การเขียนนิยาย และ การวิจารณ์นิยาย กระทู้ 4
การเขียนนิยาย และ การวิจารณ์นิยาย กระทู้ 4
กระทู้ 1 http://www.dek-d.com/board/view.php?id=2276062
กระทู้ 2 http://www.dek-d.com/board/view.php?id=2278467
กระทู้ 3 http://www.dek-d.com/board/view.php?id=2281116
บทความนี้เป็นความเห็นส่วนตัวของดิฉัน หลินโหม่ว/ซีเรีย ล้วนๆ ค่ะ
การวิจารณ์นิยาย
หลังจากได้รับความรู้ว่าด้วยหลักการวิจารณ์นิยายจากรุ้งยี้ บวกกับประสบการณ์ที่ตัวเองมีมา เวลาอ่านเจอนิยายที่โดนใจและอยากจะแสดงความเห็นวิจารณ์ เราจะมีประเด็นในการวิจารณ์ดังนี้
1. การใช้ภาษา
2. การเล่าเรื่อง
3. พล็อต
4. ความสมเหตุสมผล
5. การวางปมและการคลายปม
6. ความมีมิติของตัวละคร
7. วิธีจบเรื่อง
นอกจากประเด็นในการวิจารณ์ หลักการพื้นฐานที่สำคัญยิ่งกว่าในการแสดงความเห็นวิจารณ์คือ
1. จะไม่ติเรือทั้งโกลน นั่นคือ จะไม่วิจารณ์นิยายเรื่องไหนที่ยังเขียนออกมาได้ไม่ถึงครึ่งเรื่องเป็นอย่างน้อย เพราะมันยังไม่เห็นฝีมือหรือพัฒนาการของคนเขียนเลย
2. จะไม่ฝืนใจอ่านนิยายที่อ่านไปได้ 2-3 ตอนแล้วรู้สึกว่า "ไม่โดน"
3. จะไม่วิจารณ์นิยายที่อ่านแล้ว "ไม่โดน" เพราะเราจะเกิดอคติและวิจารณ์โดยใช้อคติเป็นที่ตั้ง ซึ่งไม่เป็นผลดีต่อผู้เขียน
4. จะไม่อ่าน + วิจารณ์นิยายเพราะไม่ชอบหน้าคนเขียนเป็นการส่วนตัวและคิดจะใช้วิธีนี้โขกสับเจ้าตัว เพราะมันงี่เง่า + ไร้สาระ + เสียเวลาทำมาหากิน + เป็นพฤติกรรมที่เบบี๋มาก
5. จะไม่เรียกพรรคพวกมาร่วมด้วยช่วยกันโขกสับนิยายที่ไม่ชอบ เหตุผลเหมือนข้อ 4 + เพื่อน ไม่ได้มีไว้เพื่อการนี้ และเพื่อนควรจะห้ามเพื่อนไม่ให้ทำในสิ่งที่ไม่ดี ไม่ใช่สนับสนุน ไม่อย่างนั้นจะกลายเป็นแบบที่เขาเรียกว่า "ฝนตกขี้หมูไหล คนจัญไรมาปะกัน"
6. จะอ่านและวิจารณ์นิยายเรื่องใดๆ ก็ต่อเมื่ออ่านแล้วชอบมาก อยากให้ผู้เขียนได้พัฒนาฝีมือมากยิ่งขึ้นจริงๆ
7. เรื่องที่ได้เลือกแล้วว่าจะวิจารณ์ เวลาวิจารณ์ จะเลือกใช้ถ้อยคำอย่างประณีตมากเพื่อให้ได้ผลลัพธ์ตามที่ต้องการ นั่นคือ ผู้เขียนอ่านแล้วไม่รู้สึกว่าเรากำลังหาเรื่อง และยินดีอย่างยิ่งที่จะรับความเห็นของเราไปพิจารณา
8. เมื่อวิจารณ์แล้ว จะไม่เที่ยวตามดูและตามจิกให้ผู้เขียนแก้ไขตามที่เราร้องขอ เพราะงานเขียนชิ้นนั้นเป็นสิทธิ์ของผู้เขียน ผู้เขียนไม่มีความจำเป็นใดๆ ทั้งสิ้นที่จะต้องมาทำตามที่เราต้องการ
9. ไม่เอานิยายเรื่องนั้นมาเปรียบเทียบกับนิยายของตัวเอง
10. ไม่เอามาตรฐานในการเขียนนิยายของตัวเองไปวัดคนอื่น
11. ไม่สองมาตรฐาน
