Dek-D.com ใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสบการณ์ของ
ผู้ใช้ให้ดียิ่งขึ้น เรียนรู้เพิ่มเติมที่นี่
ยอมรับ

แพทย์จุฬาเรียนอะไร : [รีวิว] วิชา “แพทย์กับสังคม” (Dr/Soc) ในตำนาน

ตั้งกระทู้ใหม่
ตั้งกระทู้ใหม่
สวัสดีค่า พี่ชื่อ เป้ น้า มาจาก studygram ในไอจีชื่อ pae.kanawako เป็นไอจีที่เอาไว้แชร์เรื่องราวตอนเรียนอยู่ในคณะแพทย์จุฬาว่าวันๆเจอกับอะไรมาบ้างค่ะ 5555555

ตอนแรกก็กะจะโพสแค่ในไอจีตามปกติค่ะ แต่ว่าโพสยาวมาก ในไอจีตัวอักษรเกิน เลยต้องเอาฉบับเต็มมาโพสในนี้ด้วย ไม่อยากตัดทิ้ง เสียดายง่ะ

จะมาเล่าเกี่ยวกับวิชาแพทย์กับสังคม วิชาในตำนานที่ได้เรียนแค่ในคณะแพทย์จุฬา ให้ฟังกันจ้า (เป็นวิชาที่ดีนะ (สำหรับเรา)) 5555

(จริงๆพิมพ์ไว้เผื่อตัวเองในอนาคตมาอ่านรำลึกความหลังด้วย)

วิชาแพทย์กับสังคม (Doctor and Society) หรือที่เด็กแพทย์จุฬาเรียกกันว่า  Dr Soc (ด๊อกซอค) คือตอนเข้ามาแรกๆ ไม่รู้จักวิชานี้เลย ไม่รู้ว่าเรียนอะไร ต้องเจอกับอะไรบ้าง รู้แค่รุ่นพี่เล่ามาว่าเป็นวิชาในตำนาน (ที่ยังมีอยู่ในปัจจุบัน) ของอาจารย์คนหนึ่ง 555555555 เสียงเล่าลือของรุ่นพี่เกี่ยวกับวิชานี้คือน่ากลัวมาก (ก็แหงสิ ทั้งคณะมีได้เออยู่ไม่ถึง 20 คน จากสามร้อยกว่าคน)

อาจารย์บอกว่า คณะแพทย์ส่วนใหญ่จะให้ปี 1 เรียนวิทยาศาสตร์พื้นฐาน แล้วปี 2 ค่อยลงลึกเกี่ยวกับวิชาแพทย์ ทำให้คนที่ไม่ได้อยากเป็นหมอจริงๆเพิ่งรู้ตัวว่าไม่ไหวกับอาชีพหมอตอนปี 2 ซึ่งมันก็เสียเวลาเรียนไปตั้ง 1 ปีแล้ว ก็เลยมีวิชานี้ที่ช่วยมาตอกย้ำชีวิตหมอตั้งแต่ปี 1 เทอม 1 เลยว่าต้องเจอกับอะไรบ้าง ถ้ารู้ตัวเร็วว่าไม่ใช่ทางจริงๆจะได้รีบซิ่วออกไปทัน ไม่ต้องเสียเวลาเรียนไปตั้งเป็นปี ก็ถือว่าดีนะ แต่อาจารย์พูดแบบนี้ก็แอบดูน่ากลัว ชีวิตชั้นหลังจากนี้ต้องเจอกับอะไรบ้างเนี่ยยยย

เล่าคร่าวๆแล้วกันเนอะ ไม่งั้นมันจะเยอะเกินไป

คือ อาชีพหมอเนี่ย เป็นอาชีพที่ได้รับความคาดหวังจากสังคม และหมอก็ต้องมีความรับผิดชอบต่อสังคม ดังนั้นเราควรรู้จักความเป็นหมอให้มากขึ้น ไม่ใช่แค่ในทางวิชาการ แต่เป็นในทางจิตวิญญาณด้วย (ดูยิ่งใหญ่)

