Dek-D.com ใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสบการณ์ของ
ผู้ใช้ให้ดียิ่งขึ้น เรียนรู้เพิ่มเติมที่นี่
ยอมรับ

รีวิวทุน asian scholarship ทุนเรียนมัธยมฟรีที่สิงคโปร์ รีวิวการเขียนใบสมัคร รีวิวข้อสอบ รีวิวการสอบสัมภาษณ์ จากประสบการณ์ตรง

ตั้งกระทู้ใหม่

รีวิวทุน asian scholarship

สวัสดีค่า ช่วงนี้เป็นช่วงเปิดรับสมัครทุนเรียนมัธยมฟรีที่สิงคโปร์ หรือที่รู้จักกันในชื่อ Asean Scholarship เนอะ ในฐานะที่เราเคยมีโอกาสได้เข้าไปสอบถึง 2 ครั้ง วันนี้เลยอยากมาแนะนำวิธีการเขียนใบสมัคร รีวิวแนวข้อสอบ และรีวิวการสัมภาษณ์ของทุนนี้ค่ะ

ใครที่ขี้เกียจอ่าน สามารถเข้าไปฟังรายละเอียดเวอร์ชันคลิปวิดีโอได้ที่นี่ https://www.youtube.com/watch?v=13x6APjjM9g&t=483s เล่าทุกอย่างไว้ครบหมดเปลือกเลย (+ ประสบการณ์ตามหาคุณความรักที่สนามสอบด้วย แต่ไม่ได้ติดต่อกันเลยตั้งแต่วันนั้น ใครเข้าไปฟังแล้วคุ้นๆ ว่าเคยรู้จักเค้าคนนั้น มากระซิบบอกเราได้นะ ฮ่าาาาา)

***ต้องบอกว่าเราไม่เคยได้ทุนนี้นะคะ มีแค่โอกาสได้ไปสอบ 2 ครั้งเท่านั้น มาแชร์ประสบการณ์ที่อาจจะเป็นประโยชน์ค่ะ***

1.การเขียนใบสมัคร

ใบสมัครทุนนี้เป็นอะไรที่ต้องกรอกข้อมูลเยอะมากๆๆๆ และต้องกรอกเป็นภาษาอังกฤษทั้งหมด เป็นขั้นตอนที่สำคัญมากๆ เพราะถ้าไม่ตั้งใจทำ อาจทำให้พลาดทุนตั้งแต่ขั้นตอนนี้เลย เพราะทางกรรมการเค้าจะคัดคนที่มีโอกาสได้ไปทำข้อสอบผ่านใบสมัครค่ะ

ส่วนมากก็คือจะเป็นข้อมูลส่วนตัวของผู้สมัคร เราก็กรอกตามความจริงไปให้หมด

เรื่องเกรด เราจะกรอกเกรด 2 ปีย้อนหลัง จะมีวิชาหลักที่เค้าบังคับให้กรอก ส่วนวิชาอื่นๆ เราสามารถเลือกได้ว่าเราจะใส่วิชาไหนเพิ่มบ้าง *เทคนิคเราคือ เราจะกรอกเฉพาะวิชาที่เราได้เกรดสี่เท่านั้น* วิชาย่อยๆ ที่เราได้เกรดไม่ดีเราก็ไม่กรอกไปค่ะ55555 ให้เค้าเห็นว่าเห้ยยย เกรดสี่รัวๆ เลยอะไรแบบนี้ (แต่สุดท้ายเราก็ต้องส่งใบ transcript ทั้งหมดให้เค้าอยู่ดีนะ)

สิ่งที่สำคัญของขั้นตอนนี้คือเรื่องของกิจกรรม เค้าจะให้เรากรอกกิจกรรมหรือว่าการแข่งขัน รางวัลต่างๆ ที่เราเคยทำในสองปีนี้ลงไป ก็ขุดมาเลยค่ะ เคยทำอะไรบ้าง จะเล็กน้อยแค่ไหน แค่เข้าร่วมเฉยๆ ก็กรอกเข้าไปให้หมด เราจำได้ว่าเรากรอกเต็มทุกช่องเลย และคิดว่าเป็นอีกหนึ่งสาเหตุที่ทำให้ถูกคัดเลือกไป พยายามทำตัวให้ดูมีความสามารถ ความสนใจที่หลากหลายเข้าไว้