ส่วนตัวแล้ว มักจะชอบ "วิเคราะห์" นิยายที่ชอบมากกว่า "วิจารณ์" เพราะนิยายที่อ่านแล้ว "ชอบ" คือนิยายที่ทำให้เราสามารถตะลุยอ่านรวดเดียวจบอย่างละเอียดตั้งใจทุกบรรทัด ทุกตัวอักษรได้ เมื่ออ่านจบแล้ว เรามักจะเกิดอาการอยากเล่าเนื้อเรื่องมาก ซึ่งนิยายเหล่านี้ ไม่แน่ว่าจะต้องเพอร์เฟค แต่จะต้องเป็นนิยายที่มีจุดใดจุดหนึ่งหรือบางจุดทำให้เราประทับใจมาก เช่นตัวละครบางตัว
ตัวอย่างเรื่องที่เราเคยเขียนวิเคราะห์เอาไว้
http://www.bloggang.com/viewblog.php?id=sorcererwar&group=5
คราวนี้จะลงลึกในมุมมองเวลาที่อ่านนิยายเพื่อที่จะวิจารณ์
1. การใช้ภาษา
การใช้ภาษาแบบที่เราชอบ ไม่มีกฎตายตัวแน่นอน ขอแค่การใช้ภาษาแบบนั้นแล้วชอบ ประทับใจ ก็ใช้ได้แล้ว เพราะมักจะมีนักเขียนพรสวรรค์บางคนสามารถคิดวิธีเขียนโดยใช้ภาษาสไตล์แปลกใหม่ออกมาได้อยู่เรื่อยๆ และต่อให้สำนวนไม่ได้แปลกตา แต่หากสามารถใช้ถ้อยคำสำนวนที่ดูเป็นการเล่าเรื่องธรรมดาๆ สะกดให้อ่านต่อไปเรื่อยๆ ไม่มีหยุดด้วย "ถ้อยคำธรรมดาๆ ที่ไม่ได้แปลกเลิศลอย" อะไรได้ ก็โอเคแล้วเช่นกัน
สรุปคือ การใช้ภาษาแบบที่ทำให้เราเต็มใจอ่าน คือ การใช้ภาษาที่ "สละสลวย"
ซึ่งคำว่า "สละสลวย" นี้ ไม่ได้แปลว่า "ภาษาสวย" หรือ สำนวนภาษาใช้ศัพท์วิลิศมาหราบรรยายยืดยาว แต่หมายถึงเลือกใช้คำมาบรรยายได้อย่างเหมาะสม มองเห็นภาพ อ่านแล้วลื่นไหล ไม่รู้สึกสะดุด และไม่รู้สึกว่ายืดยาวเยิ่นเย้อน่าเบื่อหน่าย เช่นนิยายที่ "ภาษาสวย" มักจะเป็นกัน
โดยทั่วไปมีหลักที่พอจะจับได้สำหรับสำนวนที่ "สละสลวย" ดังนี้
· ไม่มีภาษาวิบัติ
· คำสันธานไม่มีการซ้ำใน 2-3 ข้อความ
· ไม่ใช้คำขยายที่มีความหมายเดียวกันซ้อนกันบ่อยๆ
· ไม่มีการบรรยายที่เกินจำเป็นต่อเนื้อเรื่องโผล่มา เช่น หากบรรยายถึงการประดับบ้านว่าตรงเชิงบันไดมีแจกันสมัยหมิงวางอยู่คู่หนึ่ง ก็ไม่ต้องไปบรรยายว่ามันราคาเท่าไหร่ และไม่ต้องไปบรรยายว่าซื้อมาเมื่อไหร่ ใครซื้อมา ถ้าไม่ได้คิดจะใช้ข้อมูลนี้ในฉากสำคัญใดสักฉากของเนื้อเรื่อง เพราะคนเขียนไม่ได้อยากจะรู้เรื่องนี้เลย ถ้าแค่เพื่อจะบอกว่าบ้านนี้รวย แค่บอกว่าเป็นแจกันสมัยหมิง ก็บอกว่ารวยพอแล้ว การบรรยายเกินจำเป็นแบบนี้เรียกว่า "น้ำ" (จากสำนวน "น้ำท่วมทุ่งผักบุ้งโหรงเหรง" )
· กระชับ แต่ไม่ห้วน ไม่มีคำที่เกินจำเป็น ซึ่ง "คำที่เกินจำเป็น" นี้ มักจะเป็นปัญหาที่เกิดขึ้นบ่อยกับผู้เขียนที่พยายามเกินเหตุที่จะใช้ภาษาให้สวย โดยแยกไม่ออกระหว่าง "ภาษาสวย" กับ "เยิ่นเย้อ"
· สำนวนภาษาเข้ากับฉากหลัง สถานการณ์ และบริบทในเรื่อง เช่น ตัวละครอายุเท่าไหร่ เพศใด อาชีพอะไร อยู่ในสถานที่แบบไหน อยู่กับใคร อยู่ในอารมณ์แบบไหน ควรจะเลือกใช้คำพูดแบบไหน
