Dek-D.com ใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสบการณ์ของ
ผู้ใช้ให้ดียิ่งขึ้น เรียนรู้เพิ่มเติมที่นี่
ยอมรับ

พระศรีอารย์ในจิตทัศน์ของนอสตราดามุส คำทำนายเช่งเคย เเต่เเปลกกว่าอันอื่นหน่อย

ตั้งกระทู้ใหม่
ตั้งกระทู้ใหม่
พระศรีอารย์ในจิตทัศน์ของนอสตราดามุส


" เสียงนุ่มนวลแห่งมิตรไมตรีอันศักดิ์สิทธิ์ ได้ยินจากแผ่นดินทิพย์ แสงเพลิงมนุษย์ ฉายรองรับเสียงประเสริฐนั้น จะเป็นเหตุให้โลกต้องเปื้อนเลือด สมณเพศทั้งหลายที่ไม่ยึดถือศีล (พรหมจรรย์) และนำไปสู่การทำลายโบสถ์วิหารที่ไร้ความบริสุทธิ์ "
(ซ.1 ค.96 )

นับว่าเป็นเรื่องที่น่าแปลกน่าอัศจรรย์อย่างมากเลยทีเดียว ที่นอสตราดามุสได้เขียนโคลงทำนายบทนี้ขึ้นเมื่อ 450 ปีก่อน ภายใต้สังฆจักรโรมันคาทอลิก สมมุติว่าท่านได้มีโอกาสศึกษาพระธรรมคำสั่งสอนของสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ซึ่งมีประวัติยาวนานถึง 2,000 ปีกว่ามาแล้วในสมัยนั้น ท่านคงจะไม่กล่าวถึงพระศรีอาริยเมตไตรยอย่างแน่นอน ถ้าในจิตทัศน์ของท่านไม่ได้เห็น สัจธรรมบางอย่างที่จะเกิดขึ้นในอนาคต และมีส่วนสัมพันธ์กับศรัทธาใหม่ของโลกโดยตรง คำว่า " มิตรไมตรีอันศักดิ์สิทธิ์ " นี้จะเป็นอื่นไปไม่ได้นอกจากพระนามของพระศรีอาริยเมตไตรย เพราะคำว่า " เมตไตรย " นี้ แปลว่า " เพื่อน " ในความหมายของภาษาบาลี สันสกฤต บุคคลผู้นี้เป็น Sacred Friend จะเป็นใครก็ตาม แต่การใช้คำว่า " มิตรไมตรีอันศักดิ์สิทธิ์ " หรือ " เพื่อนผู้ศักดิ์สิทธิ์ " แสดงให้เห็นว่าผู้ที่จะมาโปรดสัตว์ในโลกยุคนี้ จะไม่ใช่เป็นบุคคล

ธรรมดาอย่างแน่นอน อีกทั้งมาจากแผ่นดินอันศักดิ์สิทธิ์ หรือ Holy Ground อีกด้วย ก็ยิ่งชี้ชัดว่าน่าจะเป็นองค์พระศรีอาริยเมตไตรย ซึ่งนายจอห์น ฮอค ฟันธงว่าจะเสด็จมาในโลกนี้ประมาณ ระหว่างคริสต์ศักราช 2000 ( พ.ศ.2543 ) หรือกว่านั้นเล็กน้อย ซึ่งใกล้เคียงกับวันเวลาที่พระเยซู หรือพระมาซิ อาร์ พระมะห์ดีร์ ตามความเชื่อของมุสลิม จะเสด็จมาในวันพิพากษาโลกนี้ ซึ่งหลายฝ่ายเชื่อกันอย่างเงียบๆ ว่าอาจจะเป็นพระศาสดาโพธิสัตว์องค์เดียวกันก็ได้

การเสด็จมาของพระศรีอาริยเมตไตรย ก็คงต้องมาชำระสะสางความเสื่อมของศาสนาอยู่แล้ว ในภาวะที่มีการวิวัฒนาการ บรรดาพระสงฆ์สมณเพศผู้ยึดถือพรหมจรรย์ ก็คงไม่แตกต่างอะไรกับนักบุญทั้งหลายผู้เสียสละในอดีต วันเวลาแห่งการเปลี่ยนแปลงนั้นคงต้องผ่านขั้นตอนตามปรกติวิสัย ซึ่งบางครั้งอาจต้องมีความเจ็บปวดอันเกิดจากการต่อต้าน หรือขัดแย้งทางอุดมการณ์และความคิดเกิดขึ้น ซึ่งในหลายๆ กรณีที่เกิดขึ้นในอดีต การเสียสละของนักบุญอาจถึงกับต้องเลือดตกยางออก

