Dek-D.com ใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสบการณ์ของ
ผู้ใช้ให้ดียิ่งขึ้น เรียนรู้เพิ่มเติมที่นี่
ยอมรับ

รีวิวติวเอง สอบ ielts 8 รอบเดียว academic

ตั้งกระทู้ใหม่
ตั้งกระทู้ใหม่

disclaimer: เราเรียนภาคอีพีตั้งแต่ม ต้น นะค้าบ(ตอนนี้ ม 5 dek67) คือมีพื้นฐานระดับนึง+writing เรามีคนตรวจที่โรงเรียน คำแนะนำนี้อาจไม่ work ถ้าฐานต่ำมากๆ อ่านแบบใช้วิจารณญานเนาะ
.
วันนี้จะมารีวิวการสอบ ielts กัน ถือว่าจะได้เป็นประโยชน์แก่คนที่มาสอบต่อจากเรา (คือไม่ได้บนไว้ แต่คิดไว้ในใจว่าจะมาทำ555555)

เราได้ ><
listening: 9
reading: 9
writing: 7 (ลงมาตามระเบียบ5555)
speaking: 7.5
-paper based, academic (British council)
เลือกกระดาษด้วยสาเหตุเดียว ชอบวงชอบขีด555 paper ชนะขาดจ้าไม่กล้าทำคอม เพราะวาดสัญลักษณ์ลายแทงไม่ได้55

เตรียมนานไหม
เราเตรียมสอบนานนะ แต่ไม่เคยเตรียมจริงจัง5555 ครั้งแรกที่เราเอามาทำ (reading, listening, writing) ก็คือขึ้น ม3 แล้วก็ทำมาเรื่อยๆ แต่พอขึ้น ม4 ยุ่งๆ ไม่ได้ทำจ้า555555 แล้วก็กลับมาเตรียมแบบซีเรียสหน่อยตอนจะจบ ม4 เพราะกะจะสอบก่อนขึ้น ม5 ถ้าคะแนนไม่ถึงก็จะได้มีเวลาอ่านเพิ่มอ่ะ

หนังสือ?
เอาจริง เราซื้อ kaplan, barrons มา เอาโจทย์ทำเฉยๆ เล่ม official ไม่เคยซื้อเพราะไปร้านแล้วหมดตลอด(ไม่ได้ไปบ่อยแหละ คงไม่ได้หายากขนาดนั้น) ขก สั่งด้วย555
สต เราไม่ค่อยได้ใช้เคล็ดลับจากในหนังสือเลย ฟังคนในยูทูปพูดเอา ดังนั้นเราว่าเล่มไหนก็ใช้ได้อ่ะ มันไม่ได้ขึ้นอยู่กับหนังสือ มันขึ้นอยู่กับว่าเราทำโจทย์เยอะไหม
https://ieltsonlinetests.com/ คนรู้จักแนะนำ โจทย์เยอะ
อ้อ แล้วก็ควรลองทำโจทย์ official บน website british council นะ ตรงสุด แค่เค้าไม่ได้มีให้ลองเยอะ เก็บไว้ทำใกล้สอบก็จะดี

