Dek-D.com ใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสบการณ์ของ
ผู้ใช้ให้ดียิ่งขึ้น เรียนรู้เพิ่มเติมที่นี่
ยอมรับ

วิธีหาเงินแบบลูกอมชั่งกิโลขาย ยอด 35,000 ล้านบาท (สวี๋ฝูจี้ HSU FU CHI) ส่องธุรกิจและการตลาดจีน

ตั้งกระทู้ใหม่
ตั้งกระทู้ใหม่

วิธีหาเงินแบบลูกอมชั่งกิโลขาย ยอด 35,000 ล้านบาท (สวี๋ฝูจี้ HSU FU CHI)
 ส่องธุรกิจและการตลาดจีน


 

 

ถ้าคุณเคยไปเที่ยวที่ประเทศจีน คุณจะเห็นร้านขายลูกอมตามร้านต่าง ๆ เยอะมาก ซึ่งร้านขายลูกอมในประเทศนี้ เค้าขายแบบชั่งกิโลครับ ซึ่งแนวคิดนี้มาจากนักธุรกิจชาวจีนคนหนึ่ง ที่เค้ามีความคิดอยากจะขายลูกอมให้ได้มาก ๆ จนในที่สุดเค้าเลยคิดวิธีการขายแบบนี้ขึ้นมา นั่นก็คือ สวี๋ฝูจี้ HSU FU CHI เป็นแบรนด์ลูกอมยี่ห้อที่คนจีนทุกคนรู้จักกันดีและมีประวัติที่ยาวนาน จนประสบความสำเร็จทำรายได้ไปทั้งหมด 35,000 ล้านบาทต่อปี ซึ่งเค้าทำได้อย่างไรถึงมาจุดนี้ได้ มาดูกันเลยครับ
 

 heart
heart

 

หากพูดถึงลูกอมในประเทศไทย ก็คงเป็นลูกอมที่มีลักษณะเป็นชิ้นเล็ก ๆ ที่ทำมาจากน้ำตาลแล้วผสมกลิ่นและสีผสมอาหารเข้าไปตามที่ชาวตะวันตกได้นำเข้ามาเผยแพร่enlightened แต่สำหรับประเทศจีนลูกอมของเขามีความหมายที่กว้างกว่านั้น ไม่ได้เป็นแค่ลูกอมที่คุณคิดหรือเห็นอยู่นี่เพียงอย่างเดียว แต่รวมไปถึงขนมกินเล่นทุกอย่างที่มันเป็นห่อเล็ก ๆ ทั้งหมด ทีนี่สิ่งที่น่าสนใจมันอยู่ที่ลูกอมของประเทศจีนแบรนด์ ๆ หนึ่ง ที่มีชื่อว่า สวี๋ฝูจี้ HSU FU CHI ซึ่งผู้ก่อตั้งเองก็เป็นคนจีนที่อาศัยอยู่ในประเทศจีน มณฑล ฝูเจี้ยนตอนใต้หรือที่คนไทยเรียกว่า ชาวฮกเกี้ยน นั่นเองblush

