Dek-D.com ใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสบการณ์ของ
ผู้ใช้ให้ดียิ่งขึ้น เรียนรู้เพิ่มเติมที่นี่
ยอมรับ

How to ถึงหลุดพอร์ตก็ยังติดหมอศิริราชรอบ 3 ได้ (1/4)

ตั้งกระทู้ใหม่
ตั้งกระทู้ใหม่

สวัสดีค่ะ เราเป็น dek66 จบจากโรงเรียนแห่งหนึ่งแถวสามย่าน ตอนนี้ติดคณะแพทย์ศิริราชรอบกสพท ด้วยคะแนนรวม 72.2892 นะคะ ตอนแรกตั้งใจจะเข้าคณะแพทย์ในรอบ1 portfolio ยื่นพอร์ทไปหลายที่มากๆทั้งในกรุงเทพ อินเตอร์ และต่างจังหวัด แต่หลุดหมดทุกที่เลยค่ะ วันนี้เราเลยอยากจะมารีวิวว่าที่ผ่านมาเราทำยังไงให้สอบรอบ3 ได้ในเวลาที่เหลือจากรอบพอร์ทไม่มากค่ะ

ส่วนอันนี้คือคะแนนของเราค่า
IMG_3028.jpeg
 

เราจะมีทั้งหมด 4 กระทู้นะคะ อันแรกจะเป็นเกี่ยวกับ timeline การเตรียมตัวของเราทั้งรอบ1 และรอบ3 เล่าถึงข้อผิดพลาดต่างๆของเรา

กระทู้ที่สองเกี่ยวกับรายละเอียดการเตรียมตัวแต่ละวิชา หนังสือ ที่เรียนพิเศษของเรา

ส่วนกระทู้ที่สามเกี่ยวกับทริคที่เราใช้ตอนม.6 

และกระทู้สุดท้ายคือการเตรียมตัวช่วงสัปดาห์ก่อนสอบค่ะ

ลิ้งค์กระทู้แรก อันนี้เลยคับ

ลิ้งค์กระทู้ที่  2 https://www.dek-d.com/board/view/4088636

ลิ้งค์กระทู้ที่ 3    https://www.dek-d.com/board/view/4088638

ลิ้งค์กระทู้ที่ 4 https://www.dek-d.com/board/view/4088642

วิธีการที่เราใช้เรียน หนังสือ ที่เรียนต่างๆ เป็นเพียงความคิดเห็นส่วนตัวของเราเท่านั้น  แต่ละคนมีวิธีการเรียนที่เหมาะกับตัวเองต่างกัน สิ่งที่เหมาะกับเรา อาจจะไม่เหมาะกับคนอื่นๆก็ได้นะคะ ถ้าผิดพลาดประการใดขออภัยมา ณ ที่นี้ด้วยนะคะ
.
.
.
เราเริ่มเก็บผลงานสำหรับรอบพอร์ทมาตั้งแต่ม.4 เลยค่ะ แต่ตอนนั้นซ่า ไม่เรียนพิเศษวิชาที่ใช้สอบรอบพอร์ทเลย ไม่เคยทำข้อสอบเก่าด้วย ทึกทักไปเองว่าข้อสอบมันง่ายกว่าของไทย ยังไงก็น่าจะทำได้ ซึ่งเป็นอะไรที่พลาดมากๆๆๆๆๆ เพิ่งมาเริ่มทำข้อสอบตอนไม่กี่เดือนก่อนสอบ แล้วก็เพิ่งรู้ตอนนั้นว่าทำไม่ได้ ลนมากๆ ตะลุยเรียนพิเศษไปแต่คะแนนก็ไม่ค่อยดีค่ะ แต่สุดท้ายก็ผ่านเข้ารอบสัมภาษณ์ไปสองที่นะคะ แต่ก็ไม่ผ่านสัมภาษณ์อยู่ดี 5555

 

