Dek-D.com ใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสบการณ์ของ
ผู้ใช้ให้ดียิ่งขึ้น เรียนรู้เพิ่มเติมที่นี่
ยอมรับ

บทวิจารณ์หนัง : In Time เวลาคือเงินตรา เวลาคือชีวิต (RTV424 ศิลปวิจารณ์วิทยุ-โทรทัศน์)

ตั้งกระทู้ใหม่
ตั้งกระทู้ใหม่
เมื่อเวลากลายเป็นเงินเป็นทอง . . .
“ แก่นของเรื่องว่าด้วยเรื่องของความเป็นอมตะและความปรารถนาของมนุษย์ที่จะอยู่ยงคงกะพัน “
ในอนาคตมนุษย์เราต้องการเวลามากกว่าที่มนุษย์ในยุคก่อนๆต้องการเป็นอย่างมาก มนุษย์ในยุคอดีตอาจจะต้องการเงินมาเป็นอันดับแรกและต่อมาก็มีชีวิตที่มีความสุข ร่างกายแข็งแรงสมบูรณ์ แต่ในยุคของเวลาการปรับแต่งยีนพันธุกรรมให้มนุษย์เกิดมามีอายุได้ถึงแค่ 25 ปี หลังจากนั้นคุณต้องซื้อเวลาเพื่อต่อลมหายใจให้ตัวเอง เมื่อไหร่ที่เวลาที่อยู่บนแขนข้างซ้ายที่ติดตัวคุณมาแต่กำเนิดเริ่มเดิน นั้นแปลว่าชีวิตคุณกำลังมีอันตราย ยิ่งเวลาที่แสดงเหลือน้อยเท่าไหร่ คุณก็ใกล้หมดลมหายใจเท่านั้น ยิ่งคุณมีเวลามากเท่าไหร่ คุณก็จะได้อยู่อย่างยืนยาว ในโลกยุคแห่งเวลา มีคนเพียง 2 กลุ่มคือ คนมีเวลาน้อย กลุ่มนี้เป็นกลุ่มคนที่มีอยู่มากมาย อีกกลุ่มเป็นพวกมีเวลามากมายไม่จำกัดหรือเรียกกันว่าพวกอมตะ ซึ่ง 2 กลุ่มนี้แบ่งแยกกันอยู่แบบชัดเจน
    In time เป็นหนังแนว Action Sci-Fi เป็นผลงานกำกับของ แอนดรูว์ นิคคอล ผู้โด่งดังจากบทภาพยนตร์ของเรื่อง The Truman Show อำนวยการสร้างภาพยนตร์โดยอีริค นิวแมน (Children of Men), มาร์ค อับราฮัม(Children of Men) และนิคคอล อำนวยการสร้างบริหารโดยแอนดรูว์ ซี. เดวิส (Red Dragon), คริสเทล ไลบลิน (Children of Men) และเอมี่ อิสราเอล (Shall We Dance) ทีมงานหลังกล้องผู้มากความสามารถ ได้แก่ ตากล้องผู้เข้าชิงรางวัล Oscar 9 ครั้ง โรเจอร์ เดียคินส์ (True Grit, The Reader), ผู้ออกแบบฉากที่เข้าชิงรางวัล BAFTA อเล็กซ์ แม็คโดเวล (Watchmen, Charlie and the Chocolate Factory) และผู้ดูแลเรื่องเครื่องแต่งกายเจ้าขิงรางวัล Academy Award ถึง 3 รางวัล คอลลีน แอทวูด (Alice in Wonderland, Memoirs of a Geisha, Chicago) หนังเรื่องนี้ใช้สถานที่ถ่ายทำทั้งในและรอบ ๆ ลอสแองเจลิส รัฐแคลิฟอร์เนีย