โดยเริ่มแรกผมต้องบอกก่อนเลยนะครับว่าผู้ก่อต้องแบรนด์ลูกอมนี้ไม่ได้เริ่มทำธุรกิจนี้ในประเทศจีน แต่ไปเริ่มต้นทำธุรกิจที่ไต้หวันก่อน บางคนอาจจะคิดภาพหน้าตาของลูกอมในประเทศจีนไม่ออกกันนะครับว่ามีลักษณะอย่างไร ผมก็เลยพยายามจะอธิบายให้คุณมองเห็นภาพได้ชัดมากขึ้น ก็คือ คนจีนเวลาผลิตสินค้าอะไรขึ้นมามักจะผลิตจากวัตถุดิบแบบดั่งเดิมหรือที่คนทั่วไปชอบกินกัน อาทิเช่น ลูกอมถั่วบดผสมนม ลูกอมทุเรียนผสมเนื้อ ถั่วบดเคลือบน้ำตาล รวมไปถึงลูกอมที่เราเข้าใจกันก็มี ต่อมาเราจะมารู้จักชื่อผู้ก่อตั้งลูกอมแบรนด์ สวี๋ฝูจี้ HSU FU CHI กันหน่อยนะครับ นั่นก็คือ หนุ่มชาวจีนที่มีชื่อว่า สวี๋ เฉิง และครอบครัวของเขาที่ได้เริ่มมาจากการทำลูกอมแฮนด์เมดกันขึ้นมาตอนที่อยู่ประเทศไต้หวันมาเป็นเวลา 20 กว่าปีแล้ว และได้ปิดตัวไปด้วยเหตุผลหลาย ๆ ประการ โดยเฉพาะเรื่องของเศรษฐกิจ ณ เวลานั้น แต่ในความโชคร้ายก็ยังมีความโชคดีเข้ามาเมื่อประธานาธิบดีประเทศจีนในยุคของ เติ้ง เสี่ยวผิง ได้มีนโยบายทำการเปิดประเทศระหว่าง จีน ฮ่องกง มาเก๊าและไต้หวัน yesเพื่อขยายธุรกิจ และได้สร้างฐานโรงงานรับจ้างการผลิตที่เมือง เซินเจิ้น มณฑล กวางตุ้ง เมื่อประธานาธิบดี เติ้ง เสี่ยวผิง ได้ทำการเปิดการค้าเศรษฐกิจเรียบร้อยแล้ว ก็มีเจ้าของธุรกิจมากมายมาจ้างผลิตสินค้าในโรงงานที่เขาได้ก่อตั้งเป็นจำนวนมาก สังเกตจากเมื่อย้อนกลับไปประมาณ 30-40 ปีที่แล้ว คุณมักจะเห็นสินค้ามากมายที่กำกับว่า Mand in China ค่อนข้างเกลื่อนกลาด แล้วก็จะเจอสินค้าที่ไม่ค่อยดีหรือมีคุณภาพสักเท่าไหร่ เพราะในช่วงนั้นประเทศจีนได้เน้นใช้แรงงานและการขายสินค้าถูกเป็นหลักheart

 

 

ขอบคุณเครดิตรูปภาพจาก http://www.bjreview.com/business/txt/2011-08/15/content_383746.htm

 

