Dek-D.com ใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสบการณ์ของ
ผู้ใช้ให้ดียิ่งขึ้น เรียนรู้เพิ่มเติมที่นี่
ยอมรับ

วิวัฒนาการผ้าอนามัย อยากรู้มาดูกัน!!

ตั้งกระทู้ใหม่
ตั้งกระทู้ใหม่
คำเตือน : กระทู้นี้ตั้งเพื่อให้ความรู้ จริงๆ คอมเมนต์ได้นะ

...เรารับฟังเหตุผลเสมอ...









          "แก มีผ้าอนามัยปะ"
 "แก มีขนมปังป่ะ"

                เชื่อได้ว่า เกือบร้อยเปอร์เซ็นต์ของผู้หญิงต้องเคยพูดประโยคแบบนี้มาก่อน

 แน่นอนว่า ผ้าอนามัย กลายเป็นสิ่งจำเป็นอย่างยิ่งในทุกๆเดือน 
ไม่ว่าจะมาม๊ากกกกมากกก 

หรือวันมาน้อยยยก็ตาม
 แต่ก็ อย่าเข้าใจผิดว่าขนมปังคือแผ่นสี่เหลี่ยมๆ 

ที่ทำเป็นแซนด์วิชกินกันนะ ขืนกินจริงก็อร่อยเลย ฮาฮา  

ขอแทรกนิด 

ในประเทศไทย ผ้าอนามัยถือว่าเป็นเครื่องสำอางควบคุมตามประกาศกระทรวงสาธารณสุข (ฉบับที่ 10) พ.ศ. 2535




                กว่าจะเป็นผ้าอนามัยนั้น ย้อนไปสุดๆเลยนะ 

ต้องย้อนไปถึงสมัยยุคก่อนปฏิวัติอุตสาหกรรมเชียว 

สมัยนั้นใช้พวก ขนสัตว์ หญ้ามอส ฟองน้ำทะเล หรือ สาหร่าย เป็นต้น

พอเริ่มมีการผลิตพวกสิ่งทอก็นำพวกกาบมะพร้าวทุบ กระดาษฟาง นุ่น แกลบ

หรือไม่ก็ขี้เถ้าแกลบ
มาเป็นที่ซับประจำเดือน โดยใช้เศษผ้ามาพับเป็นแถบยาวๆ 

สอดหว่างขา ใช้เชือกกล้วย เชือกฟาง หรือไม่ก็ผ้าที่เย็บเป็นสายยาวผูกกับเอว 

คลายนุ่งผ้าเตี่ยว เพื่อยึดเอาไว้นั่นเอง
                

          อเนก นาวิกมูล อ้างถึง ผ้าอนามัยสำเร็จรูป ไว้ในหนังสือ "แรกมีในสยาม" ว่า
หลักฐานเรื่องผ้าอนามัยเก่าสุดที่พบ เป็นโฆษณาขายผ้าซับระตูในหนังสือ "ข่ายเพ็ชร์"  

ปีที่ ๑
   ฉบับที่    วันพฤหัสบดีที่  ๑๔  มกราคม พ.ศ. ๒๔๖๘          

 (ถ้านับอย่างปัจจุบันก็เท่ากับ พ.ศ. ๒๔๖๙) เป็นช่วงต้นสมัยรัชกาลที่ ๗

 แต่คงมีมาก่อนแล้วอย่างน้อยในสมัยรัชกาลที่ ๖แหนะ



             
               
ภาพจาก : www.su-usedbook.com
               
สงสัยว่ากาบมะพร้าวเก่าๆที่ใช้มันคงจะลำบากเกิน มนุษย์อย่างเราๆ มีมันสมอง สองมือ 

ก็ได้พัฒนาเป็นผ้าอนามัย ในปี 1895 นับราวๆก็ประมาณเกือบ 120 ปีได้
!!!  