ข้อผิดพลาดในรอบพอร์ต

1. เราแนะนำว่าก่อนจะตัดสินใจทุ่มเตรียมรอบไหน เราควรรู้จักตนเองให้ดีก่อนว่าเราเหมาะกับการสอบแบบไหนมากกว่ากัน อย่างเราที่ตอนแรกอยากเข้ารอบพอร์ตเพราะว่าไม่ชอบวิชาเลขมากๆ และคิดว่าตัวเองถนัดภาษาอังกฤษ ซึ่งเป็นวิชาที่ใช้เป็นหลักในการสอบเข้าพอร์ตแพทย์ เพราะว่ามันเป็นโครงการ “ความถนัดภาษาอังกฤษ” แต่เราไม่ได้ดูตัวเองเลยว่า เราอาจจะถนัดภาษาอังกฤษในมาตรฐานเด็กโรงเรียนไทย แต่การเข้ารอบพอร์ตคือต้องเเข่งกับเด็กโรงเรียนอินเตอร์ซึ่งใช้ภาษาอังกฤษในชีวิตประจำวันเลย รวมทั้งคุ้นชินกับการทำข้อสอบที่เป็นภาษาอังกฤษด้วย จากที่ภาษาอังกฤษจะเป็นตัวได้เปรียบของเรา เมื่อคู่แข่งเป็นคนละกลุ่มเลยทำให้ภาษาอังกฤษเป็นตัวฉุดไปเลย บวกกับเราเองไม่ได้เป็นเด็กกิจกรรมอะไรมากมาย เราไม่ได้รู้ความจริงจุดนี้จนกว่าทั่งเราได้เจอคนอื่นหลัง lock down โควิดนั่นแหละค่ะว่าที่เรารู้สึกว่ากิจกรรมที่เราทำมันเยอะ มันไม่ได้มากมายอะไรเลยเมื่อเทียบกับคนอื่น แต่ที่เรารู้สึกว่ามันหนัก มันเยอะ เพราะเราไม่ได้สนุกกับมันจริงๆ

2. เราประมาทกับข้อสอบที่ใช้กับรอบพอร์ตมากเกินไป ก่อนหน้านี้เราเคยเห็นตัวอย่างข้อสอบแค่สองสามข้อแล้วทำได้ ก็เลยไปด่วนสรุปว่าข้อสอบมันง่าย ไม่เคยทำทั้งชุดเลย พอมาลองทำทีหลังคะแนนน้อย ทำไม่ได้ ก็เลยลนแบบนี้ 

เราไม่ควรด่วนสรุปจากไม่กี่ข้อที่เราเห็น เพราะมันอาจจะเป็นไม่กี่ข้อที่เราทำได้จากข้อสอบทั้งชุดก็ได้นะคะ
 

3. สภาพจิตใจของเราก็เป็นสิ่งที่สำคัญ ตอนก่อนวันสอบเราทุ่มนั่งเรียน นั่งจับเวลาตลอดเวลา ด่าทออดีตที่แก้ไม่ได้ของตัวเองตลอดเวลา ไม่ได้ดูแลจิตใจตัวเองเลย ความเครียดมันก็สะสมเรื่อยๆ โทษตัวเองหนักขึ้นเรื่อยๆ จนมันสอบจริงเราโยนข้อสอบสุดๆไปเลย หัวตื้อไปหมด ไม่มีแรงคิดคำตอบเลย การกดดันตัวเองมันทำให้เราขยันขึ้นก็จริง แต่ถ้ามากไปมันส่งผลเสียมากกว่าผลดีนะคะ