" อังคารกับคฑาของจูปิเตอร์ (พฤหัส) เล็งลัคน์
เกิดสงครามมหาวิบัติภายใต้ราศีกรกฎ
หลังจากนั้นไม่นาน กษัตริย์ใหม่จะถูกสถาปนา
เป็นผู้นำสันติสุขมาสู่โลกมนุษย์เป็นเวลายาวนาน "
( ซ.6 ค.24 )

วรรคที่น่าสนใจในโคลงบทนี้ ได้แก่วรรคที่มีคำว่ากษัตริย์ ที่จะนำสันติสุขมาสู่โลกมนุษย์ หลายฝ่ายตีความกันว่า นอสตราดามุสกำลังพูดถึงวันที่โลกชำระบาปแล้ว หลังจากกลียุคอันเกิดจากสงคราม ภัยพิบัติอันเกิดจากธรรมชาติ หรือโรคระบาด โลกจะปรากฎผู้นำใหม่ที่มาในมิติที่อยู่เหนือธรรมชาติ อาจจะเป็นพระศรีอาริยเมตไตรย พระมาซิอา พระมะห์ดี หรือพระยาธรรมิกราช ที่เสด็จมาโปรดสัตว์ตามพุทธทำนาย ตามคำทำนายในพระคัมภีร์ไบเบิล หรือตามพระวัจนะในพระคัมภีร์กุรอ่านก็ได้

ตามการคำนวนทางโหราศาสตร์ โดยอาศัยหลักของดาราศาสตร์ ดาวอังคารจะเล็งลัคน์กับดาวพฤหัสหลังปี ค.ศ.1999 เป็นครั้งแรกในวันที่ 21 มิถุนายน ค.ศ.2002 (พ.ศ.2545) เพราะฉะนั้นเหตุการปาฎิหาริย์ที่จะทำให้ชาวโลกตะลึง น่าจะเกิดขึ้นในกำหนดเวลาดังนี้

ระหว่างเดือนกันยายน - ตุลาคม ค.ศ.2004 ( พ.ศ.2547 )
ระหว่างเดือนธันวาคม ค.ศ.2006 ( พ.ศ.2549 )
ระหว่างเดือนกุมภาพันธ์ ค.ศ.2009 (พ.ศ.2552 )
ระหว่างเดือนเมษายน- พฤษภาคม ค.ศ.2011 ( พ.ศ.2554 )

วันเวลาดังกล่าวที่บันทึกไว้ข้างต้นนี้ น่าจะเป็นการคำนวนเวลาของวาระแห่งการสิ้นยุค ของสังคมมนุษย์โลกจากหลักฐานต่างๆ เท่าที่จะเสาะหามาได้

" บรรยากาศ ท้องฟ้า แผ่นดินโลกจะมืดลง และถูกบดบังจนมืดครึ้ม แม้แต่คนไม่เชื่อศาสนา ยังพร่ำเรียกหาพระผู้เป็นเจ้ากับนักบุญ.... "
( ซ.9 ค.83 )

คำทำนายของนอสตราดามุสข้างต้นนี้ คล้องจองกับพุทธทำนายที่บอกว่า ท้องฟ้าจะมืดเจ็ดวันเจ็ดคืน ครุฑจะบินกลับถิ่นสถาพร คนจรจะกลับกรุง ฟูกจะมีหนาม ผีป่าจะเข้าบ้าน ผีบ้านจะเข้าไพร....และในพระคัมภีร์ไบเบิลกับพระคัมภีร์อัลกุรอ่าน ทำนายว่าพระอาทิตย์จะมืดลง ดวงจันทร์จะหยุดส่องแสง ดวงดาวบนท้องฟ้าจะร่วงหล่น...ช่างเป็นภาพที่น่าสะพรึงกลัวอย่างยิ่งเลยทีเดียว.....

