Dek-D.com ใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสบการณ์ของ
ผู้ใช้ให้ดียิ่งขึ้น เรียนรู้เพิ่มเติมที่นี่
ยอมรับ

แนะนำการเรียนในระดับมัธยม.ปลาย จากรุ่นพี่ PART1

ตั้งกระทู้ใหม่
ตั้งกระทู้ใหม่
แนะนำการเรียนในระดับมัธยม.ปลาย จากรุ่นพี่ PART1
                ก่อนอื่นต้องแนะนำตัวกันก่อนเนอะ พี่ชื่อริวนะ จริงๆเป็นเด็ก60 แต่พี่ซิ่ว 2 ปีในการเข้าแพทย์ ตอนนี้เลยกลายเป็นเด็ก62 ตามระเบียบ และผ่านระบบทั้งเก่าและ TCAS มาแล้ว กระทู้นี้เป็นกระทู้แรกที่พี่เขียนในเว็บ Dek-D เลยและพี่ตั้งใจมากๆ อยากให้น้องๆได้อ่านกัน และหวังว่ามันจะเป็นประโยชน์ให้กับน้องๆทุกๆคนที่ได้เข้ามาอ่าน ไม่ว่าจะสนใจเข้าสายวิทย์สุขภาพ สายศิลป์ หรือสายไหนก็ตาม ไม่ว่าจะเด็กม.4 ม.5 ม.6 หรือเด็กที่คิดว่าจะซิ่ว รวมทั้งๆน้องๆที่ยังไม่แน่ใจตัวเองว่าจริงๆตัวเองถนัดอะไร หรือสนใจในการศึกษาต่อทางด้านไหน หรือคณะไหนในอนาคตอยู่ด้วยนะ
ขอเกริ่นเรื่องตัวเองหน่อย จะได้เห็นภาพและเข้าใจเหตุผลต่างๆที่พี่จะใช้อธิบายการอ่านนส. การปรับตัว การรู้จักตัวเองมากขึ้น แต่ถ้าดูเวิ่นเว่อ หรือดูยาว แนะนำให้ข้ามพาร์ทนี้ไปได้เลยจ้า
ไม่เรียนพิเศษ ?
                พี่เป็นเด็กกรุงเทพฯ เติบโตมาในครอบครัวฐานะปานกลางค่อนไปทางลำบาก คุณพ่อทำอาชีพขับรถแท็กซี่ คุณแม่ทำงานพวกร้านอาหาร ด้วยเหตุผลดังกล่าวตั้งแต่เด็กจนโต พี่ไม่ได้เรียนพิเศษเลย เพราะรู้สึกเองว่าตัวเองไม่ควรเพิ่มภาระให้พ่อแม่ในการหาเงินมาเรียนพิเศษ + เรารู้จุดนี้เร็ว เราเลยพยายามตั้งใจเรียนในการเรียนอยู่ในระดับที่โอเครมาตลอดตั้งแต่ประถม พอเข้าช่วงหัวเลี้ยวหัวตอตอนขึ้นม.ปลาย พี่เข้าเรียนสายวิทย์คณิตนะเพราะพี่อยากเข้าแพทย์  ช่วงนั้นพี่เห็นเพื่อนตัวเองสมัครเรียนพิเศษเยอะมากๆ จนพี่พูดได้เลยว่า เด็กสายวิทย์ 95% ตัดสินใจเรียนพิเศษกันหมด ตอนนั้นพี่ก็รู้สึกนอยด์ตัวเองนะ แต่เราก็พยายามคิดว่าเราก็ต้องผ่านมันไปได้ด้วยตัวเองเหมือนกัน  แต่พี่โชคดีมากที่พี่มีเพื่อนที่ดี และพี่เป็นคนที่เข้าสังคมง่าย เวลาเพื่อนไปเรียนพิเศษพี่ก็จะพยายามให้เพื่อนอธิบายในส่วนที่พี่ไม่เข้าใจตลอด หรือ ให้เพื่อนสอนเทคนิคที่ได้มาจากสถาบันสอนพิเศษ รวมทั้งบางครั้งเพื่อนก็ให้ยืมนส.จากที่เรียนพิเศษมาอ่านในช่วงที่เพื่อนไม่ได้อ่าน ทำให้เราพอจะไล่ตามเพื่อนได้บ้าง
                 แล้วพี่ได้เรียนพิเศษมั้ย จริงๆคือพี่ก็สมัครเรียนนะ คือจะว่าเป็นความโชคดีของพี่หรือเปล่าอันนี้ก็ไม่รู้แต่ทางโรงเรียนพี่มีส่วนลดพิเศษสำหรับการสมัครเรียนพิเศษจากสถาบันสอนภาษาอังกฤษ พี่จึงตัดสินใจสมัครไป 1 คอร์ส ด้วยราคา 500 บาท อันนี้คือการเรียนพิเศษครั้งแรกเลย กับอีกครั้งคืออันนี้เราตัดสินใจเก็บเงินไปเรียนเอง คือเคมีอ.อุ๊ คอร์สตะลุยโจทย์ ราคารู้สึกจะ 2,900 นะถ้าจะไม่ผิด ด้วยความที่พี่ไม่ถนัดเคมีที่สุดในสายวิทย์ และกะจะไปเรียนพร้อมกับเพื่อนด้วย ช่วงนั้นเพื่อนก็ห่วงว่าจะเรียนรู้เรื่องหรอ ไม่เคยเรียนของอ.อุ๊มาก่อนเลย อยู่ๆมาตะลุยโจทย์ แต่ตอนนั้นพี่คิดว่าพี่น่าจะพอถูไถได้ แถมพี่ก็ไม่ได้ไปเรียนคนเดียวนิเนอะ     
                  ผลลัพธ์คือ ทางความคิด พี่ได้เปิดหูเปิดตามาก ว่าสังคมของเด็กที่เรียนพิเศษเป็นยังไง อ.ที่สอนพิเศษเข้าสอนต่างกับที่รร.ยังไง  ทำไมเด็กส่วนใหญ่ถึงไปเรียนพิเศษกัน ส่วนทางความรู้ พี่พูดตรงๆว่าก็ได้นะ แต่ยังไม่เต็มประสิทธิภาพมีหลายครั้งที่เราเข้าไปเรียนแล้วเอ๋อไปเลย อะไรคือเทคนิคนี้ อะไรคือที่เค้าสอนไปตอนเอ๊นท์ คือมันต้องไปคุ้ยเยอะมาก บฝ.ของอ.เราก็เคยทำแค่ผ่านๆ บวกกับคอร์สนี้เป็นคอร์สที่ค่อนข้างต่อเนื่องเรียนวันต่อวัน มีวันหยุด 1 หรือ 2 วันนี่แหละ ตอนนั้นเราคือพังเลยไปจ้า 555555