ส่วนที่ว่า แบบไหนที่เรียกว่า "กระชับ" แบบไหนที่เรียกว่า "ห้วน" แบบไหนที่เรียกว่า "เยิ่นเย้อ" จำพวกนี้ จะตัดสินโดยเซนส์ส่วนตัวที่ได้มาจากประสบการณ์ทั้งการอ่านนิยาย การเขียนนิยาย และการแปลนิยายล้วนๆ
2. การเล่าเรื่อง
จังหวะในการเล่าเรื่องมีความสำคัญไม่แพ้สำนวนในการที่จะดึงคนอ่านให้อ่านนิยายของเราได้ตลอดรอดฝั่ง และจังหวะในการเล่าเรื่อง (หรือจะเรียกว่า "จังหวะในการเดินเรื่อง" ก็ได้) สำหรับคนเขียนแล้ว แทบจะเรียกได้ว่าต้องอาศัยเซนส์ + ประสบการณ์ในการเขียนล้วนๆ
ส่วนสำหรับคนวิจารณ์ ก็เรียกได้ว่าการจะดูจังหวะที่ดีในการเดินเรื่อง รวมถึงมองเห็นปัญหา ตลอดจนมองเห็นจุดที่มีปัญหาในการเดินเรื่องออกถึงขนาดสามารถชี้ชัดออกมาได้เป็นจุดย่อยๆ อันเป็นคุณสมบัติที่ผู้ซึ่งหาญกล้าตั้งตนไป "วิจารณ์" นิยายของคนอื่นพึงมี เกิดจากการที่ "นักวิจารณ์" คนนั้นผ่านการอ่านเชิงวิเคราะห์นิยายเรื่องต่างๆ มาอย่างโชกโชน (แน่นอนว่าตัวเรายอมรับว่าตัวเองยังไม่แน่ถึงขั้นนั้น จึงไม่บังอาจอวดดีมากพอที่จะยกตนว่าเป็น "นักวิจารณ์") และมีการถกแลกเปลี่ยนความคิดเห็นกับผู้ที่ถนัดในด้านการอ่านเชิงวิเคราะห์มาอย่างโชกโชนเหมือนกันอยู่เสมอๆ ทั้งสิ้น
อนึ่ง มีนักเขียนที่มีพรสวรรค์อย่างแท้จริงที่รู้จังหวะการเล่าเรื่องโดยธรรมชาติอยู่เหมือนกัน เช่น พัณณิดา ภูมิวัฒน์ ถึงอย่างนั้นพัณณิดาก็ยังยอมรับว่าในบางครั้งก็มีบ้างที่พลาดในการใส่จังหวะเดินเรื่อง ทำให้เนื้อเรื่องอืดไปนิดได้ แต่เจ้าตัวมักจะสามารถแก้ไขได้เรียบร้อยก่อนที่นิยายจะออกมาเป็นเล่มทุกครั้ง จึงเรียกได้ว่าเป็น "ผู้รู้" อย่างแท้จริง นั่นคือ ยอมรับในข้อบกพร่องของตัวเองและกระตือรือร้นที่จะแก้ไข
หลักสำคัญที่จะสังเกตดูเพื่อวิจารณ์ว่าด้วยจังหวะการเล่าเรื่อง หรือจังหวะการดำเนินเรื่อง มีดังนี้
2.1 จังหวะการเล่าเรื่องไม่ช้าเกินไปและไม่เร็วจนเกินไป
จังหวะการเล่าเรื่องไม่ช้าเกินไป คือ ไม่ทำให้คนอ่านอ่านแล้วเกิดความคิดว่า
· เมื่อไหร่จะจบฉากนี้เสียที?
· เมื่อไหร่จะคุยกันจบเสียที?
· เมื่อไหร่จะหยุดบรรยายฉากนี้เสียที? รู้แล้วน่าว่าบ้านนี้สวยมากรวยมาก
· ฯลฯ
ตัวอย่างที่จำได้แม่นยำ คือเรื่อง เทียนฮุดเจี้ย ของลิ้วชั้งเอี้ยง ซึ่งอ่านตอนอยู่ม.ปลาย มี 10 เล่มจบหนาๆ (แต่ละเล่มหนาเกิน 500 หน้า) ซึ่งมันก็สนุกทุกเล่ม ยกเว้นเล่มท้ายๆ เล่มหนึ่ง จำไม่ได้แล้วว่าเล่มไหน เป็นฉากตะลุมบอนหมู่หมดทั้งเล่ม จำได้ว่าทีแรกอ่านอย่างตั้งใจ จนกลายเป็นเปิดอ่านผ่านๆ แล้วพลิกดูท้ายเล่ม เฮ้ย! มันยังสู้กันไม่จบอีกเรอะ?! จนขึ้นเล่มใหม่ไปได้นิดหนึ่งกว่าจะสู้จบ...
