Dek-D.com ใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสบการณ์ของ
ผู้ใช้ให้ดียิ่งขึ้น เรียนรู้เพิ่มเติมที่นี่
ยอมรับ

ธรรมดีที่พ่อทำ บทที่ 1 โอกาสทองของชีวิต

ตั้งกระทู้ใหม่
ตั้งกระทู้ใหม่

เช่นเดียวกับคนไทยกว่า 60 ล้านคนทั่วประเทศ ผมรู้สึกว่าเสมอว่าเป็นคนโชคดีที่สุด ที่ได้เกิดมาอยู่ในแผ่นดินของพระมหากษัตริย์ผู้ยิ่งใหญ่ที่สุดในโลก ผู้ทรงได้รับการบันทึกไว้ในประวัติศาสตร์โลกในหลากหลายมิติ ..

 
แต่ในมิติที่สำคัญสุด คือ ทรงเป็นพระมหากษัตริย์ผู้ทรงเป็นที่รักยิ่งของคนไทยและชาวต่างประเทศทั่วโลก ทรงเป็นที่สุดด้านคุณธรรมความดีงาม ความวิริยะอุตสาหะ ทรงเป็นภาพลักษณ์ที่โดดเด่นงดงามเมื่อชาวต่างประเทศได้ยินคำว่าประเทศไทย จะนึกถึง ‘คิงภูมิพล’ ทันที นอกจากนี้ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวยังทรงเป็นต้นแบบของโลกด้านนวัตกรรม ปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงและพระอัจฉริยภาพอันเป็นเอกอีกหลายสาขา ที่นานาอารยประเทศพร้อมใจกันถวายพระเกียรติยศสูงสุด





ตลอดชีวิตการเกิดมา ผมเห็นพระองค์ท่านทรงปฏิบัติพระราชกรณียกิจนานัปการอย่างไม่เหน็ดเหนื่อย เสด็จไปทุกหนแห่งในถิ่นทุรกันดาร โครงการแล้วโครงการเล่า ถูกสร้างขึ้นเพื่อให้คนไทยมีสถานที่ทำมาหากิน สร้างพื้นฐานของชีวิตด้วยความสุขและความพอเพียง ภูเขาหัวโล้นกลับกลายเป็นป่าไม้อันอุดมสมบูรณ์  มีต้นน้ำลำธารชุบเลี้ยงชีวิต ฉ่ำเย็นด้วยธรรมะแห่งพระราชาที่ทรงนำมาใช้ในการดูแลประชาชนอย่างเท่าเทียม




คำพูดที่พวกเรามักจะได้ยินบ่อยๆ ไม่ว่าจะจากปากคนไทยด้วยกันเอง หรือจากชาวต่างประเทศที่มีความคุ้นเคยกับเมืองไทย คือ

 

 ‘คนไทยโชคดีที่สุดในโลก… ที่มีพระเจ้าอยู่หัว’

 

ในฐานะคนไทยคนหนึ่งผู้มีความภาคภูมิใจในตัวตนและผืนแผ่นดินเกิด ผมมีความสุขและปลื้มปีติทุกครั้งที่ได้ยินคำพูดประโยคนี้ โดยเฉพาะเมื่อเดินทางไปต่างประเทศ หรือได้พบปะชาวต่างประเทศที่เดินทางเข้ามาในเมืองไทย หลายคนจะคะยั้นคะยอให้พาไปลงนามถวายพระพรที่โรงพยาบาลศิริราช เพื่อแสดงถึงความรักที่พวกเขามีต่อพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว หลายคนน้ำตาซึมด้วยความอิ่มเอมใจที่ได้ถวายความเคารพต่อพระสาทิสลักษณ์ และยังพูดซ้ำว่า

 

“พวกคุณโชคดีมากที่มีพระมหากษัตริย์พระองค์นี้…”

 

ฟังแค่นี้ผมก็รู้สึกซาบซึ้ง ตื้นตัน ภาคภูมิใจที่ได้เกิดมาเป็นคนไทย รวมถึงดีใจแทนคนไทยทุกคนที่มีพระมหากษัตริย์ที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในโลก ทว่าชาวต่างประเทศหลายคนก็มีคำถามต่อว่า

“…แต่ทำไมประเทศไทยถึงเป็นแบบนี้”

 