แล้วสำหรับพี่คิดว่าการเรียนพิเศษสำคัญมั้ย หรือคิดเห็นยังไง
            พี่เป็นเด็กซิ่วอ่ะนะอย่างที่บอก อย่างนึงที่พี่ว่าพี่ได้บทเรียนสำคัญมากว่า อย่างแรกเราต้องรู้จักคุยกับตัวเองและยอมรับอีโก้ ความคิด หรืออะไรทำนองนี้ให้ได้ก่อน เด็กเรียนพิเศษไม่ใช่ว่ามีผลลัพธ์ที่ดีทุกคน และเด็กที่ไม่ได้เรียนพิเศษก็ไม่ใช่ว่าจะเสียเปรียบเด็กเรียนพิเศษ หรือเด็กโรงเรียนดังๆเสมอไป คีย์สำคัญคือ ‘ความมีวินัย’ ถ้าน้องมีวินัยพอน้องจะสามารถเข้าถึงความสามารถหรือขีดจำกัดตัวเองได้แน่นอน อย่าเอาอะไรมาเป็นข้ออ้าง เช่น อ.ที่รร.สอนไม่รู้เรื่องเลย, มีรุ่นพี่บอกตรงนี้มันยาก ข้ามๆไปเหอะ, เราเกลียดวิชานี้อ่ะ อ่านไปก็ไม่รู้เรื่องหรอก, นส.สสวท.หรือตามหลักสูตรมีแต่คนบอกว่าอ่านยากไม่รู้เรื่องหรอก  //ที่กล่าวมาคือพี่ผ่านมาหมดแล้ว 55555 พี่พอจะแนะนำให้แต่ยังไงมันก็ขึ้นอยู่ตัวน้องด้วยนะว่ามันพอจะปรับไปใช้ได้มั้ย
            อย่างถ้าฐานะทางบ้านน้องไม่ค่อยดีเลย คอม หรือสมาร์ทโฟนก็ไม่มี (ตอนมปลายพี่ก็เป็นงั้นอ่ะ มือถือยังใช้แบบมีแป้นอยู่เลย) น้องก็ควรพยายามไปพวกห้องสมุด หานส.เพิ่มเติม หรือคอมห้องสมุด //ถ้ารร.น้องไม่ค่อยดีเรื่องห้องสมุด ก็ให้เปลี่ยนไปเป็นครูฝึกสอนที่พอจะคุยได้ ส่วนใหญ่ด้วยความที่ครูฝึกสอนอายุห่างจากน้องไม่เยอะมาก การคุยอาจจะรู้สึก confident มากกว่าแถมครูฝึกสอนส่วนใหญ่จะมีความกระตือรืนร้นในการช่วยเหลือเด็กอยู่ หรือรู้จักเข้าหาสังคมเพื่อนที่ดีให้ได้ พอให้เพื่อนช่วยเหมือนที่พี่ได้รับ หรือสุดๆแล้วจริงๆน้องก็ควรหนังสือกระทรวงให้เข้าใจเองจริงๆ อันนี้พี่ไม่ได้ล้อเล่นนะ เพราะจริงๆข้อสอบที่เข้าจะเอามาออกเนี่ยส่วนใหญ่เข้าจะเริ่มถูก fix มากขึ้นทุกปีว่าให้เอามาจากนส.กระทรวง ด้วยเหตุผลนี้น้องอย่าดูถูกนส.กระทรวงเชียว บางวิชาจริงๆมันเขียนไว้ดีแล้ว แต่ตัวเองอาจจะไม่เคยเปิดอ่านเองด้วยซ้ำไป (พี่เป็นมาแล้ว เพราะสมัยพี่เค้าก็เน้นสอนด้วยชีท สไลด์ หรือติดนิสัยอ่านนส.นอกห้องเรียนไปแล้ว เลยไม่เคยแตะนส.กระทรวงจริงๆ)
            ส่วนน้องที่ฐานะปานกลางพอจะมีคอมหรือสมาร์ทโฟน ก็แนะนำให้ใช้มันให้เป็นประโยชน์ ไม่ใช่แค่ถ่ายการบ้านเพื่อนลงไลน์กลุ่มแล้วเอาไปลอกกันนะ 55555 เดี๋ยวถ้าพี่ว่างพี่จะมานั่งเขียนกระทู้แนะนำและแปะไว้ให้สำหรับลิ้งค์ที่พี่ใช้บ่อยๆในการเรียนนะ แต่หลักๆคือ อย่างเฟสเราต้องรู้จักหาเพจความรู้ด้วยซึ่งมีเยอะมาก และที่สำคัญและมีแหล่งความรู้เยอะจริงๆคือยูทูปแทบจะมีครบทุกวิชา อาจจะมีไม่ครบหมดเพราะเค้าคงไม่สอนหมดฟรีๆบ้าง บางคลิปมัวๆเก่าๆไปบ้าง อธิบายไม่เข้าใจบ้าง แต่อยากให้เปิดใจและเข้าไปเรียนจริงๆ มันมีประโยชน์มากๆ พี่บอกเลย
           สุดท้ายคือน้องที่เรียนพิเศษ และฐานะค่อนข้างปานกลางถึงโอเครมาก พี่คงไม่ต้องแนะนำอะไรมาก หลักๆคือต้องย้ำเรื่องความมีวินัย อย่าสักแต่ว่าเรียน แล้วก็ปล่อยผ่าน  ทบทวนบ่อยๆ แบ่งเวลาให้เป็น (ขึ้นมหา’ลัยแล้วจะเข้าใจว่าถ้าแบ่งเวลาไม่เป็นจะเป็นยังไง)
แนะนำวิธีการวางแผนการเรียน
           ก่อนอื่นต้องบอกว่าพี่ไม่ใช่คนที่ระเบียบจัด แต่พี่เป็นคนจำพวกคิดมากแล้วก็ Perfectionist นิดๆ (อันนี้ไม่บอกเพื่อเอาเท่นะ มีบุคลิกนี้ก็ไม่ใช่ว่าดีเสมอไป) เพราะฉะนั้นพี่จะคุยกับตัวเองบ่อยมากว่าจะเอายังไงดี ตรงนี้ควรจะทำอะไร