( คัดลอกมาจาก หนังสือนอสตราดามุส ฉบับเพิ่มเติมเกี่ยวกับศรัทธาใหม่ เขียนโดยศาสตราจารย์เจริญ วรรธนะสิน )



แสดงความคิดเห็น

>

16 ความคิดเห็น

||-HeDw!g & P!gw!Dgeon-|| 7 ก.ค. 51 เวลา 20:45 น. 1

ถ้าถามเรานะ
เราว่าเราทำความดีไว้มากๆดีกว่า
คนเค้าจะทำนายอะไกทำนายไป..จะดีจะชั่ว อยู่ที่ตัวเรา


PS.  H e D w ! g >> P o t t e r m a n i a ...,, D R A M I O N E ,,...
0
ทิพย์ 3 ก.ย. 53 เวลา 20:38 น. 5

พระศรีอาริย์ส่งพระจิตของท่านมาอยู่ที่ลูกศิษย์ของพระพุทธเจ้าท่านหนึ่งซึ่งเป็นบุตรของพระศรีอาริย์เช่นกัน พระโพธิสัตว์ท่านนี้อายุเกิน50 หน่อยๆเป็นมนุษย์ที่ 3 โลกเตรียมไว้นานแล้วเพื่อทำให้สุวรรณภูมิยิ่งใหญ่เกรียงไกรเยี่ยงโบราณกาล จะเกิด 2 อย่างขึ้นคือทรัพย์สมบัติมากมายจะบังเกิดแก่สยามและผู้คนจะบรรลุธรรมอย่างมากมายทั่วโลก ไม่เกินปี 2555 พระโพธิสัตว์ท่านนี้มีชื่อเป็นพระนามเดิมของพระโคตมพุทธะและพระศรีอาริย์รวมกัน มีศรีษะแห่งภิกษุและใบหน้าแห่งฤาษีเป็นมนุษย์ที่ล้านปีอาจมีหนึ่งคน จงหากันให้เจอเถิดก่อนที่ท่านจะปลีกตัวเข้านิพพาน

0
นิติ 11 ธ.ค. 54 เวลา 20:40 น. 6

เรารักเป็นห่วงเพื่อนร่วมโลก แต่คนเดียวนี้ไม่รู้เป็นไงกัน ไปหมด เห็นแก่ตัว เอารัดเอาเปลี่ยบ เราท้อแท้&nbsp ความจริงใจมีน้อยเหลือเกิน

0
นิติ 11 ธ.ค. 54 เวลา 21:10 น. 7

คำทำนายของผม ศาสดาองค์ นี้จะลงมารวมศาสนาให้เป็นหนึ่ง คนชั่วถ้าไม่กลับตัวจะถูกลงโทษ คนดีจะอยู่ได้ ที่อยู่ของนรกจะกลับเป็นสวรรค์ ที่อยู่ของสวรรค์จะกลับเป็นนรก ผู้ปฎิบัติธรรมหรือมีธรรมจะเห็นคนมีหลายจริตให้ยึดติดกับเมตตา คาถา เมตตาธรรมค้ำจุนโลกา กรุณาธรรมค้ำจุนโลกา มุฐิตาธรรมค้ำจุโลกา อุเบกขาธรรมค้ำจุนโลกา ยังไม่ได้เรียบเรียง

0
ราฟาเอล 27 ม.ค. 55 เวลา 18:46 น. 8

ความลับสวรรค์ ถึงเวลาต้องเปิดเผย พระเจ้าสูงสุดถ่อมองค์ มาจุติเป็นลูกสามัญชน เป็นภาคหนึ่งของพระเยชูเจ้า นับถือศาสนาคาทอลิก ได้รับการเจิมเป็นกษัตริย์ด้วยเดชะพระจิต&nbsp เมื่อวันที่&nbsp 24&nbsp ธ.ค. 1999&nbsp ที่น่ายินดี คือเป็นคนไทยมีใบหน้าคล้าย ร.9 มีไฝที่บนคิ้วขวา สวมแว่นตา มารดาท่านใบหน้าคล้ายสมเด็จย่าสวมแว่น ขณะนี้ มีอายุ45 ปี เรื่องราวของท่าน ร.9 ท่านล่วงรู้และมีนิมิตถึงกัน เพียงแต่ร อเวลาอันสมควรในการประกาศ แต่งตั้งเท่านั้น&nbsp ที่แปลกคือ มารดาท่านอายุอ่อนกว่าสมเด็จย่า 33 ปี และท่านเองก็อายุอ่อนกว่ามารดาท่าน 33ปี&nbsp ชื่อท่านมี คำว่า&nbsp ฉัตร นำหน้า บิรรรดาท่านชื่อ&nbsp ฉัตร&nbsp บิดาท่านเสียชีวิตตรงกับวันเกิด คือวันคริสตมาสอีฟ 24&nbsp ธันวาคม 2530&nbsp ขอให้ชาวโลกผู้ชอบธรรมและถูกเลือกสรร&nbsp จงยินดีเถิด&nbsp ฟ้าใหม่แผ่นดินใหม่จะบังเกิด ณ.แผ่นดินสุวรรณภูมิ ซึ่งถูกจัดวางไว้แต่เริ่มสร้างโลก เพื่อเประจักษ์พยานแห่งชัยชนะแห่งสวรรค์&nbsp เหนืผ่นดินโลกซึ่งเคยแปดเปื้อนมลทินบาปและซาตาน&nbsp และประกาศพระสิริโรจนา&nbsp แห่งพระผู้เป็นเจ้าสูงสุด ณ&nbsp ฝแผ่นดิน