จังหวะการเล่าเรื่องไม่เร็วเกินไป คือ อย่าข้ามฉากตอนที่ไม่สมควรข้าม เช่น เรื่องราชาแห่งราชัน ในเล่ม 4 อยู่ๆ ก็ตัดมาฉากเฉินเฟิงตั้งสมาคมเสร็จเรียบร้อย โดยไม่เอ่ยถึงขั้นตอนในการตั้งเลยสักนิด อันนี้เรียกว่าเดินเรื่องเร็วเกินไปมาก ยิ่งเล่ม 11 ยิ่งไม่ต้องพูดถึง
หรือจะให้ชัดเจนยิ่งกว่าก็อย่างตอนจบของเรื่อง Slam dunk หรือช่วงท้ายของเรื่องอายชิลด์ 21 ที่การลงรายตอนในรายสัปดาห์ที่ญี่ปุ่นได้รับคะแนนโหวตต่ำจนลงไปอยู่อันดับท้ายๆ ที่จะโดนสั่งให้ตัดจบ คนเขียนจึงประชดเสียเลย
นักวิจารณ์ที่ดีจะต้องสามารถอ่านแล้วดูออกว่า นิยายเรื่องนั้นสามารถเล่าเรื่องได้อย่างมีจังหวะจะโคนที่เหมาะสมเป็นธรรมชาติหรือไม่ หรือถ้ามีจังหวะของเรื่องตรงไหนที่สะดุด จะต้องดูออก และบอกได้ว่าสะดุดเพราะอะไร จะแก้ไขได้อย่างไร ต้องสามารถบอกหนทางในการแก้ไขที่ถูกต้องให้แก่ผู้เขียนได้ จึงจะเรียกได้ว่าเป็น "นักวิจารณ์ที่ดี"
และความจริงแล้ว นี่เป็นคุณสมบัติที่ "ว่าที่บก.ใหญ่" จะต้องมี
2.2 เนื้อเรื่องที่ควรมี มีครบหมด
นักวิจารณ์ที่ดี จะต้องมีสายตาเฉียบคมสามารถมองออกได้ว่า นิยายเรื่องนั้นๆ มีองค์ประกอบ มีฉากตอนที่สมควรมีอยู่ครบถ้วนหรือไม่
ฉากตอนที่ไม่ครบก็ตัวอย่างเช่น เรื่องมนตร์อสูรที่เริ่มเรื่องมา พระเอกที่แสนเย็นชาก็รักนางเอกที่ซื่อบื้อติงต๊องแล้ว ดังนั้นสิ่งหนึ่งที่คนอ่านคาดหวังอย่างยิ่งที่จะได้เห็นในเนื้อเรื่องคือ ฉากเล่าย้อนอดีตว่าพระเอกรักนางเอกได้ยังไง? แต่จนจบเรื่อง ผู้เขียนก็ไม่ได้เขียนถึงตรงนี้เลยแม้แต่น้อย เมื่อเราบอกให้ผู้เขียนเขียนตอนพิเศษที่ให้ความกระจ่างถึงเนื้อหาช่วงนี้ ผู้เขียนกลับตอบว่า
"เขียนฉากภูเขาน้ำแข็งละลายน่ะมันยากนะ"
ขอบอกว่าฟังแล้วพูดไม่ออก สรุปว่าเธอไม่มีปัญญาเขียน เลยข้ามมันไปซะ ทั้งที่มันเป็นฉากสำคัญที่ควรต้องมีในเนื้อเรื่องอย่างยิ่งสินะ?