อย่างแรกคือการเรียนในห้องเรียน น้องต้องเปลี่ยน mind set อย่างนึงอย่างที่บอกไปข้างต้นว่าอย่าดูถูกนส.กระทรวงบ้างล่ะ อย่าหาข้ออ้างมาปิดกั้นความสามารถบ้างล่ะ ตามนั้นเลย ครูสอนไม่ดี น้องก็ต้องปรับตัวให้ผ่านไปให้ได้ เพราะยังไงถ้าน้องเปลี่ยนแปลงอะไรไม่ได้ น้องก็ต้องรอรับเกรดจากครูคนนั้นๆอยู่ดี (เรื่องนี้นี่เบสิกมากมีบ่อย ครูพี่ก็มี พี่ก็บ่นกับเพื่อนบ่อย อีกอย่างจะยิ่งแล้วใหญ่ถ้าน้องโดนรุ่นพี่ยุเรื่องนี้น้องอาจจะอคติกับครู และลามไปถึงตัววิชาเลย บางคนชอบเลข ขึ้นม.ปลายเจอครูสอนไม่ดีใส่ เกลียดเลขไปเลย ยันขึ้นมหา’ลัยก็ยังเกลียดงี้ พี่เห็นมาแล้ว แต่พี่คิดว่าทุกคนผ่านมันได้ แค่ปรับตัวให้ได้) //อีกอย่างที่มันสำคัญเพราะถ้าน้องจะยื่นคะแนนอย่างรอบแอด (หรือจริงๆมันเปลี่ยนไปแล้วอ่ะนะ เอาเป็นว่ารอบที่มีการยื่น GPA หรือเกรดต่างๆนั่นแหละ) คะแนนส่วนใหญ่ตรงนี้นน.สูงมากๆ (ซึ่งสำหรับพี่พี่คิดว่ามัน Bullsh*t นิดๆนะ เพราะแต่ละรร.การให้เกรดก็ไม่ได้เป็นเกณฑ์เดียวกัน ดูง่ายๆอย่างถ้าอยู่เตรียมฯเกรด 3 อาจจะโหดกว่า 4 บางรร.อีก เพราะฉะนั้นวัดกันไม่ได้)
           เทคนิคการวางแผนตัวเองจริงๆควรนั่งคุยกับตัวเองบ่อยๆว่าเราถนัดอะไร หรืออยากเรียนรู้อะไร ลองหลับตาดูงี้ พอจะเห็นอนาคตตัวเองมั้ยว่าทำอะไรอยู่ เป็นจิตรกร โปรแกรมเมอร์ นักธุรกิจ หมอ พยาบาล เภสัช อะไรก็ได้ไม่จำเป็นต้องไปโฟกัสถึงกระแสรอบข้าง อย่างเพื่อนอยากเป็นหมอกัน น้องเลยอยากเข้าหมอด้วยอันนี้พี่บอกเลยว่าแย่มากความคิดงี้ ให้จำไว้ว่าเราไม่จำเป็นต้องเดินตามรอยเท้าคนอื่นซ้ำ และถ้าน้องมีฝัน อย่าทิ้งมันเพราะไม่มีเพื่อนไปด้วย มันคืออนาคตเราเอง ถ้าน้องทำตามนี้แล้วน้องพอจะเห็นลางๆแล้ว พี่แนะนำให้หารุ่นพี่ในด้านนี้ หรือคนรู้จักลองเข้าไปพูดคุยจริงๆดูว่าเป็นยังไง มันจะเปิดความคิดอะไรใหม่ๆกับน้องขึ้นมากเลยนะ เพื่อนพี่บางคนพี่เห็นแววแหละมาหมอแน่นอน สุดท้ายพอไปๆมาไปเรียนวิศวะก็มี หรือ อยากเรียนจิตวิทยาสุดท้ายไปบัญชีฯก็มี ยิ่งตอนเข้ามหา’ลัยน้องจะเห็นอะไรมากกว่านี้อีก มีการซิ่วแบบแปลกๆอย่างอักษรฯมาเภสัชก็มี เพราะฉะนั้นคุยกับตัวเองเยอะๆ และรู้จักคุยกับคนอื่นเพื่อหาแนวทางความคิดใหม่ๆ อย่าไปเอาแต่ตั้งคำถาม เช่นถามเพื่อนว่าอยากเข้าอะไร แล้วก็จบ ถามเหตุผล ถามความคิดดูด้วย อีกอย่างคือถ้าน้องทำได้ยิ่งเร็วยิ่งดีนะ สำหรับบางสาขาวิชานี่สำคัญมาก เช่น สถาปัตย์ ส่วนใหญ่ที่พี่เห็นคือควรตัดสินใจได้ตั้งแต่ม.5 อ่ะ เพื่อนพี่ก็ไปเรียนพิเศษสถาปัตย์กัน นู้นนี่ ซึ่งตรงนี้พี่ไม่มีข้อมูลนะ แต่คิดว่าก็ควรจะปรับตัวให้เร็วเพราะเป็นสายวิชาที่ใช้ทักษะเยอะ แค่วาดรูปนี่ก็เยอะแล้ว ไม่รวมความรู้ด้านสถาปัตย์อีก หรือจะเป็นสายศิลป์ภาษา ก็ควรฝึกเรื่อยๆให้มีความคล่องตั้งแต่ม.4-5 นะ อันนี้เป็นสายวิชาทักษะต้องใช้เวลาในการเก็บเกี่ยวเยอะ
            เพิ่มเติมอันนี้สำหรับน้องสายวิทย์นะ คือช่วงม.ปลายถ้าน้องฟิตมาก แบบปรับตัวตั้งแต่ม.ต้นขึ้นม.ปลายด้วยความพร้อมค่อนข้างมาก หรือจะม.4 ที่ขึ้นม.5 แล้วปรับตัวได้แล้ว พี่แนะนำอีกแนวทางคือ สอวน. คือสำหรับพี่ถ้ารร.มีการจัดติวเพื่อสอบเข้าสอวน. แค่ไปเข้าติวน้องจะได้อะไรใหม่ๆ และมีประโยชน์มาก หรือถ้าไม่มี แต่น้องลองไปสอบดูแล้วติด พี่ก็แนะนำให้คว้าโอกาสนั่นไว้ เพราะมันมีประโยชน์มาก อย่าไปคิดแต่ว่า สอวน.