มาเริ่มกันเล้ย จะแนะนำเตรียมแต่ละพาร์ท+บอกเคล็ดลับที่เราใช้ทำนะฮะ

listening
-เตรียม
ส่วนตัวที่ work สุดเลยนะ ฟังยูทูป ฟังจริงๆ ฟังเข้าไป ฟังจนติด เอาให้ชินเหมือนฟังภาษาไทยอ่ะ555 ตอนเราขึ้น ม4 ก็คือเลิกดูยูทูปไทยไปเลย5555 ฟังแต่ของฝรั่ง สตชอบฟังรีวิวหนัง+รีวิวหนังสือ+social commentary(ติเรื่องต่างๆ ในสังคมฝรั่ง ศัพท์จะยากกว่านิดส์ แต่ฟังๆ ไปจะชิน) แนะนำว่าให้ดูคลิปคล้ายๆ กับที่ดูตอนเป็นภาษาไทย เราจะได้ไม่เบื่อ enjoy ตั่งต่าง นี่คือสมัยก่อนก็นั่งฟังข่าว+ted talk นะ แต่ฟังๆ ไป พอไม่ชอบ มันก็ไม่ค่อยอยากฟังอ่ะ ทำแล้วเราเบื่อ สุดท้ายก็ไม่ตั้งใจฟัง ซึ่งไม่มีประโยชน์นะ แนะนำว่า พวกเนี้ยก็ต้องดู แต่ source การฟังไม่ควรมาจากตรงน้ีเป็นส่วนใหญ่ หาอย่างอื่นฟังด้วย!
ช่อง ควรดู accent ไหน: ถ้าถามเรา แนะนำ British+australia+us สามอันนี้ เยอะสุดในพาร์ท listening (บริชทิชยิ่งเยอะสุด ถ้าสอบกับ British council ตามชื่อเลยทุกท่าน คนออกอยู่ uk เนอะ) ยิ่ง British คนไทยไม่ชิน คนไทยดูหนังเมกาเยอะ55 เพื่อนเราหลายคนเรียนอีพีมาตั้งนานยังฟังไม่ชินเลย แต่ถ้าจะสอบ ielts ควรพยายามให้ชินกับสำเนียงนี้อ่ะ จะมีประโยชน์
ดูหนังฟังเพลงก็ช่วย ดูหนัง ถ้าเริ่มถูไถแล้ว ห้ามเปิดซับ หักดิบตัวเอง ดูไปซักพักเราจะชิน ส่วนเพลง ฟังฝึกจับคำ(สต รู้สึกว่าค่อนข้างยากนะ ฟังเพลงให้ออก 100% ฟังไอเอลพูดเคลียร์กว่าเยอะ)
แล้วก็ทำข้อสอบเลย ทำซ้ำๆ วนๆ ข้อแบบไหนเราผิด ทำไปซักพักจะเริ่มจับทางผิดได้555
-ทริคตอนทำ
เค้าให้เริ่มปุ้บ ต้องกวาดตา ดูให้หมด ดูให้ครบทุกข้อที่เค้ากำลังจะพูด ถ้าใครเคยทำจะรู้เค้าจะพูดแบบ you will hear the first part of the conversation. you'll have to answer question 1-6 ได้ยินงิปุ้บพยามกวาดตาดูให้ถึงข้อ 6 (ไม่ต้องดูเกินนะเฮ้ย) ถ้าดูครบแล้วรีบกลับมาข้อแรก แล้วเริ่มดูว่าเค้าจะเอาข้อมูลอะไร สมมติ เค้าอยากได้เบอร์ เราก็อาจจะโน้ตไว้ว่า ตรงนี้ต้องฟังฟาเบอร์ เป็นต้น เดาว่าเค้าอยากได้อะไร ถ้า part 1,2 จะค่อนข้างเดาทางได้ว่ามันจะเป็นอะไรเนาะ (ไปศึกษาเอาเองนะ55) พาร์ท 3,4 จะลำบากกว่าหน่อย โดยเฉพาะ 4 เค้าจะชอบพูดรอบเดียว 31-40 ไม่มีเบรค ต้องฝึกดีๆ รีบๆ กวาดตาให้ครบถึง 40 ถ้าไหว
ถ้าหลุดอ่ะ ห้ามลน ต้องอ่านต่อ ถ้าจบพาร์ทไหนแล้ว ห้ามหยุดรอเดา ต้องไปพาร์ทต่อไปทันที มาเดาตอนจบ 10 นาทีสุดท้ายดีกว่า ไม่งั้นพาร์ทถัดไปพังจะเสียหายหนักกว่านะ ถ้าไม่รู้ว่าเราหลุดไหม แต่ฟังมาแปบนึงแล้วยังไม่เจอคำตอบ ลองมองๆ ข้อถัดๆ ไปด้วย ถ้าพูดตรงนั้นอยู่ก็รีบตอบซะ เราหลุดไปแล้ว อย่าคิดมาก อยากกังวลค่อยมากังวลตอนรอผล ในห้องสอบห้ามลนตั้งแต่ listening


