ช่วยแปล ' อิเหนา ตอน ศึกกะหมังกุหนิง 'หน่อยค่ะ
ตั้งกระทู้ใหม่
รับสั่งบังคมลาคลาไคล ออกไปจัดทัพฉับพลัน
อิเหนาและอนุชากรีธาทัพ เผชิญทัพกะหมังกุหนิง
...เมื่อนั้น พระผู้พงศ์เทวากระยาหงัน
ทั้งสุหรานากงอนุชา สังคามาระตาเรื่องศรี
กับระเด่นดาหยนผู้ภักดี มาเข้าที่สรงน้ำทิพมนตร์
....ห้าองค์ชำระสระสนาน กิดาหยันถวานพานเครื่องต้น
บรรจงทรงทาพระสุคนธ์ ปรุงปนเกสรสุมาลี
ใครช่วยแปลขอให้ สวย ๆ หล่อ ๆ ทุกคนค่า >//<
และขอให้เรียนได้เกรด ดี ๆ ทุกคน เพี้ยง !!!
PS.
11 ความคิดเห็น
เออ
อ่านแล้วเข้าใจแต่ ไม่มีความสามารถแปลออกมาได้สวยๆอะค่ะ
ยังไงก็เป็นกำลังใจให้แล้วกันค่ะ คิคิ
อิเหนามีเมียตั้ง 10 คน มีแต่คนคอยยกย่อง แต่วันทองมีผัวแค่ 2 คน ถูกคนรุมด่าซะงั้น
PS. Full Taste ''รัก.. หลาก.. รส..'' Pascali... พาสคาลิ'' Sound scare" รักหยอกๆ หรือหลอกเล่นๆ
ก็วันทอง เป็นผู้หญิง ไงค่ะ
ส่วน อิเหนา เป็นผู้ชาย มันไม่น่าเกลียดหรอกค่ะ
มันไม่เท่าเทียมกันตรงนี้ = ="
ศึกกระหมังกุหนิง ของ แผนการเรียน ม.4 อะสิเนอะ
ไม่ยากมากหรอกจ้า แต่ถ้าให้แปลอะ มันการบ้านใช่ป่ะนั่น 555
บทที่ให้มามัน งง ๆ = =" ไม่ค่อยปะติดปะต่อเท่าไหร่ แปลไม่ถูกงะ
แต่ก็พอจับใจความได้ว่า มีการยกทัพ และเจ้าเมืองก็กำลัง
เตรียมตัว อาบน้ำ ปรุงน้ำหอม อะไรต่อมิอะไรก่อนที่จะออกมาพบกับ
กองทัพ
ปล. ไม่เกี่ยวกับกระทู้ ขอโทษด้วยจ้ะ
.บัดนั้น ตำมะหงงกุเรปันกรุงใหญ่
รับสั่งบังคมลาคลาไคล ออกไปจัดทัพฉับพลัน
ตำมะหงงเมื่อรับคำสั่งแล้วจึงทูลลา รีบไปจัดทัพทันที
...เมื่อนั้น พระผู้พงศ์เทวากระยาหงัน
ครั้นฤกษ์ดีแจ่มดวงสุริยัน ทรงธรรม์ชวนกะหรัดตะปาตี
ทั้งสุหรานากงอนุชา สังคามาระตาเรื่องศรี
กับระเด่นดาหยนผู้ภักดี มาเข้าที่สรงน้ำทิพมนตร์
อิเหนาเห็นว่าเป็นเวลายามดีแล้ว จึงชวนกะหรัดตะปาตี สุหรานากง
สังคามาระตาระเด่นดาหยัน มาอาบน้ำทิพย์(น้ำศักสิทธิ์)
....ห้าองค์ชำระสระสนาน กิดาหยันถวานพานเครื่องต้น
บรรจงทรงทาพระสุคนธ์ ปรุงปนเกสรสุมาลี
ทั้งห้าพระองค์อาบน้ำ คนใช้ก็ถวายของเครื่องแต่งกาย
แล้วบรรจงทาน้ำหอมกลิ่นดอกไม้
ความหมายก็ประมาณนี้นะ เราพึ่งเรียนเหมือนๆกัน
ปล.เรียบเรียงคำให้สวยๆนะ
PS.