ก็เอาไว้แข่งขัน ไว้สำหรับพวกเทพ ถ้าเอาแต่คิดงั้นน้องก็จะย้ำอยู่กับที่อ่ะ ถ้าน้องอยากพัฒนาตัวเอง ความรู้ที่น้องได้ เอาแค่ค่ายแรกน้องก็จะได้สกิลของสายวิชานั้นไปเยอะมากแหละ ซึ่งมันก็มีหลากหลาย จะชีวะ (ถ้าอยากเข้าพี่แนะนำพวกเต็นท์เล่มเต่าทอง หรือไม่ก็เล่มปูก็พอ ติดได้สบายๆถ้าอ่านรู้เรื่อง) , ฟิสิกส์ (เข้าใจทฤษฎี+ทำโจทย์มาพอควร), เคมี (แนะนำไม่ได้จ้า เพื่อนพี่ไม่เข้าสายนี้กัน), คอมพิวเตอร์ (ข้อสอบเข้าคือตรรกะ เชาวน์ เลข ไม่ยาก แต่น้องต้องเข้าใจว่าสอบเข้าไปเพื่อเรียนคอม การเขียนโปรแกรม การจัดอัลกอริทึม) : สิ่งที่ต้องลงทุนคือค่าสอบ (รู้สึกจะวิชาละ 100) + เวลาในการเรียนถ้าติดค่ายแล้ว พูดง่ายๆคือเวลาปิดเทอมน้องจะหายไปเกือบหมด แต่น้องจะโหดวิชานั้นไปเลยถ้าน้องมีวินัยพอ
            สุดท้ายคือช่วงม.6 ช่วงแห่งความวุ่นวาย อยู่ๆอะไรที่ไม่หนักไม่ถาโถมมันจะมาหมดช่วงนี้ และทำให้เราบ่นอยู่กับมันได้ตลอดๆ จะจบแล้ว จะสอบแล้ว อ.สั่งงานชิ้นใหญ่ๆ งานกลุ่ม งานพรีเซ้นต์ดูดเวลางี้ เรียนในรร.ยังไม่จบเลย จะสอบแหละ ข้อสอบย้อนหลังก็บานเลย ไม่ได้ทำ //ดูวุ่นวายแบบเห็นภาพยัง 55555 น้องจึงจะเห็นเพจต่างๆ หรือรุ่นพี่บอกบ่อยๆว่าต้องเตรียมตัวก่อนขึ้นม.6 ให้ได้ เรียนให้จบก่อนรร.จริงๆ ไม่งั้นไม่ทัน ซึ่งใช่เลยมันยังเป็นแบบนั้นอยู่ และมันทำให้เด็กลำบาก แต่จะบ่นอย่างเดียวก็ไม่ได้อะไรจริงม่ะ อย่างแรกปิดเทอมม.5 คือบอกตัวเองได้แล้วว่ามันไม่ใช่เวลาพักจริงๆ น้องต้องอ่านนส.และฟิตตัวเองช่วงนี้แหละ ช่วงเวลาแบบขุมทองเลยจริงๆ ช่วงสอบเสร็จแล้วน้องจะพักยังไงก็ได้ ถ้าน้องฟิตเต็มที่แล้วพอจะรู้ว่าตัวเองติดแล้วถูกม่ะ อีกอย่างน้องที่เริ่มเข้า TCAS เนี่ยอย่างนึงที่มันดีขึ้นมานิดนึงคือเรื่องวันสอบนี่แหละ ปี60 ที่พี่ผ่านมาเนี่ยยังไม่จบม.6 มีสอบแล้วจ้า มึนไปเลย 55555 เพราะฉะนั้นวางแผนดีๆ ควรจบเนื้อหาตอนไหน ทำข้อสอบช่วงนี้ ทำสรุปช่วงนี้ ทวนช่วงนี้ แล้วแต่ความถนัดตัวเองเลย แต่ถ้าให้พี่ช่วยออกแบบตารางอันนี้คือที่พี่ประมาณนะ อาจจะผิดไปบ้าง ลองไปปรับดู
แนะนำโค้งสุดท้าย
            ช่วงปิดเทอมเก็บเนื้อหาม.6 ให้จบทุกวิชา (เอาแค่ม.6 ก่อนก็ได้ ถ้ายังไม่ฟิตขนาดจบเป็นวิชาๆ) เปิดเทอมประมาณพฤษภา ใช้เวลาว่างต่างๆที่จัดการเอาเองอ่ะนะ ทำสรุปแต่ละบท แต่ละวิชาเป็นขั้นเป็นตอนให้ครบภายใน 2 เดือน (ถึงประมาณกลางเดือนกรกฏา เลยก็ได้) เก็บจุดบอดหรือทำแบบฝึกเล็กๆน้อยๆให้เสร็จเป็นวิชาๆ (ถึงประมาณต้นเดือนตุลาเลยก็ได้) เริ่มทำข้อสอบจริงๆ จะเป็นการโหลดมาปริ๊นท์นั่งทำ ซื้อนส.แนวข้อสอบ อะไรก็ตามอันนี้ทำไปยาวๆเลย และให้สลับเป็นวิชาๆไป อย่าทำแบบอาทิตย์นี้เอาแต่เลข อาทิตย์หน้าอิ้งไรงี้ ไม่งั้นน้องจะลืมหมด ระหว่างทำแนะนำให้หาที่ที่เงียบ มีโต๊ะนั่งดีๆ ใช้นาฬิกาเข็มดูเวลา แล้วเอามือถือในการจับเวลา (ฝึกการมองนาฬิกาเข็มให้ชิน ส่วนมือถือเป็นการแทนเสียงอ๊อดที่น้องต้องวางปากกาดินสอทันที ไม่โกง) อีกอย่างคือปริ๊นท์กระดาษฝนด้วย (ให้น้องเรียนรู้ตัวเองว่าฝนได้เร็วขนาดไหน อีกอย่างคือในการสอบจริงกระดาษจะหนากว่ากระดาษทั่วไป จะยิ่งฝนนาน)  //แค่นี้พอนะ เพราะแค่นี้ก็ค่อนข้างเสมือนจริงแหละ ยกเว้นมีคนสอบคนอื่นมากดดันข้างๆ หรือก่อนสอบต้องแกะแม็กข้อสอบ 5555 (เพิ่มเติม : แกะแม็กง่ายๆเอารูของปากกาเสียเข้าไปในขาแม็กแล้วงัดขึ้น 2 ข้าง กลับด้านกระดาษแล้วใช้ส่วนเขียนงัดขึ้นมา แค่นี่ก็ออกแล้ว ใช้เวลาไม่นานด้วย) ตอนจะทำข้อสอบขออย่างนึงคืออย่ากลัวที่จะเริ่มทำ อันนี้สำคัญมาก อย่าไปกลัวเสียข้อสอบฟรีแบบรู้สึกยังไม่พร้อมที่จะทำซักที อยากให้น้องลองไปทำก่อนเถอะ ถ้าน้องผ่านจุดที่ทวน