reading (อันนี้แอบภูมิใจมากที่เต็ม555 ถึงจะมั่นใจกว่า listening อยู่แล้วก็ตาม)
-เตรียม
อ่านนิยายจ้าา 55555 เอาจริงนี่สายติดนิยายมาแต่ไหนแต่ไร ติดในภาษาไทย ก็ย้ายไปอ่านนิยายอิ้งตอนขึ้นม 3 เหมือนกัน อ่านแล้วมันช่วยจริงๆ นะ อย่าดูถูกว่ามันไม่ใช่บทความ academic แล้วจะไม่ช่วย นี่อ่านเร็วเพราะนั่งอ่านนิยายอิ้ง อีกอย่างคือ พอเราอ่านหลายๆ เล่มอ่ะ มาอ่านบทความสองหน้า เราจะไม่กลัวแล้วเออ คือมันจะดูน้อยพอเราเทียบกัน555 แนะนำว่าต้องอ่านหนังสืออิ้งบ้าง นอกห้องเรียนอ่ะนะ แล้วไม่ต้องกลัวนะ เล่มแรกๆ อ่ะ อ่านช้า อ่านไม่เก็ท อ่านแล้วงง ไม่แปลก! ปกติมาก เราก็เป็น เราแค่ห้ามท้อ ต้องอ่านๆ ไปเรื่อยๆ ไม่ต้องรู้ทุกคำ เปิดเป็นบางคำก็พอ ฝึกเดา(เพราะสอบ ielts ก็ต้องเดาตาม context ให้เป็น นี่ก็ไม่รู้ทุกคำนะตอนสอบ) และต้องฝึกเปิดหา dic ที่แปลเป็นอิ้งด้วย อย่าง
https://www.oxfordlearnersdictionaries.com/ อันนี้ฟรี ดีมั่กๆๆๆ ถ้าฝึกเปิดดิกอิ้งได้ สกิลเราจะดีขึ้นแบบที่ เปิดกูเกิ้ลทรานสเลทพาเราไปไม่ถึงอ่ะ
ถ้าอ่านนิยายในภาษาไทยอยู่แล้วยิ่งง่ายเลย ไปหาอ่านคล้ายๆ กัน สมมติอ่าน y ก็ไปหานิยายวายอิ้งเลยครับท่าน มีเยอะนะ มีเยอะหลายอย่างมาก หา lgbtq+ fictions จะเจอ
ถ้าเล่มที่เราแนะนำก็มี percy jackson, shadow and bone(ขาย มีซีรีส์ในเนตฟลิกด้วย ดีงามมาก), catcher in the rye(เรายังอ่านไม่จบ เพิ่งเริ่ม แต่ศัพย์เราว่าไม่ยากเกิน แถมมันค่อนข้างสั้นนะ), coraline(เล่มนี้สั้นกว่าอีก นิยายเด็ก ไม่ยาก) ประมาณนี้
*ห้ามอ่านตาม wattpat นะ แกรมม่าเละเทะเดี๋ยวจำผิด, comment youtube ก็อ่านได้ แต่ไม่ต้องไปอ่านเยอะ แกรมม่าคนบนเนตก็มั่วๆ เหมือนกัน เดี๋ยวสับสน แนะนำให้ยืนหนังสือใน libby ร่วมกับ tk park หนังสือยืมฟรี ได้ 14 วันอาจจะสั้นหน่อย แต่ถ้าเล่มที่ไม่ดัง หมดเวลาอ่านไม่จบ เราก็ยืมต่อได้อยู่นะ หนังสือ 3000+
https://www.tkpark.or.th/tha/page/libby (เค้าไม่ได้จ้างมาโฆษณา ของเค้าดีจริง สำหรับคนงบประหยัด)
apple books อย่าเพิ่งอ่านเป็นเล่มแรกๆ เพราะพวกนั้นเป็นนิยาย classics (เขียนมากกว่าห้าสิบปีที่แล้ว หมดลิขสิทธ์ถึงมีให้อ่านฟรี) ภาษาเก่า ยากกว่า คือเล่มง่ายก็มีบ้าง แต่โดยรวม มันยากกว่า ถ้านิยายปัจจุบันยัง งงๆ ห้ามอ่านพวกนี้ บางทีแกรมม่าโบราณที่เค้าไม่ใช้แล้ว ศัพท์ที่ไม่ใช้แล้วก็มี ฟีลแบบ อ่านหนังสือไทยสมัยร5 อ่ะ คืออ่านพวกนี้ภาษายาก อย่าหาทำ
