Dek-D.com ใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสบการณ์ของ
ผู้ใช้ให้ดียิ่งขึ้น เรียนรู้เพิ่มเติมที่นี่
ยอมรับ

รีวิวประสบการณ์ เรียนไปด้วยทำงานไปด้วยที่ มหาวิทยาลัยรามคำแหง

ตั้งกระทู้ใหม่
ตั้งกระทู้ใหม่

ตามกระทู้เลยครับ เราก็จะมาเล่าประสบการณ์การทำงานไปด้วยเรียนไปด้วยที่มหาวิทยาลัยเปิดอย่างมหาวิทยาลัยรามคำแหงครับ ก่อนอื่นเลย เราของแนะนำสถานะจากรั้วมหาวิทยาลัยก่อนสักหน่อย เรา หรือ ลุงดีล่ะ เพราะแก่แล้ว ๕๕๕ เราเป็นบัณฑิตที่จบการศึกษาจากมหาวิทยาลัยรุ่นที่ ๔๓ ครับ หรือจบในปีการศึกษา ๒๕๕๙ ครับ แต่เราทำเรื่องจบปลายปี ๖๐ และเข้าพิธีรับปริญญาตอนปี ๖๑ครับ  อ่ะอา...งงล่ะสิ ไว้เดี๋ยวไปอ่านรายละเอียกันครับ
อ่อ ลืมบอกไปว่าเรา จบจากคณะรัฐศาสตร์ สาขาความสัมพันธ์ระหว่างประเทศครับ
....???

หลังจากเรียนจบจากชั้นม.ปลายที่บ้านนอก เราก็มุ่งหน้ามาหางานทำที่ กทม.ครับ จุดเริ่มต้นของพนักงานขายแรง เราก็มาเช่าห้องพักอยู่แถวรามครับ พร้อมกับไปลงทะเบียนเรียนที่มหาวิทยาลัย
เนื่องจากว่าที่บ้านไม่มีตังค์ส่งให้เราเรียน และก็คาดหวังไว้แล้วครับว่าเราต้องทำงานส่งตัวเองเรียน ซึ่งพอลงทะเบียนเรียนเสร็จแล้วก็ต้องรีบหอบวุฒิ ม.๖ ไปหางานทำ
 ตอนนั้นก็เคว้งมากครับ เก้ๆกังๆอยู่ แต่ก็โชคดีพอสมควรที่เรามีรุ่นพี่ที่มาจากหมู่บ้านเดียวกันที่มาอยู่แถวนี้ก่อนแล้ว ที่คอยให้คำแนะนำเรา หมายถึงพวกเรื่องอาหารการกิน การเดินทาง การขึ้นเรือคลองแสนแสบ การนั่งรถเมลล์ การไปที่ตึกต่างๆ นู่นนี่นั่น ส่วนเรื่องการหางาน เราก็ต้องพึ่งดวงของตัวเองล้วนๆครับ
ตอนแรกเราไปสมัครงานที่โรงแรมแห่งหนึ่งแถวๆหน้ารามครับ ไปสมัครตำแหน่งเด็กเสิร์ฟครับ แต่เหมือนตอนนั้นเขาเห็นว่าเรายังมีคุณสมบัติไม่พอ เขาเลยลองให้เรามาสมัครตำแหน่งรูมบอย(พนักงานทำความสะอาดห้องพัก) เราก็ไปกรอกใบสมัครแล้วก็ไปสัมภาษณ์กับหัวหน้าแม่บ้านครับ แล้วก็ออกมา เพราะเขาไม่แจ้งผลหลังสัมภาษณ์เลย
ต่อมาเราก็มานอนแอ้งแม้งต่อที่ห้องครับ เราก็เซิร์สหางานต่อ ตอนนั้นก็เจอประกาศรับสมัครงานตำแหน่งพนักงานต้อนรับของโรงแรมแถวๆแยกลำสาลีครับ เราก็ไม่ลังเล รีบโทรไปสอบถามแล้วก็นัดสัมภาษณ์ทันที หลังได้เวลาสัมภาษณ์เสร็จ เราก็เตรียมเอกสารเลย แล้วก็รอให้ถึงวันต่อไป
วันต่อมาเราก็เตรียมตัวไปสัมภาษณ์งานตามนัด ทุกอย่างมันดูรวบรัดและเร็วมาก เราเข้าไปที่ห้องธุรการแล้วกรอกใบสมัคร จากนั้นก็ถูกพาไปสัมภาษณ์กับหัวหน้าแผนกต้อนรับ
หัวหน้าแผนกต้อนรับเป็นผู้ชายตัวเล็ก อายุรุ่นพ่อเราแล้วครับ เขาไม่ถามอะไรมาก เขาแค่ให้เราเราแนะนำตัวเป็นภาษาอังกฤษง่ายๆ แล้วก็ถามอะไรอีกนิดหน่อยครับ เราก็จำไม่ได้ละ แต่พอสัมภาษณ์เสร็จ ก็... เราจำไม่ได้ว่าต้องรอไหม แต่เราได้งานที่นี่ครับ ๕๕๕ ฟลุคจริงๆ
...???
เมื่อเราเข้าไปทำงาน ก็ลมพัดตึ้งจ้า .... เจอชาวต่างชาติทั้งนั้นเลย โอ้ย ไว้อาลัยให้กับภาษาอังกฤษระดับมอปลายของเราเลยครับ ๕๕๕ แต่ก็โชคดีครับที่พี่ๆที่นี่เขาดีกับเรามาก คอยสอนงาน คอยให้คำแนะนำต่างๆ จนเราอยู่รอดผ่านโปรไปได้ครับ
...???