ที่ทำสรุปตามที่พี่บอกแล้ว มันประเมินตัวเองได้เยอะ อีกอย่างบางข้อน้องอาจจะถูกหลอกให้ทำมาแล้วก็ได้ ตามสถาบัน ตามเพจต่างๆงี้ พอทำไปได้ซัก 2-3 ฉบับเราจะเริ่มชินขึ้นและทำได้คล่องขึ้นเอง ระหว่างชุดตอนที่มานั่งดูเฉลยก็ให้ลิสต์จุดผิดตัวเองออกมาให้เห็นชัด และเรียนรู้จะแก้มัน อย่างถ้าเลข น้องลืมสูตร ก็จดสูตรไว้เป็น post-it หรือจะทำโทษตัวเองนั่งคัด หรืออะไรก็ได้ ถ้าคิดเลขผิดก็เตือนตัวเอง ลืมเช็คเงื่อนไข นอกจากเตือนตัวเองก็มาร์คไว้ว่าต้องเช็คด้วยไรงี้ ช่วงนี้น้องก็จะงวนๆอยู่กับข้อสอบ สิ่งที่ต้องทำคู่กันต่อไปเรื่อยๆ คือการเช็คตัวเองนอกจากตัวข้อสอบด้วย บางทีที่เห็นในข้อสอบมันอาจจะไม่เอามาออกซ้ำก็ได้ เพราะฉะนั้นทวนกับตัวสรุปของเราด้วย แล้วอาจจะเทสตัวเอง อันนี้ง่ายๆในสไตล์พี่นะ คือลองยกหัวเรื่องมาเรื่องนึง แล้วลองเขียน หรือจะหลับตาคิดในหัวก็ได้ ว่ามันแตกออกไปเรื่องอะไร มี detail อะไรอีกบ้าง ถ้าตรงไหนที่แบบเอ๊ะมันคืออะไรนะ หรือจำได้แต่หัวข้อ จำหลายละเอียดไม่ได้ ให้จดใส่กระดาษไว้ว่าลืมอะไรไป แล้วไปอ่านตรงนั้นให้เข้าใจเลย (ของพี่คือสมมติพี่ลืมเรื่อง Cell res. ว่ามันมีขั้นอะไรบ้าง พี่ก็จะเปิดนส. 2-3 เล่ม เปิดยูทูปสอนเรื่องนี้ เอาให้เข้าใจ จำได้แจ่มแจ้งไปเลย แล้วทำแบบนี้ไปเรื่อยๆ น้องจะมีบอดน้อยลง และจำได้มากขึ้นจริงๆ) ทำอย่างนี้ไปเรื่อยๆจนถึงวันสอบ ยกเว้นเรื่องวิชาพวกภาษานะเพราะอันนี้ทักษะจริงๆ และจุดเริ่มต้นของคนเราต่างกันจริงๆ บางคนมีโอกาสไปเที่ยวต่างประเทศ ไปเรียนแลกเปลี่ยน หรือติดการดูหนัง หรือฟังเพลงภาษามานานแล้ว อันนี้น้องต้องไปปรับเอาเองเท่าที่ตัวเองรู้สึกโอเคร เท่าที่ถนัด จะท่องศัพท์ทุกวัน จะใช้ flash card จะเรียนพิเศษแล้วแต่เลย สุดท้ายคือช่วงก่อนวันสอบพี่ก็แนะนำให้จัดเวลานอนดีๆ เพราะช่วงฟิตๆเนี่ย ส่วนใหญ่ตารางนอนทุกคนพัง (ของพี่ตอนปี 60 พี่นอนตี 2.30 ตื่น 5.30 ไปเรียนแล้ววนลูป มันพังมากๆ) แล้วช่วงที่ใกล้จริงๆ เรื่องอาหารนี่ก็ระวังๆหน่อย กินของดีๆหน่อย เดี๋ยวไปจู๊ดๆในห้องสอบจะลำบาก แล้วก็อย่าอ่านหนักเกิน ช่วงนี้น้องจะเครียดมากๆ อย่าไปบีบคั้นมาก ไม่งั้นหัวน้องตอนไปสอบจะอ๊องไปเลย อ่านแต่แค่สรุปๆ จุดพลาดบ่อยๆพอ ทำตัวสบายๆเท่าที่ทำได้ (ให้คิดว่า น้องวางแผนมาเป็นเดือนๆ เป็นปีๆ แต่มันวัดที่ชั่วโมงที่น้องสอบนะ)
             สุดท้ายของสุดท้ายจริงๆนะ กำลังใจเป็นสิ่งสำคัญมาก น้องอาจจะมีปัญหาทางครอบครัว ทางบ้านไม่เข้าใจว่าจะเรียนในที่เราตั้งใจทำไม อย่างถ้าน้องอยากเรียนดุริยางศ์ ถ้าพ่อแม่ไม่เห็นด้วยก็อยากให้ปรับความเข้าใจคุยกันดีๆ ค่อยๆหาทางออกมัน อธิบายกันด้วยเหตุผล และอีกอย่างคือช่วงตั้งแต่ขึ้นม.6 น้องจะมีโมเม้นต์ดาวน์ หรือเบิร์นเอ้าท์บ่อยมากๆ แบบเบื่อ เหนื่อย ไม่มีไฟในการอ่านเลย พี่คงช่วยอะไรไม่ได้มากแต่ก็แนะนำให้คุยกับตัวเองมากๆเหมือนเดิม มันช่วยได้จริงๆ ถึงคนรอบข้างจะไม่ได้ให้กำลังใจเรา และตัวเราเองก็ต้องเป็นกำลังใจให้ตัวเองนะ ลองคิดดูว่า ‘ที่เราเลือกทางนี้แล้วเราเดินมาขนาดนี้อ่ะ เราเริ่มเพราะอะไร’ มันจะมีค่ามากเลยนะ ถ้าน้องเห็นทางที่เดินมา เพียงแค่หันหลังมองกลับไป วิธีนี้ได้ผลมาก ยิ่งตอนเรียนในระดับมหา’ลัยนี่เครียดมากพี่บอกเลย น้องจะต้องรู้จักตัวเองให้มากขึ้น สู้ๆนะทุกคน พี่ขอเป็นหนึ่งในกำลังใจนั้นนะ :)
            ปล.พิมพ์เสร็จนึกขึ้นได้อีกประเด็นคือ การเรียนในห้อง พี่จะแนะนำให้โฟกัสมันน้อยลง แต่ไม่ใช่เทนะ แบบอยากไปใส่เต็มหมดไม่งั้นไม่มีเวลาอนส.เข้ามหา’ลัย ปรับตัวเองให้ได้ + ตอนใกล้สอบสนามนึงที่อย่าดูถูกหรือมองข้ามคือ O-net สำคัญมาก ! ทั้งเด็กจะเข้ากสพท. หรือจะยื่นแล้วมีติดพวงเป็นเกณฑ์ เข้าใจ๊ ~
