Dek-D.com ใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสบการณ์ของ
ผู้ใช้ให้ดียิ่งขึ้น เรียนรู้เพิ่มเติมที่นี่
ยอมรับ

รีวิวจากพี่ปี 3 วิทยาลัยโลกคดีศึกษา มธ. อินเตอร์ (School of Global Studies) เค้าเรียนอะไรกันนะ?

ตั้งกระทู้ใหม่
ตั้งกระทู้ใหม่

สวัสดีค่ะพี่ชื่อพี่เเซน ตอนนี้อยู่ชั้นปีที่ 3 วิทยาลัยโลกคดีศึกษา หรือ School of Global Studies หลักสูตร สาขาโลกคดีศึกษาและการประกอบการสังคม หรือเรียกย่อๆว่า GSSE น้องๆหลายคนพออ่านชื่อเเล้วก็อาจจะสงสัยว่า เอ๋คณะนี้เรียนอะไรกันนะ ซึ่งในกระทู้นี้พี่ก็จะมาอธิบายเรื่องหลักสูตร วิธีการสอน เเละ ประสบการณ์การเรียนมา 3 ปี เเบบหมดเปลือกกันเลยทีเดียว

ก่อนอื่นเลยขอเเก้ต่างก่อนว่าวิทยาลัยเราไม่ได้เรียนโบราณคดีนะ เเต่เป็นการเรียนที่นำด้านธุรกิจและนวัตกรรมมาเเก้ไขปัญหาต่างๆในสังคมที่เกิดขึ้นภายในโลกของเรา หรือให้อธิบายอีกเเบบคือ GS (Global Studies) หรือ โลกคดี คือการเรียนรู้เกี่ยวกับประเด็นและปัญหาที่เกิดขึ้นบนโลก รวมถึงการเป็นอยู่ของผู้คนเเละชุมชน ส่วน SE (Social Entrepreneurship) คือผู้ประกอบการธุรกิจเพื่อสังคม นั่นคือการนำปัญหาที่เกิดขึ้นใน part ของ Global Studies มาแก้ปัญหาผ่านโมเดลธุรกิจ ถ้าน้องเป็นคนที่อยากจะเเก้ไขปัญหาที่อยู่ในสังคมไทย เช่น ปัญหาการใช้พลาสติกเเบบ single use ปัญหาการทุจริตในองค์กร ปัญหาในระบบโครงสร้างการศึกษา ปัญหาสภาพแวดล้อม สิทธิของมนุษย์ หรือสิทธิของสัตว์ น้องๆก็สามารถนำความรู้ด้านธุรกิจมาเชื่อมโยงและแก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้นในสังคมได้ด้วย โดยสรุปคือ ถ้าอยากเป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้โลกนี้น่าอยู่มากขึ้น เเละเป็นผู้ลงมือทำจริงๆ ได้สร้างคุณค่าทางสังคมและสร้างคุณค่าให้กับตัวเอง หลักสูตรนี้คือที่ๆใช่สำหรับน้องเลย

ตลอดการเรียน 3 ปีที่ผ่านมา พี่ได้เรียนรู้หลายๆด้านจากอาจารย์ที่มากประสบการณ์ เนื่องจากทางวิทยาลัยมีหลักสูตรการสอนที่หลากหลายด้านหรือ interdisciplinary course เพราะหากนักศึกษาต้องแก้ไขปัญหาสังคมนั้น การมีความรู้เพียงด้านหนึ่งหรือแค่ความรู้ด้านธุรกิจเพียงอย่างเดียวไม่สามารถแก้ไขได้อย่างครอบคลุม ยกตัวอย่างความรู้ทางด้านจิตวิทยา (พวกพี่ก็ต้องเรียนด้วยนะ) ก็สามารถนำมาใช้ในการสังเกตการณ์การเป็นอยู่ของผู้คนในชุมชนว่า ทำไมถึงเกิดปัญหานี้ หรือ มองไปถึงโครงสร้างต้นตอของปัญหา ทำให้มองหนึ่งปัญหาได้หลายมุมมอง และครอบคลุมในทุกๆด้าน อีกทั้งการเปิดโอกาสให้นักศึกษาได้เปิดโลกแห่งการเรียนรู้หลายแขนง ทำให้สามารถรู้ได้ว่าจริงๆแล้วน้องๆชอบด้านไหน และมี passion ในด้านไหนมากกว่ากัน พี่เองเป็นคนที่ไม่ได้เก่งด้านใดหรือวิชาไหนเป็นพิเศษ เรียกง่ายๆว่าเป็นเป็ดก้าบๆเลย ก็เลยลองหาคณะที่ทำให้พี่เรียนหลายๆวิชาที่ไม่ได้มีแค่ที่เราเรียนตอนมัธยม มีการเรียนรู้ที่หลากหลายไม่ใช่ความรู้เฉพาะทางใดทางหนึ่งเท่านั้น นี่เป็นหนึ่งในเหตุผลที่พี่เลือกเข้าที่นี่เลยก็พูดได้