**อ่านนิยายอ่ะคือเก็บเป็นแต้มบุญ ไปอ่านสองสัปดาห์ก่อนสอบจะไม่ช่วยนะ แต่ถ้ามีเวลา สมมติ สักปีนึงอ่ะ มันอ่านทัน เอาเวลาไถไอจีมาอ่าน มันรวมๆ ได้อ่านได้เยอะอยู่
นอกจากนี้ก็คือทำ practice test เหมือนเดิม ทำแล้วเราจะเริ่มจับทางคำถามได้อ่ะ
ในส่วนท่องศัพท์ อันนี้ก็คือแนะว่าควรทอย่างยิ่ง ถ้าศัพท์เราไม่ดี และต้องฝึกตัวเอง จำความหมายเป็นภาษาอังกฤษ สมมติ blue= ฝึกจำเป็นสีไป อย่าจำว่ามันแปลว่าอะไรในภาษาไทย ตอนแรกไม่ชินหรอก หลุดบ้างก็โอเค แต่อย่างน้อยต้องลองดูก่อนนะ!
ส่วนตัว เราไม่มีเล่มไหนที่อ่านศัพท์ ศัพท์ที่เราท่องก็จากบทความ ielts เลย จำพวก topics แบบ economics, environment(ielts's favourite), education system, policies et ceter(เผื่อใครไม่รู้ etc=et cetera รู้ไว้จะมีประโยชน์)
-ทริคตอนทำ
สำคัญสุดที่บางคนไม่ทำ คือ อ่านคำถามก่อนอ่านบทความ พูดจริง อันนี้คือมันช่วยเราเยอะมากกกกก เพราะไปเสียเวลาอ่านรอบแรก โดยที่ไม่รู้เราหาอะไร มันไม่คุ้ม อ่านออกร้อยเปอร์ก็จำดีเทลไม่หมดอยู่ดี (ยกเว้นอัจฉริยะจริงๆ เทพที่อ่านรอบเดียวจำได้หมด ซึ่งคนส่วนใหญ่ รวมทั้งเรา ไม่ใช่) เราต้องอ่านคำถามก่อน วง keywords, names, dates, ชื่อเฉพาะที่เค้า capitalise ต้องวงไว้ จำ แล้วไปอ่านบทความ หาคำพวกนี้ไปด้วย หรือคำที่ความหมายคล้ายๆ กัน(ielts ชอบเล่น synonym มากๆ) แล้ววง แล้วจะเจอคำตอบเร็ว พอเจอคำตอบ เขียนเลขข้อไว้ในกระดาษ เอาแบบให้ตัวเองเห็นแน่ๆ อ่ะ เผื่อกลับมาทวนจะเร็ว เช็คง่าย อีกอย่างคือ ต้องรู้ว่าคำถามในพาร์ทเดียวกัน จะมาเรียงกัน
สมมติ ข้อ 2, 4 อยู่ใน paragraph B ข้อ 3 ก็ต้องอยู่ใน paragraph B ระหว่าง 2 กับ 4 ถ้าไม่เห็นก็จงอ่านอีกรอบ มันต้องอยู่ตรงนั้นแหละ แต่ถ้ามันเป็นคนละพาร์ท บทความเดิม ไม่ต้องเรียงกันนะ ถ้า 6 กับ 7 เป็นคนละพาร์ท 7 มาก่อน 6 เป็นไปได้ได้
ถ้าข้อไหนติด ข้มไปก่อน หาข้อต่อจากมัน แล้วถ้าเราได้ข้อต่อไปแล้ว เราจะรู้ว่าข้อก่อนหน้ามันต้องอยู่ก่อน ค่อยกลับไปหาตอนนั้น แต่ถ้าติดแบบติดจริงๆ ตัน ไม่ไหว ข้ามเลย อย่าเครียด เราวันจริงก็มีข้อในบทความ 2 ที่ตอนแรกหาไม่เจอแล้วข้ามไปอ่านจนจบบทความ 3 แล้วค่อยกลับมาทำ
**แล้วก็ห้ามลืมเผื่อเวลาเขียนลงกระดาษคำตอบนะ**