Timeline admission round

สำหรับ timeline การเตรียมสอบรอบ3 ของเรานะคะ ตอนม.ต้นเราเรียนพิเศษวิชาภาษาอังกฤษวิชาเดียวค่ะ เพราะว่าไม่ได้กะจะไปสอบเข้าม.ปลายที่ไหนเลยชิวเต็มที่ แต่ถึงแม้ว่าคำว่าชิวของเราหมายถึงการที่เราไม่ได้เรียนพิเศษ หรือนั่งทวนบทเรียนอะไรอย่างสม่ำเสมอ เรื่องที่สงสัยก็ไม่ได้ไปหาคำตอบ แต่ตอนก่อนสอบเราอ่านหนังสือทุกครั้งนะคะ ไม่ได้เทเกรดขนาดนั้น แต่ยอมรับว่าการที่เราไม่ได้หาคำตอบกับสิ่งที่สงสัย และก็พวก misconceptions ต่างๆมันส่งผลกระทบกับม.ปลายพอสมควร โดยเฉพาะเลขที่เราไม่ชอบเป็นการส่วนตัวก็เลยโยนไปเลย ตอนม.ต้นได้เกรด 4 วิชาเลขนี่แทบจะเป็นปาฏิหาริย์ พอขึ้นม.ปลายแล้วพื้นฐานไม่แน่นมันทำให้เรียนยากขึ้นมากเลยค่ะ
 

เราเรียนภาษาอังกฤษที่ wall street english ตั้งแต่ม.2 จนถึงม.5 มันไม่ใช่สถาบันกวดวิชา การเรียนการสอนจึงไม่ใช่การสอน grammar ท่องจำคำศัพท์ หรือเก็งข้อสอบนะคะ ที่นี่เป็นสถาบันสอนภาษาอังกฤษสำหรับคนวัยทำงานมากกว่า เพราะฉะนั้นจะเป็นภาษาอังกฤษในชีวิตประจำวันของวัยทำงาน ไม่ใช่การติวสอบค่ะ 

พอขึ้นม.5 เทอมปลายเราก็เตรียมสอบ IELTs ค่ะ เป็นข้อสอบวัดระดับภาษาอังกฤษออกโดย cambridge มันเป็นข้อสอบใช้ในรอบพอร์ต แต่จะบอกว่าการเตรียมสอบครั้งนี้ช่วยลดภาระการเตรียมสอบ a-level ภาษาอังกฤษได้มากเลยทีเดียว

เรามาเตรียมอังกฤษอีกทีตอนจะสอบ TGAT ช่วงต้นธ.ค.ค่ะ ราวๆหนึ่งสัปดาห์ก่อนสอบ เตรียมพวก conversation จาก YOUTUBE ไป ตอนนั้นก็จดๆไว้ เอามาอ่านทวนอีกทีตอนหนึ่งสัปดาห์ก่อนสอบ a-level ค่ะ
 

ต่อมาคือวิชาชีวะ วิชานี้เป็นวิชาที่เราไม่ได้เรียนพิเศษเพราะชอบเป็นการส่วนตัวค่ะ ก็เลยมีความขยันเป็นพิเศษ เราเริ่มเตรียมตัวตอนม.3 ค่ะ มันอาจจะดูเริ่มเร็ว แต่ตอนนั้นเราเรียนผิดวิธีมันเลยไม่เข้าหัวเลยค่ะ ตอนนั้นเราซื้อหนังสือสรุปมาอ่าน เพราะแค่มันไม่หนามาก แต่ด้วยความที่มันเป็นหนังสือสรุป เนื้อหาไม่ครบถ้วน ทำให้เราจำอย่างเดียวไม่เข้าใจมัน และก็ใช้วิธีอ่านวนไปหลายๆรอบ คิดว่ามันจะเข้าหัว แต่เปล่าเลยค่ะ สุดท้ายก็จำอะไรไม่ได้อยู่ดี แล้วถึงจำได้ก็ทำข้อสอบที่มันพลิกแพลงไม่ได้อยู่ดี 

พอขึ้นม.4 เราถึงซื้อหนังสือเนื้อหาชีวะเล่มหนาๆมาอ่านค่ะ วิชานี้เป็นวิชาที่เราเก็บเนื้อหาม.ปลาย เราก็เก็บมาเรื่อยๆ ค่อยๆทำความเข้าใจ ทำสรุปเป็นเทอมๆไป บวกกับเราเรียนโครงการเรียนล่วงหน้าของโรงเรียน ก็เลยทำให้เราเรียนชีวะม.ปลายทั้งหมดจบตอนม.5 เทอม2 ค่ะ
 

