[สาระ] Defense mechanisms?
ตั้งกระทู้ใหม่
-แหล่งอ้างอิง(ควรจะ)เชื่อถือได้ แต่ก็อาจมีการตีกันกับแหล่งอื่นอยู่นั่นเอง โปรดใช้วิจารณญาณในการรับชม-
-เพื่อความเข้าใจที่มากขึ้น โปรดติดตามข่าวสารในบอร์ดช่วงนี้เพื่อเพิ่มอรรถรส (หึหึ)-
แน่นอนว่าทุกคนต้องมีปัญหาหรือความเครียดอะไรสักอย่างกันอยู่แล้ว ความเครียดนั้นอาจจะเกิดจากความเปลี่ยนแปลงหรือสถานการณ์ที่ผ่านเข้ามาในชีวิตจนกระทั่งเกิดการ "เสียสมดุลทางจิตใจ"
เมื่อเสียสมดุล สิ่งที่ตามมาก็คือ "การปรับตัว"
การปรับตัวก็มีอีกหลายแบบ...ที่เห็นเป็นส่วนใหญ่ก็จะพยายามหาทางตอบสนองความต้องการ หรือออกจากความเครียดนั้น ซึ่งวิธีที่ดีที่สุดก็คือการจัดการกับต้นตอปัญหาไปเลยนี่แหละ หรืออย่างน้อยก็ควรจะปรับตัวอย่างมีสติรู้ตน
แต่...ไม่ใช่ว่าทุกครั้งที่ความเครียดมาเยือน เราจะรับรู้กระบวนการปรับตัวของตัวเองเสมอไป!
การปรับตัวที่เจ้าตัวไม่ได้รับรู้นั่นแหละ
คือ "Defense Mechanisms"
กลไกการป้องกันทางจิต(เอ๊ะ เรียกภาษาไทยแบบนี้หรือเปล่า?) เป็นกระบวนการปรับตัวแบบที่เจ้าตัวไม่ได้รู้สึกว่ามันเกิดขึ้น ออกไปในทางประนีประนอมให้เกิดสมดุลในจิตใจ โดยที่ทุกคนต้องมี Defense mechanism กันอย่างน้อยหนึ่งอย่างแน่ๆล่ะ
...ซึ่งถ้าเราป้องกันตัวเองแบบพอดีๆ มันก็จะไม่เกิดปัญหาอะไร ถ้ามากมานิดนึงก็อาจจะรำคาญนิดหน่อย แต่ถ้ามากเกินไป...แน่ล่ะ นอกจากปัญหาจะไม่ถูกแก้ไขแล้ว เรายังจะเสพติดการเข้าข้างตัวเอง จนมองไม่เห็นว่าโลกแห่งความเป็นจริงมันเป็นยังไง...ปัญหาบุคลิกภาพและอื่นๆจะเริ่มตามมาเป็นเงาตามตัว
ลองมาดูกันว่าในรายการ Defense Mechanism มันมีอะไรบ้าง?
1. Repression -- เก็บกด
ก็ประมาณว่า มีปัญหาความคับข้องใจอะไรเกิดขึ้น แต่กลับเก็บไว้ใน unconscious แล้วก็เหมือนจะลืมๆมันไปเสียอย่างนั้น
(เช่น ถูกคนด่าประณามหยามเหยียดมากมาย แต่สุดท้ายเนียนหน้าตาเฉยราวกับไม่เคยมีเหตุการณ์นั้นเกิดขึ้น และเจ้าตัวก็ไม่รับรู้ว่าชีวิตนี้เคยถูกคนด่าขนาดนั้นมาก่อนเสียด้วยสิ...?)
2. Denial -- ปฏิเสธความจริง
พอมีอะไรไม่ดี ก็เมินซะงั้น ไม่ยอมรับ ไม่อยากจะพูด
(เช่น มีคนถอดล็อกอินมาเยินยอตัวเอง พอคนอื่นจับได้ ก็เมินซะงั้น นั่นไม่ใช่ฉัน!...?)