writing
-เตรียม
อันนี้เราก็ฝึกเขียนอ่ะ เอาจริง วิธีฝึกก็วิธีเดียว แนะนำว่าควรมี structure ในหัวไว้แล้ว จะเขียนยังไง ส่วนวิธีแบ่งเวลา อันนี้แล้วแต่สะดวก แต่ต้องรู้ว่า task 2 คะแนนมันคือ สองเท่าของ task 1 ถ้าจะเขียนอันไหนห่วย ให้ห่วยอันแรก อันที่สองคะแนนจะได้ดึงขึ้น
เราดูคลิปนี้ไป มีประโยชน์อยู่
https://www.youtube.com/watch?v=TCHbYjFw8Ic เค้ามีทำอยู่อีกสองสามคลิปที่เป็น writing สตว่ามีประโยชน์ ช่องนี้เอาจริงคือเค้าเน้นติว speaking ดีเหมือนกัน
นอกจากนี้ ลองอ่าน model essays เยอะๆ ตามหนังสือที่ซื้อ หรือหาออนไลน์ มีประโยชน์ ดูว่าเค้าเขียนยังไง ลอก structure เค้า จะดีที่สุด
writing อ่ะ เราว่าอาจจะแนะนำให้หาคนตรวจ ถ้าไม่ติวเตอร์ ลองขออาจารย์ที่โรงเรียนให้เขาตรวจบ้าง ไม่ต้องให้เขาออก band ให้หรอก ที่ให้ตรวจคือ ให้เขาดูว่าเราแกรมม่าโอเคไหม ใช้คำ วลีถูกไหม อ่านแล้วรู้เรื่องไหม ประมาณนั้นมากกว่านะะ อย่าเน้นว่าเค้าต้องเป็นเหมือน examiner ให้เรา ถ้าจะเรียนติวเตอร์ เราว่าพาร์ทนี้ก็สมเหตุสมผลที่จะเรียนอ่ะ555 ถึงสตไม่ได้เรียน
อีกอย่างที่ให้ลองทำ ต้องเอา band descriptors มาอ่าน เดี๋ยวจะหาลิ้งให้เข้าไปโหลดนะ มันคือวิธีที่กรรมการให้คะแนนเรา ถ้าเข้าใจเค้า จะทำให้เราตอบดีขึ้น ตอบตรง ว่าเค้ากำลังมองหาอะไร (คือกรรมการเค้ามี descriptors ที่ยาวกว่านี้ตอนเค้าให้คะแนน แต่เค้าไม่แจกเนาะ อันนี้คือทั้งหมดที่เค้าให้เราอ่าน)
https://takeielts.britishcouncil.org/sites/default/files/ielts_task_1_writing_band_descriptors.pdf
https://takeielts.britishcouncil.org/sites/default/files/ielts_task_2_writing_band_descriptors.pdf
-ทริคตอนทำ
structure สำคัญมาก หาอันที่เราถนัด ฝึกจนชิน ต้องจำได้ จะกี่ paragraph จะเริ่ม intro ยังไง พวก structure ก็หาตามเนตมีเยอะ หรือจะลอกจาก model essays ก็ย่อมได้
ตอบต้องครบ ถ้าตอบไม่ครบคำถาม คะแนนร่วงเป็น band เลยนะ จาก 7 คือลงได้ถึง 6 นะ
คิดก่อนเขียน ห้ามเขียนก่อนคิด โดยเฉพาะ task2 เราต้องคิดก่อน paragraph ไหน พูดถึงอะไร ยกตัวอย่างอะไรดี เปิดยังไง ถ้าไม่คิดก่อน พังแน่
อ่านโจทย์ task 2 ก่อน เขียนไอเดียที่ขึ้นมาบนหัวแบบเร็วๆ ไม่คิดมาก ไม่ต้องไอเดียครบ แค่เริ่มคิด แล้วกลับไปทำ task1 ระหว่างเราทำสมองมันจะคิดไปใน background อยู่เอง
task 1 ห้ามใส่ความคิดเห็น ห้ามใส่ความรู้ที่เค้าไม่ให้มา ใส่ปุ๊บหักปั๊บ เค้าจะเอาแค่ที่มีอยู่ในข้อสอบ ถึงเราเป็น expert เรื่องนั้นก็คือห้ามโชว์
เวลาเขียน พยายามเขียนทีละเรื่อง อย่ากลับไปกลับมา กรรมการจะงง แล้วเค้าจะให้คะแนนเราต่ำ ห้ามหลุดออกนอกเรื่องด้วย
จะประมาณนี้ เราเองก็ไม่ได้ถนัดขนาดนั้น 5555