เอาล่ะครับ ทีนี้เราก็จะมาเล่าถึงการจัดการเวลาเรียนบ้างครับ
เนื่องจากว่า ที่นี่เราต้องเข้างานเป็นกะ มีกะเช้า กะบ่าย และกะดึก ส่วนเวลาเข้างานแต่ละกะเราจำไม่ได้แล้วครับ ต้องขออภัยด้วย แต่ว่าเราจำได้ว่า เรามีโอกาสได้เข้าเรียนวิชานึง ซึ่งเป็นวิชาที่เปิดสอนช่วงประมาณสี่โมงเย็นครับ แล้วตอนนั้นเราก็เข้ากะเช้า พอเลิกงานเสร็จก็รีบโหนรถเมลล์มาเข้าเรียนได้ ดังนั้นกะเช้าน่าจะเข้าตอน๖โมงเช้าแล้วเลิกบ่ายสามครับ แต่พอมาเรียนเราหลับทุกคาบเลย จนอาจารย์สงสารเรา เขาบอกเราว่า “คงเหนื่อยมากเลยสินะ” นี่คือแบบ..จะร้องไห้อ่ะ พอได้ยินแบบนั้น คือเราเหนื่อยจริงๆนะ แต่ก็สู้
...???
ส่วนที่ทำงานหยุดอาทิตย์ละวันครับ วันหยุดไม่ฟิกว่าต้องหยุดวันไหน ขอแค่ไม่ซ้ำกันกับเพื่อนก็พอ ดังนั้นเราเลยจัดตารางไปสอบได้ครับ ส่วนเรื่องเข้าเรียน หลังๆก็ไม่ได้เข้าเรียนแล้วครับ รอไปสอบอย่างเดียว เพราะตารางเวลาชีวิตมันไม่ได้จริงๆ อันนี้ก็แย่อยู่ครับ เพราะเราต้องอ่านหนังสือเยอะมากๆเนื่องจากว่าไม่รู้ว่าข้อสอบจะออกตรงไหน แถมสาขาที่เราเรียนมีคนเรียนน้อย แนวข้อสอบก็เลยแทบจะไม่มีเลยครับ เคยมีช่วงหนึ่งที่เราทิ้งการอ่านหนังสือไปเลย เพราะเหนื่อยกับการทำงานมาก เลิกงานมาก็ไม่มีกะจิตกะใจจะอ่านหนังสือละ ก็ไปรออ่านหนักๆเอาช่วงก่อนสอบครับ แต่มันไม่ดีเอาซะเลย เพราะมันเหนื่อยโครตๆเลย
มาถึงช่วงสอบครับ ช่วงที่ร่างพังจนเป็นไข้
???.....