มีให้แปลทุกปีเลย 55555
PS. อยากใช้สีฟ้าอ่ะ ไม่ผิดใช่มะ??
ใจความสำคัญของเรื่อง อิเหนา  ตอน ศึกกะหมังกุหนิง
                ตั้งแต่วิหยาสะกำได้ชมรูปภาพของนางบุษบาก็หลงรักนาง และอยากได้นางมาเป็นมเหสี ท้าวกะหมังกุหนิงก็ตามใจลูกส่งทูตไปขอนางบุษบากับท้างดาหา และเตรียมกองทัพไว้ถ้าท้าวดาหาปฏิเสธก็จะยกทัพไปตีเมืองดาหา ท้าวกะหมังกุหนิงได้เล่าเรื่องราวและขอความช่วยเหลือจากน้องชาย คือ ระตูปาหยัง และท้าวประหมัน ซึ่งระตูทั้งสองก็ทูลทัดทาน ขอให้ตรึกตรองดูให้ดี เพราะท้าวดาหาเป็นวงศ์อสัญแดหวา ซึ่งมีกำลังทหารมากมาย ทั้งไพร่พลก็ชำนาญในการสงคราม ท้าวกะหมังกุหนิงก็บ่ายเบี่ยงเลี่ยงตอบว่าการทำสงครามครั้งนี้เป็นการช่วงชิงนางบุษบาจากจรกา แม้พระอนุชาจะอ้างเหตุผลอย่างไรก็ตาม ท้าวกะหมังกุหนิงก็ยืนยันความตั้งใจเดิม ไม่เปลี่ยนใจจะทำเพื่อลูก
                ฝ่ายท้าวดาหาเมื่อปฏิเสธไม่ยอมยกนางบุษบาให้แล้ว ก็มีหนังสือไปขอความช่วยเหลือไปหาท้าวกุเรปัน พระเชษฐา  ท้าวกาหลังและท้าวสิงหัดส่าหรี พระอนุชาทั้งสอง ท้าวสิงหัดส่าหรีเมื่อทราบข่าวก็ส่งทหารไปบอกท้าวดาหาว่าไม่ต้องวิตก จะส่งสุหรานากงไปช่วย ฝ่ายเมืองกุเรปันท้าวกุเรปันได้มีหนังสือ 2 ฉบับ ให้ดะหมังนำไปให้อิเหนา 1ฉบับ และให้ระตูหมันหยา 1 ฉบับ แล้วให้กะหรัดตะปาตี ยกทัพไปสมทบกับอิเหนา ช่วยท้าวดาหาทำศึก กะหรัดตะปาตีก็ยกทัพไปคอยอิเหนาที่ชายเมืองหมันหยา ส่วนท้าวกาหลังก็ให้ตำมะหงงกับดะหมังคุมพลยกออกจากเมืองกาหลังมาพบสุหรานากงจากเมืองสิงหัดส่าหรี สองทัพก็สมทบกันยกไปเมืองดาหา
              เมื่อท้าวดาหาปฏิเสธไม่ยอมยกนางบุษบาให้ ท้ากะหมังกุหนิงก็เตรียมจัดทัพยกไปตีเมืองดาหา ให้วิหยาสะกำเป็นกองหน้า พระอนุชาทั้งสองเป็นกองหลัง ท้าวกะหมังกุหนิงเป็นจอมทัพ ท้าวกะหมังกุหนิงได้ให้โหรโหรตรวจดูดวงชะตาว่าร้ายดีประกาใด โหรทำนายว่าดวงชะตาของท้าวกะหมังกุหนิงและวิหยาสะกำนั้นถึงฆาต ถ้ายกทัพไปในวันพรุ่งนี้จะพ่ายแพ้แก่ศัตรูแน่นอน ให้เว้นไปซัก 7 วัน แล้วจึงจะพ้นเคราะห์ไปทำศึกได้ แต่ท้าวกะหมังกุหนิงก็มิได้เปลี่ยนความตั้งใจ ยกทัพไปตามกำหนดที่ตั้งใจไว้