เส้นทางของคนอยากเป็นแพทย์ (ฉบับพยายามย่อกลัวมันยาวเกิน)
(ตรงนี้เป็นส่วนพิเศษสำหรับน้องๆสายนี้นะ หรืออยากเปิดความคิดดูว่าเด็กสายนี้คิดยังไงกัน)
            ทำไมอยากเป็นหมอล่ะ แล้วเมื่อไหร่ถึงมีความคิดแบบนี้ พี่อยากเป็นหมอแบบจริงจังครั้งแรกๆที่จำความได้คือตอนช่วงป.4 ฟังดูว้าวเลยช่ะม่ะ แบบโอ้แม่เจ้า ป.4 อยากเป็นหมอ 555555
(ช่วงนั้นเค้าก็ไม่ซีเรียสกันหรอก เด็กบอกอยากเป็นหมอ บางคนตอนเด็กบอกงั้น โตไปเป็นอย่างอื่นเต็มไปหมด เด็กๆไม่รู้อะไรหรอก) แต่ของพี่คือพี่จริงจังช่วงนั้นแหละ ก่อนอื่นพี่บอกตรงๆก่อนว่าพ่อแม่พี่ก็อยากให้พี่เป็นหมอ เพราะเห็นแววว่าพี่มีผลการเรียนที่ค่อนข้างดี (เหมือนผู้ใหญ่สมัยก่อนทั่วไปแหละ เรียนพอได้หน่อยก็แนะนำให้อยากเป็นหมอต่อ) ความคิดพี่ในตอนนั้นก็ต้องยอมรับว่ามันอาจจะมีส่วนจากพ่อแม่มาส่วนนึงเลย แต่อีกส่วนคือการที่พี่ได้เห็นข่าวตอนนั้นเป็นข่าวอุบัติเหตุนะรู้สึกแล้วเราเห็นหมอบนรถพยาบาล CPR คนไข้แล้วฟื้นแค่นั้นเลยความคิดของเด็กป.4 อ่ะ โคตรเท่ แบบช่วยคนที่เค้าไม่หายใจกลับมาหายใจได้อ่ะ อมก. //ตัดกลับมาตอนนี้คือไม่จำเป็นต้องเป็นหมอม่ะ แค่ CPR เป็น 55555555  อีกแรงบันดาลใจคือตอนโตขึ้นมาอีกนิด ช่วงนั้นจะมีภาพยนตร์เกี่ยวกับหมอที่พี่ว่าถ้าอยากเป็นหมอลองไปดู น้องน่าจะชอบ คือ ‘หมอเจ็บ’ มันทำให้พี่อยากเป็นหมอ ER เพราะพี่คิดว่ามันท้าทาย แถมเป็นหน่วยที่รับช่วงต่อจาก paramedic ที่อยู่บน Ambulance อีก แต่หลักๆเราเริ่มเข้าใจแล้ว ว่าเรา ‘อยากช่วยชีวิตคน’ ตั้งแต่นั้นมาก็มีปณิฐานกับตัวเองตลอดว่าจะเป็นหมอให้ได้ แล้วการเรียนล่ะเป็นยังไง อย่างที่พี่บอกไปข้างต้นพี่มีผลการเรียนกลางๆไม่โดดเด่นวิชาอะไรเป็นพิเศษ เป็นเหมือนเป็ด ที่สนใจไปทุกวิชาแต่ไม่เก่งแบบเชี่ยวชาญซักวิชาจริงๆ (หวังว่าน้องๆคงไม่เป็นแบบพี่กันนะ เพราะมันแย่ง่ะ 5555) จบม.6 ด้วยเกรดเฉลี่ย 3.93 //อย่าไปคิดมากหรืออวยพี่นะ รร.พี่ไม่ได้ตัดเกรดโหดขนาดนั้น (เป็นรร.ชายล้วนค่อนข้างมีชื่อ อยู่แถวๆคลองผดุงกรุงเกษม 555555555)
            การสอบปีการศึกษา 60 การก้าวพลาดที่เป็นบทเรียนครั้งยิ่งใหญ่ นั่นคือพี่สอบไม่ติดในปีนั้น คะแนนปีนั้นคือเฟ้อมากๆ มันหลุดแนวที่ปกติเป็นไปแบบ +3% กสพท.อ่ะ พี่ก็ได้แต่มานั่งโทษตัวเองว่าคะแนนเฟ้อแปลว่าข้อสอบง่ายนิ ทำไมเราได้คะแนนไม่ถึงวะ พี่ตัดสินใจกับตัวเองและบอกพ่อแม่ว่าอยากซิ่วต่อเพราะพี่ยังอยากเป็นหมอ ขณะเดียวกันเพื่อนกลุ่มที่ตอนแรกจะเข้าแพทย์กัน ก็พอแล้ว เอาแอดได้ที่ไหนก็เรียนที่นั่นพอ น้อยมากที่จะตัดสินใจซิ่ว แต่อย่างที่บอกพี่ไม่ได้คิดว่าจะทิ้งความฝันเพราะเพื่อนพี่ไม่ได้ไปตามหรอก ช่วงนั้นทางบ้านก็บอกว่าให้แอดไปก่อน เผื่อเปลี่ยนใจ แถมเป็นปีที่เราควรได้เข้ามหา’ลัยด้วย ลองไปใช้ชีวิตพร้อมกับเพื่อนๆดูไม่เสียหาย พี่ก็เลยตัดสินใจแอดไปแทนที่จะ gap-year อยู่บ้าน แล้วก็ติด เภสัช จุฬาฯ