วิชาฟิสิกส์ เคมี เเละเลข เราเริ่มเรียนพิเศษตอนปิดเทอมขึ้นม.5 ค่ะ เราเรียนเคมีอาจารย์อุ๊ ฟิสิกส์ที่ applied physics และเลขพี่ตุ้ย the tutor ค่ะ แต่สารภาพว่าตอนนั้นเรียนผิดวิธีมากๆ เราแค่นั่งจดๆไปตามเค้า เหม่อลอย ไม่กลับมาทบทวนบทเรียน เพราะงั้นการเรียนเลยไม่มีประสิทธิภาพมากนัก แอบเสียดายเงิน 555 เพราะงั้นน้องคนไหนที่ยังอยู่ม.4 ม.5 น้องตั้งใจเรียนให้เต็มที่นะคะ อย่าเรียนแค่เพราะจุดประสงค์ว่าตอนครูที่โรงเรียนสอนจะได้คุ้นๆ มีอะไรอยู่ในหัวบ้าง เพราะพี่ไม่มีวันนั้นค่ะ 555 ยิ่งน้องเก็บเนื้อหา เข้าใจเนื้อหาตอนม.4 ม.5 มาดี ตอนม.6 จะไม่ลำบากมากค่ะ
 

พอปิดเทอมขึ้นม.6 เราเพิ่งเริ่มเรียนคอร์ส entrance ค่ะ แต่ตอนนั้นเราไม่เห็นว่าคนอื่นเรียนกันยังไงเลย เพราะเกือบตลอดม.ปลายเราเรียนจากที่บ้านเพราะ covid lockdown บวกกับเราไม่ได้คุยกับเพื่อนๆ เราก็เลยนึกว่าที่เราเรียนทุกวัน วันละ 5 ชั่วโมงนี่หนักแล้ว บวกกับมีช่วงที่เราไปเก็บกิจกรรมรอบพอร์ตด้วย มันก็เลยทำให้ช่วงปิดเทอมขึ้นม.6 เราเรียนจบแค่คอร์ส entrance ฟิสิกส์ที่ applied physics ค่ะ ตอนนั้นก็ยังไม่เห็นโลงศพไม่หลั่งน้ำตา เรียนไปเรื่อยๆ จดตามไปเรื่อยๆโดยที่เค้าสอนไม่ค่อยเข้าสมองเท่าไหร่ค่ะ 

พอช่วงใกล้ๆเปิดเทอมม.6ถึงได้เริ่มเรียนคอร์ส entrance เคมีของอ.อุ๊ค่ะ แต่เรียนไปได้เเป๊บเดียวก็ดรอปไปเพราะตอนนั้นเริ่มลองทำข้อสอบ BMAT ของรอบพอร์ตแล้วทำไม่ได้ ก็เลยไปเรียนพิเศษ BMAT รัวๆเลยค่ะ
 

เราเริ่มเตรียมรอบ3 จริงๆหลังวันสอบ BMAT ของรอบ portfolio ก็คือหลังวันที่ 18 ตุลา นับจากวันนั้นถึงวันสอบ a-level ก็จะเหลือเวลาประมาณ 5 เดือน และเหลือเวลาเตรียมสอบ tpat1(ความถนัดแพทย์) อีกราวๆ 2 เดือนค่ะ หลังทำข้อสอบ BMAT เราก็รู้ตัวละว่าทำไม่ได้ ความกดดันมันมีละ เริ่มโทษตัวเองต่างๆนาๆ ทำไมไม่เตรียมสอบให้เร็วกว่านี้ ทำไมไม่เตรียมรอบ 3 ตั้งแต่แรก บลาๆๆ
 