                เมื่อท้าวดาหาทราบข่าวศึกก็ให้ตั้งค่ายรอบกรุงดาหาไว้ ทัพเมืองกะหมังกุหนิงก็ได้ยกทัพมาประชิดเมืองดาหา ท้าวดาหาเมื่อเห็นศึกมาประชิดเช่นนั้นก็รู้สึกน้อยใจอิเหนาว่าศึกครั้งนี้เกิดขึ้นเพราะอิเหนาเป็นต้นเหตุ สุหรานากงและเสนาเมืองกาหลังเมื่อมาถึงก็เข้าเฝ้าท้าวดาหา สุหรานากงแจ้งให้ท้าวดาหาทราบว่า ท้าวกุเรปันส่งกะหรัดตะปาตีให้สมทบกับทัพอิเหนามาช่วย ท้าวดาหาก็เชื่อว่ากะหรัดตะปาตีนั้นคงมา แต่ไม่เชื่อว่าอิเหนาจะจากหมันหยามาได้ ท้าวดาหาเสนอแนะการทำศึกแก่สุหรานากงว่าไม่ควรออกไปสู้รบนอกเมือง เพราะกองทัพศัตรูกล้ายกมาครั้งนี้ก็ย่อมมีความสามารถมีกำลัง ควรตั้งมั่นไว้ในเมืองก่อน ถ้าทัพต่างๆยกมาช่วยแล้วค่อยตีกระหนาบ ศึกก็จะลาเลิกไป
              อิเหนาเมื่อได้รับหนังสือจากท้าวกุเรปันให้ยกทัพไปช่วยท้าวดาหา ถ้าไม่ยกไปช่วยก็ขาดจากความเป็นพ่อลูกกัน แม้ตายก็ไม่ต้องไปเผา
                อิเหนาอ่านจบแล้วก็นึกว่า นางบุษบาจะงามแค่ไหน ใครต่อใครจึงมาหลงรัก ถ้างามเหมือนจินตะหราก็สมควรที่จะหลงรัก อิเหนาคิดว่าอีก 7 วันจึงจะยกทัพไปแต่ดะหมังทูลเตือนว่าอาจไปช่วยไม่ทัน อิเหนาจึงจำใจยกทัพไปวันรุ่งขึ้น อิเหนาได้เข้าเฝ้าท้าวหมันหยาซึ่งก็ได้รับหนังสือจากท้าวกุเรปันมีใจความตำหนิพระธิดาและท้าวหมันหยา ถ้าท้าวหมันหยายังเห็นดีเห็นงามไม่ให้อิเหนายกทัพไปช่วยศึกดาหา ก็จะตัดญาติขาดมิตรกัน ท้าวหมันหยาจึงเร่งให้อิเหนายกทัพไปและให้ระเด่นดาหยนคุมทัพจากหมันหยาไปสมทบอิเหนาด้วย
              อิเหนาจึงมาลาจินตะหรา สการะวาตี และมาหยารัศมี ทั้งที่ใจไม่อยากจากไป อิเหนาสัญญากับจินตะหราว่าเสร็จศึกจะรีบกลีบมาทันที อิเหนายกทัพจากเมืองหมันหยาไปด้วยความโศกเศร้า และคิดถึงสามนางมาตามทางที่ผ่านไป อิเหนายกทัพสมทบกับกะหรัดตะปาตีที่คอยท่าอยู่แล้วพากันยกไปเมืองดาหา เมื่อถึงแดนดาหาอิเหนาก็หยุดตั้งค่าย ให้ตำมะหงงไปทูลท้าวดาหาว่าจะทำศึกให้เสร็จสิ้นก่อนแล้วจึงจะมาเข้าเฝ้า ท้าวดาหาก็ยินดีเมื่อรู้ว่าอิเหนายกทัพมาแล้ว เพราะรู้ว่าอิเหนาเก่งกล้าสามารถ ย่อมชนะศึกแน่นอน ส่วนสุหรานากงก็ยกทัพออกไปสมทบกับอิเหนาแล้วเล่าเรื่องที่ท้าวดาหากล่าวถึงอิเหนาให้ฟัง