อธิบายเพิ่มเติมเกี่ยวกับหลักสูตรหรือวิชาที่เรียนในแต่ละปี น้องๆจะได้เห็นภาพชัดเจนมากขึ้นกันดีกว่า

 

โดยรวมหลักสูตรจะเน้นเรียนหลายสาขาวิชา เช่น ด้าน Business, Innovation, Politics, Psychology เเละอื่นๆ จากที่เห็นในภาพเลยคือก่อนที่น้องๆจะเริ่มชีวิตมหาวิทยาลัยปี 1 ทางวิทยาลัยมีการเรียน Summer Pre-Program เพื่อเป็นการปรับพื้นฐานน้องๆ รวมไปถึงได้ลองเรียนวิชาที่จะเจอภายในอีก 4 ปีข้างหน้า อีกทั้งได้ทำกิจกรรมสนุกๆกับรุ่นพี่ ได้ทำความรู้จักกับเพื่อนๆภายในรุ่นอีกด้วย ตอนที่พี่เรียน SPPC ต้องบอกเลยว่าทั้งสนุกทั้ง culture shock เลย เพราะมีพี่ๆมาจัดกิจกรรมเล่นเกมส์เดินทัวร์แถวๆตึกเรียนและสถานที่สำคัญภายในมอ ได้จับกลุ่มทำงานกับเพื่อน ได้ฝึกการ present แต่ที่บอกว่า culture shock ก็เพราะว่ามีอาจารย์ที่สอนปี 3 มาสอน 1 วิชา แล้วเนื้อหามันนอกเหนือจากความรู้ที่เราเคยมีทุกอย่าง บวกกับการเรียน 3 ชั่วโมงต่อคาบ เป็นอะไรที่เราไม่ชินมากๆเลย เลยได้มานั่งคิดกับตัวเองว่านี่คือสิ่งที่ปีหน้าเราต้องเจอนะและเตรียมตัวเตรียมรับชีวิตมหาวิทยาลัยอย่างเต็มที่ ซึ่งถ้าไม่มี SPPC คงปรับตัวไม่ทันแน่ๆเลย 


พอเริ่มเข้าสู่ปีที่ 1 ส่วนมากจะเรียนวิชา TU เช่น TU100 กับ TU102 และจะพบเจอกับเพื่อนต่างคณะด้วย ในปีนี้วิชาในคณะเป็นการปูพื้นฐานด้วยเช่นวิชา GS201 Foundations of Academic Writing หรือการเขียนเชิงวิชาการ ในคาบอาจารย์ก็จะสอนว่าการเขียนแบบนี้คืออะไร บอก trick and tips เช่น key word/phrase ในการเขียนด้วย ซึ่งบอกเลยว่าถึงแม้ตอนนี้อยู่ปี 3 แล้วพี่ก็ยังคงได้ใช้ความรู้จากวิชานี้ในการเขียน รายงาน หรือแม้แต่การเรียบเรียงคำพูดของเราเวลาพรีเซนต์ พอเข้ามาเทอม 2 ก็จะลงลึกในวิชาของวิทยาลัยมากขึ้น เช่น การเรียนรู้ด้านผู้คนและชุมชน 

 

สิ่งสำคัญที่น้องๆพลาดไม่ได้เลยคือ การลงพื้นที่ใน summer ปี 1 หรือ ที่เรียกว่า CBLI1 (Community-Based Learning Initiative) คือการได้ลงมือจริง สัมผัสการเป็นอยู่ของผู้คนในชุมชนในต่างจังหวัด อย่างของปีพี่ได้ไปที่จังหวัดข่อนแก่น หมู่บ้านห้วยยาง ไปอยู่ประมาณ 3 อาทิตย์ไปอาศัยในบ้านเขาเหมือนสมัครเป็นลูก 1 คนเลย คนที่ห้วยยางน่ารักและต้อนรับพวกเรามาก เป็นเรื่องปกติที่เรียกกันว่า พ่อ แม่ ลูก 

ภายใน 3 อาทิตย์นี้ พี่ได้ไปเรียนรู้วิถีชีวิตในชุมชน เช่น การปลูกผักปลอดสาร การทอผ้า การถักกระเป๋า รวมถึงได้ลองทำจริงๆด้วย แต่ไม่ใช่แค่ไปอยู่อย่างเดียวน้า เพราะเราต้องไปศึกษาข้อมูลปัญหาชุมชน ไม่ว่าจะไปสัมภาษณ์แม่ๆพ่อๆหรือผู้ใหญ่บ้าน หลังจากนั้นก็จะมามองหาวิธีการแก้ปัญหาใหม่ๆหรือต่อยอดพัฒนาจากการแก้ปัญหาเดิมที่มีอยู่แล้วให้ดียิ่งขึ้น เหมือนไปเข้าค่ายอาสาเลย 
 


 