speaking
-เตรียม
เอาจริงนะ พูดเยอะๆ กับตัวเองนี่แหละ 55555 เราเป็นคนขี้บ่นในระดับนึง ก็คือบ่นให้ตัวเองฟังเป็นภาษาอังกฤษ บ่นจนพูดเก่งขึ้น น่อววว 55555 รวมทั้งเวลาฟังคลิปอ่ะ บางทีลองพูดตามเค้าก็ได้นะ เรียนเหมือนเด็กเรียนภาษาแรก มันได้ผล แต่ทำตอนอยู่บ้านนะ ทำในที่สาธรณะเดี๋ยวโดนหาว่าบ้า5555
ต้องลองฝึกอย่างงี้ คือค่อยๆ พูด ฝึกคิดคำพูดเป็นภาษาอังกฤษ อัพสกิลตัวเอง
ถ้าช่วงใกล้สอบ ต้อง search "ielts speaking exam band 8/9" แนะนำให้เน้นดูคนได้แปด ได้เก้า คืออาจจะท้อบ้าง แต่เค้าพูดดี ไม่ค่อยผิด เราจะฝึกตามได้ ถ้าคนที่ band ต่ำกว่า บางทีพูดผิเดเยอะ เดี๋ยวจำผิดซวยอีกนะ แต่ดูแล้วจะเห็นว่าสำเนียงไม่ต้องเปะ พูดถูก คล่อง มั่นใจก็ได้เหมือนกัน อย่าฟังเค้าพูดอย่างเดียว เวลาที่ examiner ถามในคลิป ต้อง pause แล้วฝึกตอบเอง แล้วกด play ฟังคนในคลิปตอบ ลองลอกคำตอบเค้าก็ได้ ฝึกแต่งเรื่องให้ชิน(วันจริงเค้าไม่สนว่าจริงไหม) ทำอย่างเงี้ยไปเรื่อยๆ ทำสักห้าสิบคลิปแล้วจะเริ่มชิน เอาจริง คลิปละซัก 10 min, 500 min++ ก็จะชิน555 ถ้ามากกว่านั้น เวลาเตรียมตัวยังเหลือ ทำไปอีกเลยจ้า ทำไปซ้ำๆ ทำไปเรื่อยๆ คำถามมันคล้ายๆ เดิม เก็งได้เลย ตอนเราสอบบางข้อก็เคยตอบหน้าคอมที่บ้านมาหลายรอบแล้วอ่ะ เชื่อไหม พอทำเยอะจริงๆ วันจริง คือเราจะไม่ตกใจเท่าไหร่แล้วนะ มันจะได้ฟีลแบบ อ่ะ เอาอีกแล้ว เหมือนเดิม 55555 ถามมาก็ตอบไป
อีกอย่างคือ ถ้าสอบในช่วงที่โควิดยังอยู่ ลองฝึกกับหน้ากากด้วยเด้อ ฝึกพูดให้ดังๆ กรรมการจะได้ได้ยิน
แล้วก็มีช่องนี้ เราดูแล้วเราว่าดีอยู่ มีสำนวนเยอะ(ถึงเราจะไม่ค่อยได้ใช้ก็ตามเหอะ 55)
*ที่แนะนำให้ฝึกแต่งเรื่องคือ วันจริงอ่ะ เราอาจได้คำถามที่เราไม่มีเรื่องจริงให้เล่าเว่ย เราต้องสร้างเรื่องมาเล่าให้ได้ จะมาบอกเค้า "เรื่องนี้ไม่เคยเกิดขึ้นกับเรา" มันไม่ได้นะฟะ สมมติเค้าถามของเล่นโปรดในวัยเด็กอ่ะ คือไม่ใช่ทุกคนที่จะจำได้ไง อย่างเราเงี้ย ลืมเกือบหมดแล้วนะ อันที่จำได้ที่เคยเล่น ก็ไม่ได้มีไรให้เล่ามาก ถ้าเจอคำถามแบบเนี้ย โกหกให้น้ำไหลไฟดับเลยจ้า ไม่ผิด เค้าไม่ว่า มั่วไป เอาของเล่นคนอื่นที่เราจำได้มาพูด ที่เราเห็นในห้าง ต่างๆ นานา ฝึกเล่าเรื่องไม่จริงให้มันชิน มันมีประโยชน์ โดยเฉพาะ part2 แต่ไม่ต้องเอาไปใช้ในชีวิตจริงนะ55