            การสอบปีการศึกษา 61 ก้าวพลาดครั้งที่สองเจ็บไม่รู้จักจำ พี่สอบไม่ติดอีกแล้ว ครั้งนี่มันน่าผิดหวังกว่าทุกๆครั้งเลย เพราะพี่รู้ตัวว่าพี่ไม่พร้อมจริงๆก่อนเข้าไปสอบ เราติดกับอย่างอื่นมากเกินไป ติดกับการใช้ชีวิตมหา’ลัย ยึดติดกับความลังเลที่ว่า ถ้าสอบไม่ติดอีก เรียนเภสัชก็ได้ พี่เลยประคองการเรียนในเภสัชไปด้วย (ทั้งที่ๆบ้างวิชามันดูดเวลา สำหรับคนจะซิ่วอ่ะ อย่างแคลคูลัสในมหา’ลัยนี่คือคนละอย่างกับม.ปลายเลย แต่ด้วยความชอบและอย่างที่บอกเลยพยายามไว้เยอะ) ผลที่ได้คือคะแนนกสพท.แย่มากๆ แถมต้องมานั่งเครียดด้วยว่าจะเอายังไงต่อจะพอแล้วเรียนเภสัชต่อ หรือจะลุยต่อเพื่อความฝันของเรา สุดท้ายพี่ตัดสินใจลาออก (อันนี้เผื่อน้องไม่รู้นะ คือสถานภาพน้องตอนจะสอบกสพท.อีกรอบน้องจะต้องอยู่เป็นนศ.ปี 1 เท่านั้น จริงๆมันอาจจะมีวิธีอย่างดรอปหรืออะไรอีก แต่พี่เลือกที่จะลาออกด้วยหลายๆเหตุผล) นั่นคือพี่ gap-year อยู่บ้านจริงๆจังๆ และสอบพร้อมกับรุ่นน้องที่เด็กกว่าตัวเอง 2 ปี ในคณะที่เพื่อนตัวเองขึ้นเรียนชั้นปีที่ 2
            การสอบปีการศึกษา 62 ก้าวสุดท้ายสำหรับชีวิตเด็กม.ปลาย และก้าวแรกสู่การเข้าศึกษาคณะที่ตัวเองฝันใฝ่ จนถึงตอนนี้มันยังไม่ประกาศผล แต่คะแนนพี่ในปีนี้ออกมาเป็นที่น่าพอใจ และมีโอกาสสูงที่จะติดแล้ว ขึ้นอยู่กับว่าจะได้ที่มหา’ลัยอะไร และพี่รู้สึกอยากบอกเล่าเส้นทางความฝันในส่วนแรกของพี่ให้รุ่นน้องฟัง เพื่อที่จะได้ไม่ต้องมาเป็นเด็กซิ่วแบบพี่ อยากให้วางแผนดีๆ มีวินัยกับตัวเอง พอกลายเป็นเด็กซิ่วเราจะมีโมเม้นต์ที่ยอมรับตัวเองมากขึ้นว่า เอ่อ ตอนนั้นเราพลาดจริงๆ เราโง่มากเลยนะตอนนั้นอ่ะ แค่เรายอมรับตัวเองมากขึ้น แค่มีวินัยมันก็ทำได้แล้วอ่ะ ทำไมไม่ทำตั้งแต่ตอนนั้น คือพี่ไม่อยากให้น้องมานั่งคิดอย่างนี้ในวันที่มันสายไป จนต้องมาซิ่วอ่ะ คือซิ่วมันก็ไม่ใช่ไม่ดีถ้าน้องได้ทำตามความฝันจริงม่ะ แต่น้องก็จะต้องเสียอะไรไปเยอะเหมือนกัน อย่างพี่ตอนนี้ พี่จะได้เรียนพร้อมกับรุ่นน้องตัวเอง 2 ปี การปรับตัวในสังคมก็จะเปลี่ยนไปหน่อย การที่ได้ขึ้นปี 1 แต่เพื่อนขึ้นปี 3 ในหมายความว่า เพื่อนที่เรียนบางคณะเค้าจะจบแหละนะ แต่เราเพิ่งเรียนปี 1 ‘เวลา’มันมีค่ามากนะ เพราะฉะนั้น ถ้าน้องๆได้อ่านมาถึงตรงนี้แล้วอยากเป็นหมอจริงๆ พี่ขอให้ทำตามคำแนะนำที่พี่บอก หรือน้องที่คิดว่าถึงตอนนี้น่าจะเป็นเด็กซิ่ว ก็ขอสู้ๆ พี่จะเป็นกำลังใจให้เสมอจริงๆ อยากปรึกษาก็ได้เสมอ แล้วซักวันนึงเราอาจจะได้เจอกันในรพ.นะ :)
            คร่าวๆก็ประมาณนี้เนอะ ยาวพอควรเลย แต่จริงๆยังมีดีเทลอีกเยอะแยะ ไว้พิมพ์เป็นอีกกระทู้ ส่วนคะแนนของพี่ก็ตามนี้นะ พี่ขอบอกแค่ปี 60 กับ 62 พอ ปี 61 นี่แย่จริงๆ อาย T^T
กสพท.60 – 21+40.215 = 61.215 (อันนี้มันอาจจะคลาดเคลื่อนตรงเฉพาะแพทย์นะพี่จำจุดไม่ได้)
กสพท.62 – 19.945+49.151 = 69.096
ถึงตรงนี้พี่ไม่ได้จะอวดว่าพี่เก่งอะไรนะ แต่อยากให้น้องเข้าใจว่า
‘คนเราพัฒนาความเก่งความเชี่ยวชาญได้ แค่เริ่มที่จะยอมรับตัวเองก่อน’  สู้ๆ !
.
             จากที่พี่พิมพ์มาให้อ่านนี่ก็ยาวพอควรเลยเนอะ นั่งเขียนเป็นชม.เลย 5555 หวังว่ามันอาจจะช่วยน้องไม่ได้มากก็น้อยนะ แต่พี่จะพยายามแบ่งเวลามาเขียนกระทู้เพิ่มนะ อย่าง แต่ละวิชาควรปรับยังไงดี แนะนำนส.หน่อย สอบอะไรไปบ้างเป็นยังไงแต่ละสนาม เพจหรือแชแนลที่พี่แนะนำในการเรียน สไตล์พี่ ถ้าอยากอ่านกันต่อแสดงความคิดเห็นไว้ใต้กระทู้นี่นะ พี่จะรีบมาตอบหรือรีบทำต่อให้ หรือถ้าอยากปรึกษาส่วนตัวก็ทักผ่าน facebook มาได้นะ แต่ขอให้ทักมาบอกว่าตามมาจากกระทู้เด็กดี พี่อาจจะไม่ได้รับเฟรนด์ มันเป็นเฟสส่วนตัว (กดติดตามเอาแล้วกันนะ) แต่ถ้าว่างจะรีบตอบทุกคนจ้า หากมีการพิมพ์ผิดตกหล่น หรือให้ข้อมูลที่ผิดไปบ้างต้องขอโทษไว้ด้วยนะ ;-;
.
ย้ำเป็นรอบที่ร้อยล้าน ‘สู้นะ !’ แล้วก็ติดตามข่าวสารการสอบดีๆด้วย !
.
Facebook : Teeranai Suchokchaikul พี่ริวจ้า