เอาเป็นว่า วิชานี้สอนครอบคลุมเกี่ยวกับชีวิตความเป็นหมอ(จุฬา)มากๆ เรียนตั้งแต่หลักสูตรคณะ ว่ามีเกณฑ์อะไรบ้าง ชีวิต 6 ปีต้องเรียนต้องเจออะไรบ้าง (ขอบอกว่าปีหลังๆวันปิดเทอมสั้นมาก ฮือๆ) และสิ่งที่คณะคาดหวังจากตัวนิสิตแพทย์เมื่อจบออกไปเป็น Outcome ต่างๆ จำนวน 12 outcome ถ้าจบไปเป็นหมอแล้ว ควรที่จะมีคุณสมบัติครบทั้ง 12 ข้อ คร่าวๆก็ มีงานเป็นหมอ มีความคิดเป็นหมอ และมีใจเป็นหมอ (Hand Head Heart) อู้วหูว ดูดี 55555


อาจารย์สอนวิธีการเรียนหมอที่ดี แบบว่า ควรจดบันทึกแบบ Cornell Note (555555555) ว่ามันเป็นวิธีการจดที่ดี และง่ายต่อการนำมาทวน ใครสนใจก็ลองไปเสิชวิธีจดแบนี้ดูได้ เรื่องนี้แล้วแต่คนถนัดจะจดแบบไหน แต่เราก็จะคอร์เนลแค่วิชานี้แหละ วิชาอื่นก็จดปกติ แง กราบขออภัยอาจารย์ค่ะ

อีกเรื่องที่สำคัญก็เรื่อง Critical Thinking คือก่อนที่จะเชื่ออะไรควรตั้งคำถามก่อน อย่าเพิ่งเชื่อในทันที เรื่องนี้อาจารย์เน้นย้ำบ่อยมากๆๆๆ เพราะสำคัญจริงๆในการเชื่อข้อมูลต่างๆ เพราะสมัยนี้มีข้อมูลไหลมาไวมาก ถ้าหมอแชร์อะไรไม่คิดมันก็ไม่ดีจริงมะ (จริงๆก็ทุกคนไม่ควรแชร์อะไรโดยไม่คิดแหละ แต่หมอจะมีพาวเวอร์มากกว่าในการทำให้คนเชื่อตาม ประมาณนั้น)

แต่เรื่องที่เราชอบจริงๆๆเลยก็คือ อาจารย์สอนวิธีเสิร์ชหาข้อมูล (ทางการแพทย์) ที่ถูกต้องและน่าเชื่อถือ แล้วก้ได้มีมอบหมายงานให้ไปทำคือ ทำรายงานสรุปงานวิจัยทางการแพทย์มา กว่าเราจะทำเสร็จคือใช้เวลานามากๆ ต้องไปเปิด text เปิดงานวิจัยที่เป็นภาษาอังกฤษเยอะมากๆมานั่งอ่านนั่งทำความเข้าใจ แล้วสรุปมาเป็นภาษาของตัวเองให้ได้ งานนั้นก็คือได้สกิลอ่านงานวิจัยภาษาอังกฤษมาเยอะเลย เว็บงานวิจัยหลักๆที่เราใช้เลยก็คือ เว็บ PubMed มีงานวิจัยเยอะมากๆๆๆ นั่งอ่านงานวิจัยวนไปจนแทบไม่ได้อ่านหนังสือสอบ เป็นงานที่ตอนทำ suffer มาก แต่พอผ่านไปแล้วก็รู้สึกสนุกดี และถ้าให้เลือกได้ก็อยากให้น้องๆรุ่นต่อไปได้ทำอีก (น้องจะด่าเรามั้ย 5555)


สอบกลางภาคของวิชานี้ อาจารย์เชิญคนไข้จริง มาให้เราสัมภาษณ์ด้วย ก็ต้องเตรียมไปก่อนว่าจะถามอะไร แล้วก็จด ไปตอบในข้อสอบ! เกี่ยวกับประเด็นต่างๆของผู้ป่วย ก็ได้รู้อะไรหลายๆอย่างดี แต่ก็ยังไม่ค่อยรู้สึกใกล้เคียงความเป็นหมอเท่าไหร่ เพราะเราไม่ได้สัมเพื่อวินิจฉัย อันนี้ออกแนวนั่งคุยกันถามประวัติต่างๆมากกว่า ‍

บางคาบก็มีอาจารย์แพทย์มาพูดให้กำลังใจ ปลุกใจ ไม่ก็ให้ปลงใจเกี่ยวกับอาชีพหมอ 5555555 ไม่ได้บังคับเข้าฟัง แต่เราก็ไปฟังนะ อยากรู้ มีคาบนึงที่อาจารย์เปิดคลิปอาจารย์หมอศิริราชให้ดู ร้องไห้กันไปครึ่งห้องทั้งผู้หญิงผู้ชาย ซึ้งง่ะ