**แนะนำว่าอย่าแตะ การเมือง ศาสนา ชาตินิยม พรรคนั้นอ่ะ ที่มันจะทำให้คนทะเลาะกันได้ หรืออาจจะทำให้เค้าโกรธได้ คือถ้าจะเล่าประเพณีพุทธ เงี้ยโอเค แต่จะไปพูดแบบ ศาสนาอื่นไม่จริง พุทธเท่านั้นที่ถูกต้อง เงี้ยห้ามพูดเด็ดขาด common sense แหละ แต่ก็ขอเตือนๆ ไว้ก่อน มันไม่มีกฏห้าม แต่เกิดเค้าหงุดหงิดขึ้นมา เราก็ไม่อยากให้เกิดขึ้นใช่ไหมล่ะ
***เรื่องที่เราเล่าวันจริง ก็คือทั้งแต่งทั้งจริง ผสมๆ กันไป5555
-ทริคตอนทำ
อันนี้ไม่ค่อยมีไรมาก ก็ พยายามอย่าลน ทำใจร่มๆ คิดว่ากำลังอยู่บ้าน ฝึกหน้าคอม เหมือนเดิม มันจะเครียดน้อยลง อีกอย่างคือ จำไว้ว่า เรื่องที่เล่าอ่ะไม่จำเป็นต้องจริง แต่งได้ คือเค้าไม่เช็ค เค้าไม่แคร์อ่ะ
ยิ้มเยอะๆ เฟรนลี่ไว้ก่อน เค้าจะน่าบูดก็ช่างเค้า เราอย่าไปหน้าบูดใส่เค้า เค้าไม่ได้โกรธเรา เค้าอาจจะแค่นอนน้อยก็ได้
อีกอย่างคือ ตอนนั้นเราท่องไว้ว่า กรรมการไม่รู้จักเรา ถ้าเราขายหน้าตัวเอง เค้าไม่เจอเราอีกเลย เค้าเอาเรื่องที่เราเล่าไปนินทาต่อ(ตามหลักคือเราเข้าใจว่าเค้าห้ามทำ แต่มันก้อาจจะมีเกิดขึ้นบ้างแหละ55) โอกาศถึงคนรู้จักแบบน้อยมากกก แทบเป็น 0 เราจะพูดชื่อพ่อชื่อแม่เงี้ย ไม่ต้องกลัวว่ามันจะวนกลับมาทำให้เราโดนล้อ (ไม่ได้บอกให้พูดชื่อพ่อชื่อแม่นะ แค่ยกตัวอย่างว่า เราไม่ต้องไปกังวลว่าเรื่องที่เราเล่ามันจะกลับมาหาเรา คือโอกาศมันคงเยอะพอๆ กับหิมะตกเมืองไทย)
.
จบแล้ว ขอบคุณที่มาอ่านน้า ยาวหน่อยแหละเนาะ ขอให้ทุกคนที่กำลังจะสอบ โชคดี คะแนนถึง ได้ดังหวัง ถ้าเตรียมตัวดี ขอให้คุ้มค่าเหนื่อยนะค้าบบบ เพี้ยงง
ปล: ขอโทษถ้าอ่านแล้ว งงๆ อย่าด่ากันนะ5555 ด่าเยอะลบนะ (พูดจริงนะ)
ปล2: ไม่หลังไมค์ แต่ลงคำถามไว้ได้ จะ*พยายาม* มาตอบ แต่ไม่ขอการันตีค้าบ อย่าโกรธนะ
.
ไม่ได้สมัคร ไม่รู้แก้ข้อความได้ไหม ถ้าจะเติมอะไรจะพิมพ์เม้นเอานะ