และ สวี๋ เฉิง ก็ได้มองเห็นโอกาสและได้เชิญชวนพี่น้องของเขาอีก 3 คน มาตั้งรกรากใหม่ที่ประเทศจีน เมือง กวางโจว มณฑล กวางตุ้ง ในช่วงเริ่มแรกที่หลังกลับมาจากการอพยพ พวกเขาทั้ง 4 คนได้ออกหางานทำ โดยการเป็นลูกจ้างหลากหลายบริษัท มีแต่ สวี๋ เฉิง นี่แหละครับ ที่สนใจอยากจะเป็นลูกจ้างให้กับโรงงานผลิตลูกอม เพียงแค่เขากรอกใบสมัครไปครั้งแรกก็ได้รับตำแหน่งผู้จัดการฝ่ายการตลาดและการขาย เนื่องจาก สวี๋ เฉิง surpriseมีประสบการณ์อยู่แล้วจากการทำธุรกิจลูกอมของตัวเองที่ไต้หวัน  แต่พอทำได้ไม่นานก็รู้สึกว่าตัวเองมีศักยภาพและสิ่งที่ทำอยู่ไม่ตอบโจทย์ในเป้าหมายของเขาเอง สวี๋ เฉิง จึงตัดสินใจที่จะออกจากงานในโรงงานลูกอมที่ตนได้ทำอยู่ แล้วไปชวนพี่ ๆ ของเขาทั้ง 3 คน มาร่วมกันก่อตั้งโรงงานผลิตลูกอมกันเอง โดยตอนเริ่มแรกพวกเขาได้รับจ้างผลิตลูกอมให้กับแบรนด์อื่น ๆ ก่อน ไม่ว่าจะเป็นลูกอมส่งออกจากสหรัฐอเมริกาและญี่ปุ่น แต่ยังไม่ได้มีแบรนด์สินค้าเป็นของตัวเอง ถึงแม้ว่าการก่อตั้งโรงงานของครอบครัวสวี๋จะสามารถมีรายได้เป็นกอบเป็นกำจากการผลิตสินค้าให้กับแบรนดือื่น ๆ ก็ตาม แต่ สวี๋ เฉิง กลับมองว่ารู้สึกเสียดายตลาดที่ประเทศจีนที่มีประชากรนับพันกว่าล้านคน ที่นี่ก็ทำให้เขาได้รับไอเดียและตัดสินใจที่จะทำแบรนด์สินค้าเป็นของตัวเอง บวกกับที่ตัวเขาเองก็รู้อยู่แล้วว่าโปรดักที่จะทำนั้นคืออะไร จนในที่สุดก็ได้เลือกชื่อแบรนด์ลูกอมของเขาเองว่า สวี๋ฝูจี้ HSU FU CHI ที่มีความหมายก็คือ สวี๋ มาจากชื่อตระกูลของผู้ก่อตั้ง และ ฝู มาจาก เมืองที่พวกเขาเกิด สุดท้ายคำว่า จี้ ที่แปลว่า สูตรเก่าแก่หรือดั้งเดิม รวม ๆ แล้วมีความหมายเฉพาะถ้าคนอื่น ๆ ไม่รู้ถึงความเป็นมาก็คงคิดว่าเป็นชื่อคนหรือสถานที่ นั่นเองcool

ต่อมาในปีค.1994  นักธุรกิจ สวี๋ เฉิง ในวัย 44 ปี ได้มีแบรนด์สินค้าและโรงงานของตัวเองเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ขั้นตอนต่อไปก็จะเป็นเรื่องของการตลาดและการขายสินค้า ที่ในเริ่มแรก สวี๋ เฉิง และครอบครัวของเขาจำเป็นที่จะต้องลงมือทำด้วยตัวเองก่อนblush เพราะในตอนนั้นธุรกิจครอบครัวสวี๋ยังไม่ได้มีลูกจ้างแต่อย่างใด ทั้ง 4 พี่น้องจึงพากันกระจัดกระจายไปขายสินค้าตามแหล่งต่าง ๆ และรับตัวแทนนำสินค้าไปขาย ซึ่งก็ทำเช่นนั้นมาเรื่อย ๆ แต่ก็รู้สึกว่าธุรกิจที่ทำไปมันก็พออยู่ได้ แต่รู้สึกว่าสินค้าที่เขาได้ทำขึ้นมานั้นยังไม่เป็นที่จดจำของผู้คน ครอบครัวสวี๋จึงปรึกษาหาหรือกันว่าจะกลับมาโฟกัสการทำแบรนด์สินค้าให้มากขึ้น เนื่องจากที่ผ่านมาพวกเขาได้เน้นการขายไปมากกว่า เลยตัดสินใจอีกครั้งโดยยกเลิกการรับตัวแทนจำหน่ายลูกอมที่เคยรับลูกอมจากโรงงานของพวกเขาที่เคยไปขายทั่วประเทศก่อน  แต่ สวี๋ เฉิง เลือกที่จะเป็นคนไปคุมหรือเลือกร้านค้าที่จะลงสินค้าด้วยตัวเอง โดยเริ่มจากการที่เขาได้วิ่งไปตามห้างสรรพสินค้าในประเทศจีน เพื่อสำรวจว่าการตลาดในการทำเลแบบไหนสามารถทำให้สินค้าของเขาขายดี และในตอนนั้นเองเขาก็คิดได้ว่า การที่จะทำให้แบรนด์สินค้าของเขาติดตลาดเขาต้องเริ่มจากการทำเชลฟในห้างสรรพสินค้าก่อน เพราะในสมัยนั้นห้างสรรพสินค้าถือว่าเป็นจุดรวมของผู้คนมากหน้าหลายตา และได้ออกแบบเชลฟให้ดูเป็นเอกลักษณ์และทำออกมาให้มีมาตรฐานเท่ากันเหมือนกันทุก ๆ ห้างที่เขาได้เปิดทำการเอาไว้ และครอบครัวสวี๋ยังพยายามคิดหากลยุทธ์การขายด้วยว่า จะขายลูกอมอย่างไรให้ขายได้จำนวนเยอะ ๆ ต่อ 1 คน นอกจากการขายลูกอมเป็นห่อ ในที่สุด สวี๋ เฉิง มีไอเดียใหม่ขึ้นมาอีกแล้วว่าพวกเขาน่าจะขายลูกอมในลักษณะชั่งกิโลขาย ซึ่งเป็นการขายที่ดูแปลกใหม่และคุ้มค่าในการซื้อสินค้าของเขา ทำให้เด็ก ๆ ไปจนถึงผู้ใหญ่ต่างชื่นชอบและแห่กันมาซื้อลูกอมจากเชลฟในห้างที่ครอบครัวสวี๋ได้วางขาย ฉะนั้น ตั้งแต่นั้นมาลูกอมแบรนด์ สวี๋ฝูจี้ HSU FU CHI ก็ถือว่า เป็นแบรนด์ลูกอมเจ้าแรกที่ขายแบบชั่งกิโลขาย นั่นเองsurprise

