หยุดปลอบใจคนที่หมดไฟในการเรียนด้วยคำว่า"ให้นึกถึงหน้าคนข้างหลังที่เขาทำงานหาเงินส่ง" สักที!
ตั้งกระทู้ใหม่
เคยพบเห็นกันมั้ยครับว่าการที่เห็นคนหมดไฟในการเรียนมาโพสต์ตามกลุ่มตามแพลตฟอร์มต่างๆไม่ว่าจะหมดไฟมาจากสาเหตุอะไร ได้โปรดหยุดใช้คำพูดที่ว่าให้นึกถึงหน้าพ่อหน้าแม่หรือหน้าคนข้างหลังที่เขาทำงานส่งสักที คำที่กล่าวมาข้างต้นมันไม่ใช่คำที่ไม่ดีเลยมันอาจจะใช่ได้กับบางคน แต่ว่าคำนี้มันก็เป็นดาบสองคมได้เหมือนกัน มันคือคำที่อาจเป็นการเพิ่มความกดดันให้เขาด้วยซ้ำแทนที่มันจะเป็นคำปลอบใจ คนที่หมดไฟเขาอาจจะทำมันได้เต็มที่ที่สุดของเขาแล้ว แต่เพราะเขาหมดไฟที่จะสู้ต่อเพราะความเครียดของเขาเองคนเรามันมีการจัดการความรู้สึกที่ต่างกันได้โปรดอย่าตัดสินเขาเพียงแค่เขาบอกว่าหมดไฟ
5 ความคิดเห็น
ถ้าพ่อแม่ส่งให้เรียนแล้วไม่อยากเรียนลองลาออกแล้วหาเลี้ยงตัวเองโดยไม่ขอเงินพ่อแม่ดูไหม ทีนี้ไฟน่าจะมานะเพราะน่าจะรู้ตัวว่าที่มีข้าวกินอยู่ทุกวันนี้เพราะใคร
ใช่ หนังสือไม่ควรเรียนเยอะ จบ ป6 อ่านออกเขียนได้ก็พอแล้ว
ไม่เห็นด้วยประเภทชอบดันให้ไปเรียนสูง ๆ เสียเวลาอาจารย์สอนเปล่า ๆ เพราะมันยาก
ออกมาทำมาหากินดีกว่า แนะนำใครตกงานให้ขายเต้าฮวยรถเข็นนะ
แถวบ้านเมื่อก่อนจะมีอากงมาขายเต้าฮวยทุกเย็น เดี๋ยวนี้ไม่มีแล้ว
อาชีพหายากความต้องการลูกค้ามีสูง แนะนำๆ รายได้ดีแน่
ถ้าอยากได้คำตอบที่ถูกใจก็ไม่ต้องโพสหรอกมั้ง บังคับให้คนเค้าตอบตามต้องการได้ด้วยเหรอ ตัวเองคือศูนย์กลางจักรวาลเหรอ หงุดหงิดใส่คนอื่นแบบนี้ระวังจะลามไปซึมเศร้านะจะยอกให้ ไม่อยากป่วยต้องคิดบวกและปล่อยวาง คุณเหนื่อยคนอื่นก็เหนื่อย ไม่ใช่ทุกคนหมดไฟ ทำไมคนอื่นจัดการตัวเองได้ล่ะ เอาแบบคห.2 ก็ได้นี่ ไม่ต้องเรียนหรอกมันเหนื่อยหมดไฟเปล่าๆ ทำงานง่ายๆก็อยู่ได้เหมือนกัน สู้กับงานอื่นแทนก็ได้ไม่เห็นต้องเครียดเลย อีกอย่างคุณคิดว่าสิ่งที่คุณโพสในกระทู้นี้เป็นคำที่คนอื่นอ่านแล้วรู้สึกดีงั้นสิ และการที่เค้าบอกให้สู้เพราะเสียดายเงินพ่อแม่มันก็ไม่เห็นจะเป็นการตัดสินตรงไหนเลย คุณน่ะทัศนคติลบมากเลยรู้ตัวมั้ย คุณถึงได้เครียดและจัดการชีวิตตัวเองไม่ได้ ปล่อยให้ตัวเองเครียดจนหมดไฟ แถมคนอื่นเค้าก็คอมเม้นกันแบบมีเหตุมีผลบนพื้นฐานความเป็นจริงทั้งนั้น คุณก็เครียดจนรับไม่ได้มาโวยวายในกระทู้นี้อีก คุณนั่นแหละตัวตัดสินเลย คนอื่นเค้าแนะนำให้คุณนึกถึงพ่อแม่แต่คุณกลับตัดสินชาวบ้านเค้าว่าไม่ใช่คำพูดที่ดีและใช้ได้กับบางคน ซึ่งมะนไม่มีใครรู้หรอกว่าคุณจะคิดลบกับคำแนะนำธรรมดาได้ขนาดนี้เพราะไม่มีใครเค้าเป็นพ่อเป็นแม่คุณ ถ้าคุณมีเหตุผลไม่ได้มีแต่ความเครียดบังตาเรื่องแค่นี้คุณก็คิดได้ อยากได้คำปลอบใจทำไมไม่ไปให้เพื่อนปลอบล่ะ ไม่มีเพื่อนเหรอ รึเพื่อนยังไม่อยากปลอบถึงต้องมาหวังพึ่งคนแปลกหน้าแล้วก็มาว่าเค้าแบบนี้ เครียดแค่ไหนตราบเท่าที่ไม่ได้ป่วยซึมเศร้าก็ยังมีสติได้นี่ ตั้งสติหน่อย เครียดก็ไปพัก ไปหาวิธีคลายเครียด ดูคลิปยูทูปก็ได้ ช่องปลอบใจเยอะแยะ ค้นไม่เป็นเหรอ