ซึ่งก็ได้ไอเดียมาจาก
ผ้าพันแผลทำจากเยื่อไม้ที่นางพยาบาลใช้ซับให้แก่ผู้ป่วย 

ที่เราๆเรียกกันว่า ผ้าก๊อสนั่นเอง โดยยึดหลัก ทำจ
ากสิ่งที่หาง่าย และถูก 

แต่ถึงอย่างไรก็ตาม ต้นทุนการผลิตยังถือว่าสูงอยู่ดี เลยมีใช้ในหมู่ของคนรวยเท่านั้น


            ในสมัยสงครามโลกครั้งที่ 2 (ประมาณ ค.ศ.1939) นี่เอง

ที่เราได้เห็นผ้าอนามัยแบบตะขอ คือ ใช้ตะขอของสายคาดเอว

เกี่ยวกับห่วงสองข้างของตัวผ้าอนามัย
แบบตะขอ
 

        กลางปี ค.ศ. 1920



       
        ปีค.ศ.1930-1940 ของอเมริกา



       
ทศวรรษที่ 1930 หรือไม่ก็ ทศวรรษที่ 1940 ของแคนาดา




        ทศวรรษที่ 1940 (อเมริกา)



        
ประมาณ ปลายทศวรรษที่ 1940 ถึงตอนต้นทศวรรษที่ 1970  (อเมริกา)
(ผู้เขียนเขียนไว้ว่า เธอได้ที่1ของโรงเรียนในปี 1964)



                               
ปี 1970 (อเมริกา)

 
ปี 1973 (อเมริกา)
 
ต่อมาดีขึ้นมาหน่อยก็เป็นแบบยางยืดหรือแบบห่วงหละ
 
ลองถามคุณแม่บางท่าน อาจจะเคยเห็นผ้าอนามัย แบบนี้ก็ได้ เชื่อว่ายังมีบางท่านเคยเห็น 

แน่นอนว่า แม่ของเราก็เคยเห็น ซึงแม่ก็เก็บไว้อันหนึ่ง (ซึ่งแม่คงคิดเก็บไว้ให้เราดูมั้ง 555+) 

 ปัจจุบัน เอาไว้ใช้สำหรับคนเพิ่งตลอดลูกด้วยนะ สำหรับผ้าอนามัยชนิดนี้มีข้อจำกัดตรงที่
 
ใช้ไปนานๆจะไม่กระชับ เพราะมันยืดแล้วไง

      แบบยางยืด


         ของฟิลิปปิน 


          
ของฮ่องกง ปีค.ศ.2005 และ 2000 ตามลำดับ


           

          ของแคนาดา ซักได้ด้วย แบบใหม่เลยหล่ะ


 (จาก http://www.mum.org/belts.htm รูปตั้งแต่ ค.ศ.1920เลยนะ)
 
ย้อนไปในช่วงปี 1920ตอนนั้นก็มีบริษัทผู้ผลิตผ้าอนามัย

ออกจำหน่ายในตลาดเพียง 2-3 ราย ทว่า ผู้ผลิตโดยตรงรายแรก ก็คือ โกเต็กซ์ 

เนื่องจากบริษัทอื่นยังคงผลิตผ้าพันแผลอยู่ในเวลานั้น
   โฆษณาโกเต๊กซ์ อิอิ
(จาก http://www.ngpgroup.com/forum/uploads/monthly_09_2008/post-29-1222425085.jpg)



           การโฆษณาผ้าอนามัยส่วนใหญ่นั้น ปกติจะใช้การวาดภาพนางแบบ 

แทนการถ่ายแบบที่เป็นคนจริงๆ แต่แล้วก็มีหญิงผู้กล้าหาญชาญชัย 

นาม Lee Miller  จากการถ่ายโฆษณาให้กับ Kotex น่านเอง
   

จากbbs.soizaa.com/redirect.php?tid=3211&goto=las...