ยังมีนิยายจีนอีกเรื่องที่มีกรณีคล้ายกันนี้ คือ ดูยังไงก็ดูไม่ออกว่าพระเอกหลงรักนางเอกตอนไหน เพราะอะไร มามองเห็นความคิดความรู้สึกของพระเอกก็ตอนที่รักนางเอกไปแล้ว
ทั้งนี้ จะมีบางเรื่องเช่นกันที่ผู้เขียนจงใจที่จะซ่อนเนื้อเรื่องบางอย่างเอาไว้โดยไม่บอกตรงๆ ผู้อ่านจะต้องไปค้นหาเอาเอง ซึ่งนักวิจารณ์ที่ดี จะต้องสามารถสังเกตเห็นสิ่งที่ถูกซ่อนอยู่ภายในเรื่องเหล่านี้ ถ้าสามารถมองเห็นได้ "ทั้งหมด" แปลว่านักวิจารณ์คนนั้นมีระดับสมองแน่กว่าหรือแน่พอๆ กันคนเขียน แต่ถ้ามองออกไม่ทั้งหมด หรือมองไม่ออก ก็...นะ อย่าเผยอเป็นนักวิจารณ์เลยจะดีกว่า ยิ่งอย่าฝันอยากจะเป็นบก.ล่ะ จนกว่าจะลับความสามารถจนมองเห็นได้ ไม่อย่างนั้นคงเป็นความซวยอย่างมหันต์ของงานเขียนและนักเขียนที่ต้องผ่านการตรวจของ "บก.น้อย" คนนี้
2.3 เนื้อเรื่องที่ไม่จำเป็นต้องมี มีให้น้อยที่สุดหรือไม่มีเลย หรือยกไปเขียนเป็นตอนพิเศษ
นักวิจารณ์ที่ดี จะต้องมีสายตาเฉียบคมสามารถมองออกได้ว่า นิยายเรื่องนั้นๆ มีเนื้อเรื่อง ฉาก ตอน ที่ไม่มีความจำเป็นต่อเนื้อเรื่อง ต่อให้ตัดทิ้งไปก็ไม่ได้ส่งผลกระทบอะไรต่อเนื้อเรื่องอยู่ตรงไหนบ้างหรือไม่
ตัวอย่างฉาก ตอนที่ไม่จำเป็น ก็เช่น หากบรรยายว่า ในสวนคฤหาสน์มีศาลาสำหรับพักร้อนนอนเล่น ในศาลามีโต๊ะเก้าอี้สำหรับนั่งกินอาหารหรือทำงานหนึ่งชุด และเก้าอี้นอนสำหรับนอนเล่นหนึ่งตัว บรรยายแบบนี้โอเค แต่ถ้าจะมีการบรรยายเพิ่มจำพวก เมื่อก่อนตอนวันเดือนปีนั้นในศาลานี้เคยมีเปียโนตัวหนึ่งถูกนำมาวาง เปียโนนั้นลักษณะแบบนั้น ซื้อมาตอนนั้น ราคาเท่านั้น แล้ววันหนึ่งมันก็ถูกยกออกไป ตอนนี้ในศาลาเลยเหลือของแค่นี้
นักวิจารณ์ที่ดีจะต้องสามารถมองออกว่า ฉากบรรยายส่วนของเปียโนตัวนี้คือ "น้ำ" ล้วนๆ เว้นแต่ว่ามันจะถูกเอ่ยถึงแบบมีส่วนสำคัญต่อเนื้อเรื่อง เช่น ตัวละครเคยสะดุดเปียโนตัวที่ว่าล้มหัวฟาดพื้นเย็บสิบเข็มจนมีแผลเป็นติดหัวมาจนทุกวันนี้ เลยต้องยกมันออกไปจากศาลา จนเหลือของในศาลาแค่ที่เห็นอยู่ในตอนนี้ เป็นต้น
ซึ่งพวก "น้ำ" นี้ หากนักเขียนอยากใส่เข้ามามาก นักวิจารณ์ก็แนะนำนักเขียนไปได้ว่า ให้ยกไปเขียนเป็นตอนพิเศษนอกเนื้อเรื่องหลักแล้วยัดมันใส่เข้าไป เพราะการยัดเข้ามาในเนื้อเรื่องหลักจะทำให้เนื้อเรื่องเยิ่นเย้อ คนอ่านรู้สึกเบื่อได้ง่าย สุดท้ายอ่านไม่จบ หลับไปเสียก่อน และวางทิ้งไว้ถาวรไม่ได้ + ไม่คิดจะอ่านต่อ
