จะทำให้ลูกค้าเลือกซื้อและจดจำสินค้าของเขา คือการทำแบรนด์สินค้าขึ้นมาให้ดูแตกต่างและแปลกใหม่มากขึ้น และได้ทำเรื่องจดลิขสิทธิ์สินค้าเป็ดหมักของเขาว่า โจว เฮย ยา ที่คำว่า โจว ก็คือชื่อของผู้ก่อตั้ง เฮย แปลว่า สีดำ และคำว่า ยา แปลว่า เป็ด รวมแล้วมีความหมายว่า โจวเป็ดดำ angelเพราะกรรมวิธีในการปรุงรสเป็ดของเขาจะแตกต่างจากเจ้าอื่นที่มีความกลมกล่อมและมีสีที่เข้มกว่าเจ้าอื่น ๆ จนมีคนสนใจอยากจะขอซื้อแฟรนไชส์จากเขา ซึ่งตัวของ โจว เฮย ยา เอง ก็เห็นว่าเป็นช่องทางการเงินได้อีกช่องทางหนึ่งจึงตัดสินใจให้คนมาซื้อแฟรนไชส์จากเขา แต่มีข้อแม้ทุกวัตถุดิบต้องมาซื้อจากร้านของเขาเพียงเท่านั้น เพื่อลดการมีคุณภาพที่ต่ำลงของสูตรเป็ดหมักแบรนด์ของ โจว เฮย ยา นั่นเอง

            angelสรุปได้ว่า หลังจากที่ โจว ฟู่ ยวี่  ได้ผ่านวิกฤตต่าง ๆ มาได้ ธุรกิจของเขาก็เติบโตขึ้นมาเรื่อย ๆ และทำให้มองเห็นแนวคิดได้อย่างชัดเจนเลย คือ การพยายามทำอย่างต่อเนื่อง มีปัญหาใดก็ต้องใช้สติในการตัดสินใจ จุดมาถึงในยุคที่ โจว ฟู่ ยวี่  ได้อายุ 40 ปี ก็ได้นำบริษัทเข้าสู่ตลาดหลักทรัพย์ในฮ่องกง ที่มีมูลค่ามากกว่า 1 แสนล้านบาท และมีทรัพย์สินส่วนตัวถึง 6 กว่าล้านบาท นี่แหละครับเป็นจุดเปลี่ยนของคนที่ไม่ยอมแพ้จากชายที่มีเงินใช้วันละครึ่งหยวนในวันนั้นได้กลายเป็นเศรษฐีในวันนี้  และสิ่งที่ผมจะสรุปให้คุณในวันนี้ก่อนจากกันสำหรับใครที่คิดอยากจะมีธุรกิจเป็นของตัวเอง นั่นก็คือ 1) ไม่มีเงินก็สามารถทำธุรกิจได้ 2) ทำธุรกิจไม่จำเป็นต้องมีกลยุทธ์ที่ซับซ้อน ซึ่งถ้าคุณได้อ่านบทความนี้มาจนจบคุณจะสามารถเข้าใจว่าเป็นเพราะอะไร แล้วคุณล่ะ คิดอย่างไร อยากจะมีธุรกิจเป็นของตัวเองแล้วใช่ไหม สามารถคอมเมนต์แสดงความคิดเห็นมาได้ตามด้านล่างนี้เลยนะครับmail

 ======================================================

สำหรับใครที่อยากได้รับอรรถรสเพิ่มมากขึ้น สามารถคลิกวีดีโอได้ตามด้านล่างนี้นะครับ


แสดงความคิดเห็น

>