ผมฟังแล้วสะอึกกับคำถามที่ชวนสะกิดใจประโยคนี้ นั่นสิครับ คนไทยโชคดีเหลือเกินที่มีในหลวง แต่ทำไมประเทศไทยจึงเป็นแบบนี้

 

             หนึ่งในคำตอบที่เป็นไปได้ คือ เรามี Idol ที่ดีที่สุดในโลก แต่เราไม่เคย l do

 

คนเรามักมองข้ามสิ่งใกล้ตัวที่มีคุณค่าต่อชีวิตและจิตใจ เฉกเช่นอากาศ ตราบเท่าที่เรายังมีอากาศหายใจ เราคงไม่ตระหนักถึงคุณค่าของอากาศ บางคนแทบไม่เคยสังเกตและรู้สึกด้วยซ้ำว่ามีอากาศที่หมุนวนอยู่รอบตัว ทำให้เรามีลมหายใจ มีพลังงานหล่อเลี้ยงชีวิตให้สามารถรักษาธาตุขันธ์ให้สมบูรณ์เป็นปกติสุข แต่หากวันใดวันหนึ่ง หรือในบางสถานที่ที่ไม่มีอากาศเพียงพอ เราจะเริ่มรู้ซึ้งถึงคุณค่าและความสำคัญของอากาศที่เป็นพลังหล่อเลี้ยงชีวิต อยู่ทุกเมื่อเชื่อวัน แต่เราไม่เคยมองเห็น ไม่เคยสัมผัสหรือให้คุณค่าแต่อย่างใด





เช่นเดียวกัน หากวันใดวันหนึ่งเราขาดน้ำดื่มน้ำใช้ ขาดผืนแผ่นดินให้เราได้ทำกินและตั้งหลักปักฐานอย่างมั่นคงและอบอุ่น ขาดป่าอันอุดมสมบูรณ์ด้วยต้นไม้ ลำธาร รวมทั้งสรรพสิ่งที่เป็นธรรมชาติเกื้อกูลชีวิตรอบตัว คงเป็นวันนั้นที่เราได้ตระหนักว่า บางสิ่งบางอย่างที่สำคัญจำเป็นต่อชีวิตได้ขาดหายไป

 

คนเรามักเห็นคุณค่าของสิ่งสำคัญใกล้ตัว

เมื่อเราสูญเสียสิ่งนั้นไปแล้ว 

 

          ผมรู้สึกเสียดาย … ที่คนไทยมีสิ่งประเสริฐสูงสุดอยู่ในแผ่นดิน แต่กลับไม่ตระหนักถึงคุณค่าในสิ่งที่เรามี

         

          เสียดาย .. ที่เรามี Idol ที่ดีที่สุดในโลก แต่เราไม่เคย I do

 

เสียดาย.. ที่เรามีบุคคลต้นแบบที่คนทั่วโลกพากันยกย่องชื่นชม แต่แทบไม่มีใครที่ลุกขึ้นมาทำตามบุคคลต้นแบบของเราอย่างจริงจัง

 

คนไทยจำนวนมากได้แต่รักและศรัทธาในหลวง พากันเปล่งคำว่า ‘ทรงพระเจริญ’ เพื่อแสดงความจงรักภักดี บางคนปลื้มปีติจนหลั่งน้ำตาเมื่อได้มีโอกาสเห็นแม้เพียงพระพักตร์ของพระเจ้า อยู่หัวทางโทรทัศน์  แต่จะมีสักกี่คนที่จะลุกขึ้นมาเดินตามรอยพระยุคลบาท ปฏิบัติตัวดำรงตนตามที่พระองค์ทรงทำให้ดูตลอดระยะเวลา 60 กว่าปีที่ผ่านมา

 

คงไม่เป็นการกล่าวเกินจริงที่จะบอกว่า

คนไทย มี Idol ที่ดีที่สุดในโลก

แต่เราไม่เคย I do!

 

ย้อนไปสี่สิบกว่าปีก่อน พระเจ้าอยู่หัวเคยมีรับสั่งแก่บรรดาครูและนักเรียนที่เข้าเฝ้าถวายพระพรให้ ‘ทรงพระเจริญ’ ในวันเฉลิมพระชนมพรรษา ณ พระตำหนักจิตรลดารโหฐาน ในวันที่ ๕ ธันวาคม ๒๕๑๑ ว่า

 

“…ต้องขอร้องทุกคนที่ขอให้ ทรงพระเจริญ ให้ทำหน้าที่ เพราะถ้าพูดหรือคิดขึ้นมาว่า ขอให้ทรงพระเจริญ เป็นคำลอยๆ เก๋ๆ ตามสมัย โดยเฉพาะในวันเฉลิมพระชนมพรรษายิ่งต้องพูด อย่างนั่นแล้วก็จะไม่ได้ผล

แต่ถ้านึกว่าทรงพระเจริญ หมายความว่าประเทศของเราจงเจริญ ก็เกิดหน้าที่ขึ้นมา แต่ละคนเกิดหน้าที่ต่อประเทศชาติ….”