ใบ

0
New 23 พ.ค. 59 เวลา 11:06 น. 11

คนที่เป็นพระศรีอารย์ท่านต้องพิสูจน์ตัวตนจากทุกคำทำนายแต่ละศาสนาได้ ไม่ใช่แค่ศาสนาใด ศาสนาหนึ่ง ต้องทำให้ทั่วโลกยอมรับ และต้องบรรลุธรรมเฉียบพลัน หรือเกิดใหม่ก่อน เปิดตา รู้แจ้ง สร้างสันติสุข และอ้างอิงได้ทางวิทยาศาสตร์

0
ภาณภัช 16 ม.ค. 60 เวลา 23:00 น. 12

พระศรีอารย์ไม่ได้ทิ้งข้อมูลให้ตามหา หรือมาวิเคราะห์กัน หลายคนต่างหลายความเห็น
ถ้าอยากเห็นท่าน ต้องเห็นธรรม เห็นความดี ในตัวตน สัญญาลักษณ์ คือความดี เราเห็นดีของตัวตนเรา เราก็เห็นท่าน จะไปย่กอะไร

0
Kamanitawasidhi 10 ก.พ. 61 เวลา 16:30 น. 14

ข้าพเจ้า​แด่ท่านผู้เจริญ​


ขอทานพิจารณาสิ่งต่อไปนี้เรื่องที่เข้าสู่ยุคพระศรีอารย์...

กามนิตวาสิฏี : วาจาศักดิ์สิทธ์จากรักผู้ต้อยต่ำ
อารยัน​หรือชนเผ่าอินเดียนแดงคือกำเนิดพวกเรา

ดวงพระศรีอาริยะ :
หีบสมบัติล้ำค่ารอผู้มีกุญแจมาไข เปิดออกดังคำทำนายทไว้เป็นนัยดังกามนิตวาสิฎี แท้จริงคือรักที่ท่านต้องการมอบให้ทุกคน

ดังวันพิภา​กษ​า: จะมีได้ด้วยเปิดใจพิจารณา​
ดาวมฤยูถึงเมษ มิ.ย. 2016 เปิดประตูมรณะ
ดาวพฤหัสฯถึงตุลย์ ก.ย.2017 เปิดประตูสวรรค์​