          แต่เนื่องจากว่ามันก็ไม่สบายมนุษย์อีกแหละ ก็ผ้าอนามัยทั้ง2แบบ

 มันแนบกับกางเกงในไงหล่ะ เลยทำให้หมดสมัยของมันไป ประมาณกลางทศวรรษ 1980

แล้วก็มีการพัฒนาต่อเนื่องจนกลายเป็น ผ้าอนามัยแถบปลาย โดยเซลล็อกซ์ 

(
กระดาษทิชชู่อ่ะ)
คล้ายกับผ้าอนามัยแบบห่วงนะ ต่างกันตรงที่่

ปลายด้านกว้างจะเป็นผ้าใยเทียมปลายเรียวยาวแทนห่วงทั้งสองข้าง ปรับเลื่อนได้
 
จึงหมดกังวลเรื่องความกระชับ ถึงไงก็ต้องมีสายคาดอยู่ดี ไม่สะดวกเวลาใส่เสื้อผ้ารัดรูปหล่ะสิ 

จึงเกิดผ้าอนามัยแบบที่เราใช้อยู่กันนั่นคือผ้าอนามัยแถบกาว 

แซนนิต้านำเข้ามาในกลางปี ค.ศ.1972 คิดไปคิดมากก็ เกือบ 40 ปีเองนะ!!!~

ถึงอย่างไรก็ตาม ต้นทุนการผลิตของผ้าอนามัยชนิดนี้ยังแพง 

คนกระเป๋าเบาก็จึงมักใช้ผ้าอนามัยแบบซักได้เสียมากกว่า 

(งั้นพวกเราทุกคนก็รวยกันแล้วดิ ตอนนี้ใช้แต่แถบกาวทั้งนั้น 55+)






จาก play.kapook.com/photo/show-68099



  

          ถึงแม้ว่ารูปแบบของผ้าอนามัยจะมีการพัฒนา

แต่ทางด้านเทคโนโลยีการผลิตก็ยังคงเป็น
แบบเยื่อกระดาษ (
pulp) มาตลอด

โครงสร้างผ้าอนามัย
มีอยู่ 2 ส่วนหลักๆอย่างที่เห็นๆกัน

คือ เยื่อการดาษ และผ้าใยเทียมไม่ทอ

          เยื่อกระดาษ จะ
ถูกตีจนละเอียดเหมือนปุยสำลี (crushed pulp) 

สามารถอุ้มของเหลวได้มาก เนื้อละเอียด มีความหนาพอสมควร 

เพื่ออุ้มของเหลวตามต้องการ

              ผ้าใยเทียมไม่ทอ  คล้ายกับถุง สามารถปล่อยผ่านของเหลว

ลงสู่เยื่อกระดาษได้เร็ว ไม่ตกค้างภายนอกนาน



        แต่เดิม อเมริกาเป็นผู้วชาญการผลิตแบบตีให้เป็นปุยสำลีมาก



            ก็มีวิวัฒนาการใหม่ ญี่ปุ่น คนพบสาร polymer gel ประมาณ 30 ปีที่ผ่านมานี้ 

ซึ่งเป็นสารพลาสติก เม็ดเล็กคล้ายเม็ดทรายละเอียด ดูดน้ำเร็ว  อุ้มน้ำได้หลายเท่า

เมื่อนำไปผลิต จะช่วยลดเยื่อกระดาษ ส่วนน้ำจะไม่ซึมกลับ


                    

           Lipophilic polymer gel: dried (a); and swollen in tetrahydrofuran for 48 hours (b)© Nature Materials
                        (จาก www.rsc.org/.../news/2007/april/30040701.asp)



            ใครที่ชอบดูทีวี ก็อาจจะได้ยินคำว่าเยื่อหุ้มสเตดรายโคเวอร์ แผ่นซอฟต์ทัช 
 
แผ่นใยดรายวีฟ  ดรายเมจิก
  ทั้งหมดนี้เป็นชื่อที่ผ้าอนามัยแต่ละยี่ห้อ

ใช้เรียกส่วนที่ทำหน้าที่เป็นถุงห่อเยื่อกระดาษ เติมที่เยื่อหุ้มเหล่านี้

จะเป็นผ้าใยเทียมไม่ทอ จำพวกเรยอน (ดูเผิน ๆ จะคล้ายกระดาษ)
 