 

จากพระราชดำรัสที่พระราชทานให้คนไทยทั้งมวล ผมขออนุญาตสรุปใจความสำคัญ หากเราต้องการให้พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงพระเจริญ  พวกเราคนไทยต้องรวมพลัง ร่วมมือกันทำให้ประเทศชาติเจริญ ด้วยการทำหน้าที่ของตนให้ดีที่สุด





เป็นเด็กก็ทำหน้าที่อย่างเด็ก .. เป็นผู้ใหญ่ทำหน้าที่อย่างผู้ใหญ่ .. เป็นพ่อค้า เกษตรกร ข้าราชการ นักธุรกิจ ครูอาจารย์ ก็ทำหน้าที่ของตน …

สมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าจุฬาภรณวลัยลักษณ์ อัครราชกุมารี ทรงเปิดพระทัยอย่างตรงไปตรงมา ผ่านหนังสือ “ความในใจของข้าพเจ้า” จากบทพระราชทานสัมภาษณ์ในรายการวู้ดดี้เกิดมาคุย เนื่องในโอกาสเสด็จเป็นองค์ประธานในงานเปิดตัวหนังสือ เพื่อนำรายได้สมทบทุนมูลนิธิจุฬาภรณ์ช่วยเหลือผู้ป่วยโรคมะเร็ง ที่ศูนย์การค้าสยามพารากอน ในวันที่ 24 สิงหาคม พ.ศ. 2554 โดยตอนหนึ่งได้รับสั่งถึงธรรมะที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และ สมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ ทรงสอนและเน้นอยู่เสมอ นั่นคือ





“ให้มีสติและสำคัญที่สุดให้สำนึกรู้ในหน้าที่ที่ตัวเองมี ในฐานะที่ข้าพเจ้าเกิดเป็นลูกของ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ ท่านสอนให้รำลึกรู้ถึงหน้าที่ที่มีต่อประชาชนเป็นอย่างยิ่ง เพราะท่านบอกว่าพวกเราอยู่ได้ก็เพราะประชาชน เพราะฉะนั้นต้องทำทุกอย่างเพื่อประชาชนคนไทย

 

.. เกิดเป็นเจ้าต้องรับใช้ประชาชน …

 

พร้อมทั้งทรงตอบคำถามถึงพลังใจยิ่งใหญ่ที่ทำให้ทรงทำงานลุล่วง แม้ว่าจะทรงพระประชวร





“พลังใจใหญ่มีจากสามพระองค์ด้วยกันที่เป็นแบบอย่างในการทำงานเพื่อส่วนรวม  พระองค์แรก คือ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และพระองค์ที่สอง คือ สมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ  เพราะว่าตั้งแต่เด็กมาเห็นตัวอย่างจากพ่อจากแม่ที่ทำงานทุกอย่างเพื่อ ประชาชน  เราทำตัวให้เป็นประโยชน์กับเพื่อนมนุษย์ได้แค่ไหน อันนี้เป็นแก่นสารของชีวิต ยิ่งเราทำให้เพื่อนมนุษย์ได้แค่ไหน นี่มันเป็นความปลาบปลื้มที่ย้อนเข้ามาหา เราทำให้มีพลังใจยิ่งขึ้นที่จะทำงาน  และองค์ที่ 3 ที่เป็นแรงบันดาลใจของข้าพเจ้าคือหลวงตามหาบัว  ซึ่งท่านเป็นพ่อบุญธรรม “





(ภาพพระราชทานจาก หนังสือ “ความในใจของข้าพเจ้า”)

จะเห็นได้ว่า ทั้งสามองค์ทรงทำเพื่อผู้อื่นตลอดเวลา ไม่เคยทำสิ่งใดเพื่อพระองค์เลย … ตอนเด็กๆ ก็ไม่เข้าใจว่า ทำไมทูลกระหม่อมพ่อต้องทรงงานหนักขนาดนี้ แต่ตอนนี้เริ่มโตขึ้น ก็เข้าใจมากขึ้น และเห็นว่าพระองค์ทรงมีพระชนมายุมากแล้ว แก่แล้ว จะให้ทรงงานหนัก เสด็จไปตามสถานที่ต่างๆ เหมือนแต่ก่อนก็คงไม่ไหวแล้ว …

 

…………………………..