โปรดยอมรับความเป็นจริงกับสิ่งที่จะได้กล่าวออกมา พวกพี่น้องอารยันหรืออืนเดียนแดง ยังคงถูกขังไว้ที่นั้นมาหลายพันปี ได้โปรดกลับไปช่วยปลดปล่อยพวกเค้า แล้วร่วมกันสร้างแดนแห่งพระศรีอาริ​ยะของพวกเรา อารยันมีประวัติยาวนานหลายล้านปี ถึงมีพระพุทธเจ้ามาแล้ว 25 พระองค์​ พวกเขาโกงแม้แต่วันเดือนปีที่ยาวนานคิดลบประวัติศาสตร์​ ด้วยเส้นแบ่งโกงเวลา​ไร้เหตุผล ปล้นความรู้แจ้งความฉลาด วิถีดีงามประชาธิปไตย​ของพวกเรา เหยียบย่ำศักดิ์​ศรีความเป็นคน สมมติตนเป็นเทพเทววาจอมปลอมขึ้นมากดขี่เรา ทาสเกิดด้วยกาขาวต้องการแย่งทรัพยากรความรู้อันเป็นสมบัติของมนุษยให​้กลุ่มตนไว้ เรียกตนเองว่าสูงดังเทพเจ้า​ สร้างตำนานจอมปลอม ว่าเราเป็นงูต่ำแย่งชิงสวรรค์​ของพวกเราไป โปรดเถิดเปิดใจพิจารณา​รับฟัง ความกล้าหาญเท่านั้นที่จะนำสวรรค์​ของพวกเราคืนมาได้ เป็นพระเจ้ายังต้องมาเกิดเป็นมนุษ​ย์นี่คือเหตุผล กลับมาเป็นวีรบุรุษ​ แก้ไขประวัติ​ศาสตร์ให้พวกท่านหลายครั้งในร่างคน ได้โปรดช่วยตนด้วยการถือกางเขนของตัวเองให้สวยงาม พระเจ้าไม่อาจแบกกางเขนของทุกคนไว้เดียวดาย พวกท่านทั้งหลายต้องพยายามเข้าใจเหตุปัจจัยและผล จงตื่นเถิดกับมายาว่าตายแล้วจะได้อยู่กับพระเจ้าเบื้องบน ยามเกิดหายนะวีรชนผู้กล้าก็มาจากคนธรรมดาเช่นกัน ความสุขนิรันดร์คือรู้จักใช้ปัญญาสร้างสิ่งดีงามด้วยตัวเอง พอเหมาะพอควรรักษาสิ่งดีงามไว้ได้ วางสมดุลได้ทุกสิ่งอย่างไม่ทุกทนสิ่งใด รู้จักเลือกจุดที่ใช่ให้กับตนเอง แม้จะเกิดจะตายพระเจ้ายังคงเฝ้าดู หรือควรปล่อยให้โกลาหลก่อนจนแก้ไม่ได้ คำภีร์ถูกบิดเบือนด้วยความภาพลวงตาโปรดเปิดใจ โลกจึงได้ไม่สงบมีแต่รบราฆ่าฟัน ฆ่ากันเองรบกันเองสุดท้ายใครได้ประโยชน์​ ทั้งภัยภิบัติโรคภัยอะไรนักหนา หลายพันปีมองย้อนไปมีอะไรดีขึ้นมา ได้โปรดตื่นพิจารณา​สร้างโลกดีๆ ให้กับตน หนทางมีอยู่จะเปิดใจหรือไม่ ฉันเองใช่จะอยู่ได้ค้ำฟ้า เวลามีน้อยเราก็นับวันเดินสู่ความตาย หมดเวลาไปโปรดอย่าได้ทวงสัญญากับเรา ฉันไม่ต้องการตั้งตนเป็นพระเจ้าเทียบองค์​ท่าน แต่จะบอกว่าตัวท่านเป็นพระอาริยะของตนเองได้ รู้จักเลี้ยงลูกเป็นพระอาริยะ และลูกหลานพระอาริยะรุ่นต่อไป โลกไฉไลท่านเกิดใหม่โลกนี่สวรรค์​ไม่ต่างกัน ให้ของขวัญ​คืนพระเจ้าด้วยสิ่งนี้ก็พอ...

ถูกมายาฝังสิ่งผิดมาแสนนาน :
ไตรสระณะเปรียบเผ่าพันธุ์​ดัง 1 ร่าง ฉีกเป็น 3 ฝ่าย บัว 4 เหล่า ได้แก่ 1.พราหมณ์​(ส่วนหนึ่งที่ทรยศ)​ 2.คริสต์​ 3.อิส​ราม​ 4.พุทธะ > ตำนานแม่ธรณี​บีบมวยผมหลั่งน้ำฆ่าพยามารและตำนานมนุษย์​(พวกกาขาว)​นำสัตว์​(เปรียบกับทาส)​ขึ้นเรือข้ามน้ำมาปล่อยบนผืนดิน 3 ดินแดนได้แก่ 1.แถบอินเดีย​ 2.แถบเอเชีย 3.แถบหมู่เกาะ​ ด้วยมี 16 อาระยัน นำแยกย้าย โจเซฟ แบรนท์ / ซีควอยาห์ / พุชมาทาฮา / Brenda Schad / Tecumseh / Touch the Clouds / ซิตติง บูลล์ / Maria Tallchief / ชีฟโจเซฟ / ชาร์ลส์ อีสต์แมน / Billy Bowlegs III / Karina Lombard / จิม ธอร์พ / Wilma Mankiller / John Herrington / Jacoby Ellsbury หากคุ้นชื่อเหล่านี้โปรดรู้ความจริงตามที่มาที่ไป ฉันเชื่อว่าทุกตำนานกล่าวเป็นนัยไว้เหมือนกัน