3. Rationalization -- แถข้างๆคูๆ
แถๆๆ เพื่อให้ตัวเองรู้สึกดี ทั้งที่เหตุผลมันก็ไม่เห็นจะรับได้ตรงไหน
4. Intellectualization -- พยายามหาเหตุผล
อันนี้ดีกว่าอันก่อนนิดหน่อย ตรงที่เหตุผลมันยังพอรับได้ แต่ก็...คิดไปเองทั้งนั้นอยู่ดี
5. Reaction Formation -- ซึน! ซึน! ซึน!
ทำตัวตรงข้ามกับความรู้สึกที่แท้จริง เพื่อให้สังคมยอมรับ...คือไม่ได้ตั้งใจจะทำแบบนี้หรอก แต่มันทำอย่างที่คิดจริงๆไม่ได้อะ...
(เช่น ก็อยากมีเพื่อน....แต่ไม่รู้ทำไมโดนด่าตลอดเลยอ้ะ!)
6. Isolation of effect -- แยกอารมณ์ออกจากความทรงจำ
เหมือนที่บอกว่า เวลาผ่านไป ความเจ็บปวดมันจะจางหาย...เราอาจจะมองย้อนกลับไปในช่วงเวลาเลวร้ายแล้วรู้สึกว่ามันไม่เคยมีอะไรเลย...ทั้งที่ความรู้สึกแย่ๆพวกนั้นมันเกิดขึ้นจริงๆ
(เช่น คนที่สามารถเล่าเรื่องตอนตัวเองถูกข่มขืนโดยไม่รู้สึกอะไรเลยสักนิด...มันไม่ใช่ไม่รู้สึกรู้สา แต่เพราะเขาแยกความรู้สึกเลวร้ายออกจากเหตุการณ์ไปเรียบร้อยแล้วต่างหากล่ะ)
7. Displacement -- โยกย้ายความรู้สึก
ออกแนวประมาณ...รู้อะว่าโกรธใคร แต่จะไปลงกับต้นเหตุก็ไม่กล้า เลยต้องเอาอารมณ์พลุ่งพล่านมาระบายกับคนอื่นแทน
พวกโกรธเพื่อนแล้วมาพาลกับน้อง โกรธแฟนแล้วมาพาลใส่เพื่อน เข้าข่ายทั้งนั้น
8. Projection -- โทษชาวบ้าน
โทษชาวบ้าน โยนความผิดให้คนอื่น ฉันไม่ผิด...มันผิดที่แก๊สโซฮอล์! (มุกเก่าเหลือทน- -")
(เช่น ฉันเอาอะไรไม่รู้มาเผยแพร่ให้คนอื่นแล้วโดนด่ากลับมา ฉันไม่ผิด! มันผิดที่คนพวกนั้นไม่รู้จักคุณค่าของสิ่งที่ฉันอยากจะบอกต่างหาก!)
9. Compensation -- ทดแทนส่วนขาด
คือตัวเองมีจุดด้อยอะไรสักอย่าง และก็แก้มันไม่ได้ เลยต้องแสวงหาหนทางอื่นที่จะสร้างจุดเด่นให้ตัวเองขึ้นมาแทน
(เช่น ชีวิตนี้โลกภายนอกไม่มีใครคบ...ไม่มีใครสนใจ! ฉันมาเด่นในบอร์ดนี้แทนก็ได้!! ฮือๆๆๆ)
10. Undoing -- ไถ่โทษล้างบาป
ออกแนวทำบุญชดเชยความผิด ฆ่าคนแล้วบวชไถ่โทษ รวยจากธุรกิจอ่างแล้วตั้งมูลนิธิช่วยคน ทำนองนั้น
11. Fantasy -- ฝันไปวันๆ
พร่ำเพ้อไปงั้น อยากได้อะไรต้องฝันเอา แต่ไม่พยายามทำให้มันเป็นจริงหรอกนะ
(เช่น ไม่อ่านหนังสือมันเลยสักตัว แต่ก็ฝัน...อาจจะได้ A ช้วนก็ได้! ใครจะรู้!)
12. Conversion/Somatization -- ใจป่วย กายป่วย
อันนี้จะคล้ายๆโรคประสาทแบบฮิสทีเรียหน่อยๆ คือ...ความคับข้องใจกลายเป็นอาการทางกายขึ้นมาจริงๆ
13. Sublimation -- เอาเด่นเลยสักทาง
เป็นการระบายความคับข้องไปในทางที่สังคมยอมรับ เช่น (สมมุตินะครับสมมุติ) เป็นคน aggressive หน่อยๆ เลยเป็นหมอศัลย์ เพราะจะได้ผ่าคน! ...ผ่าคนเชียวนะ!! หึหึ หะหะ...