 

เป็นความรู้สึกปลาบปลื้มปีติเป็นอย่างยิ่ง ในฐานะพสกนิกรผู้หนึ่งที่ได้เฝ้าฯ รับเสด็จสมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าจุฬาภรณวลัยลักษณ์ อัครราชกุมารี  ใน โอกาสเสด็จเปิดตัวหนังสือ ‘ความในใจของข้าพเจ้า’ ได้มีโอกาสร่วมนั่งเจริญสมาธิพร้อมกับพระองค์ และรับฟังเรื่องราวที่ทำให้พวกเราทุกคนได้สำนึกของการทำหน้าที่ในการได้เกิด มาเป็นคนไทย อาศัยอยู่บนผืนแผ่นดินนี้ ดังนั้น ทุกครั้งที่เราเปล่งคำว่า ‘ทรงพระเจริญ’  ขอ ให้ทุกคนลุกขึ้นมาทำหน้าที่ของตนให้สุดกำลังความสามารถเท่าที่จะทำได้ เพียงเท่านี้เราก็สามารถเปล่งคำๆ นี้ ได้อย่างไม่ขัดเขิน เป็นการระลึกไว้เสมอว่า เมื่อมี Idol แล้วเราต้อง I do!

 

I do คือ

 การคิด ๑ เปอร์เซ็นต์

พูด ๔ เปอร์เซ็นต์

ลงมือทำ ๙๕ เปอร์เซ็นต์

หมดเวลาที่เราจะมามัวแต่คิด มัวแต่พูด แต่ไม่เคยลงมือกระทำ การกระทำกิจการงานสิ่งใดให้บังเกิดผลนั้น ควรคิดน้อย พูดน้อย แล้วลงมือทำ เป็นการทำด้วยมือและหัวใจ ไม่ใช่ทำด้วยปาก ดังพระบรมราโชวาทที่กล่าวไว้ในหนังสือ ‘พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวกับงานด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี’ ความตอนหนึ่งว่า …





“ถ้ามัวแต่ไปคิดอย่างนักวิทยาศาสตร์ ทำอะไรไม่สำเร็จหรอก คิดอะไรก็ทำไปเลย ผิดถูกค่อยแก้ไป แล้วเดี๋ยวมันก็ค่อยๆ ได้ออกมาเอง ถ้ามัวแต่คิดแล้วไม่กล้าทำ มันจะไม่มีอะไรสำเร็จขึ้นมาสักอย่าง”

 

บุญยิ่งใหญ่ที่ได้เกิดอยู่ใต้ร่มพระบารมี

 

การเกิดมาเป็นมนุษย์นั้นยากยิ่ง พระพุทธเจ้าทรงเปรียบภาพให้เราเห็นว่า การได้เกิดเป็นมนุษย์นั้นเป็นเรื่องยากยิ่ง ต้องมีบุญมาก อุปมาเหมือนเต่าตาบอดตัวหนึ่งดำน้ำอยู่ในทะเล ทุกๆ ๑๐๐ ปี เต่าตาบอดจะโผล่หัวขึ้นมาหายใจหนึ่งเฮือก ในท้องทะเลกว้างใหญ่ไพศาลมีห่วงเล็กๆ ขนาดใหญ่กว่าหัวเต่าลอยอยู่ ๑ ห่วง โอกาสที่เต่าตาบอดตัวนั้นจะโผล่ขึ้นมา แล้วเผอิญหัวเต่าสวมเข้าพอดีกับห่วงนั้นยากเพียงใด โอกาสนั้นก็ยังมีมากกว่าการที่เหล่าสรรพสัตว์จะได้มาเกิดเป็นมนุษย์

 