เราเริ่มเรียน TPAT1 ก่อนค่ะ เราเรียน ondemand ที่เดียว ทำโจทย์จากที่เดียว ไม่ซื้อหนังสือมาทำเพิ่มเลย เพราะเวลามันกระชั้นมากแล้ว ตอนซื้อคอร์สมันเป็นแพ็คเนื้อหากับ upskill ด้วยความเรียนไม่ทันบวกหมดไฟมากๆเราเลยไม่ได้แตะ upskill เลย ทำโจทย์จากเล่มเนื้อหาอย่างเดียว เรียนไปก็คิดไปว่าจะทำได้ไง ยิ่งติวเตอร์หลายคนพูดว่าวิชานี้ต้องฝึกฝนเป็น 5 เดือน 6 เดือนถึงจะเก่ง แต่นี่เราเหลือเวลา 2 เดือนและทำได้งูๆปลาๆมาก จะไปทันได้ยังไง แต่พอดีว่าตอนก่อนสอบเราเปลี่ยนใจยื่นพอร์ตไปอีกหลายที่ จากที่เดิมอยากยื่นที่เดียว ตอนนั้นเราก็เลยมั่นใจว่าเราน่าจะติดรอบพอร์ตได้ และก็ไปสอบ TPAT1 แบบสบายๆ แค่เอาให้เต็มที่ ไม่ได้กดดันตัวเองเลย
 

ราวๆต้นเดือนพฤศจิกายนเราก็เรียนคอร์ส TPAT1 จบ และก็เรียนคอร์ส entrance เคมีที่ค้างไว้ต่อจนจบเลย สารภาพว่าเพราะห่างหายไปนาน ตอนเรียนช่วงแรกๆรู้สึกเนื้อหามันไม่ปะติดปะต่อกันเหมือนกัน
 

เราเรียนเคมีจนจบช่วงกลางเดือนพฤศจิกายน แล้วก็เรียนเลขต่อ แต่ด้วยความที่เราไม่ชอบเลขเป็นการส่วนตัว ยังไม่มีที่ไหนถูกใจเรา เราก็เลยไปลงแพ็คคอร์ส entrance กับ upskill ของ ondemand เพราะตามเพื่อนไป เราเรียนไปได้แป๊บเดียว ก็เริ่มเตรียมสัมภาษณ์รอบพอร์ตค่ะ เราเสียเวลาไปอีกเกือบๆเดือนช่วงกลางธันวาคมถึงมกราคมเพื่อเตรียมสัมภาษณ์อย่างเดียว พอกลับมาเรียนใหม่ เวลามันก็กระชั้นมากๆแล้ว เราก็เลยโดดไปเรียน upskill เลย สิ่งที่เกิดขึ้นคือ บางบททำโจทย์ในเล่มไม่ได้เลยสักข้อ แล้วโจทย์มันก็คือข้อสอบเก่าด้วย ไม่ได้ยากกว่าข้อสอบจริงเลย เราเริ่มลนเริ่มกลัวมากขึ้นเรื่อยๆ ยิ่งโรงเรียนจัดสอบ mock exam แล้วเราได้ไม่ถึง 30 คะแนน ซึ่งถ้าได้ต่ำกว่า 30 วิชาใดวิชาหนึ่งจะทำให้เรายื่นกสพท ที่ไหนไม่ได้เลย ต่อให้คะแนนวิชาอื่นเราดีแค่ไหนก็ตาม (ยกเว้นวิชาฟิสิกส์เคมีชีวะที่คิดรวมกันต้องเกิน 90 คะแนน) มันเลยยิ่งทำให้เราเครียด ร้องไห้แทบทุกวัน สภาพจิตใจแย่มากๆ แล้วยิ่งสภาพจิตใจแย่เราก็ยิ่งเรียนไม่รู้เรื่อง ยิ่งทำโจทย์ได้แย่ลงอีก จนในที่สุดเราตัดสินใจว่าเราจะไม่สนแล้วว่าเราทำได้กี่ข้อ เราสนแค่ว่า ทุกข้อที่เราไม่รู้วันนี้ มันจะเป็นความรู้ใหม่ของเรา ทุกความรู้ใหม่จะช่วยปิดจุดอ่อนในวันสอบจริงของเรา ต่อให้เวลาเราแทบไม่มีแล้ว เราก็จะทำวันนี้ให้ดีที่สุด เพื่อที่จะได้ไม่เสียใจในภายหลังหากเรายอมแพ้ไปเสียก่อน
 