             จนเมื่อปี 20ปีที่แล้ว ผ้าอนามัยมีปีกยี่ห้อแรก นำพลาสติกโพลิเอทธิลีน (PE)
 หรือพลาสติกโพลิโพรพิวลีน (PP) มีน้ำหนักเบา รับแรงอัดและแรงดึงได้ดี เป็นฉนวนไฟฟ้า 

ทนความเย็น ทนกรดและด่างได้ดี
  มาใช้เป็นส่วนหุ้มเยื่อกระดาษแทนผ้าใยเทียมไม่ทอ 

และเจ้าพลาสติกนี่เอง มีคุณสมบัติ  ไม่ดูดซับความชื้น ความชื้นจะลงสู่ส่วนล่างได้เร็วขึ้น
 
จึงรู้สึกแห้งสบาย สะอาด
แต่ขณะเดียวกันก็มีผู้ใช้บ่นว่าผ้าใยเทียมไม่ทอจะให้สัมผัสที่นุ่มสบายกว่า

 ปัจจุบันจึงมีการผนวกแผ่นใยสองชนิดเข้าด้วยกัน

       
โพลีเอธิลีนโฟม ไว้ใช้ในงานหลังคาได้ เป็นฉนวน กันความร้อน รูปขวาใช้กรองน้ำ
 http://i224.photobucket.com/albums/dd266/bundit_sing/LPN%20Condo/P1130467.jpg



โพรลิโพรพิวลีน ทำขวดได้ - -*(เว็บมันเอาไปทำขวดหนิ)
จาก www.unionthai.com/plastictype.htm
ดูเหมือนจะไม่เข้ากับผ้าอนามัยซะเท่าไหร่ ฮ๋าๆ


      นอกจากนี้ ยังมีดีไซน์ใหม่ๆ ซึ่งแต่ละบริษัทได้ออกแบบ เป็นลวดลายต่างๆ แล้วจดลิขสิทธิ์

      ส่วนการเปลี่ยนแปลงรูปร่างหน้าตาของผ้าอนามัย  ก็ไม่น้อยหน้ากว่าส่วนอื่น มีทั้ง

แถบกาวรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้าปลายเหลี่ยมเป็นปลายมน เป็นบอดี้ฟอร์มที่ด้านหน้ากว้าง ปลายเรียว 

ตรงกลางนูน  เป็นแบบเว้าขอบขา และสุดท้ายเป็นแบบมีปีก
เพื่อตอบสนองความต้องการของผู้ใช้

ผ้าอนามัยที่ว่า ต้องสวมสบายไร้รูปรอย ไม่ซึมเปื้อน และไม่ระคายเคืองนั่นเอง



                ผ้าอนามัยอีกประเภท ที่ยังไม่กล่าวถึง คือแบบสอด

เริ่มในสมัยอียิปต์
นู่นแหนะ เป็นคนประดิษฐ์ขึ้น จากต้นกก ชาวกรีกก็ไม่น้อยหน้า

คิดค้น โดยใช้สำลีหมุนรอบชิ้นส่วนเล็กๆของไม้ จากการบันทึกเป็นอักษรHippocrates 

สำหรับอุปกรณ์อื่นๆที่ทำเป็นผ้าอนามัยชนิดนี้ก็ได้แก่พวก

ขนสัตว์ กระดาษพืชเส้นใย หญ้า ฝ้าย เป็นต้นtampon patent



                ใน ค.ศ.1929 Dr. Earle Haas  เป็นผู้ประดิษฐ์ผ้าอนามัยสมัยใหม่ขึ้น 

และจดสิทธิบัตรในวันที่ 19 พ.ย.1931 ภายหลังได้จดทะเบียนในชื่อ Tampax 
เป็นแบรนด์สินค้าที่เขาคิดขึ้น

                อันนี้ก็ไม่เคยเห็นเหมือนกัน  ผ้าอนามัยแบบแนบ

        

                      ผ้าอนามัยชนิดนี้ต้องใช้ร่วมกับแบบแผ่นปกติที่เราใช้ด้วย
 
เพียงแต่ว่า แบบแนบ จะช่วยให้ประจำเดือนไม่เลอะ เหมาะกับคนใส่กางเกงรัดรูปจ้า

(ส่วนประวัตินี่เราหาไม่เจออะ ขอโทษทีค่ะ)


                และคงจะใหม่ล่าสุด เพราะเพิ่งเคยเห็นเหมือนกัน ผ้าอนามัยไอออนลบ!!!
 