อีกอย่างที่ประทับใจคือ ที่คณะมีสิ่งที่เรียกว่า MDCU Let’s Talk เป็นเหมือนที่ปรึกษาปัญหาชีวิต ก็คณะแพทย์เรียนหนักอะเนอะ อาจจะทำให้เครียด กดดันจนอาจเสี่ยงเป็นซึมเศร้าได้ (ขนาดปี 1 เทอม 1 ที่พี่ๆบอกว่าเบาที่สุดเราก็ suffer มากๆแล้ว 555) คณะเลยจัดหน่วยงานที่ช่วยให้คำปรึกษานิสิตแพทย์ในส่วนนี้ขึ้นมา แล้วก็สอนวิธีสังเกตและดูแลทั้งตัวเราและเพื่อนที่อาจเป็นซึมเศร้าด้วย ถือว่าคณะให้ความสำคัญกับนิสิตแพทย์มากๆเลยแหละ

นอกนั้นคาบต่างๆก็เป็นการสอนเกี่ยวกับการเป็นหมอ เช่น เส้นทางชีวิตแพทย์ จบปี6 แล้วไปไหน ต่อเฉพาะทางแต่ละสาขามีเกณฑ์อะไรบ้าง ไรงี้ พอเรียนแล้วก็รู้สึกว่าหนทางของเรามันยังอีกยาวไกลมากๆเลย

ดูเหมือนเรียนไปเรื่อยๆ แต่จุดพีคคือตอนนสอบปลายภาค ออกทุกอย่างที่เรียน!! ซึ่งมันก็เยอะมาก แค่เล่มหลักสูตรคณะแพทย์จุฬาก็ปาไปสองร้อยกว่าหน้าละอ่ะ 5555 แต่ดี(?)ที่อาจารย์ให้จดอะไรก็ได้เข้าไปในห้องสอบได้ไม่เกิน 5 แผ่น A4 เขียนหน้าหลังได้ แต่มีข้อแม้ว่ากระดาษที่เราเขียนเข้าไปนั้น อาจารย์จะเก็บไว้ ไม่คืนให้เรา นี่เลยใช้เวลา 1 วันก่อนสอบนั่งเปิด slide ที่อาจารย์สอนแล้วนั่งลอกวนไป ลอกกันมือหงิก นั่งเขียนหลักสูตรคณะเยอะมากๆ เขียนจนแทบจะวินาทีสุดท้ายก่อนจะเดินทางไปสอบ 555555 สุดท้ายข้อสอบออกมาบางอันก็ไม่ตรงที่เก็ง แต่ก็ยังดีกว่าไม่จดเข้าไปอะนะ จุดประสงค์ของอาจารย์คงอยากให้พวกเราได้ทวนเรื่องที่เรียนไปทั้งหมดอะแหละ เพราะ อ คงรู้ว่าในห้องเรียนไม่ค่อยตั้งใจเรียนกัน 55555



จริงๆมีเยอะกว่านี้อีก แต่ขอไม่ลงรายละเอียดแล้วกัน เดี๋ยวมันจะเยอะเกินไป สรุปคือ เราว่าวิชานี้เป็นวิชาที่น่าสนใจมากๆเลย ถ้าอยากรู้เพิ่มเติมว่าวิชา แพทย์กับสังคม เป็นยังไง ก็เข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของแพทย์จุฬา (และแพทย์จุฬา ทอ) (และแพทย์จุฬาทุกโครงการ) กันน้า เย่


สุดท้ายนี้ ฝาก studygram ของเราด้วยจ้า ig : pae.kanawako https://instagram.com/pae.kanawako?igshid=udokkvpbaje1  ช่วงนี้มหาลัยปิดเทอมเลยว่างมาเขียนอะไรยาวๆ เดี๋ยวคราวหน้าจะมาเขียน แพทย์จุฬาเรียนอะไร อีกรอบ ในหัวข้อ รีวิว ปี 1 เทอม 1 น้า ขอบคุณที่น้องๆที่ให้ความสนใจเข้ามาอ่านจ้า ️

สุดท้าย (จริงๆ) เราเคยตั้งกระทู้เล่าเกี่ยวกับการติดหมอโดยไม่เรียนพิเศษไว้ด้วยจ้า ไปอ่านกันได้ มี 4 กระทู้ สู้ๆน้าว่าที่น้องๆหมอทุกคนนน ><
https://www.dek-d.com/board/view/3924757/

 

แสดงความคิดเห็น