                ฝ่ายท้าวกะหมังกุหนิงแม้รู้ข่าวว่ามีทัพยกมาช่วยท้าวดาหาแต่ก็ยังไม่เปลี่ยนใจได้เตรียมทำศึกเต็มที่ เมื่อทัพกะหมังกุหนิงประจันทัพกับทัพของอิเหนา ท้าวกะหมังกุหนิงไม่รู้ว่าเป็นทัพของอิเหนาจึงถามว่าผู้ใดคือจรกา อิเหนาจึงตอบว่าจรกามิได้มาด้วย เรายกมาแต่กุเรปันเพื่อมาช่วยน้อง ท้าวกะหมังกุหนิงเมื่อรู้ว่าเป็นอิเหนาก็รู้สึกหวาดหวั่นแต่ก็มีมานะเจรจาตอบ ในที่สุดสังคามาระตะก็ออกต่อสู้กับวิหยาสะกำ และได้ฆ่าวิหยาสะกำตาย ท้าวกะหมังกุหนิงจึงเข้าต่อสู้กับสังคามาระตะ อิเหนาเข้ารับไว้และฆ่าท้าวกะหมังกุหนิงสำเร็จ ระตูปาหยังและท้าวประหมันเห็นเหตุการณ์เป็นดังนั้นจึงยอมแพ้แก่อิเหนา และจะยอมเป็นเมืองขึ้นจะส่งเครื่องบรรณาการมาถวายตามประเพณี อิเหนาก็ได้อนุญาตให้นำศพท้าวกะหมังกุหนิงและวิหยาสะกำกลับไปที่เมืองเพื่อจัดพิธีศพตามประเพณีต่อไป
ลักษณะ                กลอนบทละคร
อธิบายผังโครงสร้าง
                ๑) แสดงผังโครงสร้างกลอนบทละคร ความยาว ๒ บท
                ๒) กลอน ๑ บท มี ๒ บาท คือ บาทเอกและบาทโท
                ๓) กลอน ๑ บาท มี ๒ วรรคคือบาทเอกประกอบด้วย วรรค สดับ และวรรค รับ บาทโทประกอบด้วย วรรค รอง และวรรค ส่ง
                ๔) กลอน ๒ วรรค เรียกว่า ๑ คำกลอน
                ๕) เส้นโยงแสดงจุดสัมผัสนอก เป็นกฎบังคับต้องมี สำหรับกลอนวรรค รับ และ ส่ง จะเลือกสัมผัสตรงคำที่ ๒, ๓ หรือ ๕ ก็ได้ ในกลอนบทละครนิยมสัมผัสตรงคำที่ ๒ และ ๕ มาก สำหรับจุดสัมผัสใน โปรดดูคำอธิบาย ที่กลอนสุภาพ
                ๖) กลอนยาว ๒ บทขึ้นไป ต้องเชื่อมสัมผัสท้ายวรรค ส่ง ไปยังคำท้ายวรรค รับ ของบท ถัดไปเสมอ
                กลอนบทละคร เป็นกลอนสุภาพประเภทหนึ่งจัดอยู่ในหมวดกลอนขับร้อง เช่นเดียวกับกลอนดอกสร้อย สักวา กลอนเสภา และเพลงไทยเดิม
                วัตถุประสงค์ในการแต่งกลอนบทละคร เพื่อนำไปแสดงละครร้องและรำ ซึ่งในอดีตถือเป็นการแสดงชั้นสูงที่มีเฉพาะในรั้วในวังเท่านั้น
ลักษณะข้อบังคับ
                ลักษณะบังคับ (ฉันทลักษณ์) กลอนบทละคร เช่นเดียวกับกลอนสุภาพ แต่จำนวนคำในวรรค จะอยู่ที่จำนวน ๖-๗ เป็นส่วนมาก ทั้งนี้เพื่อให้จังหวะของเสียงเข้ากับท่าร่ายรำของตัวละคร และท่วงทำนองเพลงปี่พาทย์