นักวิจารณ์ที่สามารถมองออกถึงฉากที่ไม่จำเป็น ระบุบ่งชี้บอกให้ตัดทอนออกไปได้อย่างถูกต้องแม่นยำว่าฉากไหนบ้าง ประโยคไหนบ้าง จนทำให้เนื้อเรื่องกระชับรัดกุมขึ้น เดินเรื่องเร็วขึ้น คั้นเอาน้ำออกจนเหลือแต่เนื้อล้วนๆ จนอ่านสนุกลุ้นระทึกขึ้นมากได้ นักวิจารณ์คนนี้มีคุณสมบัติของ "ว่าที่บก.ใหญ่" อยู่เต็มที่
ส่วนนักวิจารณ์ที่มองไม่ออก...แล้วยังแค่นเผยอที่จะตั้งตนเป็นนักวิจารณ์ ขอแนะนำนักเขียนว่าอย่าส่งบทความไปให้นักวิจารณ์แบบนี้ช่วย "สับ" ให้เลย เสียเวลา + เสียสุขภาพจิตเปล่าๆ และขอภาวนาด้วยว่าอย่าให้นักวิจารณ์แบบนี้ได้เป็นบก. ตรวจทานเนื้อเรื่อง เพื่อความก้าวหน้าของวงการวรรณกรรม
ทางไปกระทู้ 5 ค่ะ
http://www.dek-d.com/board/view.php?id=2286780
แก้ไขครั้งที่ 1 เมื่อ 8 ตุลาคม 2554 / 03:21
แก้ไขครั้งที่ 2 เมื่อ 8 ตุลาคม 2554 / 03:24
แก้ไขครั้งที่ 3 เมื่อ 8 ตุลาคม 2554 / 03:25
แก้ไขครั้งที่ 4 เมื่อ 8 ตุลาคม 2554 / 03:27
แก้ไขครั้งที่ 5 เมื่อ 8 ตุลาคม 2554 / 06:56
แก้ไขครั้งที่ 6 เมื่อ 8 ตุลาคม 2554 / 23:32
แก้ไขครั้งที่ 7 เมื่อ 9 ตุลาคม 2554 / 11:00
แก้ไขครั้งที่ 8 เมื่อ 9 ตุลาคม 2554 / 11:05
แก้ไขครั้งที่ 9 เมื่อ 9 ตุลาคม 2554 / 16:43
แก้ไขครั้งที่ 10 เมื่อ 10 ตุลาคม 2554 / 06:57
PS. นิยายที่กำลังแปล : ม่านม่านชิงหลัว / นิยายที่ต้องสะสางเรื่องถัดไป : แปล "BOSS" / นิยายที่ต้องสะสางเรื่องถัดไปอีก : แปลหย่งเยี่ย ตามด้วย รีไรท์ "ศึกจอมขมังเวทเล่ม 4-เล่มจบ"
17 ความคิดเห็น
ชาบูๆ ประโยคนี้โดนใจผมมาก ขอกดไลค์สักร้อยล้านครั้งครับ!!! *0*
PS. บัลลังก์นี้มิเคยปรารถนา บัลลังก์นี้มิเคยคิดลุ่มหลง บัลลังก์นี้มิเคยพิศชื่นขม บัลลังก์นี้ช่างขื่นขมระทมทรวง / ไม่มีใครปฏิเสธกรรมที่เรียกว่า "การกระทำ" ได้หรอก
เวลาฝาก comment ในหน้านิยาย ผมจะใช้ 11 ข้อนั้นเตือนใจ
PS. Keep on... don't give up, our dream is not too far
ชอบตรงภาษา นิยายบางเรื่องภาษาสวยมาก สวยเวอร์ ตอนแรกที่อ่านก็เออสวยดีจัง อ่านไปสักพัก...
นักเขียนมันเพ้อเกินไปแล้วล่ะ ปิดแล้วไม่อ่านต่อเลย
PS. เชี่ยวชาญชำนาญนัก ให้คนหลงรักหลงปราบปลื้ม
ช่างเป็นแนวทางที่เด่นชัดยิ่งนัก
แต่่ก่อนผมก็คลายๆแบบนั้นและ ด้านภาษานะครับ พอดีไม่เก่งเพิ่งเริ่มเรื่องแรก
แต่ที่ไม่ค่อยเข้าใจคือ ตอนนั้นเขียนได้ไม่ค่อยดีเท่าไหร่ เนื้อเรื่องทั่วๆไป มั่วๆไป พระเอกก็เก่งเทพเวอร์แบบพระเจ้า อะไรแบบนั้น คนอ่านบาน ขึ้นหน้าหนึ่งอยู่นานหลายเดือน
แต่พอรีไรท์มา เขียนแบบเหตุผลยิ่งใหญ่ สมเหตุ สมผล คนอ่านผมหายไปไหน!!!!