เรื่องกิจกรรมเราไม่ต้องส่งใบประกาศไปยืนยัน แต่ขอเน้นย้ำว่าอย่าโกหกไปนะคะทุกคน เพราะในขั้นตอนสัมภาษณ์เค้าจะถามถึง ถ้าเราอึกอัก ตอบไม่ได้เพราะเราเขียนโกหกไป เค้าจับได้นี่โอกาสติดริบหรี่เลยนะคะ หาสิงที่เราสนใจ สิ่งที่เราเคยทำมาเขียนดีกว่านะ

หลังจากนั้นเราจะต้องส่งใบสูติบัตร ใบเกรด และสำเนาบัตรประชาชนไปให้สถานฑูตสิงคโปร์ โดยเอกสารเหล่านี้ต้องเอาไปแปลเป็นภาษาอังกฤษพร้อมประทับตรากงศุล (บัตรประชาชนไม่ต้องแปล เพราะมีรายละเอียดเป็นภาษาอังกฤษอยู่แล้ว ใบเกรดขอแปลที่โรงเรียนได้ ส่วนสูติบัตรเราส่งแปลใบละ 500 บาท) ส่งเอกสารเหล่านี้ไปที่สถานฑูตสิงคโปร์ตามที่อยู่ที่เค้าให้ได้เลย

2.การรอคอย

หลังจากส่งใบสมัครไปแล้ว เราจะต้องรอเค้าประกาศผลประมาณ 2 - 4 สัปดาห์ โดยจะประกาศผ่านทางอีเมลของเราค่ะ ดังนั้นอีเมลที่เรากรอกไปมีความสำคัญมากๆ รวมถึงจะมีจดหมายส่งรายละเอียดมาให้ด้วย ในจดหมายจะบอกทุกอย่างเลยว่าจะสอบวันไหน ที่ไหน เวลาไหน สอบวิชาอะไรและต้องเตรียมอะไรไปบ้าง

หลังจากประกาศผลไม่กี่อาทิตย์คือวันสอบเลย ดังนั้นถ้าเรารอประกาศก่อนค่อยเตรียมตัวอาจจะมีเวลาน้อยมากๆ (เราคือหนึ่งในนั้น) ถ้าตั้งใจเขียนใบสมัครไปอย่างดี และมั่นใจว่าติดแน่ๆ แนะนำให้เตรียมตัวอ่านหนังสือตั้งแต่ต้นเลยค่ะ ไม่งั้นจะเตรียมตัวไม่ทันนะ

3.วันสอบ

วันสอบเราอย่าลืมพกบัตรประชาชน + จดหมายที่เค้าส่งมาไปด้วยนะคะ จากทั้งสองครังที่เคยไปสอบ จะมีคนที่ผ่านการคัดเลือกประมาณ 50-100 คนเท่านั้นเอง

เราสอบกัน 3 วิชา สอบเสร็จแล้วก็พักแล้วก็สอบแล้วก็พักวนไป

3.1เชาว์ปัญญา วิชาแรกเราจะสอบเป็นเหมือนข้อสอบมิติสัมพันธ์ คือเป็นข้อสอบที่มีรูปเรียงๆๆ กันมาแล้วถามว่ารูปต่อไปคือรูปอะไร หรือไม่ก็รูปไหนไม่เข้าพวก ข้อสอบแบบนี้สอนกันไม่ได้ เน้นที่การฝึกทำข้อสอบบ่อยๆ อย่างเดียวเลยค่ะ ส่ิงสำคัญเกี่ยวกับข้อสอบนี้คือการทำไม่ทัน เพราะจำนวนข้อสอบเยอะมาก และเวลาที่ให้ก็ค่อนข้างน้อย แนะนำว่าคิดแล้วฝนเลย อย่าคิดนาน ไม่รู้คือข้ามไปก่อน เราเคยทำไม่ทัน ทิ้งไว้ประมาณ 2 คอลลัมสุดท้าย โล่งๆ ยาวๆ เลย น่าเสียดายมากๆ

3.2คณิตศาสตร์ คณิตศาสตร์ส่วนตัวว่าไม่ยากมาก ใครที่แม่นเนื้อหา แม่นสูตรอะไรพวกนี้อยู่แล้วน่าจะทำได้ เพราะข้อสอบถามตรงๆ เลย ไม่ได้ลงลึก แต่ความยากของมันคือโจทย์จะเป็นภาษาอังกฤษล้วนๆ เลย ดังนั้นคำศัพท์ต่างๆ เกี่ยวกับคณิตศาสตร์เราควรจะต้องมีความรู้ตรงนี้ไว้ แนะนำให้ฝึกทำข้อสอบ SAT ให้พอเห็นโจทย์ เห็นว่าเค้าใช้คำแบบไหนมาทำเป็นโจทย์ เวลาเจอโจทย์จริงจะได้พอแปลได้ เพราะถ้าแปลโจทย์ออก ขั้นตอนการทำก็ไม่ยากเลย