สามารถลดกลิ่นไม่พึงประสงค์ แก้ปวดประจำเดือน และซึมซับดีเยี่ยม 

 

                            
                แต่เท่าที่อ่านดูมันก็เหมือนทั่วไปแฮะ (ไม่มีค่าโฆษณาวุ้ยยย 555+)

           ส่วนอีกอันนะ ที่เห็นก็เป็นพวกผ้าอนามัยสมุนไพรอะ

 ก็ไม่มีอะไรมากมีผสมพวกสมุนไพรจีน มีคุณสมบัติช่วยป้องกันการติดเชื้อ 

อันเป็นสาเหตุของการตกขาว และการเกิดกลิ่นอันไม่เพิ่งประสงค์
 
          
       แต่เดี๋ยวก่อน !!(เหมือนโฮมชอปปิ้งปะ) จะบอกว่า 

          นายแพทย์ประวิทย์ คีตะบุตร แพทย์ผู้วชาญด้านผิวหนัง
 
ระบุว่า การโฆษณาของผ้าอนามัยผสมสมุนไพรที่โฆษณาว่าป้องกันการติดเชื้อแบคทีเรีย 

เชื้อไวรัส กระตุ้นการไหลเวียนของโลหิต รวมทั้งยังช่วยบรรเทาอาการอักเสบจากโรคริดสีดวงทวาร 

โดยเป็นการโฆษณาเกินจริง เพราะส่วนผสมของสมุนไพรดังกล่าวไม่มีส่วนผสมที่สามารถ

รักษาได้ตามที่กล่าวอ้าง
ยังบอกอีกว่า "จากการวิจัยของแพทย์ส่วนใหญ่เรื่องเครื่องสำอางที่มีส่วน

ผสมของสมุนไพร มักจะมีส่วนผสมของสารสเตียรอยด์ ซึ่งจะส่งผลทำให้ผิวของผู้ใช้ติดเชื้อไวรัส

ในระยะยาวได้"

        
สุดท้าย ของแถมมม!!! เป็นการขอบคุณสำหรับการเยี่ยมชมกระทู้ 


และอ่านมาจนจบ อิอิ

              เราขอเสนออออออ แต้นแต้นแต๊นนนนนนน


  










       มีอีกเย๊อะ!!! หาหาได้ ผ้าอนามัย แปลกๆ กล้าใส่กันป่ะ
รูปดีๆจาก http://www.fwdder.com/topic/106574


และ ท้ายสุดจริงๆ สำหรับวิวัฒนาการ

                                                     ในอนาคต

                                                ของผ้าอนามัย


              1               
                                  2

                           3                      
               แชะ !! บะบาย 
และเจอใน วิวัฒนาการต่อไปเน้อ       


 

      ............................................จบแย้วว เย่ๆ ได้นอนซะที หาววววว........................................



อ้างอิงอื่นๆ
www.oknation.net/blog/miko/page
                             "ข้อมูลสนับสนุนจากหนังสือ / สำนักพิมพ์สารคดี"
๑๐๘ ซองคำถาม

ขออภัยเป็นอย่างยิ่ง ถ้าหากไม่ได้ให้เครดิตในบางเว็บที่ตกหล่น  แจ้งได้นะค่ะ
        คือเอามาจากหลายเว็บมากเลย จะใส่ให้ทันทีที่แจ้งเลยค่ะ




แก้ไขครั้งที่ 1 เมื่อ 14 พฤษภาคม 2552 / 16:15

PS.  เคยไหมที่จะมีคนเข้าใจเรา ห่วงใยเราเสมอ และให้ความรู้สึกดีๆที่เรียกว่า "รัก" ถ้าเคย คุณจงรีบบอกรักเขา ก่อนที่จะไม่มีเขาคนนั้นให้เราบอกอีกต่อไป!!!!