14. Introjection -- ฉันมันไม่ดีพอ
เหมือนกับรู้สึกคับข้องอะไรสักอย่างกับคนคนนึง แต่...เราจะโกรธเขาไม่ได้ เราจะเกลียดเขาไม่ได้...สุดท้ายเลยต้องโทษตัวเอง เราผิดเอง
เขาไม่ยอมไปจากที่นี่สักที...เรามันไม่ดีพอ! (ฮึกก)
...
คิดว่าถ้าใช้ทั้งหมดนี่บ่อยๆมันจะช่วยให้ชีวิตดีขึ้นไหม?
ในลิสต์ 14 อันด้านบน นอกจาก sublimation ที่สังคมยอมรับได้แล้ว ทุกอย่างถ้าใช้มากเกินไป มีโอกาสจะทำให้เกิดปัญหาทั้งนั้น ออกแนวหนีความจริงแล้วยังทำร้ายตัวเองซ้ำแล้วซ้ำเล่า...แต่ถ้าเกิดขึ้นแบบพอเหมาะพอดีก็จะช่วยให้ชีวิตดำเนินต่อไปอย่างปกติสุขได้เหมือนกัน
ซึ่งนอกจากนี้...ยังมีกลไกทางจิตแบบผู้ที่เจริญแล้ว (แบบผู้ใหญ่) อยู่อีกล่ะ...
(ความจริงตรงนี้เรายังไม่ค่อยเชื่อเต็มร้อยว่ามัน mature รับได้จริงๆทั้งหมด
แต่ก็...ลองดูก่อนละกัน^ ^")
ดังนี้
-Altruism -- การเสียสละ
-Anticipation -- คาดการณ์วางแผนล่วงหน้า
-Asceticism -- หันเข้าหาศาสนา ปรัชญา (......)
-Humor -- ใช้อารมณ์ขันเข้าสู้ (...อะ...ฮะๆ)
-Suppression -- สะกดกลั้นไว้ก่อน (เหมือนรู้จักบริหารเวลา ตอนนี้เรียนอยู่ยังโกรธไม่ได้ ไว้ไปโกรธที่บ้าน? <<เข้าใจถูกจริงเรอะอันนี้-*-)
-Sublimation -- เพราะสังคมยอมรับนั่นแหละ
...ตามที่แหล่งอ้างอิงนี้กล่าวมา กลไกทางจิตแบบผู้ใหญ่น่ะใช้ได้เรื่อยๆ ไม่ก่อให้เกิดปัญหาอะไร เพราะเป็นทางที่สังคมยอมรับอยู่แล้ว ไม่ได้สร้างความเดือดร้อนอะไรให้ทั้งคนอื่นและตัวเอง ถือว่าเป็นหนทางที่ดีที่สุดในบรรดาทั้งหมด
ก็...ดูแล้วคิดว่าอย่างไร? ใครมีข้อไหนบ้าง? พฤติกรรมของใครบางคนแถวนี้เกิดจากอะไรกันแน่?
แล้วสิ่งที่ร่ายมายาวเหยียดนี่...เชื่อถือได้จริงหรือ? (โดยเฉพาะบรรทัดแรกของกระทู้)
โปรดใช้วิจาณญาณในการรับชมค่ะ
55+
แก้ไขครั้งที่ 1 เมื่อ 20 พฤศจิกายน 2553 / 01:14
PS. �ในม่านหมอกอันเป็นมายานั้น...มีความจริงแฝงเร้นมากน้อยเพียงใด?
16 ความคิดเห็น
แชนดี้เป็นบ่อย displacement อะ =w=
PS. Love you my Olivia ///>[]<///
เค้าเป็น
Repression
Denial
Rationalization
Intellectualization
Fantasy
Asceticism
ง่ะ
ปล "เค้า"ในที่นี้ไม่ใช่สรรพนามบุรุษที่ 1 !
PS. ...ใช้ท่าเดิมกับข้าไม่ได้ผลหรอก... ...แอร๊ย !!!
หึหึหึหึ.....