 

 

แสดงความคิดเห็น

>

9 ความคิดเห็น

≠Яyu. 27 เม.ย. 62 เวลา 01:14 น. 1-1

ตั้งใจเด้ออออ มีอะไรอยากถามเพิ่มเติมทิ้งค้างไว้ในนี้ได้เลยเด้อ

0
_9mind4 27 มิ.ย. 64 เวลา 01:41 น. 1-2

กลับมาอ่านกระทู้พี่ใหม่​ ก็ช่วยจุดไฟจริงๆค่า​ ตอนนี้มอ6แล้วหนักหน่วง​มากก

0
≠Яyu. 7 พ.ค. 62 เวลา 02:20 น. 2-1

รอแพรพน้า พี่จะรีบปั่นให้เลยยยย //จะรีบให้เสร็จก่อนเปิดเทอมน้องๆนะ 55555

0
ggingnsp 6 พ.ค. 62 เวลา 10:51 น. 3

อ่านแล้วรู้สึกมีกำลังใจขึ้นเยอะเลยค่ะ คำแนะนำและความคิดต่างๆของพี่ดีมากเลยยย ไว้จะแนะนำให้คนมาอ่านกันนะค้าบบ มีประโยชน์มากๆ!

1
≠Яyu. 7 พ.ค. 62 เวลา 02:22 น. 3-1

โห้ น้องกัปตันมาเอง lol

//ขอบคุณค้าบบบบบบ :)

0
Rainy_night 6 พ.ค. 62 เวลา 22:31 น. 4

ขอให้พี่ริวเขียนกระทู้ต่อค่ะ ในส่วนการปรับตัวกับวิชาในห้อง พวกฟิสิกส์ เคมี ชีวะ(หนุไม่ถนัดเลยเเต่มาเรียนเเล้วก็ต้องไปให้สุด) เเล้วก็หนังสือที่พี่ใช้อ่านเพิ่มเติมตอนเรียนเเล้วก็สอบย่อยหรือมิดเทอม

หนูเรียนสายวิทย์ค่า เเต่มารู้ว่าไม่ใช่ทางก็สายไปเเล้วเเต่ก็จะพยายามให้ถึงที่สุดเท่าที่จะทำได้ค่ะ

เสียใจ อ่านเเล้วรู้สึกว่าตัวหนูทำพลาดมาก ไม่รู้ว่าเวลาอีกไม่ถึงปีที่หนูต้องสอบเนี่ยจะเข้าคณะที่อยากเข้าได้มั๊ย เเต่เราเองก็ผิดที่คิดว่าเวลายังเหลือ


1
≠Яyu. 7 พ.ค. 62 เวลา 02:24 น. 4-1

ได้งับบบบบ .

แล้วตัวเราเองอยากเข้าสายไหนเอ่ย เล่าให้ฟัง ปรึกษาได้นะ 5555555 หวังว่าที่รู้สึกพลาดเราจะยอมรับได้เร็วๆ แล้วไม่คิดถึงมันอีกถ้าไม่จำเป็นน้า :) สู้ววววว

0
Rainy_night 6 พ.ค. 62 เวลา 22:32 น. 5

ปล.หนูอ่านกระทู้พี่เเล้วรู้สึกมีกำลังเเล้วได้คำเเนะนำดีๆมากมายเลยค่ะ ขอบคุณนะคะ

0
dek64 7 พ.ค. 62 เวลา 15:11 น. 6

อ่านแล้วมีกำลังใจเลยค่ะ ขอบคุณนะคะ หนูอยากเข้าทันตะแต่ไม่รู้จะเริ่มอ่านจากตรงไหนก่อนดี u_u

1
≠Яyu. 8 พ.ค. 62 เวลา 05:14 น. 6-1

ขอบคุณมากค้าบ เป็นไงมั่งงง ตอนนี้ยุม.อะไร วางแผนไปไงแล้วมั่ง


0
FIAS. 8 พ.ค. 62 เวลา 22:55 น. 7

หนูเป็นเด็กม.4นะคะ อันนี้หนูอยากเป็นหมอตั้งแต่ประถมเหมือนกัน เหตุผลเหมือนพี่ริวเลย แต่ตอนนั้นคือ+ดูหนังเรื่องนึ่งแล้วชอบมากนางเป็นผญ.ด้วยเท่มากๆ5555 แต่...

ที่บ้านฐานะไม่ได้ดีนะคะTT ไม่ได้ลงเรียนพิเศษไม่เคยเลยดีกว่า +ตอนนี้ที่บ้านต้องเสียค่าหออีก(มาเรียนตจว.) เลยไม่อยากลงเรียนเพิ่มภาระ

หนูอยากปรึกษาเรื่องนี้มากๆเลย อยากได้ช่องทางการศึกษา+นส.ที่พี่ใช้

.

ปล.ชอบคุณล่วงหน้านะคะ^^

1
≠Яyu. 9 พ.ค. 62 เวลา 02:13 น. 7-1

พวกช่องทางการเรียน กับนส. ตามอ่านใน PART ต่อๆไปน้า ตอนนี้ PART2 มีลงให้แล้ว เดี๋ยวที่เหลือจะตามมาน้าาา //ปรึกษาก็ทั้งแชทมาก้ได้จ้า แล้วก็บอกว่ามาจากกระทู้เด็กดี

0
≠Яyu. 15 พ.ค. 62 เวลา 12:58 น. 8-1

พี่ค่อนข้างปล่อยกับเรื่องนี้อ่ะ เหมือนการ fix ว่าจะอ่านกี่ชม.เลย เพราะถ้าทำไม่ได้มันเฟล อีกอย่างคือพี่คาดหวังในตัวเองสูงมากถ้าจะตั้งเวลา หรือเนื้อหาในการอ่าน (ถึงขั้นเคยตั้งว่าจะอ่านชีวะวันละบท หรืออ่านให้จบหมดเลยใน 2 อาทิตย์)
ถ้าให้พี่แนะนำให้ลองประเมินตัวเองก่อนว่าเรามีสกิลหรือสามารถอ่านเนื้อหาหรือทำโจทย์ได้เยอะขนาดไหน แล้วตั้งเป็นหัวข้อๆ เช่น
วันนี้ จะอ่านชีวะ อ่าน Cell Res ทั้งบทให้จบ
วันต่อมา ก็ทำโจทย์เกี่ยวกับบทนี้ + อ่านวิชาอื่นที่เบาๆ
วันต่อมาอีก ทำสรุป Cell Res + ทำโจทย์หรือทวนอีกวิชาที่บอกไป
อันนี้เป็นตัวอย่างนะ มันแล้วแต่คนจริงๆ แต่ที่สำคัญคือหาจุดพอดีของตัวเองให้ได้ อย่าเยอะไปมันเครียด แล้วก็อย่าน้อยไป มันไม่ค่อยได้ประโยชน์ แล้วก็อย่าติดแง่กกับแค่วิชาใดวิชาหนึ่ง ทำเป็นบทแล้วสลับวิชาไปเรื่อยๆอาจจะดีกว่า ในบางวิชา อันนี้ก็ลองปรับใช้ดู ยังมีเวลา :)
.
ส่วนอีกเรื่องคือแบ่งเวลา ถ้าจะม.6 มันก็จะพักได้น้อยลงถ้าน้องจะฟิตจริงๆ แต่อย่าให้มันตึงไปหาอะไร เป็นรางวัลให้ตัวเองบ้าง มีวันพักนิดๆหน่อยๆได้

0
สู้ไม่ถอย 29 ต.ค. 62 เวลา 01:11 น. 9

ดีครับพี่ มีทวิต หรือ ไลน์ มั้ยครับ พอดีอยากปรึกษาหน่อยอะครับ ตอนนี้เรียนบัญชี จุฬา อยากซิ่วหมออะ ครับ

0