แสดงความคิดเห็น

>

2 ความคิดเห็น

อยากได้ band 7+ 16 พ.ค. 65 เวลา 01:40 น. 2

โหหหห คุณเก่งมากๆเลย เราเองก็อยากสอบให้ได้ตั้งแต่ตอนนี้ค่ะ(ม.4)เหมือนคุณเลย เราจะสอบให้ได้มากกว่า band 7 ให้ได้เลยค่ะ เราขอถามได้มั้ยคะ ว่าเตงได้ใช้หนังสือเตรียมสอบเล่มไหนมั้ยคะ หรือ แบ่งเวลาทำข้อสอบยังไง แล้วเตงสอบแบบ paper base or computer base คะ ขอบคุณที่มาแชร์สิ่งดีๆนะคะ

1
eren.writes.stuff 19 พ.ค. 65 เวลา 21:11 น. 2-1

สู้ๆ นะค้าบบบ เราขอให้โชคดีนะะ

เราสอบ paper based ฮะ

เล่มที่เราใช้ ตามที่บอกเลย kaplan, barrons แต่เราซื้อมาเพราะจะทำโจทย์มากกว่าเอามาอ่านวิธีทำสอบจากเล่มพวกนี้

แบ่งเวลาก็ listening, speaking เค้าแบ่งมาให้เราอยู่แล้ว

reading- เราเน้นอ่านแบบข้ามๆ 555 ข้อไหนไม่ได้คือข้ามแล้วค่อยกลับมาทำ แต่ passage1 เราพยายามให้เสร็จใน 15 นาทีแรก มีข้อที่ข้ามไม่เป็นไร แต่เอาให้เสร็จเร็วๆ ดูให้ครบจนถึง passage สุดท้าย เพราะบางทีอันสุดท้ายง่ายกว่าอันแรกก็มี และสตชอบทำ multiple choices เลยพยายามข้ามไปที่ passage ที่มี multiple choices อ่ะ5555 พวกเติมคำเราว่าถ้าทำไม่ไหว แนะให้ข้ามก่อน แล้วไปจัดการคำถามที่มีตัวเลือกให้ จะทำแล้วไม่หลงเท่านั่งหาคำจาก passage แล้วพอทำพวกนั้นได้ จะได้มั่นใจขึ้น

writing- เราเขียน task1 ประมาณ 15 min task 2 ประมาณ 35-40 min(ไม่แน่ใจว่าวันจริงใช้นานแค่ไหน คือตั้งใจจะใช้แค่ 35 min แต่คิดว่าน่าจะเขียนไปนานกว่านั้น) แล้วทิ้ง สัก 5 นาทีไว้ตรวจ/แก้ศัพท์ฮะ คือหนังสือชอบแนะนำ 20-40 แต่สตเราแกรมม่ากระจุยระดับหนึ่ง ไม่เช็คตอนจบไม่รอด เลยต้องเขียนรีบๆ

0