นอกจากจะเคยเป็นไข้จากการโหนเรือคลองสนแสบแล้ว เรายังเคยเป็นไข้เพราะสอบและทำงานติดต่อกันรัวๆครับ
คือมันเป็นช่วงที่แบบว่าเราทำงานกะบ่าย และเลิกงานตอนประมาณห้าทุ่มเที่ยงคืน แล้วเราก็กลับห้องไปอ่านหนังสือต่อ กว่าจะได้นอนก็เกือบๆตีหนึ่ง ซึ่งตอนเช้าเราก็ต้องรีบตื่นตั้งแต่ตีห้าเพราะต้องรีบไปรอรถเมลล์เพื่อนั่งไปสอบรอบเช้าที่รามสอง
ในใจก็คิดว่าคงได้งีบบนรถเมลล์เอาและก็คงมีแรงไปสอบ แต่ผิดคาด รถเมลล์สาย๒๐๗ช่วงสอบก็คือ...แน่นเป็นปลากระป๋องเลย เรานี่ยืนโหนตั้งแต่รามหนึ่งจนถึงรามสองเลยครับ แบบรวมๆก็สองชั่วโมง
พอสอบเสร็จที่รามสองก็ต้องรีบนั่งแท็กซี่กลับรามหนึ่ง(ชั้นจะไม่โหนรถเมลล์อีกแล้ว)มาลงที่ทำงานแล้วไปเปลี่ยนชุดไปทำงานต่อเลย แล้วด้วยความที่เป็นพนักงานต้อนรับที่ต้องยืนหน้าเคาท์เตอร์ตลอดเวลาทำงาน ทำให้ร่างกายเราตอนนั้นรับไม่ไหว ก็ป่วยไปเลยสิครับ แต่ก็ต้องอัดยาแล้วลากสังขารทำงานต่อไป และอ่านหนังสือเตรียมสอบต่อไป
ชีวิตวนหลูบแบบนี้อยู่จนเราแบบ...ไม่อยากเรียนแล้ว...แต่เหลือสองตัวสุดท้ายซึ่งเราลงเทอร์มซัมเมอร์ปี ๕๙ ไป แต่เราหนักใจกับวิชาหนึ่งมากๆ ซึ่งเราสอบมาสี่ครั้งแล้ว และไม่เคยผ่านเลย จนเทอมนี้เทอมสุดท้าย ซึ่งถ้าไม่ผ่านเทอมนี้ก็จะหลุดไปปีการศึกษาใหม่แล้ว
???...
วิชากฎหมายระหว่างประเทศแผนกคดีเมือง สอบ ๕ ครั้งถึงจะผ่าน (ปล.เราถึงกับต้องบนบานศาลกล่าวกันเลยครับ)
แต่ก็คือผ่านครับ เราจำไม่ได้แล้วว่า เราผ่านเทอมซัมเมอร์เลยหรือเทอมซ่อมซัมเมอร์ แต่จำได้ว่าเราทราบผลสอบตอนเดือนธันวาคมช่วงปี ๖๐ และทำเรื่องจบในปีนั้นเลย และเราก็รอรับปริญญาช่วงเดือนมีนาปี ๖๑
สรุปก็จบมาแบบทุลักทุเล เกรดก็ห่วยแตกแบบเกือบจะขอจบไม่ได้ละ แต่ก็ไม่คิดจะอยู่รีเกรดครับ ให้ตรูจบๆไปเถอะครับ ๕๕๕
จบ... ไปรำแก้บนกันครับ หุหุ
???...

เราบนไว้สองอย่างครับ อย่างแรกคือ วิ่งรอบลานพ่อขุน แต่เราจำไม่ได้ละว่าบนไว้กี่รอบ ก็วิ่งเก็บรอบไปเรื่อยๆจนครบ ส่วนอย่างที่สองนี่คือ บนไว้ว่าจะรำแก้บนหน้าลานพ่อขุน (คือแบบ...เอิ่ม คิดหนักมากว่าจะรำยังไงให้ไม่อายคน)
เราก็ซ้อมรำไปครับ และเราก็เลือกการรำบายศรีทิพย์ครับ คือรำบายศรีแบบไม่มีบายศรีมาถวาย แต่ก็ตั้งใจรำจริงๆนะครับ ๕๕๕
พอถึงวันที่ต้องรำเราก็นัดรุ่นพี่คนหนึ่งให้พาไปครับ
เวลานัดไปรำก็เป็นตอนตี ๕ ครับ เช้ามากก บรรยากาศก็คือวังเวงมากครับ
ตอนรำอยู่..หมาก็หอนไป เคล้าคลอกับเสียงเพลงรำบายศรี โอ้ยยย...ชีวิตคือแบบ เมื่อไหร่จะจบเพลงสักที แต่เราก็ตั้งใจรำครับ กะว่าจะตั้งใจถวายจริงครับ และก็พยายามตั้งสติไม่ให้ลืมท่ารำ
ตอนรำอยู่ นอกจากจะมีเสียงหมาหอนคลอไปกับบทเพลงรำแล้ว ยังมี น้ารปภ.มาดูอีกครับ แกเดินเข้ามาหาเรา ไม่รู้ว่ามาทำอะไร เราก็แบบ...น้าจะเดินเข้ามาทำไม ผมอาย โอ้ย... สติจะแตกลืมท่ารำอยู่แล้ว ๕๕๕
สุดท้ายก็รำเสร็จครับ แล้วเรากับรุ่นพี่ก็รีบเผ่นเลยสิครับ ๕๕๕
 

แสดงความคิดเห็น

>

2 ความคิดเห็น

Yakult2004222 1 ก.ย. 66 เวลา 13:50 น. 2

คุณพรีเก่งอะ แค่อ่านก็เหนื่อยแทนละ นี่แค่วิ่งรอกเรียนหนังสือสลับกับเรียนพิเศษที่อยู่ไม่ไกลกัน (สามเสน - แอพพลายด์ฟิสิกส์ ตรงตึกวรรณสรณ์) ก็ไม่เหลือแรงไปทำไรละเนี่ย

0