 

ขอบคุณเครดิตรูปภาพจาก http://www.hsufuchifoods.com/en/newsdetail.aspx?ID=150&MenuID=001006001
 

enlightenedตั้งแต่นั้นมาครอบครัวสวี๋นับว่าสามารถทำธุรกิจที่ประสบความสำเร็จได้ในระดับหนึ่ง แต่พอเวลาผ่านไปไม่นาน กลับมีสินค้าลอกเลียนแบบหรือของปลอมผุดขึ้นมาเป็นสิบยี่สิบแบรนด์ ทำให้ครอบครัวสวี๋เป็นอันต้องเครียดกันอีกครั้ง เพราะในตอนนั้นสินค้าปลอมเต็มไปหมดบางแบรนด์ไม่ได้มาตรฐานก็มี จึงทำให้คนจีนส่วนใหญ่เข้าใจผิดว่า ลูกอมแบรนด์ สวี๋ฝูจี้ HSU FU CHI ไม่ได้มาตรฐานอีกต่อไป ทางครอบครัวสวี๋จึงไม่ได้นิ่งนอนใจและก็สามารถพลิกวิกฤตให้เป็นโอกาสอีกครั้ง โดยคิดกลยุทธ์การขายที่คู่แข่งไม่น่าจะสู้ได้ นั่นก็คือ การเฉลี่ยราคาสินค้าลูกอมให้มีราคาที่เท่ากัน ที่ในช่วงแรกจะเน้นขายลูกอมชั่งกิโลขายทีละรสชาติ แต่ทีนี้ครอบครัวสวี๋ตัดสินใจให้ลูกค้าสามารถคละรสชาติลูกอมได้ทุกแบบทุกสีในราคาเดียวกัน ทำให้พ่อค้าแม่ค้ารายอื่น ๆ ที่ขายสินค้าหลอกเลียนแบบจำเป็นต้องพากันหยุดกิจการ เนื่องจากไม่สามารถทำได้อย่างครอบครัวสวี๋ เพราะในการสั่งผลิตสินค้าลูกอมแต่ละครั้งแต่ละแบบที่เป็นของปลอมได้ทำมาจากหลาย ๆ โรงงาน และแต่ละโรงงานก็มีราคาที่แตกต่างกันออกไป จึงไม่สามารถจัดการเรื่องราคาให้อยู่ในราคาเดียวกันได้yes จนในที่สุดผู้คนก็เริ่มกลับมาจดจำแบรนด์ลูกอมสินค้าอย่าง สวี๋ฝูจี้ HSU FU CHI ได้ว่า ถ้าเป็นแบรนด์จริงต้องมีลักษณะและการขายแบบนี้แบบเดียวเท่านั้น ถ้าเป็นราคาขายแบบอื่น ถือว่าไม่ใช่ลูกอมจาก สวี๋ฝูจี้ HSU FU CHI และเมื่อเวลาผ่านไปได้สิบกว่าปี ธุรกิจของครอบครัวสวี๋ก็ได้เติบโตจนสามารถนำบริษัทไปเข้าตลาดหลักทรัพย์ในประเทศจีนได้ และตัดสินใจขายหุ้น 60% ให้กับบริษัทเนสเล่ ในปีค.2011 โดยเท่าที่คนส่วนใหญ่ได้คาดการว่ามี 2 เหตุผลหลัก ๆ ที่ครอบครัวสวี๋ได้ตัดสินใจขายหุ้นไป ดังนี้