ข้อสอบเป็นข้อเขียนทั้งหมด ออกเนื้อหากระจายๆ กันเลย เพราะงั้นอยากให้เก็บสูตร เก็บเนื้อหาคณิตให้ครบถ้วน บทที่ยากเราคิดว่าเป็นพวกเรขาคณิต พวกที่ให้หามุมสามเหลี่ยม สามเหลี่ยมในวงกลมต่างๆ อันนี้จะซับซ้อนนิดหน่อย

3.3ภาษาอังกฤษ อังกฤษจะแบ่งเป็นสองพาร์ท คือข้อกากับ essay ส่วนตัวคิดว่าข้อกาไม่ได้ยากเกินไป ฝึกทำข้อสอบภาษาอังกฤษไปเยอะๆ ให้เราเคยชินกับการใช้ภาษา ถ้าจำไม่ผิดมีครบทุกพาร์ทเลย ทั้ง error, grammar, vocab, reading, conver

ใครยังไม่แม่นพาร์ทไหน เรามีเทคนิคทำข้อสอบมาแนะนำด้วย

  • 5 เคล็ดลับ ทำข้อสอบ reading ยังไงให้รอด ไม่ต้องรู้ศัพท์ ไม่ต้องแปลออก ก็ทำได้ https://youtu.be/EaAqkn_tapc
  • เทคนิคทำข้อสอบ Error กวาดตาทีเดียวหาเจอทันที https://youtu.be/8_Snxh9PvuM
  • เทคนิคการทำข้อสอบ conversation พาร์ทที่ง่ายที่สุด ใครยังไม่คล่อง ลองมาดูเทคนิค! https://youtu.be/7X6BZAK-8AM
  • จำ 12 Tense ได้ใน 10 นาที ถ้ารู้แบบนี้จำ Tense ได้ครบตั้งนานแล้ว https://youtu.be/x7Q3-xogSOk

อีกพาร์ทคือ essay สำหรับการเขียนเรียงความ ส่วนตัวเรามองว่าเป็นอะไรที่ฝึกยากมากๆ ถ้าอยากฝึกจริงๆ แนะนำให้ลงเรียนเลย หรือไม่ก็หาชาวต่างชาติที่สามารถตรวจงานเราได้ ในข้อสอบจะมีหัวข้อให้เราเลือกเขียน 2 หัวข้อ เลือกหัวข้อที่เราแปลโจทย์ออก และเข้าใจมันจริงๆ แบบ 100% เพราะส่วนตัวคิดว่าสิ่งสำคัญของการเขียนเรียงความคือการเขียนให้ตรงประเด็น และเรียบเรียงลำดับการเขียนให้ดี อย่าเขียนนอกเรื่องนอกทะเลเยอะ ดังนั้นการเข้าใจโจทย์การเขียนจึงสำคัญมากๆ คำศัพท์ที่ใช้อาจจะไม่ต้องหรูหรามาก แต่พยายามอย่าเขียนประโยคที่ง่ายหรือธรรมดาเกินไป เอาศัพท์ธรรมดาๆ ที่เรารู้มาสร้างประโยคที่สวยงามและน่าสนใจให้อ่าน แต่เน้นเหมือนเดิมว่าแก่นสำคัญคือการร้อยเรียงเรื่องราว มีเกริ่นนำ เนื้อหา และสรุปให้สวยๆ

ใครไม่แม่น ไม่เก่งภาษา เรามีเทคนิคการเก่งภาษาง่ายๆ มาแนะนำให้ คือการท่องศัพท์ค่ะ แต่เราไม่ท่องศัพท์แบบมั่วๆ ท่องจับฉ่ายไปเรื่อยๆ เราจะท่องเฉพาะคำที่สำคัญ คำที่ใช้งานบ่อย ใช้งานจริง ซึ่งมี 3000 นี้ที่เราอยากแนะนำให้ท่อง จะทำให้สกิลภาษาอังกฤษเราดีขึ้นแบบ 80% เลยถ้าท่องได้ สามารถดูเทคนิคการท่องศัพท์ 3000 คำนี้ของเราได้ที่นี่เลย “อยากเก่งภาษาอังกฤษ ลองทำสิ่งนี้ดู! เทคนิคการท่องศัพท์ยังไงให้จำได้ยาวๆ ฝึกภาษาอังกฤษด้วยตัวเองง่ายๆ “ https://youtu.be/BjnnAElMY4I