ตัวหนังทำออกมาได้น่าสนใจ มีเนื้อหาอยู่ในโลกของอนาคตที่มนุษย์ทุกคนจะมีอายุหยุดอยู่แค่ 25 ปี ตัวละครในเรื่องไม่มีใครแก่เฒ่า โดยมีตัวเลขบ่งบอกเวลาของชีวิตที่เหลืออยู่ เพื่อเป็นการป้องกันประชากรล้นโลก จำนวนประชากรจึงจำเป็นต้องถูกควบคุม ดังนั้นเมื่อใครก็ตามอายุครบ 25 ปี นาฬิกาที่ติดตัวมาแต่กำเนิดจะเริ่มเดิน เวลาของทุกคนจะเหลือเพียง 1 ปี หากต้องการมีชีวิตต่อไปต้องหาเวลามาเติมเพิ่ม … ระบบสกุลเงินที่เรารู้จักหายไป ระบบเวลาเข้ามาแทนที่ การจับจ่ายใช้สอยอะไรก็ตามต้องใช้เวลาของเรา นั่นหมายความว่าหากเราจับจ่ายฟุ่มเฟือยก็เท่ากับเวลาชีวิตของเราเหลือน้อยลง ต้องทำงานหาเวลามาเพิ่มให้กับตัวเอง "เวลา" กลายเป็นสิ่งที่สามารถซื้อขาย แลกเปลี่ยนกันได้ เช่นเดียวกับที่มนุษย์ยอมจ่ายเงินเพื่อซื้อความหรูหราและความสุขสบาย พวกเศรษฐีจึงมีโอกาสใช้ชีวิตที่ยืนยาวกว่าพวกคนจน อย่างตัวเอก วิน ซาลาส (Justin Timberlake) ที่ต้องดิ้นรนเพื่อให้ตัวเองมีชีวิตอยู่รอดไปในแต่ละวัน และเวลาของเค้าก็กำลังจะหมดลง ( ดูจากชุดตัวเลขบอกเวลาสีเขียวเรืองแสงอยู่ที่แขน) วิลอาศัยอยู่ในเขตเมืองของคนชนชั้นระดับล่าง ซึ่งในเรื่องนี้เรียกแต่ละเขตว่า Time Zone ซึ่งมีหลายเขตหลายชนชั้น โดยวัดระดับจากอายุขัยของคนในชนชั้นนั้น และอายุขัยของเขาก็ใกล้หมดลง แต่เมื่อมีเหตุการณ์ที่ทำให้เขาต้องช่วยเหลือ เฮนรี่ แฮมินตัน (Matt Bomer) ให้รอดจากมาเฟียประจำเขต ทำให้เขาได้รับเวลาเพิ่มขึ้นเป็น 100 ปี นั่นคือจุดเริ่มต้นของเรื่องราวต่างๆ ที่เกิดขึ้นกับวิลหลังจากที่ เฮนรี่ แฮมินตัน ได้มอบเวลากว่า 100 ปีให้กับวิล ...เฮนรี่ แฮมิลตันก็นับเวลาที่เหลือแค่ 10 วินาทีให้เวลาหมดและตายในที่สุด ที่สะพานแห่งหนึ่ง โดยที่วิลตื่นมาและก็ได้พบว่า เฮนรี่ แฮมิลตันได้ปลิดชีพตัวเองโดยที่เค้าไม่สามารถช่วยได้ทัน เหตุการณ์ทุกอย่างก็เริ่มเข้มข้นขึ้น หลังจากที่วิลมีเวลาที่มากถึง 100 ปีเค้าจะทำอย่างไรดี. .เค้ารีบไปหาแม่ตามที่นัดไว้ แต่ทุกอย่างก็สายไปเพราะแม่ของเค้ามีเวลาไม่พอ มันนับถอยหลังเหลือเพียงแค่เสี้ยววินาที และแม่เค้าก็จบชีวิตลง ฉากนี้ลุ้นระทึกมากๆ เพราะเหมือนสวรรค์แกล้งวิล ที่มีเวลามากมาย แต่แค่เสี้ยวชีวิตวิลก็ต้องเสียแม่ไปเพราะเวลาหมดลง ทำให้ตอกย้ำเรื่องของเวลาที่มีค่ามากและสำคัญ ในเรื่องของความรักชีวิตของคนบนโลกใบนั้น หลายสิ่งหลายอย่างก็เลยดูไม่สมเหตุสมผล