"กามนิตวาสิฏฐี" คือ จุติ พฤ5 เดือน5 ปี5กุน
วางดาวได้ : กรกฏ:2 ตุลย์:7 พิจิก:05 มีน:134 เมษ:69 เมถุน:8 พระเจ้าได้จารึกไว้ในชาดกแก่พวกท่าน ล่วงพ้นมาแล้วเป็นพันปี : กลางคืนและรุ่งเช้าในสกลจักรวาล(จักราศี)​ อันว่าในห้องโถงที ประชุม(พุธ4)เลี้ยงดูกัน เมื่อดับโคมไฟ(อาทิตย์1)​ต่างๆหมดแล้ว ก็เหลือแต่โคมเล็ก(เสาร์7)​ อยู่ดวงเดียวริบหรี่อยู่มุมห้อง​หน้า​รูปบูชา(เมศ)​ ดั่งนี้ฉันใดกามนิต(ศุกร์6ในเมษเล็งลักณ์)​ก็เหลืออยู่ที่หลังเพื่อน(พิจิก) ริบหรี่แต่ผู้เดียวในท่ามกลางวิศวราตรี(เมถุน)​คือกาละอันเป็นราตรี(8)หมดไป อันรูปธรรม​กามนิต​มีตารกธาตุ​แห่งความเหมือน(คู่แฝด)​ในองค์ พระพุทธเจ้า(พฤหัส5)​ห่อหุ้ม(มฤตยู0)​อยู่แล้ว นามธรรมก็มีความตรึกนึกในองค์พระพุทธเจ้าเข้าไปซึมซาบอยู่ นี้แหละเป็นเสมือนน้ำมัน(ตุลย์)​ที่หล่อเลี้ยงไฟในโคมน้อย(เสาร์ในตุลย์มหาอุจ)​ไว้มิให้ดับ

เนื้อความตามนิทานวาสิฏี :
ถ้อยคำที่ตนได้เคยสนทนาอยู่กับพระบรมศาสดาในห้องโถงช่างหม้อกรุงราชคฤห์ ได้กลับมาปรากฏโดยสิ้นเชิง ตั้งแต่ต้นจนอวสาน ประโยคต่อประโยคและคำต่อคำ เมื่อหวนระลึกถ้อยคำเหล่านี้ได้ตลอดแล้ว ก็เริ่มทวนต้นไปใหม่ ในข้อความที่ระลึกได้เป็นประโยค ๆ ไปนั้น ประโยคหนึ่ง ๆ เป็นเสมือนทวารต้นทางที่จะเข้าวิถีใหม่แห่งธรรมรสซึ่งเข้าไปตรองเห็นแล้ว ก็ล่วงเข้าอีกทวารหนึ่ง แล้วก็ผ่านอีกทวารหนึ่ง เป็นลำดับติดต่อกันไป พลางกามนิตตรวจค้นตามระยะวิถีแห่งความตรึกนึก จนไม่มีสิ่งไรเหลืออยู่นอกจากความมืดตื้อซึ่งล้อมอยู่รอบตน

ขณะที่ดวงจิตเป็นไปอยู่อย่างนี้ ทั้งมีความเพ่งพินิจหน่วงองค์พระพุทธเจ้าเข้าไว้เป็นอารมณ์ จนหมดสิ้นไม่มีอารมณ์อะไรอื่นเหลืออยู่ ประกอบทั้งรูปธรรมก็นำเอาตารกธาตุที่อยู่รอบตน เข้าไปรวมเนื้ออยู่ด้วยทวีขึ้น จนสิ่งที่เหลืออยู่โปร่งบางไปหมด ครั้นแล้วความมือแห่งวิศวราตรีก็ปรากฏมี เป็นสีน้ำเงินอันงามแล้วก็เข้มขึ้นทุกที ขอท่านช่วยนำสารนี้ถึงองค์เอทัตคะแห่งสมณะโคดม

ได้โปรดพูดความจริงว่าพวกเราคือพี่น้องพ่อแม่เดียวกัน "เผ่าอินเดียนแดง" คือต้นกำเนินพวกเรา ดินแดนศักดิ์​สิทธิ์ของทุกศาสนา กามนิตวาสิฏี คือความรักของพระเจ้าที่จะกลับมา อย่าให้การเสียสระของเหล่าอาริยะที่เวียนเกิดเพื่อทำงานพระเจ้าแล้วสิ้นต้องสูญไป...