4.วันสัมภาษณ์

ไม่เกินหนึ่งอาทิตย์หลังสอบข้อเขียนเสร็จ เราจะถูกนัดวันเวลาในการสอบสัมภาษณ์ ที่สถานฑูตสิงคโปร์ โดยผู้ปกครองเข้าไปด้วยไม่ได้นะคะ ต้องรอข้างนอก เราจะสามารถเข้าไปได้คนเดียว ผ่านการตรวจสอบสุดเข้มงวดของสถานฑูต มาก่อนเวลาประมาณ 1 ชั่วโมงถึง 45 นาทีนะคะ อย่าลืมเตรียมพอร์ทโฟลิโอไปด้วย พอร์ทให้เขียนเป็นภาษาอังกฤษ เนื้อหาเกี่ยวกับเราไม่ต้องเยอะมาก แนะนำให้ใส่ผลงานมาเยอะๆๆๆ เน้นรูปประกอบกิจกรรม เพราะส่วนมากเค้าจะถามเกี่ยวกับกิจกรรมในพอร์ทเรานี่แหละ

พอเข้ามาถึงเค้าจะให้เรานั่งรอเรียงตามลำดับกับเพื่อนที่มาสอบด้วยกัน ก็นั่งคุยกันแก้เหงาได้เลยค่ะ พอถึงคิวเรา ก็เคาะประตูและเข้าไปหน้าห้องกรรมการ กรรมการเป็นชาวสิงค์โปร์หมดเลย สัมภาษณ์เป็นภาษาอังกฤษเท่านั้นเลย เค้าก็จะชวนคุยชิลๆ เราตอบตามคำถามเค้าได้เลยนะคะ พยายามอย่าตอบคำถามสั้นๆ แบบใช่ ไม่ใช่ เคย ไม่เคย พยายามใส่รายละเอียดเข้าไปด้วยว่าทำไมใช่ ทำไมไม่ใช่ โยงคำตอบของเราเข้ากับกิจกรรมที่เคยทำในพอร์ทก็ได้

ตัวอย่างเช่น เค้าถามว่าเราจะปรับตัวได้มั้ย อย่าตอบว่า คิดว่าได้ค่ะ แค่นี้จบ ให้ลองพูดยาวๆ ว่า คิดว่าทำได้ เพราะส่วนตัวเคยมีประสบการณ์การแลกเปลี่ยนต่างประเทศมาแล้ว เลยทำให้เรียนรู้การปรับตัวได้ดี บลาๆๆ อะไรแบบนี้

จบแล้วววว หลังจากนี้เราก็แค่รอประกาศผล โดยเค้าจะโทรมาหาเราว่าเราติดทุนแล้วนะ โดยแต่ละปปีที่เราไ้ฟังมา จำนวนการรับไม่เท่ากันเลยนะคะ เค้าไม่ได้มีเกณฑ์กำหนดว่าเรากี่คนที่คะแนนท็อปสุดของปีนั้นๆ แต่เค้าดูเลยว่าใครที่ผ่านเกณฑ์ที่เค้าตั้งไว้บ้าง ก็ผ่านทั้งหมดเลย บางปีผ่านแค่สองคน บางปีผ่านถึง 15 คนเลยก็มี ดังนั้นสิ่งที่เราต้องทำคือการแข่งกับตัวเองล้วนๆ เลยค่ะ

และนี่ก็เป็นประสบการณ์ของเรา หวังว่าจะเป็นประโยชน์นะคะ ปัจจุบันเราเป็นนิสิตแพทย์ กำลังทำ youtube เกี่ยวกับการเรียน การสอบเข้าอยู่ด้วย ใครที่สนใจหรือมีคำถามอะไรสามารถติดตามได้ที่

youtube : janyourdiary https://www.youtube.com/channel/UC3DBq3KJkNUiCnnPmTtmvLA

instagram : janyourdiary_ https://www.instagram.com/janyourdiary_/saved/

ขอบคุณค่ะ

แสดงความคิดเห็น

>

2 ความคิดเห็น