แสดงความคิดเห็น

>

32 ความคิดเห็น

Vidia 14 พ.ค. 52 เวลา 08:34 น. 2

น่าสงสารผู้หญิงอ่า เหอเหอเหอ


PS.  บางอย่างไม่สามารถมองเห็นด้วยตา แต่สามารถรับรู้ด้วยใจ
0
แนน 14 พ.ค. 52 เวลา 09:24 น. 4

เคยอ่านละ หนังสือคุณเอนกนี่ดีมากมาย
ขอบคุณจขกท.ที่เอามาให้อ่านกัน

เห็นแล้วรู้สึกดี ที่เกิดยุคนี้ เพราะผ้าอนามัยรุ่นก่อนมันน่ากลัวเกิ๊นน

0
K.O.P. 14 พ.ค. 52 เวลา 12:39 น. 7

ถ้าไม่มีผ้าอนามัย คงแย่แน่  ออกจากบ้านลำบาก - -*

ขอบคุณ จขกท. ที่นำความรู้ดีๆ มาให้


PS.  SmiLe For EverythinG :)
0
DarkSideSystem 14 พ.ค. 52 เวลา 13:42 น. 10

คงจะบาด.....แย่ ถ้าใช้กาบมะพร้าว


PS.  จะทะเลาะกันทำไม ถ้าประเทศไทยสามัคคีกัน ป่านนี้อะไรดีๆ ก็เกิดขึ้นเยอะแล้ว
0
lala 22 ส.ค. 52 เวลา 17:12 น. 15

กรี๊ดดดดดด

นึกภาพ หน้าหล่อๆของแบรด พิต แปะ..อยู่..ตรง..นั้น..


อ๊ากกกกกกกกกก

สงสารนายแบบเฮอะ

555555

0
sherry 26 พ.ย. 52 เวลา 17:56 น. 16

ผ้าอนามัย LOVE MOON มีคุณสมบัติที่สำคัญ ดังนี้
1. ไอออนประจุในอากาศมีขั้วไฟฟ้าเป็นตัวควบคุมซึ่งไปเกาะจับที่ผิวของเชื้อแบคทีเรียและไวรัส จากกระบวนการนี้จะผลิตกระแสไฟฟ้าต่าง ๆ ออกมากำจัดเชื้อเหล่านั้นไหม้หมดไป และไม่สามารถแพร่ขยายพันธุ์ต่อไปได้ จึงทำให้ ช่วยลดอาการติดเชื้อ อันเป็นสาเหตุของโรคมเร็งปากมดลูก และยังกำจัดกลิ่นอันไม่พึงประสงค์
2. ช่วยให้การไหลเวียนของโลหิตดีขึ้น จึงทำให้มดลูกบีบรัดตัวได้ดี ช่วยลดการปวดประจำเดือน
3. ทำให้เพิ่มปริมาณออกซิเจน
4. ช่วยปรับความสมดุลของความเป็นกรด-ด่าง
5. ช่วยปรับฮอร์โมนให้อยู่ในสภาวะสมดุล
6. ช่วยให้ภูมิต้านทานดีขึ้น
7. ลดภาวะความเครียด

ß WHO (องค์การอนามัยสากลโลก) กำหนดว่าไอออนประจุลบในอากาศบริสุทธิ์ไม่ควรต่ำกว่า 1,000 ประจุ/ซม3 เมื่อไอออนประจุลบเข้มข้นถึงระดับหนึ่ง จำนวนเชื้อแบคทีเรียจะลดลงจนกลายเป็นศูนย์