หลังพระพุทธองค์เสด็จดับขันธปรินิพพาน กาลเวลาล่วงมากว่าสองพันห้าร้อยปี คนไทยในยุคปัจจุบัน นับได้ว่าเป็นผู้ที่มีบุญสูง ที่ได้เกิดมาในดินแดนที่ยังมีพระพุทธศาสนาและหลักธรรมคำสอนอย่างสมบูรณ์ ที่สำคัญยิ่ง หากเราไม่มีสั่งสมบุญมามากพอ เราคงไม่ได้เกิดมาทันแผ่นดินของพระมหากษัตริย์ผู้ยิ่งใหญ่ที่สุดในโลกพระองค์นี้

 

นี่คือ ประวัติศาสตร์ครั้งสำคัญของประเทศไทยที่มีพระมหากษัตริย์ผู้ยิ่งใหญ่ ผู้ทรงเปี่ยมล้นด้วยพระเมตตาต่อพสกนิกร หากพิจารณาอย่างถ่องแท้ ทุกคนจะประจักษ์ความจริงแก่ใจว่า …





ตลอดระยะเวลากว่า ๖๐ ปี แห่งการครองแผ่นดิน

พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงทำอย่างเดียว

นั่นคือ คือ ทรงทำเพื่อคนไทยทั้งปวง

 

ใต้ฝ่าละอองธุลีพระบาท






คำราชาศัพท์ที่ใช้เป็นสรรพนามเมื่อต้องการจะกราบบังคมทูลพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว คือคำว่า ‘ใต้ฝ่าละอองธุลีพระบาท’ เป็นคำที่เหมาะสมที่สุด เพราะใต้ฝ่าพระบาทของพระองค์ มีแต่ฝุ่น ดิน ละอองธุลี จากการเสด็จพระราชดำเนินทั่วประเทศ ไม่มีที่ไหนบนผืนแผ่นดินไทยที่พระองค์เสด็จไปไม่ถึง ด้วยพระบาทของพระองค์เอง เพื่อดูแลทุกข์สุขของราษฏร เพื่อใกล้ชิดกับประชาชนของพระองค์ ตามพระราชกระแสรับสั่งว่า

 

‘ที่อยู่ของข้าพเจ้า คือ ที่ที่อยู่ท่ามกลางประชาชนคนไทยทั้งมวล’

 

ฉะนั้น ทุกครั้งที่เรามีโอกาสได้กล่าวคำว่า ‘ใต้ฝ่าละอองธุลีพระบาท’ ขอให้ระลึกด้วยความสุขใจและปลื้มปีติว่า สองพระบาทนี้ได้เสด็จพระราชดำเนินไปเหยียบหิน ดิน ทราย กรวด ก้อนอิฐ ฝุ่น ย่ำน้ำ ลำคลอง หนองบึง ทั่วราชอาณาจักรอย่างไม่หยุดหย่อน






จะมีพระมหากษัตริย์องค์ใดในโลก ที่พระบาทจะเปื้อนฝุ่น โคลน ตม

เพื่อคนไทยได้ถึงเพียงนี้!

 

ในการอภิปราย “60 ปี ทรงครองราชย์” ณ ศูนย์ประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ วันที่ 9 มิถุนายน 2549  ท่านสวัสดิ์ วัฒนายากร องคมนตรีได้กรุณาเล่าถึงประสบการณ์ที่ได้ตามเสด็จฯ ในวันทรงงานว่า หนทางที่เสด็จฯ ไปนั้นบางคราวทุรกันดารมาก

 

มีอยู่ครั้งหนึ่งนอกจากหนทางเสด็จฯ จะทุรกันดารเป็นหลุมเป็นบ่อ อย่างที่ทรงเรียกว่าทาง “ดิสโก้” แล้ว ผู้นำเสด็จฯ ยังนำหลงทางอีกด้วย จนพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวต้องทรง “นำทาง” ผู้นำเสด็จฯ แทน และแม้พระอาทิตย์จะลับขอบฟ้า หนทางข้างหน้าเริ่มมืดมิด แต่เมื่อทรงมุ่งมั่นแล้วก็ไม่ทรงคำนึงถึงความยากลำบาก







“…ไปถึงจุดก็มืดค่ำแล้วครับ รถไปถึงแล้วต้องทรงพระดำเนินอีกเป็นกิโลสองกิโลท่ามกลางความมืด ไปเจอบ้านชาวบ้านมีรั้วลวดหนามกั้น ผมจำได้ว่าเป็นรั้วลวดหนามที่ค่อนข้างสูง ก้าวข้ามไม่ได้ ต้องใช้มือดึงรั้วขึ้น พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวต้องทรงลอดรั้วลวดหนาม

