Dek-D.com ใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสบการณ์ของ
ผู้ใช้ให้ดียิ่งขึ้น เรียนรู้เพิ่มเติมที่นี่
ยอมรับ

มอง CEO โลก ตอน “บิล เกตต์” ตอนที่ 1

ตั้งกระทู้ใหม่
ตั้งกระทู้ใหม่

มอง CEO โลก ตอน บิล เกตต์  ตอนที่ 1

 

เกริ่นนำ

จากการจัดอันดับบุคคลที่รวยที่สุดในโลกครั้งล่าสุด พบว่าบุคคลที่รวยที่สุดในโลก เป็นชายหนุ่มที่อายุยังไม่ถึง 50 ปี และไม่เพียงเท่านั้นเขายังได้ชื่อว่าเป็นผู้ที่รวยที่สุดในโลกติดต่อกันมาแล้วกว่า 10 ปี และหากจะใช้กฎเกณฑ์ความเป็นอัจฉริยะมาเป็นตัววัด ชื่อของเขายังถูกจัดอยู่ในอันดับต้น ๆ และหากจะรวมเอาทั้งความร่ำรวยและความเป็นอัจฉริยะไว้ด้วยกัน คงยากที่จะหาใครเหมือนเขาคนนี้ได้ ผมคิดว่าในโลกนี้คงไม่มีมนุษย์คนใดคนใด ที่จะสมบูรณ์แบบเช่นเขาอีกแล้ว

 

และเมื่อไม่นานมานี้ บิล เกตส์เดินทางมาประเทศไทย ในนามของหัวเรือใหญ่แห่งไมโครซอฟท์ แม้จะเป็นระยะเวลาสั้น ๆ เพียงหนึ่งวัน แต่สิ่งหนึ่งที่เป็นความตั้งใจของเขาในการเดินทางมาครั้งนี้ คือ การได้รับทราบความคืบหน้าเกี่ยวกับโครงการ Partners in Learning ของไมโครซอฟท์ (ประเทศไทย) เพื่อส่งเสริมการเรียนรู้ด้านไอซีทีภายในประเทศ ในด้านการสร้างทักษะให้แก่ครูอาจารย์และนักเรียน เพื่อให้สามารถนำไอซีทีมาใช้งานได้อย่างต่อเนื่อง และส่งเสริมให้เกิดการเรียนรู้อย่างไม่สิ้นสุด (Lifelong Learning) เพื่อพัฒนาให้สังคมไทยมีศักยภาพในการแข่งขันในระดับนานาชาติ และเสริมสร้างความแข็งแกร่งให้กับสังคมไทยต่อไป

 

                บิลล์ เกตต์ เป็นเจ้าของบริษัทไมโครซอฟท์ซึ่งผลิตซอฟแวร์สำหรับระบบปฏิบัติการคอมพิวเตอร์ที่ใหญ่ที่สุดในโลก เป็นคนที่มีอัจฉริยะภาพางด้านคอมพิวเตอร์และประสบความสำเร็จสูงสุดในธุรกิจคอมพิวเตอร์ ส่วนหนึ่งของความสำเร็จในชีวิตเกิดมาจากเขาได้ทำในสิ่งที่เขารัก และสนุกกับงานที่เขาทำ  จึงให้งานที่ออกมานั้นมีคุณภาพ นับว่าเป็นอีกบุคคลหนึ่งที่เราควรทำความรู้จักกับเขา ผู้ที่ได้ชื่อว่า สามารถย่อโลกให้เล็กลงได้

 

ประวัติ

 

บิลล์ เกตส์ เกิดเมื่อวันที่ 28 ตุลาคม ค.ศ. 1955  ในครอบครัวที่อบอุ่นและมีระเบียบแบบแผน มีพี่น้องท้องเดียวกัน 3 คน โดยเขาเป็นผู้ชายคนเดียว พ่อของเขา - วิลเลียม เอช. เกตส์ ที่ 2 (William H. Gates II) เป็นทนายความ ที่ประสบความสำเร็จคนหนึ่งของเมืองซีแอตเติล ส่วนแม่ของเขา แมรี เกตส์ (Mary Gates) เคยเป็นครู และเป็นสตรีผู้นำชุมชน ที่แข็งขันคนหนึ่ง ครอบครัวของเขาให้ความใส่ใจในเรื่องของการศึกษาอย่างเต็มที่ เนื่องจากเล็งเห็นว่าหากได้รับการศึกษาที่ดีแล้ว ก็จะสามารถเติบโตเป็นคนดีของสังคมได้ ทำให้บิลล์ เกตต์ได้เข้าเรียนที่ โรงเรียนเลคไซด์ ในซีแอตเติล  ซึ่งถือว่าเป็นโรงเรียนเอกชนที่มีชื่อเสียงมากในสมัยนั้น และที่นี่เอง ที่ทำให้เขามีโอกาสได้สัมผัสกับคอมพิวเตอร์เป็นครั้งแรกในชีวิต