ราวๆหนึ่งเดือนก่อนสอบ เราก็เรียนไทยกับสังคมค่ะ เราเรียนพิเศษตัวต่อตัว จะได้เก็งปิดจุดที่เราทำได้ไม่ดีไปเลย เพราะเวลาเราไม่มากแล้ว สำหรับภาษาไทยเราทำข้อสอบเก่าไปสองสามปี รวมคะแนนแล้วดูว่าส่วนใหญ่เราผิดพาร์ทไหน ก็ไปเก็บตรงนั้น ส่วนสังคมมันมี 5 สาขาวิชา เราพอจะรู้ว่าเราไม่ถนัดอะไร ก็ขอให้อาจารย์ช่วยสอนจุดนั้นให้ค่ะ
 

พอสองสัปดาห์ก่อนสอบเราก็ลงคอร์สตะลุยโจทย์เคมีอ.อุ๊ค่ะ เวลามันกระชั้นมากแล้ว บวกกับวิชาอื่นๆเรายังไม่เรียบร้อย เราเลยไม่ได้เรียนครบทุกเทป ไม่ได้ทวนเนื้อหาเลย ข้ามไปทำข้อสอบของเค้าเลย นั่งจับเวลาทำเสมือนจริง แต่ไม่รวมคะแนนเลย เพราะรวมไปตอนนี้ก็ได้คะแนนไม่ดี เวลาก็ไม่พอทำอะไรมาก เสียกำลังใจเปล่าๆ เราทำเหมือนเลขคือเรียนจากโจทย์ไปเลยค่ะ
 

พอเหลือ 5 วันสุดท้ายก่อนสอบเราหยุดการเรียนทุกอย่าง แล้วเริ่มทวนจุดพลาดในแต่ละวิชาของเรา และก็จัดกระเป๋าวัดสอบ ตรวจสอบอุปกรณ์เครื่องเขียนและเอกสารต่างๆให้พร้อมค่ะ เพราะถ้าเกิดขาดอะไรขึ้นมาจะได้ซื้อทัน ไม่ลนคืนก่อนสอบค่ะ

 

ข้อผิดพลาดในรอบ Admission

สำหรับน้องๆม.4 ม.5 นะคะ

1. ถ้าน้องสงสัยตรงไหน มีตรงไหนที่รู้สึกยังไม่เคลียร์ ให้รีบไปทำความเข้าใจหรือถามอาจารย์ตั้งแต่เนิ่นๆเลยค่ะ ถ้าเก็บความสงสัยไว้กับตัวเองเรื่อยๆจะทำให้การทวนเนื้อหา การทำโจทย์ตอนม.6 ยากขึ้นไปอีกค่ะ ถ้าน้องเป็นพวกขี้ลืมแบบเรา ตอนน้องได้คำตอบแล้วจะจดเอาไว้สำหรับเอามาทวนตอนขึ้นม.6 ก็ได้ค่ะ แต่เอาให้มั่นใจว่าภาษาที่น้องใช้ พอหลายปีถัดมากลับมาอ่าน น้องจะยังเข้าใจอยู่ ระวังการย่อคำจนอ่านไม่เข้าใจด้วยนะคะ
 