แล้วใน summer ปี 2 และ 3 ก็จะเปิดโอกาสให้ไปฝึกงานจริงกับองค์กรต่างๆตามความสนใจของน้องๆ ซึ่งพี่คิดว่านี่เป็นแต้มต่อให้เราได้ประสบการณ์จากการทำงานจริง เจอกับผู้คนในบริษัท และเรียนรู้วิธีการรับมือ ปรับตัวเราเข้ากับวัฒนธรรมองค์กร และได้ใช้สกิลต่างๆที่ได้จากการเรียนและทำงานกลุ่มแบบ Project Based Learning and Learning by Doing เช่น project management skill, budget management, communication skill, team management และอื่นๆอีกมากมายไปใช้ตอนฝึกงาน และสกิลพวกนี้นี่แหละที่จะติดตัวไปสกิลตลอดไม่ว่าจะไปทำงานในสายไหน 

และเพื่อเตรียมพร้อมพวกเราไปฝึกงานหรือการทำงานหลังเรียนจบ ที่วิทยาลัยเองก็มีวิชา PDP หรือ Professional Development Portfolio ซึ่งเป็นวิชาเตรียมความพร้อมนักศึกษาให้ออกสู่โลกของการทำงานให้เป็นมืออาชีพที่สุด ไม่ว่าจะเป็นการเขียนเรซูเม่หรือการทำ portfolio ให้เข้าตา hr เราจะได้เรียนรู้ในวิชานี้

ในส่วนของรายวิชาในปี 2 จะเน้นไปส่วนของ Governance (ธรรมาภิบาล) and Globalization (โลกาภิวัตน์) คือการเรียนรู้การบริหารประเทศ และการเปลี่ยนแปลงของโลกในด้านเศรษฐกิจ วัฒนธรรม การดำเนินชีวิตของคนในสังคม ส่วนในปี 3 จะลงลึกด้านนวัตกรรมเพื่อสังคม หรือ Social Innovation ว่าจะทำยังไงถึงเกิดเป็น Social Innovation ที่แก้ปัญหาที่เกิดขึ้นในสังคมได้ และหนึ่งวิชาที่ต้องเจอทุกๆปีคือ Social Innovation Project คือการทำโครงการนวัตกรรมเพื่อสังคมตาม passion หรือความสนใจของน้องๆ ซึ่งเราต้องลงมือทำทุกขั้นตอน ตั้งแต่การหาข้อมูลยันทำ evaluation ของ project นั้นๆ


 

สุดท้ายปี 4 ที่กำลังจะมาเยือนพี่ในไม่ช้านี้แล้ว ทางวิทยาลัยมีให้เลือก 3 track คือ 1) ฝึกงาน 2) ทำ desk research หรือ 3) ทำ senior project ส่วนพี่นั้นตั้งใจจะเลือกฝึกงานเพราะจะได้หา connection เพื่อเป็นลู่ทางในการทำงานในอนาคตได้ พร้อมไปกับอัพสกิลให้ตัวเองแบบเต็มแม็กซ์พร้อมไปเผชิญโลกแห่งการทำงาน

หากสงสัยว่าจบไปเเล้วทำงานอะไร ก็จะสามารถเเบ่งเป็น 4 ภาคส่วนใหญ่ๆค่ะ นั่นคือ 1) องค์กรระหว่างประเทศ เช่น United Nation, สถานฑูต หรือ กรมการค้าระหว่างประเทศ 2) ประกอบการธุรกิจเพื่อสังคม เช่น รุ่นพี่ของเรา Happy Grocers ที่ทำธุรกิจเพื่อสังคมในการขายผักผลไม้ organic จากสวนถึงมือคุณ 3) NGO หรือองค์กรไม่เเสวงหาผลกำไร เเละ 4) ภาคธุรกิจ เช่น ทำในฝ่าย CSR (Coperate Social Responsibility) ฝ่ายพัฒนาแผนธุรกิจ ที่ปรึกษา หรือทำงานฝ่ายอื่นๆ ซึ่งในส่วนของพี่เองจบไปพี่อยากจะไปจะทำงานในภาคธุรกิจ ในด้าน Business Development หรือ Creative Event ค่ะ เพราะว่าเราสามารถใช้ creativity skill ในงานเหล่านี้ได้  

ส่วนทิ้งท้ายนี้พี่ก็อยากจะฝากบอกน้องๆว่า หากน้องเป็นคนหนึ่งที่อยากทำให้โลกน่าอยู่มากขึ้น โดยการลงมือแก้ไขปัญหาด้วยโมเดลธุรกิจหรือการคิดค้นนวัตกรรมเพื่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงที่ดีในสังคม (change maker) และอยากศึกษาความรู้หลายๆด้านเพื่อให้พร้อมรับมือกับโลกในปัจจุบันและอนาคตแบบ learning by doing หลักสูตรนี้คือที่ๆใช่แน่นอน หากน้องๆต้องการศึกษาข้อมูลเพิ่มเติมหรือมีข้อสงสัยใดๆ สามารถ inbox ทางเพจ และ facebook ของวิทยาลัยได้เลย ตามลิงค์นี้ https://sgs.tu.ac.th/ และ https://www.facebook.com/SGSThammasat 

ขอให้โชคดีมีที่เรียน สอบติดคณะที่ชอบ มหาลัยที่ใช่กันทุกคนนะคะ​​​​​​

แสดงความคิดเห็น

>