อย่ากักขังทำร้ายกดขี่กันเลย ทุกคนเสมอกันด้วยศีลดีงาม การแบ่งแยกจึงไม่ใช่ ไม่มีสติ ใช้วาจาทำร้ายกัน เกลียดชังอิจฉากัน พระบิดาไม่เคยสอน ทุกคนได้รับผลการกระทำแน่นอน คนดีจึงไม่ควรยอมให้ผู้ใดทำร้ายรังแก การเสียสละที่ผิดย่อมเป็นทุกข์​ ควรให้เขาสร้างสุขทุกข์​ด้วยตัวของเขา รู้อยู่ร่วมคนมีศีลเท่ากับเรา ส่วนกรรมเขาก็ให้เขารับกับไป...

สิ่งเดียวที่จะขอในภพนี้ ขอเมตตากลับไปช่วยพวกเขา ชนกลุ่มน้อยอินเดียนแดงใช่อื่นใคร แท้คือกลุ่มรากเหง้าอารยันของพระบิดา มีแต่พวกเราร่วมใจกันเท่านั้นที่ทำได้ ฉันคนเดียวทำไม่ได้ เห็นแต่อันตรายไม่สามารถ กุข่าวร้ายวันล้างโลกกำเนิดซาตาล เพราะคนพาลกลัวการยอมรับความเป็นจริง โปรดเปิดใจรับฟังเสียงพระเจ้าด้วยเถิด...

นอบน้อมทุกท่านทุกศาสนาด้วยความเคารพ จนถึงผู้เป็นพระอารยะทั้งหลาย และผู้ปฏิบัติ​ความดีที่มีอยู่มากมาย ฉันไม่ได้ต้องการชื่อเสียงหรือสิ่งใด อ่านแล้วไม่ชอบไม่พอใจโปรดจงได้ปล่อยวาง...

ฉันได้ทำหน้าที่ของฉันต่อพระบิดาของของฉันแล้ว ส่วนปาฏิหาริย์​จะเป็นจริงหรือไม่คือพวกท่าน

กามนิตาวาสิฏี
(ฉายาที่องค์สมเด็จ​พระสัมมา​สัมพุทธ​เจ้าประทาน)​
0
มอสผู้ยากจน 17 ก.ค. 62 เวลา 02:15 น. 15