PS. ชีราลฮาชีเน.. กรุณาอย่าเอาตัวเองมาเป็นมาตรฐาน!!..sarangheyo.. Amo-te.. Szeretlek. Ich liebe dich . seni seviyorum. Ik hou van jou..ผมรักคุณจริงๆนะ..เชื่อคำจิ้งจอกตัวนี้มั๊ย
อืม ของข้าน้อยมี
Repression
Intellectualization
Isolation of effect
Fantasy
Introjection
อาจจะ Displacement ด้วยแต่ไม่ลงที่คนอื่น ลงที่ตัวเองมากกว่า
PS. ฉัน...คือ...ก้อนเมฆ ~ ก้อนเมฆ...คือ...อิสระ ~ อิสระ...คือ...ฉัน ~ ลอยละลิ่วล่องเรื่อยไปตามสายลม ดีกว่าจมปลักอยู่กับชีวิตที่หาทางออกไม่เจอ แต่สายลมก็คือผู้นำทาง เลือกให้ดีก่อนที่อิสระจะกลายเป็นไร้อิสระ
ข้าน้อยชำนาญวิชา โยกย้ายความรู้สึก จะเปลี่ยนความขุ่นเคืองเป็นการดูถูก(โดยไม่แสดงออก แค่คิด) แม้ไม่ดีแต่ทำให้ใจเรารู้สึกสบาย และสามารถเห็นความต่างของศัตรู จนสามารถจับทางถูกและสวนด้วยเพลงดาบจนหมอนั้นล้มดับดิ้น นอกเรื่องแล้วตู-*-
PS. ติดตามนิยายผมได้ *** wolf of magic อภินิหารหมาป่าเวทย์*** ***************************************************
รู้สึกผมจะเป็นhumor กับintrojection อ่อนๆแฮะ
แต่บางทีก็แอบrepression
นี่คืออาการที่เคยเป็น กำลังเป็นอยู่และหายแล้วนะคะ
1. Repression -- เก็บกด [แล้วก็จะพัฒนาเป็นข้อ 3 5 8 9 11 และ 14 ในเวลาต่อมา...] --> พยายามบำบัดอยู่
ก็ประมาณว่า มีปัญหาความคับข้องใจอะไรเกิดขึ้น แต่กลับเก็บไว้ใน unconscious แล้วก็เหมือนจะลืมๆมันไปเสียอย่างนั้น
(เช่น ถูกคนด่าประณามหยามเหยียดมากมาย แต่สุดท้ายเนียนหน้าตาเฉยราวกับไม่เคยมีเหตุการณ์นั้นเกิดขึ้น และเจ้าตัวก็ไม่รับรู้ว่าชีวิตนี้เคยถูกคนด่าขนาดนั้นมาก่อนเสียด้วยสิ...?)
3. Rationalization -- แถข้างๆคูๆ [ส่วนใหญ่จะสัมพันธ์กับข้อ 1 และ 4] --> ตอนนี้เลิกแล้ว มีความคิดมากขึ้น
แถๆๆ เพื่อให้ตัวเองรู้สึกดี ทั้งที่เหตุผลมันก็ไม่เห็นจะรับได้ตรงไหน
4. Intellectualization -- พยายามหาเหตุผล [คิดเองเออเองนี่ใช่เลย =___=] --> ก็มีบ้าง...
อันนี้ดีกว่าอันก่อนนิดหน่อย ตรงที่เหตุผลมันยังพอรับได้ แต่ก็...คิดไปเองทั้งนั้นอยู่ดี
6. Isolation of effect -- แยกอารมณ์ออกจากความทรงจำ [อันนี้ยังไม่สามารถทำได้... แต่กำลังพยายามอยู่] --> กำลังเป็นและกำลังแก้ไขอยู่
เหมือน ที่บอกว่า เวลาผ่านไป ความเจ็บปวดมันจะจางหาย...เราอาจจะมองย้อนกลับไปในช่วงเวลาเลวร้ายแล้ว รู้สึกว่ามันไม่เคยมีอะไรเลย...ทั้งที่ความรู้สึกแย่ๆพวกนั้นมันเกิดขึ้น จริงๆ
(เช่น คนที่สามารถเล่าเรื่องตอนตัวเองถูกข่มขืนโดยไม่รู้สึกอะไรเลยสักนิด...มัน ไม่ใช่ไม่รู้สึกรู้สา แต่เพราะเขาแยกความรู้สึกเลวร้ายออกจากเหตุการณ์ไปเรียบร้อยแล้วต่างหากล่ะ)
7. Displacement -- โยกย้ายความรู้สึก [ดราม่าในชีวิตจริงแล้วดราม่าใส่แฟน... เคยจริงๆนะ ;__; รู้สึกผิดจนถึงบัดนี้] --> หายขาดแล้วค่ะ