แบบนั้นเลย
มีคนบอกว่า ราวกับนิยายคนละเรื่องกันเลย แบบว่ารีไรท์ออกมาได้เปลี่ยนไปแบบสุดๆ
ซึ่งผมเองก็คิดว่าใช่ มันต่างกันมาก จากเดิมที่ดูเหมือนเกมออนไลน์ทั่วๆไป กลายเป็นนิยาแฟนตาซีออนไลน์ไปแล้วไง
PS. บทเพลงที่ข้าบรรเลงอาจไม่ไพเราะ...แต่ข้านั้นบรรเลงด้วยหัวใจ นิยายที่สรรค์สร้างอาจไม่สนุก...แต่ข้าก็เขียนด้วยหัวใจ
แวะมาอ่านค่ะ เป็นกระทู้ที่ดีมากๆค่ะ
มาอ่านต่อครับ
PS. ลมพัดจันทร์กระจ่างไร้คนบงการ น้ำไหลเขาตระหง่านล้วนเป็นเช่นนั้นเอง
ตามมาอ่าน
PS. vbvb World of Warcraft Classes Rogue All Hail~ Megatron!
PS. นิยายที่กำลังแปล : ม่านม่านชิงหลัว / นิยายที่ต้องสะสางเรื่องถัดไป : แปล "BOSS" / นิยายที่ต้องสะสางเรื่องถัดไปอีก : แปลหย่งเยี่ย ตามด้วย รีไรท์ "ศึกจอมขมังเวทเล่ม 4-เล่มจบ"
เขียนได้ดีและเป็นประโยชน์มาก
ป.ล. "น้ำ"เยอะเกิน วิดไม่ออกโปรดอย่าลืมแจกอุปกรณ์ดำน้ำให้นักอ่านด้วยนะจ๊ะ
หรือจะเอาเรือท้องแบนดีล่ะ ลอยเท้งเต้งออกทะเลไปเลย เคี๊ยกๆ
แก้ไขครั้งที่ 1 เมื่อ 9 ตุลาคม 2554 / 15:51
ขอกระสอบทรายกั้นน้ำท่วม เอ๊ะ ยังไงหว่าปากอ่าวไปคนละเรื่องแล้ว
บางทีเราจะเจอนักอ่านชอบน้ำมากกว่าผักบุ้ง
PS. ALL.. HAIL MEGATRON!
มาอ่านอีกรอบ
คนที่จะวิจารณ์ได้ดีก็ต้องผ่านประสบการณ์ในการอ่านมามากสินะ แถมต้งบอวกประสบการร์ที่ไม่เอียงเข้าข้างตนเองอีก
PS. vbvb World of Warcraft Classes Rogue All Hail~ Megatron!
งืม ผมกลับรู้สึกว่าไม่ต้องเป็นพวกเท้ามีแสงก็สามารถยกตนเป็นนักวิจารณ์ได้นะ
ขอเพียงวิจารณ์ออกมาด้วยความปรารถนาดี ผมว่าก็เพียงพอแล้วที่จะเป็นนักวิจารณ์
คนเขียนเองต่างหากที่ต้องมีความสามารถแยกแยะว่าอะไรควรเลือกจะรับประทาน
และอะไรควรเขี่ยทิ้งไว้ข้างจาน
ส่วน บก นั่นผมว่าเพียงมีรูปแบบนิยายในอุดมคติยังไม่เพียงพอ เขาต้องเข้าใจด้วยนักเขียนสามารถเขียนอะไรได้ดีอะไรคือเอกลักษณ์ของนักเขียน ฉากแบบไหนที่นักเขียน ๆ ได้สนุก และอะไรที่แก้ไขแล้วเขาสามารถเขียนออกมาได้สนุก หรืออะไรที่อย่าได้ให้เขียนโดยเด็ดขาด
PS. "Writing is so difficult that I feel that writers, having had their hell on earth, will escape all punishment hereafter." - Jessamyn West -
ขอเพียงวิจารณ์ออกมาด้วยความปรารถนาดี ผมว่าก็เพียงพอแล้วที่จะเป็นนักวิจารณ์ คนเขียนเองต่างหากที่ต้องมีความสามารถแยกแยะว่าอะไรควรเลือกจะรับประทาน และอะไรควรเขี่ยทิ้งไว้ข้างจาน
ประเด็นคือปัจจุบันมีนักอยากเขียนมากมายที่ยังแยกแยะไม่ค่อยออกว่า อะไรควรเลือกจะรับประทาน และอะไรควรเขี่ยทิ้งไว้ข้างจาน นี่แหละ
นักวิจารณ์ก็เป็นเหมือนหมอที่รักษานิยายเรื่องนั้นๆ ให้ดีขึ้น หรือหายจากโรค ซึ่งหมอก็แบ่งออกเป็นหมอเฉพาะทางหลายแขนง เหมือนนิยายที่แบ่งออกเป็นหลายประเภท