เอาเป็นว่า ผมจะบอกอะไรให้สักนิด ก่อนอื่นเลย เรามาดูที่จิตของเรากันคนเรานั้นมีดวงจิต เหมือนกับลูกแก้ว แล้วให้เราลองจินตนาการว่าดวงจิตของเรานั้น เหมื่อนเส้นดายที่ไปผูกมัดกับสิ่งต่างๆไว้เช่น บ้าน รถทรัพย์สินเงินทอง ความโกรธ ความโลภ ความหลง เหล่านี้ล้วนแล้วแต่ นำพาความทุกข์มาให้เราพร้อมกับนำพาความสุขมาให้เราเช่นกันพระพุทธเจ้า ท่านสอนให้เราปล่อยวางจากสิ่งเหล่านั้น เราก็ควรตัดสิ่งเหล่านี้ออก ค่อยๆตัดถ้าเราตัดสินเหล่านี้ออกหมด เราก็จะค้นพบเองว่า ความสุขความทุกข์ มันไม่มีความหมาย พระพุทธเจ้าท่านสอนให้เราละกิเลส ถ้าเราทำไม่ได้ เราก็ไปนิพพานไม่ได้ แก่นแท้ของนิพพานนั้น ไม่ได้มีอะไรเลย เปรียบเสมือนขวดที่ว่างเปล่า ที่ไม่ได้บรรจุอะไรไว้ แต่ชีวิตคนเราในปัจจุบันนี้ เปรียบเสมือนขวดแก้ว ที่บรรจุ ความทุกข์ ความสุข สิ่งนี้จึงไม่เรียกว่า การปล่อยวาง (ขออธิบาย เกี่ยวกับนิพพาน ให้เข้าใจ นิพพานก็คือดวงจิต แต่ว่าดวงจิตของคนเรานั้น เปรียบเสมือนกับฟองอากาศ ใครหลายๆคนเคยเห็นฟองอากาศใช่ไหม ฟองอากาศนั้นมีสีสันสวยงาม( เปรียบเสมือนชีวิต ของคนเราที่สวยงาม ) แต่ว่าฟองอากาศ ของชีวิตคนในปัจจุบันนี้ มี 2สี ด้วยกัน สีดำ ( เปรียบเสมือน ชีวิตคนเราที่มีความทุกข์ เป็นที่ตั้ง ) สีขาว ( เปรียบเสมือนความสุข เป็นที่ตั้ง ) ก็เหมือนกับการใช้ชีวิตของคนเรา ปะปนไปด้วยความทุกข์ ความสุข เสมอหนังฟองอากาศ ที่แต่งแต้มไปด้วย สีขาวและสีดำ เหมื่อนฟองอากาศที่มีทั้งสีขาวและดำ ( สีขาว ก็คือความดี ที่จะทำให้เราไปสวรรค์ )และ( สีดำ คือความชั่ว บาป อันเป็นสิ่งที่ทำให้เราไปนรก ) แต่อากาศที่จะไปนิพพานได้ ก็คือเป็นฟองอากาศ ที่ไม่มีทั้งสองสี ไม่ใช่ทั้งสีขาว ที่เป็นดั่งความสุขและไม่ใช่สีดำ ที่เป็นดั่งความทุกข์ แต่เป็นดั่งฟองอากาศที่สดใส่ไรซึ่งสีสันดั่ง

คนเราขจัดสีขาวและดำออกจากฟองอากาศจนหมดสิ้นไป ดั่งคนเรารู้จักละกิเลส รู้จักปล่อย รู้จักว่าง ดั่งเหมือนคนเราที่รู้ว่าแม้ร่างกายตัวเองนั้น ก็หาได้สำคัญไม่ จึงจะเรียกว่า จิตแห่งนิพพาน จิตแห่งการปล่อยวาง ไร้ซึ่งสีสันดั่่งฟองอากาศที่ว่างเปล่า จึงจะเป็นจิตแห่งการหลุดพ้นจากวัฏสงสาร เข้าถึงนิพพาน

ข้อนี้จะอธิบายเกี่ยวกับ แก่นแท้

ของสวรรค์ นรกและนิพพาน

แก่นแท้ของสวรรค์นั้น จะเกิดขึ้นมาได้ก็ต่อเมื่อ คนเรานั้น ดำเนินชีวิตเอาความสุขเป็นที่ตั้งไม่ว่าจะประกอบด้วยความสุขประเภทใด การทำบุญ การรักษาศีล มีจิตใจเมตตาอารี กตัญญูรู้คุณต่อบิดามารดา การอยู่กับครอบครัวอยู่กับคนที่เรารักกัับการดำเนินชีวิตด้วยปัจจัยที่เป็นความสุขทั้งปวง สิ่งเหล่านี้จึงจะเป็นการก่อกำเนิดจิตแห่งสวรรค์คนเหล่านี้ตายไปแล้ว ไปจุติบนสวรรค์ ถ้ามีบุญบารมีมากหน่อย ก็ไปเกิดเป็นพรม.. ต่อไปเป็นแก่นแท้แห่งนรก แก่นแท้แห่งนรกนี้ประกอบไปด้วยผู้คนที่มีจิตใจหยาบช้า ไม่รักษาศีล ไม่มีความเมตตา ไม่มีความอ่อนโยน ไม่มีความกตัญญูรู้คุณ เป็นผู้ที่ก่อความเดือดร้อนให้ผู้อื่น และประกอบไปด้วยปาปก็ดี ด้วยปัจจัยทั้งหลายที่ไม่ดีเล่านี้ก็ดีที่เป็นกรรมชั่ว ถ้าตายไปก็ไปจุติ ในนรกตามกรรมของตัวเอง ทีได้สร้างไว้( พอแค่นี้ก่อน ไว้เจอกันครับ ทุกคน เมื่อเวลามาถึง )

0