                นอกจากนี้ กลอนบทละคร จะมีคำนำ ในบางบท เพื่อบอกถึงการกระทำ หรือเหตุการณ์สำคัญ ที่กำลังดำเนินไป ซึ่งจะมีอยู่ ๒ คำ คือ \"เมื่อนั้น\" กับ \"บัดนั้น\"คำว่า \"เมื่อนั้น\" ใช้สำหรับตัวละครสูงศักดิ์ ส่วนคำว่า\"บัดนั้น\" ใช้สำหรับตัวละครชั้นสามัญ  สิ่งสำคัญที่สุด ที่กวีผู้แต่งบทกลอนละครร้อง จะต้องทราบคือ
                ๑. ท่าร่ายรำต่าง ๆ ในการแสดง โขน และละคร
                ๒. ท่วงทำนอง จังหวะ ของเพลงปีพาทย์ ขั้นพื้นฐาน และ
                ๓. เพลงหน้าพาทย์ต่าง ๆ ที่มีอยู่ประมาณ ๓๐ เพลง  ซึ่งถือเป็นเพลงปี่พาทย์ชั้นสูงของไทย ใช้เป็นเพลง ประกอบการบวงสรวง ไหว้ครู โหมโรงในพิธีการ ประกอบถึงท่าเหาะเหินของตัวละคร
                ความสำคัญดังกล่าวนี้ กวีผู้แต่งบทละครร้อง จะกำหนดไว้ ท้ายบทกลอนแต่ละบท ว่ามีจำนวนคำ (คำกลอน) กี่คำ และใช้เพลงใดกำหนด ท่ารำของตัวละคร
                ผู้เขียนจำได้ว่า เคยชมการแสดงโขนสด ของ กรมศิลปากร เรื่องรามเกียรติ เวลาผู้พากย์ ๆ จบในแต่ละละคำ (คำกลอน) จะลงท้ายด้วยคำว่า ... บัดนั้น.... เชิด.... วงปี่พาทย์ก็จะบรรเลงเชิด ตัวละครก็ร่ายรำไปตามจังหวะ และท่วงทำนองเพลงนั้น ๆ
                จากรายละเอียดที่กล่าวมาทั้งหมด ทำให้สังเกตได้ว่ากวีที่แต่งบทกลอนละครร้องนั้น ล้วนเป็นพระราชวงศ์ ชั้นสูงทั้งสิ้น ทั้งนี้เพราะการแสดงก็ตาม องค์ประกอบ ความรู้ ที่จะนำมาสอดใส่ไว้ในบทกลอนก็ตาม ล้วนเป็น ความรู้ของชนชั้นสูงศักดิ์ทั้งสิ้น
เครดิต : http://www.muslimthai.com/main/1428/content.php?page=sub&category=110&id=16017
โอ๊ะ ๆ  ขอบคุณค่ะ คห.6 :))
แต่เราต้องการแค่นั้นอ่ะค่ะ
อ่านหมดนี่เรามึนแน่ 5 55 5 5
PS.
ขอคำแปลของหน้า  50  หน่อยค่า
ขอกลอนตอนที่อิเหนาลอบเข้าห่จินตะหรา มาหยารัศมี และนางสการะวาตีหน่อยค่ะ ขอบคุณ
บัดนั้น สองทูตทูลแจ้งแถลงไข
ข้าได้ยินตระหนักประจักษ์ใจ ท้าวดาหาตรัสใช้เสนี
ให้รีบไปแจ้งเหตุพระเชษฐา กับพาราสิงหัดส่าหรี
อนุชากาหลังธิบดี อีกบุรีระตูจรกา
เห็นกษัตริย์ทั้งสี่ธานีนั้น จะมาช่วยป้องกันกรุงดาหา
เมื่อวันข้าออกจากเมืองมา เสนาก็ไปพร้อมกัน
ช่วยแปลให้หน่อย
ปิดกระทู้
รายชื่อผู้ถูกใจความเห็นนี้ คน
แจ้งลบความคิดเห็น
คุณต้องการจะลบความคิดเห็นนี้หรือไม่ ?