หากหมอที่มารักษาไม่ใช่หมอเฉพาะทางของโรคนั้น ก็จะได้แต่รักษามั่ว รักษาไม่ถูกจุด คนไข้มีแต่จะยิ่งแย่ หรือหนักสุดก็ตายคาที่ไปเลย
ถึงแม้ว่าได้หมอเฉพาะทางของโรคนั้นมารักษา แต่ถ้าหมอไม่มีจรรยาบรรณมากพอ ก็เป็นผลเสียกับคนไข้อีกเหมือนกัน
ร้ายสุดคือหมอเถื่อน ไม่ได้ผ่านการฝึกฝนเรียนรู้เพื่อที่จะเป็นหมอโดยเฉพาะมาก่อน อุปกรณ์ในการรักษาก็มีไม่พร้อม แต่อยากจะได้ชื่อว่าเป็นหมอ ก็เปิดคลินิกรับรักษาโรค คนไข้มากมายที่แยกประเภทหมอไม่ออก หรือหาหมอดีไม่ได้ก็แห่กันไปขอให้รักษา ผลคือบ้างก็ตายคาเขียง บ้างก็พิกลพิการไป
ดังนั้นจึงได้คิดว่า ทางที่ดีคนไข้ควรจะลองพยายามใช้เวลาค่อยๆ พยายามรักษาตัวเองด้วยตัวเองจะดีที่สุด หรือไม่ก็ให้คนที่คอยติดตามอ่านนิยายของคุณมาตลอด คนอ่านที่ชื่นชอบนิยายของคุณนั่นแหละช่วยบอกอาการที่ปรากฏของโรคให้ ไม่ใช่ไปขอให้ใครอื่นที่ไม่ได้สนใจจะอ่านนิยายของคุณเลยมาช่วยรักษา เพราะคนอ่านที่ติดตามอ่านนิยายคุณย่อมจะมีความปรารถนาดีต่อตัวคุณ และเต็มใจที่จะช่วยคุณมากกว่าหมอเถื่อนอย่างแน่นอน
ส่วนบก. ต้องแบกรับหลายอย่างมากกว่านักวิจารณ์ที่วิจารณ์ฟรี บก.ต้องแบกรับภาระในการเลือกนิยายที่คุ้มค่าแก่การลงทุนให้แก่สนพ.ด้วย และโดยทั่วไป บก.จะช่วยแก้ไขให้แต่นักเขียนที่มีแววเท่านั้น ดังนั้นสุดท้ายแล้ว นักเขียนก็ควรจะฝึกหัดด้วยตัวเอง พึ่งพาตัวเองก่อน ตามด้วยขอความเห็นจากผู้อ่านที่ติดตามอ่านงานของตัวเองแล้วชอบ สุดท้ายค่อยไปพึ่งพาคนอื่นที่ไม่เคยอ่านงานของตัวเอง
PS. นิยายที่กำลังแปล : ม่านม่านชิงหลัว / นิยายที่ต้องสะสางเรื่องถัดไป : แปล "BOSS" / นิยายที่ต้องสะสางเรื่องถัดไปอีก : แปลหย่งเยี่ย ตามด้วย รีไรท์ "ศึกจอมขมังเวทเล่ม 4-เล่มจบ"
เรียกว่า นักเขียนแค่แบกรับว่าเรื่องตัวเองจะผ่านไม่ผ่าน
แต่ บก. ต้องแบกรับภาระหลายอย่างเลย ว่าจะทำให้นิยายที่ตนรับผิดชอบ ขายดียังไง = = "
PS. เป็นแฟนพันธุ์แท้เรา...ต้องอดทน!!!
PS. นิยายที่กำลังแปล : ม่านม่านชิงหลัว / นิยายที่ต้องสะสางเรื่องถัดไป : แปล "BOSS" / นิยายที่ต้องสะสางเรื่องถัดไปอีก : แปลหย่งเยี่ย ตามด้วย รีไรท์ "ศึกจอมขมังเวทเล่ม 4-เล่มจบ"
แต่มาจอดตรงพูดถึงเรื่องมนตร์อสูร....พะ....พี่จาย กับนางเอก!?
ว๊ากกกกกกก สุดท้ายหมิงหลุนมันก็เป็นผู้หญิงเรอะ TT[]TT
(ยังอ่านไม่จบ ไม่อยากอ่านตอนจบเลย เป็นแบบป๊ะป๋าไม่ได้หรือ ;____;
PS. เจ๋งได้อีกครับพี่!!
ขอบคุณสำหรับคำแนะนำค่ะ^^
PS. ต้องทำเป็นยิ้ม ทั้งที่ในใจนั้นไม่ใช่เลย มันเจ็บปวดจนบอกไม่ถูก
รายชื่อผู้ถูกใจความเห็นนี้ คน
แจ้งลบความคิดเห็น
คุณต้องการจะลบความคิดเห็นนี้หรือไม่ ?