ออกแนวประมาณ...รู้อะว่าโกรธใคร แต่จะไปลงกับต้นเหตุก็ไม่กล้า เลยต้องเอาอารมณ์พลุ่งพล่านมาระบายกับคนอื่นแทน
พวกโกรธเพื่อนแล้วมาพาลกับน้อง โกรธแฟนแล้วมาพาลใส่เพื่อน เข้าข่ายทั้งนั้น
8. Projection -- โทษชาวบ้าน [เป็นบ่อย... ว่าที่เราไม่พัฒนาไปไหนก็เพราะคนบางกลุ่มและพ่อแม่ที่มัวดราม่ากันเองจนทำให้เราเดือดร้อนไปด้วยเมื่อหลายปีมานานมากแล้ว... แต่ตอนนี้เลิกแล้วค่ะ] --> ขอนับรวมอาการวีน เหวี่ยงใส่คนอื่นเวลาไม่ชอบใจอะไรด้วยนะคะ เหมือนเป็นกลไกปกป้องตัวเองเพราะเมื่อก่อนเราไม่เคยตอบโต้ใครกลับเลยสักครั้งเดียว แต่ตอนนี้เลิกแล้ว
โทษชาวบ้าน โยนความผิดให้คนอื่น ฉันไม่ผิด...มันผิดที่แก๊สโซฮอล์! (มุกเก่าเหลือทน- -")
(เช่น ฉันเอาอะไรไม่รู้มาเผยแพร่ให้คนอื่นแล้วโดนด่ากลับมา ฉันไม่ผิด! มันผิดที่คนพวกนั้นไม่รู้จักคุณค่าของสิ่งที่ฉันอยากจะบอกต่างหาก!)
9. Compensation -- ทดแทนส่วนขาด [กำลังทำอยู่... มีญาติเก่งทั้งการเรียน กิจกรรม ดนตรี เราเลยจะเอาดีทางการเขียนแทน]
คือตัวเองมีจุดด้อยอะไรสักอย่าง และก็แก้มันไม่ได้ เลยต้องแสวงหาหนทางอื่นที่จะสร้างจุดเด่นให้ตัวเองขึ้นมาแทน
(เช่น ชีวิตนี้โลกภายนอกไม่มีใครคบ...ไม่มีใครสนใจ! ฉันมาเด่นในบอร์ดนี้แทนก็ได้!! ฮือๆๆๆ)
11. Fantasy -- ฝันไปวันๆ [/me...แทงใจดำ อ๊ากกกกก!!!] --> เป็นอยู่ ฝันจนลืมมองข้ามความจริง แล้วเป็นไงล่ะ สอบตรงก็ไม่ติด -"- ตอนนี้เลยเลิกฝันเฟื่องแล้ว
พร่ำเพ้อไปงั้น อยากได้อะไรต้องฝันเอา แต่ไม่พยายามทำให้มันเป็นจริงหรอกนะ
(เช่น ไม่อ่านหนังสือมันเลยสักตัว แต่ก็ฝัน...อาจจะได้ A ช้วนก็ได้! ใครจะรู้!)
14. Introjection -- ฉันมันไม่ดีพอ [น่าจะเป็นอยู่แหละ...มั้ง?] --> เป็นนานๆทีในช่วงจิตตก แต่ไม่ค่อยเป็นมากแล้วถ้าเทียบกับสมัยก่อน
เหมือนกับรู้สึกคับข้องอะไรสักอย่างกับคนคนนึง แต่...เราจะโกรธเขาไม่ได้ เราจะเกลียดเขาไม่ได้...สุดท้ายเลยต้องโทษตัวเอง เราผิดเอง
เขาไม่ยอมไปจากที่นี่สักที...เรามันไม่ดีพอ! (ฮึกก)
PS. Miyacatz PK ❤ การ "แรง" ที่ดีน่ะมันต้องมีกึ๋น.... ไม่ใช่สักแต่แรงเข้าว่าแบบไม่ดูตาม้าตาเรือ =^___^=
#6
เครียดแล้วเป็นโรคกระเพาะนี่ไม่เกี่ยวกับ defense mechanisms อะ...มันเป็นสภาพทางกายจริงๆ ถ้า defense จะออกแนวป่วยแบบไม่สอดคล้องกับสภาพจริงมากกว่า
เวลาเครียดแล้วมันจะมีฮอร์โมน cortisol ที่ช่วยลดความเครียดลงให้ร่างกายรับได้ (ออกฤทธิ์เป็นยาสเตอรอยด์ครอบจักรวาล) ซึ่งก็จะมีผลอีกทาง คือ กัดกระเพาะ เป็นของแถม
= =
เราเองก็เป็น 1 3 4 5 9 13 กะ anticipation ...ซึ่งมันกลับทำให้เราหงุดหงิดเวลาคนอื่นไม่รู้จักวางแผนไปซะงั้น ฮาฮา
PS. ในม่านหมอกอันเป็นมายานั้น...มีความจริงแฝงเร้นมากน้อยเพียงใด?