หากคนอื่นมาเห็นเวลาที่อยู่บนแขนวิล คงจะไม่ปลอดภัยแน่ เค้าจึงต้องย้ายข้าม time zone ไปอยู่ที่ที่มีเวลาเท่าๆ กับเค้า นั่นก็คือ time zone ที่มีแต่คนร่ำรวยทั้งเวลา ทั้งสังคม ที่นี่ดูดีไปเสียทุกอย่างไม่เหมือน time zone ที่วิลอาศัยอยู่เลยแม้แต่น้อย และที่นี่เองที่วิลได้พบกับซิลเวีย ลูกสาวของมหาเศรษฐีที่เป็นเจ้าของธนาคารให้กู้เวลา วิลได้ไปที่คาสิโนเพื่อหวังจะได้เจอคนระดับสูงๆ และวิลก็ได้เล่นพนันกับพ่อของซิลเวีย ฉากนี้ตื่นเต้นมากๆ เพราะวิลได้เดิมพันจนหมดเนื้อหมดตัวเลย แต่เหตุการณ์ไม่ทำร้ายวิลให้เป็นผู้แพ้ในการดวลการพนันครั้งนี้ วิลกลับเป็นผู้ชนะพนันและได้เวลาจากพ่อของซิลเวียมาเกือบ 1000 ปี ตอนนี้ Timekeeper ได้ออกล่าตัววิลแล้ว และได้ดุดเวลาไปจนหมดเพราะคิดว่าวิลคือผู้ที่ไม่บริสุทธ์ ที่ฆ่าเฮนรี่ แฮมิลตัน และได้ขโมยเวลาไป วิลได้จับซิลเวียเป็นตัวประกัน เพื่อเป็นเกราะป้องกันไม่ให้ Timekeeper ทำอันตราย หลังจากที่วิลและซิลเวียหลบหนีกลับที่ time zone ที่ตัวเอกได้อยู่ซึ่งมีแต่กลุ่มคนยากจนและมีเวลาน้อยนิดเพียงแค่วันต่อวัน ซิลเวียเผชิญหน้ากับความจริงบางอย่างที่ทำให้เธอตัดสินใจร่วมมือกับวิล เพื่อลดความเหลื่อมล้ำทางเวลาที่เกิดขึ้นในสังคม (ทฤษฎีการเล่าเรื่อง)
ในโลกของ In Time นั้นระบบเงินตราจะถูกยกเลิกไปแต่ทุก ๆ อย่างในชีวิต ไม่ว่าจะเป็นการโดยสารรถ การซื้ออาหาร ค่าจ้างการทำงาน จะใช้เวลาในการแลกเปลี่ยน “สิ่งใดที่มีน้อย สิ่งนั้นจะมีคุณค่า” ทำให้เวลาเป็นสิ่งมีค่าจนต้องแย่งชิงกัน ผู้มั่งมี (เวลา) ปกครองผู้ยากไร้ (เวลา) และได้สร้างระบบขึ้นมาเพื่อรักษาความสงบเรียบร้อย คล้ายกับตำรวจ ซึ่งในเรื่องเรียกว่า Timekeeper
In Time  เรียกได้ว่า เดินเรื่องตามสูตรโดยแท้ พระเอกต้องการล้มล้างหรือพิชิตอะไรบางอย่าง นางเอกเป็นผู้ช่วย มีคู่กัดที่ตามล่าพระเอกไปทุกที รวมถึงภาพรวมการออกแบบในทุกสิ่งทุกอย่างของเรื่องที่หยิบจับภาพยนตร์เรื่องต่าง ๆ มาประกอบเข้าด้วยกัน ทำให้ขณะชมอยู่ ดิฉันรู้สึกถึงภาพยนตร์หลาย ๆ เรื่อง แต่ที่โดดเด่นออกมาเลยจะออกแนวคล้ายกับเรื่อง The Matrix
ที่มาที่ไปของตัวเอก วิล ซาลาส.. ไม่ค่อยได้รับการใส่ใจเท่าที่ควร ปูไว้บางๆ ตอนแรกที่ดูเกิดความสงสัยขึ้นในใจว่า สิ่งที่วิลทำทำเพื่ออะไร ? จากจุดเริ่มต้นที่ดูเหมือนจะเป็นการแก้แค้นกับกลายเป็นเพื่ออุดมการณ์ในภายหลัง และในเรื่องยังมีการกล่าวถึงพ่อของวิลที่น่าจะเป็นบุคคลสำคัญระดับตำนาน ในอดีตเนื่องจากใคร ๆ ก็รู้จักพ่อของเขา แต่ก็เท่านั้น ไม่บอกว่าเขาคือใคร ทำให้รู้สึกว่ามีเรื่องพ่อขึ้นมาเพื่ออะไร? หรือเพื่อให้การกระทำของวิลดูมีเหตุมีผล แต่ผลที่ได้ไม่เป็นเช่นนั้น กลับกลายเป็นสร้างปมต่าง ๆ ให้มีมากขึ้นโดยไม่จำเป็น ด้วยเหตุนี้ทำให้เราไม่ลุ้นไปกับการกระทำของวิลเท่าไหร่แต่ส่วนดีคือการแสดง ของ Justin Timberlake ที่ดูเหมาะกับบุคลิกของพระเอกที่ดูเจ้าเหล่และอันตราย