 

จากความคิดของชมรมคุณแม่แห่งโรงเรียนเลคไซด์ ที่ต้องการให้เด็กๆใช้เวลาว่างให้เกิดประโยชน์ จึงมีมติให้นำเงินรายได้จากการขายของเหลือใช้มาใช้จ่ายในการติดตั้งเครื่องเทอร์มินัลหรือเครื่องคอมพิวเตอร์ลูกข่าย และซื้อเวลาใช้งานคอมพิวเตอร์สำหรับนักเรียน ถือเป็นการเปิดโอกาสที่ดีมากกับนักเรียนให้ได้รู้จักคอมพิวเตอร์ เพราะในสมัยทศวรรษที่ 1960 นั้น คอมพิวเตอร์ถือเป็นเรื่องใหม่มาก เพราะด้วยราคาที่แพงมากและขนาดที่ใหญ่โต ทำให้น้อยคนนักที่จะได้ใช้งานคอมพิวเตอร์

 

ที่โรงเรียนเลคไซด์ บิลล์ เกตต์ผูกพันธ์กับคอมพิวเตอร์มาก เนื่องจากเขาใช้เวลาส่วนใหญ่หมกมุ่นอยู่กับนวัตกรรมชิ้นนี้ จนแทบจะไม่เรียนหนังสือ เรียกได้ว่าในบางครั้งเขาเล่นคอมพิวเตอร์จนดึกดื่นจนลืมทำการบ้านส่งและต้องแอบงีบหลับอยู่ในห้องเรียนเป็นประจำ ทำให้ผลการเรียนของเขาไม่สู้จะดีนัก  แต่ด้วยความเป็นอัจฉริยะของเขา ทำให้เขาสามารถผลิตโปรแกรม Timetabling System ขายให้แก่โรงเรียนได้ในราคาถึง 42,000 เหรียญดอลลาร์สหรัฐ และที่โรงเรียนแห่งนี้เอง ที่ทำให้เขาพบกับ พอล อัลแลน (Paul Allen)  ที่ในขณะนั้นเรียนสูงกว่าเข้าถึงสองชั้น แต่ทั้งสองก็กลายมาเป็นเพื่อนซี้กันได้ เนื่องจากหลงใหลในนวัตกรรมของคอมพิวเตอร์ด้วยกันทุกคู่ พวกเขาทั้งสองใช้เวลาชั่วโมงที่โรงเรียนเช่าคอมพิวเตอร์ไว้  1 ปี หมดภายในไม่กี่สัปดาห์ และทำให้คอมพิวเตอร์ที่โรงเรียนเช่ามาล่มหลายครั้ง เขาตั้งตัวเป็น แฮคเกอร์ เข้าไปเปลี่ยนแปลงชั่วโมงการใช้งานคอมพิวเตอร์ ของตนจนเจ้าของบริษัทจับได้ และไม่อนุญาตให้พวกเขาใช้คอมพิวเตอร์อีกเลย

 และทั้งสองคนก็ได้เข้าศึกษาต่อทางด้านกฎหมายในมหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด

 

ระหว่างที่เรียนอยู่ที่ฮาร์วาร์ดนี้ เขาและอัลแลน ยังคงเป็นเพื่อนสนิทกันเหมือนเมื่อครั้งยังเรียนอยู่ที่โรงเรียนเลคไซด์ และที่นี่ทำให้พวกเขาได้ใช้คอมพิวเตอร์มากขึ้น เป็นคอมพิวเตอร์ที่ใหม่กว่าและทันสมัยกว่าเครื่องเดิมที่โรงเรียนเลคไซด์  ทำให้แทนที่จะตั้งใจเรียนหนังสือกลับมัวแต่เก็บตัวอยู่ในห้องคอมพิวเตอร์ เพลิดเพลินอยู่กับมัน จนในที่สุด เขาตั้งคำถามกับตัวเองว่า “Who are you?” และ “what are you looking for?” เพื่อกำหนดทิศทางของตัวเองให้แน่ชัด เพราะการเรียนกฎหมายกับคอมพิวเตอร์นั้นเป็นแขนงวิชาที่แตกต่างกันโดยสิ้นเชิง เมื่อกำหนดคำถามได้แล้ว ทำให้เขาสามารถหาคำตอบให้กับตัวเองได้ว่า คอมพิวเตอร์คือตัวเขา และเขาคือคอมพิวเตอร์ นับตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา บิลล์ เกตต์ จึงกำหนดทิศทางและเป้าหมายของตัวเองอย่างแน่ชัด เขาและอัลแลน ร่วมมือกันคิดค้นโปรแกรมต่าง ๆ ของคอมพิวเตอร์ออกมาอย่างสม่ำเสมอ