heartเหตุผลที่ 1 ครอบครัวสวี๋มองว่าทายาทรุ่นต่อ ๆ ไป ไม่มีใครอยากสานต่อ หรือมองว่าหากไม่ใช่พวกเขาเป็นคนดูแลธุรกิจก็อาจจะเจ๊งหรือไปไม่รอดได้

heartเหตุผลที่ 2 จำเป็นต้องขายหุ้นใหญ่ออกไปเป็นเพราะต้องการเสริมความแข็งแกร่งให้กับแบรนด์สินค้า เพราะเมื่อครอบครัวสวี๋ได้ขายหุ้นไปก็ได้เงินมาเป็นจำนวน 5 หมื่นกว่าล้านบาท และเมื่อได้เงินจากการขายหุ้นออกไปพวกเขาก็ได้รับเงินกลับมาอย่างน้อยก็อุ่นใจ เนื่องจากครอบครัวสวี๋มองว่าในอนาคตอะไรก็ไม่แน่นอน แต่ถ้าได้คนมาช่วยหรือหนุนธุรกิจของเขาและยิ่งเป็นบริษัทระดับโลก ไม่แน่ว่าธุรกิจของเขาอาจจะเติบโตและแข็งแรงขึ้นไปอีกก็เป็นได้ 

สรุปได้ว่า การทำธุรกิจของครอบครัวสวี๋ทำให้คนที่อยากจะมีธุรกิจเป็นของตัวเองมองว่าการมีแบรนด์สินค้าเป็นของตัวเองถือว่าเป็นเรื่องสำคัญ แล้วการที่จะทำให้คุณสามารถมีคนจดจำแบรนด์สินค้าของคุณได้คุณก็ต้องหาวิธีที่แปลกใหม่แต่สามารถตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้าให้ได้ ไม่ว่าจะเป็น สินค้าใหม่ วิธีการขายแบบใหม่ เช่น แบรนด์ลูกอมอย่าง สวี๋ฝูจี้ HSU FU CHI เองที่เลือกจะนำเสนอการขายในรูปแบบที่แตกต่างจากสินค้าอื่น จนสามารถประสบความสำเร็จและมียอดขายที่เป็นกอบเป็นกำมาจนถึงทุกวันนี้ และเมื่อคุณได้อ่านมาจดถึงบทความนี้แล้วคุณมีความคิดว่าอย่างไร คุณเริ่มมีไอเดียที่อย่างจะสร้างแบรนด์ขึ้นมาแล้วใช่ไหมครับ สามารถคอมเมนต์มาได้ตามด้านล่างนี้เลยนะครับmailheart
 

===========================================

สำหรับใครที่อยากได้รับอรรถรสเพิ่มมากขึ้น สามารถคลิกวีดีโอได้ตามด้านล่างนี้นะครับ

 

แสดงความคิดเห็น

>