 

คิดดูสิครับ มีพระเจ้าแผ่นดินที่ไหนที่ต้องมาลอดรั้วลวดหนามเพื่อมาช่วยเหลือราษฎรแล้ว ท่านยังหันมารับสั่งกับผมว่า อธิบดีอย่าลืมมาซ่อมรั้วให้เขาด้วยนะ…”

 

ขณะที่ ดร.สุเมธ ตันติเวชกุล กล่าวในการอภิปรายคราวเดียวกันว่า

“…ที่สบายๆ นั้นไม่ค่อยเสด็จฯ หรอกครับ เพราะที่สบาย ๆ นั้นไม่มีปัญหา ส่วนมาก

จะเสด็จฯ ไปในที่ที่มีปัญหา คือที่ที่ทุรกันดารที่สุด…”







เมื่อเรารู้อยู่แล้วว่า ‘เราโชคดี’ มีสิ่งประเสริฐสูงสุด ได้เกิดทันในแผ่นดินนี้ เกิดทันในแผ่นดินที่พระเจ้าแผ่นดินรักประชาชนมากที่สุดในโลก เป็นผู้มีบุญญาธิการสูง เป็นมหาบุรุษผู้เป็นพลังแห่งแผ่นดิน นี่คือโอกาสทองของชีวิต เราไม่ควรปล่อยให้จังหวะสำคัญของชีวิตผ่านเลยไป โดยที่เราไม่เคยลุกขึ้นมาทำอะไร เพราะฉะนั้นตอนนี้เรายังมีโอกาสอยู่ อยากให้คนไทยลุกขึ้นมา

 

เพราะว่า….

บุญเก่า นำเรามาส่งตรงนี้

บุญเก่า นำเรามาส่งเป็น ‘คนไทย’ ในแผ่นดินพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวพระองค์นี้

นี่คือ โอกาสทองของชีวิตที่เราจะร่วมกันสร้าง ‘บุญใหม่’ ตามรอยพระยุคลบาท

 

 

คนไทยทั้งชาติต้อง ‘ลุก’ ขึ้นมาสร้าง ‘บุญใหม่’ ตามรอยพระองค์ท่าน

เพื่อไม่ให้โอกาสทองของชีวิตผ่านเลยไป

นี่คือ ช่วงเวลาสำคัญที่จะเกิดขึ้นเพียงครั้งเดียวในสังสารวัฏฏ์

ไม่สามารถย้อนกลับมาได้อีก และไม่สามารถเกิดซ้ำได้อีก

 

 

สาเหตุที่กล่าวว่าเป็นโอกาสทองของชีวิต เป็นเพราะ

 

หนึ่ง   ภพชาติต่อไป เราไม่สามารถรับประกันว่าจะได้เกิดเป็นมนุษย์อีก

สอง    หากมีโอกาสได้เกิดเป็นมนุษย์ เราไม่สามารถทราบได้ว่าจะเกิดมาเป็นคนชาติใด

สาม   หากโชคดีได้เกิดมาบนผืนแผ่นดินไทย เราจะมีโอกาสได้เกิดมาอยู่ใต้ร่มพระบารมีพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดชอีกหรือไม่

 

เส้นทางเดินแห่งเวลา ไม่สามารถย้อนกลับ หมุนเวียนมาใช้อีกไม่ได้ ขอโอกาสซ้ำสองก็ไม่ได้  เวลาเป็นสิ่งเดียวในจักรวาลที่ผ่านแล้วผ่านเลย

 

ถึงเวลาแล้ว ที่เราควรใช้โอกาสทองของชีวิตในการลุกขึ้นมาทำตาม สิ่งที่ในหลวงทรงทำให้พวกเรา ‘ดู’ ทั้งชีวิต เป็นโอกาสเพียงครั้งเดียวที่ได้เกิดขึ้นแล้วอย่างงดงามบนเส้นทางอันยาวไกล แห่งสังสารวัฏฏ์

 

แล้วเราจะไม่รู้สึกเสียดายว่า เราไม่ได้ลงมือทำ ตอนที่ยังมีโอกาส!

 

หน้าที่ของคนไทย คือ

ทำตามสิ่งที่ในหลวง

ทรง ‘ทำให้ดู’

ทรง ‘อยู่ด้วยการให้



ที่มาจาก http://dc-danai.com/archives/2307





แสดงความคิดเห็น

>

1 ความคิดเห็น