เอาจริงผมเห็นด้วยกับ จขกท นะ แต่คุณ คห.3 ก็ไม่ผิด คุณบังคับคนอื่นให้พูดในสิ่งที่ต้องการไม่ได้หรอก แต่ดูเหมือนทุกคนดูจะหลุดประเด็นจากที่ จขกท. จะสื่อนะ
จขกท. แค่จะสื่อว่า ช่วยระวังคำพูดเวลาจะแนะนำคนที่เจอภาวะ burnout หน่อย เขาไม่ได้พูดเลยว่าตัวเองกำลังเจอภาวะ burnout แค่เตือนว่าอย่าแนะนำด้วยคำพูดในลักษณะที่ว่า "ลองคิดถึงพ่อแม่ที่คอยหาเงินส่งสิ" การให้คำแนะนำแบบนั้นมันเป็นดาบสองคม และอาจทำให้คนที่มาขอความช่วยเหลือดิ่งกว่าเดิมได้ครับ
ผมจะอธิบายเพิ่มในมุมของผมนะ เวลาคนมันหมดไฟ ส่วนใหญ่มันเกิดเพราะคนกลุ่มนี้พยายามมากจนเกินไปมากกว่าครับ คนที่ี่เกิด burnout ไม่น่าใช่พวกที่ไม่สนห่าเหวอะไรในชีวิตหรอก จากประสบการณ์ตรงที่ผมเจอภาวะ burnout แบบจริงๆ อะนะ มันไม่น่าจะเกิดกับคนพวกนั้น เพราะภาวะ burnout มันเกิดจากการที่คุณพยายามยังไงคุณก็ยังไม่เห็นปลายอุโมงค์ซักที คุณพยายามแทบตายจนคุณท้อ ไม่ก็คุณได้รับแรงกดดันมากๆ จนคุณทนไม่ไหว ซึ่งพวกที่ไม่สนโลกอะไรเลยเขาไม่น่าเกิดความคิดแบบนี้ตั้งแต่แรก คนกลุ่มนี้ ให้ผมเดานะ ถ้าไม่ลองลงมือทำเลย ก็คือไม่สนใจแรงกดดันเลยตั้งแต่แรก คนกลุ่มนี้ผมเลยมองว่าเป็นพวกที่ไม่น่าได้เจอ burnout หรอกครับ
ดังนั้น คนที่เจอ burnout ปกติคงพยายามเพื่อเป้าหมายอะไรซักอย่างนั่นแหละ ซึ่งเพื่อพ่อแม่ก็อาจเป็นหนึ่งในนั้น การที่คุณไปให้คำแนะนำว่าลองหันไปดูคนที่คอยเลี้ยงดูสิ ผมว่าคงมีคนขอคำแนะนำน้อยคนมากที่จะเห็นคำแนะนำนี้เป็นประโยชน์ ส่วนใหญ่ ถ้าไม่มองว่าเป็นคำแนะนำที่ไร้ประโยชน์สุดๆ ก็คงเป็นการไปตอกย้ำแผลในใจพวกเขานั่นแหละ คุณลองคิดดู สมมติคุณกำลังพยายามเพื่อครอบครัวมากๆ พยายามหาทุกวิถีทางเพื่อทำให้ครอบครัวของคุณไม่พังทลายลงไป ลองคิดว่าคุณตกงานก็ได้ ตกงานตอนอายุ 45 ปี อาชีพการงานคุณเดิมทีก็ไม่ได้มีตำแหน่งมั่นคงอะไรนักหนา คุณพยายามไปสัมภาษณ์งานใหม่จนคุณท้อ ว่างงานมา 3 เดือนแล้วเอาไงดี คุณลองไปปรึกษาใครซักคน แล้วเขาตอบกลับมาว่าลองคิดถึงคนที่บ้านสิ คุณจะรู้สึกไงอะ ถ้าเป็นคนที่มองแง่ดีหน่อย เห็นหน้าคนที่บ้านแล้วคงใจชื้นขึ้นบ้างแหละ แต่ถ้าคนที่เขาพยายามจนไม่รู้จะพยายามยังไงแล้ว ยิ่งคิดคงยิ่งตระหนกกว่าเดิมอะครับ สารพัดปัญหาจะยิ่งถาโถมขึ้นมา จะเอาเงินที่ไหนเลี้ยงที่บ้านกิน แล้วค่าเทอมล่ะ ค่านู่นล่ะ ค่านี่ล่ะ ยื่นใบสมัครตั้งหลายที่แล้วก็ยังไม่ได้ซักที ค่าเช่าบ้านต้องจ่ายในอีก 3 วัน เงินจะจ่ายก็ไม่มีแล้ว จะกลับไปพึ่งที่บ้านก็ไม่ได้เพราะที่บ้านก็ลำบากเหมือนกัน แล้วคืนวันนั้นน้ำท่วมเข้าบ้านอีก อะไรเถือกนั้นแหละครับ ผมคงยกตัวอย่างได้ไม่ค่อยสมจริงเท่าไหร่หรอก ผมยังเรียนไม่จบเลย แต่หวังว่าจะช่วยทำให้เห็นเวลาคนคิดลบเขาจะคิดกันประมาณไหนนะครับ
รายชื่อผู้ถูกใจความเห็นนี้ คน
แจ้งลบความคิดเห็น
คุณต้องการจะลบความคิดเห็นนี้หรือไม่ ?