 

และเหตุการณ์ที่ถือเป็นจุดเริ่มต้นแห่งความยิ่งใหญ่ของ Microsoft ก็เกิดขึ้น วันหนึ่ง อัลแลน เดินกลับมาหาเขา พร้อมด้วยนิตยสารคอมพิวเตอร์ฉบับหนึ่ง ที่บนปก ลงรูปภาพเครื่องคอมพิวเตอร์ส่วนบุคคล (Personal Computer) ที่ถือว่าเป็นเครื่องคอมพิวเตอร์ขนาดเล็กที่สุดชุดแรกในโลก ที่มีประสิทธิภาพทัดเทียมกับคอมพิวเตอร์ขนาดใหญ่ที่ใช้กันอย่างแพร่หลายในสมัยนั้น เขาและอัลแลนเห็นว่า นั่นเป็นโอกาสอันดีที่จะเสนอตัวเองเพื่อเขียนโปรแกรมเบสิคให้กับคอมพิวเตอร์ชุดนี้

 

เขาเริ่มติดต่อกับเจ้าของคอมพิวเตอร์ส่วนบุคคลทางโทรศัพท์ เพื่อเสนอตัวขอเป็นผู้เขียนโปรแกรมให้กับนวัตกรรมชิ้นล่าสุดชิ้นนี้ ทั้งที่ในตอนนั้นเขาและเพื่อนยังไม่มีใครเคยสัมผัสเครื่องนี้มาก่อน พวกเขายังไม่รู้ด้วยซ้ำว่าจะต้องเริ่มต้นทำงานอย่างไร แต่ด้วยประสบการณ์,ความมุมานะและเฉลียวฉลาดของพวกเขา ประกอบกับถือว่าโอกาสนี้เป็นโอกาสอันดีที่จะพิสูจน์ฝีมือของตัวเองทำให้เขามั่นใจในการทำโครงการนี้  ทำให้เขียนโปรแกรมขึ้นมาจนสำเร็จ โดยใช้พื้นฐานจากคอมพิวเตอร์ในมหาวิทยาลัยนั่นเอง และเมื่อส่งโปรแกรมไปให้กับเจ้าของคอมพิวเตอร์ส่วนบุคคลได้ทดลองใช้ ปรากฎว่าบริษัท MITS ผู้ผลิตคอมพิวเตอร์ส่วนบุคคล ชอบงานของพวกเขามาก ถือได้ว่าเป็นจุดกำเนิดตลาดซอฟท์แวร์อย่างจริงจัง

 

และในปี ค.ศ.1975 บิลล์ เกตต์ และ พอล อัลแลน จึงได้ร่วมกันก่อตั้งบริษัทไมโครซอฟท์ขึ้นมา โดยมีพนักงานในตอนแรกเพียง 9 คน กับนายจ้าง 2 คน และหลังจากนั้นเพียงหนึ่งปี บิลล์ เกตต์ก็เดินหันหลังให้ฮาร์วาร์ด เพราะในตอนนั้น เขามั่นใจแล้วว่า ทิศทางและเป้าหมายที่เขาตั้งคำถามเพื่อถามตัวเองนั้น สามารถเป็นไปได้จริงและโอกาสมาถึงแล้ว อนาคตของไมโครซอฟท์มีแต่ความสดใส ทำไมต้องให้หลุดลอยไป และจุดเปลี่ยนใหญ่ก็มาถึง ใน ค.ศ.1980 เมื่อไมโครซอฟท์ตกลงเซ็นสัญญาทำระบบปฏิบัติการ (Operating System) ให้กับ IBM ระบบดังกล่าวรู้จักกันดีในนามของ MS-DOS ซึ่ง ไม้เด็ด  ที่ไมโครซอฟท์ระบุไว้ในสัญญาที่ทำกับ IBM ก็คือ บริษัทคอมพิวเตอร์รายอื่นสามารถใช้ระบบปฏิบัติการดังกล่าวได้ด้วย ทำให้เกิดคอมพิวเตอร์ที่เรียกว่า IBM-compatible อย่างแพร่หลาย และทำให้ ไมโครซอฟท์ยิ่งโตเร็วขึ้นไปอีก

TO BE CONTINUED...

 



แก้ไขครั้งที่ 1 เมื่อ 17 เมษายน 2553 / 16:00
แก้ไขครั้งที่ 2 เมื่อ 17 เมษายน 2553 / 16:02
แก้ไขครั้งที่ 3 เมื่อ 17 เมษายน 2553 / 16:03

PS.  Dont Ever Judge Me..... and Dont You F-u-cking Judge Me.

แสดงความคิดเห็น

>