2. น้องยังมีเวลา เราไม่แนะนำให้อ่านแค่หนังสือสรุปอย่างเดียวเพียงเพราะมันบางกว่าหรือถูกกว่าหนังสือเนื้อหานะคะ มันใช้ดูภาพรวมของวิชาได้ แต่ถ้าพึ่งพาสรุปเป็นหลักจะทำให้น้องทำข้อสอบวิเคราะห์ไม่ได้ เพราะน้องไม่ได้เข้าใจมันจริงๆค่ะ (แล้วส่วนตัว ถ้าให้จำอย่างเดียวแต่ไม่เข้าใจเราจำไม่ได้ค่ะ 555)
 

3. ต่อให้เวลาน้องจะยังเหลืออยู่มาก อยากให้น้องๆเต็มที่กับทุกการเรียนของน้องนะคะ มันจะช่วยลดภาระตอนม.6 ได้ ก่อนขึ้นม.6 เราเรียนหนังสือไปเรื่อยๆ ฟังเค้าไปเรื่อยๆ เหม่อบ่อย แค่จดๆไม่ได้คิดตามที่เค้าสอน การเรียนเลยไม่ได้ประสิทธิภาพนัก และที่สำคัญ อย่าลืมทบทวนบ่อยๆค่ะ ไม่งั้นการเรียนพิเศษตอนต้นปี ลืมปลายปีจะเกิดขึ้นเหมือนกับที่เกิดกับเรา และตอนนั้นก็จะลนว่าใกล้สอบแล้วแต่ไม่รู้อะไรเลยค่ะ พยายามเรียนให้รู้เรื่องไปเลย อย่าท่องเนื้อหา 1 วันก่อนสอบประจำภาคแล้วลืมทันทีหลังสอบเสร็จแบบเรานะ
 

4. จำนวนชั่วโมงเรียนที่มาก ไม่ได้หมายความว่าเราจะเก่งมาก การจะเรียนได้ดี ขึ้นอยู่กับประสิทธิภาพในการเรียนค่ะ เพื่อนเราบ้างคนใช้เวลาเรียนน้อยกว่าเราอีก แต่เวลาที่เค้าเรียนนั้นเค้าโฟกัสมากๆ เค้าก็ทำคะแนนได้ดี 

สิ่งที่เราอยากจะบอกก็คือ น้องควรรู้ว่าลิมิตในการเรียนของน้องอยู่แค่ไหน เมื่อถึงจุดไหนต้องพักเบรค ถ้าน้องยังทนเรียนต่อไปทั้งๆที่น้องล้า รับไม่ไหวแล้ว สิ่งที่เรียนไปมันก็จะไม่เข้าหัวเลย สู้พักเบรกไป 5-10 นาทีแล้วกลับมาเรียนต่อจะมีประสิทธิภาพมากกว่าค่ะ
 

5. จดสรุปไม่ใช่ทุกอย่าง อย่าเสียเวลากับมันมาก โดยเฉพาะการลอกคำจากหนังสือมาเขียนในสรุปอีกทีไม่เวิร์คเลยค่ะ ส่วนตัวเราคิดว่าถ้าเขียนสรุปแค่เพื่อให้เราเข้าใจคอนเซ็ปท์ ภาพรวมต่างๆ แล้วใช้วิธี recall จากความทรงจำหรือสอนคนอื่นน่าจะดีกว่าค่ะ



และนี่ก็คือ timeline การเตรียมตัวทั้งรอบ 1 และรอบ 3 ของเรานะคะ อยากให้น้องๆได้เห็นข้อผิดพลาดในอดีตของพี่ แล้วไม่ทำแบบเดียวกับที่พี่เคยทำนะคะ ส่วนกระทู้ต่อไปจะเป็นการเล่าถึงการเตรียมตัวในแต่ละวิชาของเรานะคะ

แสดงความคิดเห็น

>

2 ความคิดเห็น

ความคิดเห็นนี้ถูกลบ

เว็บไซต์ Dek-D.com ขอสงวนสิทธิ์ในการงด โพสต์ข้อความซื้อ/ขาย/แลกเปลี่ยน/โฆษณา สินค้าทุกชนิดในเว็บบอร์ด เพื่อไม่ให้เป็นการรบกวนผู้ใช้งานท่านอื่น