เป็นเกือบทุกอย่าง - -"
ยกเว้น Undoing กับ Sublimation
PS. ...บางคน...พูดเก่ง...แต่ฟังไม่เก่ง... ...บางคน...ฟังเก่ง...แต่พูดไม่เก่ง... ...บางคน...พูดเก่ง...เพราะฟังเก่ง... ...แต่บางคน...พูดเก่ง...แต่ไม่ฟังคนอื่นเลย...
ที่กล่าวมาเป็นแนวคิดแบบฟรอยเดี้ยน หรือสายจิตวิเคราะห์อ่ะนะ
ต้องบอกว่ามันอยู่ในสมมุติฐานว่า พฤติกรรมเกิดจากแรงขับดันภายในร่างกาย ที่เราเรียกว่า ID ด้วย
แต่หากว่า ID ต้องการสิ่งที่เป็นไปไม่ได้ในทางศีลธรรม (ในภาษาฟรอยจะเรียกศีลธรรมว่า super Ego) เช่น หลงรักแม่ตัวเอง อยากฆ่าคน
กระบวนการดังกล่าวจะถูกนำเอามาใช้ เพื่อให้สามารถประนีประนอมกับระหว่า Id กับ super Ego ได้
ถ้าเป็นจิตวิทยาสำนัก การเรียนรู้ หรือมนุษย์นิยม จะไม่ค่อยเชื่อเรื่องกลไกป้องกันจิตใจตนเองแบบนี้สักเท่าไหร่
ในแนวคิดแบบฟรอยเดี้ยนนั่น กลไกป้องกันตนเองทางจิตเป็นเรื่องธรรมดา ที่ทุกคนต้องมี ไม่อย่างงั้นจะไม่สามารถจัดการ Id กับ super Ego อย่างไรก็ตาม การหลงผิด หรือความผิดปรกติทางจิตในระดับ abnormal อื่นๆ นั้นมีเรื่องอะไรมากไปกว่านี้หน่อยนึง
แก้ไขครั้งที่ 1 เมื่อ 20 พฤศจิกายน 2553 / 15:47
แก้ไขครั้งที่ 2 เมื่อ 20 พฤศจิกายน 2553 / 15:48
แก้ไขครั้งที่ 3 เมื่อ 20 พฤศจิกายน 2553 / 15:49
แก้ไขครั้งที่ 4 เมื่อ 20 พฤศจิกายน 2553 / 15:58
PS. MAN is born free; and everywhere he is in chains.
ทำไมรู้สึกว่าเป็นหมดเลยล่ะ...? - * -
PS. ...มันไม่ใช่พีเอสนะ มันคือปัจฉิมลิขิตต่างหาก...
ผมว่าผมมี
Intellectualization เป็นครั้งคราว
Reaction Formation คิดว่าอันนี้บ่อย โดยเฉพาะสถานการณ์เผชิญหน้านอกงาน
Isolation of effect หลัง ๆ นี้เป็น
Undoing เสมอต้นเสมอปลาย
Conversion/Somatization ตอนแรก ๆ ที่รับงานพิเศษเป็นมาก
PS. คนทุกคนเท่าเทียมกัน แต่บางคนเท่าเทียมมากกว่าคนอื่น (Warhammer 40K) | แนะนำเกมพีซีและอาจมีดาวน์โหลด -> http://teamarcane.blogspot.com/ | เรื่องสนุก โพสไว้ให้ฮา -> http://post4fun.blogspot.com
ชอบกระทู้แบบนี้อ่ะ!! เด็กดีน่าจะมีแบบนี้เยอะๆนะ! 
ขอบคุณ คร้า[b-0เอสไปทำงานวิชา จิตเวชได้เลย ^^
รายชื่อผู้ถูกใจความเห็นนี้ คน
แจ้งลบความคิดเห็น
คุณต้องการจะลบความคิดเห็นนี้หรือไม่ ?