ส่วนประกอบ 7 ชั้น ของผ้าอนามัย Anion
ผลิตจากเส้นใยธรรมชาติ 100 % มีความบางแต่ประกอบด้วยวัสดุ 7 ชั้น ดังนี้
1. ผิวหน้าผ้าคอตตอน 100% สัมผัสอ่อนนุ่ม
2. แผ่น "ไอออนประจุลบ" เพื่อสุขภาพภายในที่สมดุลย์
3. แผ่นกระดาษที่ปราศจากเชื้อโรคและสิ่งสกปรก
4. เม็ดเจลดูดซับ สกัดจากสารธรรมชาติเจลาตินปริมาณมาก จึงมีการดูดซึมสูงถึง 4 เท่า
5. แผ่นกระดาษที่ปราศจากเชื้อโรคและสิ่งสกปรก
6. แผ่นกระดาษระบายความชื้น ถ่ายเทอากาศได้สะดวก
7. แถบกาวหมากฝรั่งง่ายต่อการลอกออก เป็นกาวที่ได้รับการออกแบบมาเพื่อยึดเกาะ
Anion เป็นสินค้าที่ได้รับการบันทึกเป็น Super excellent brand ได้รับรางวัลอีกมากมาย ซึ่งแผ่นไอออนประจุลบนี้เป็นลิขสิทธิ์เฉพาะของเรา และได้จดสิทธิบัตรแล้วกว่า 169 ประเทศ ขณะนี้มีตลาดขยายไปทั่วโลกโดยประเทศไทยเป็นอันดับที่ 8 เช่น สิงคโปร์ มาเลเชีย ฟิลิปปินส์ อินโดนีเซีย ไต้หวัน ฮ่องกง
รางวัลและใบรับรองจากสถาบันต่างๆ
- Anion Patent No : ZL20042006.0
- Test Card Patent No : CN91109875.7
- International Quality Management System (QMS) Certification
- Product Safety Evaluation
- Corporate Business License
- International Brand Authenticity Award
- Most Emphasized and Producted Innovative Brand in&nbsp &nbsp &nbsp  China
- CN99109875.7ISO9001-200

สำหรับที่ประเทศไทย Love Moon ได้ผ่านการรับรองและยอมรับในมาตรฐานคุณภาพของผลิตภัณฑ์อย่างเป็นทางการ จากกระทรวงสาธารณะสุข คณะกรรมการอาหารและยา (อย) แล้วเมื่อวันที่ 24 กรกฎาคม 2550 ได้รับการคุ้มครอง ลิขสิทธิ์ทางปัญญา สิทธิบัตรเลขที่ CN91909875.7 การผลิตได้รับมาตรฐาน ISO 9001-2000 ผ่าน สคบ. ถูกต้องตามกฎหมาย
เป็นอย่างไรบ้างคะคุณผู้หญิง สิ่งดีๆ ที่เอามานำเสนอวันนี้ ถูกใจกับบ้างรึเปล่า อย่าลืมนะคะ สุขอนามัยในช่องคลอดเป็นสิ่งสำคัญ เราไม่ควรละเลย

สินค้ามีทั้งแบบ เดย์ ไนท์ และแคร์ฟรี

นอกจากนี้ยังมี ชุดตรวจการเสี่ยงเป็นมะเร็งปากมดลูกด้วยตนเอง โดยส่วนใหญ่คุณผู้หญิงอายที่จะตรวจภายใน ตอนนี้มีชุดตรวจด้วยตัวเองแล้ว ใช้เวลาตรวจแค่ห้านาที ไม่ต้องกลัวเจ็บและอายอีกต่อไป&nbsp รู้ได้ด้วยตัวเองก่อน เป็นการป้องกันถึงสิ่งผิดปกติที่เกิดขึ้นกับตัวเราเพื่อที่จะรักษาและพบแพทย์ได้ทัน

สนใจดูรายละเอียดและสั่งซื้อผลิตภัณฑ์ผ้าอนามัย Love Moon

086-303-1343&nbsp เชอร์รี่ค่ะ&nbsp &nbsp &nbsp &nbsp &nbsp &nbsp  087-563-1982 เป้งครับ
sarisary_9 @hotmail.com&nbsp &nbsp  peng_cs14@hotmail.com

0
M&M 11 ต.ค. 53 เวลา 15:48 น. 20

เอ่อ...อยากรู้ว่า วิวัฒนาการรูปท้ายๆนี่เจ้าของกระทู้ทำเองป่ะคะ&nbsp อิอิ

0