มุมมองทางปรัชญาในเรื่องของ คุณค่าของ “เวลา” ที่ให้ความหมายไม่ต่างกับเงินตราที่สามารถใช้ซื้อหาสิ่งที่ต้องการได้ ซึ่งก็มีให้จับต้องอยู่บ้าง แต่ก็มีในปริมาณที่น้อย ทั้ง ๆ ที่ In Time วางตัวเองมาทางนี้ โครงเรื่องที่วางไว้ตั้งแต่แรกดี แต่ในเรื่องยังไม่ค่อยเน้นหนักไปในเรื่องของเวลามากนัก ซึ่งเป็นที่น่าเสียดายที่สุดท้ายก็ต้องพึ่งพาฉาก Action ไล่ล่าเพื่อเอาตัวรอดอยู่ดี
และการที่คนเราถูกควบคุมให้มีอายุไม่เกิน 25 ปี นั้นเริ่มต้นเมื่อไหร่? ใครเป็นผู้ริเริ่ม? เป้าหมายที่ทำเช่นนี้เพื่ออะไร? และการฝังชุดตัวเลขลงไปนั้นมีวิธีการอย่างไรหรือเกิดตั้งแต่ขั้นตอนการ ปฏิสนธิของคนเลย ทำให้ตลอดการชมเต็มไปด้วยความสงสัย ไม่รู้ว่าเป็นความตั้งใจของผู้กำกับแอนดรูว์หรือเปล่า เนื่องจากสามารถนำจุดนี้ไปสร้างภาค 2 ได้เลย
สัญลักษณ์ของเรื่อง In time ที่มีมุมมองไม่เหมือนเรื่องอื่นๆ นั่นก็คือ นาฬิกาเวลาชีวิต เป็นตัวสีเขียวเรืองแสงอยู่ที่แขนของตัวละครทุกคน หากเวลาชีวิตของใครหมด คนนั้นก็ต้องตาย ดิฉันมองว่ามันเป็นจุดเด่นของเรื่องนี้ที่ทำให้หนังมีความน่าสนใจและน่าติดตามทุกๆฉาก
จุดขัดแย้งที่มีให้เห็นอยู่เกือบทั้งเรื่อง คือความไม่สมเหตุสมผล ตัวอย่างเช่น “ธนาคารเวลา” ไม่มีเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยเป็นไปได้อย่างไร? ในโลกที่เวลาคือสิ่งที่ “มีค่า” สูงสุดที่ทุกคนต้องการ และในเมื่อเวลาคือชีวิต เพราะเหตุใด? เมื่อตัวละครได้เวลามากลับไม่เติมให้กับตัวเอง ก็เข้าใจว่าเป็นอุดมการณ์ที่ต้องการทำให้สำเร็จ แต่สุดท้ายกลับทำให้ตัวเองลำบากจนเกือบเข้าชีวิตไม่รอด..และอย่างที่ 2 นักธุรกิจ(พ่อนางเอก) ที่บทพยายามจะบอกว่าเป็นคนที่รักและห่วงใยลูกสาว(นางเอก) มาก แต่เมื่อถึงคราวที่พระเอกจับตัวนางเอกเพื่อเรียกค่าไถ่ พ่อนางเอกกลับไม่ยอม ทั้งที่ก็รู้ว่ามีกลุ่มคนที่คอยลักลอบปล้นเวลาอยู่
อย่างที่ 3 หนังได้เริ่มต้นเรื่อง โดยเล่าที่มาที่ไปประมาณว่า “เมื่อมนุษย์ถูกตัดแต่งยีนส์ ให้มีอายุได้เพียง 25 ปีเท่ากัน…. หากอยากมีอายุที่มากกว่านั้นก็ได้ แต่ต้องซื้อ” อันนี้ดิฉันคิดว่าน่าจะเป็นคำตอบให้กับคนดูได้ในระดับหนึ่ง ซึ่งหนังอาจไม่จำเป็นต้องบอกถึงวิธีการว่าทำอย่างไรหรืออาจบอกก็ได้ เพราะหนังได้บอกเป้าหมายของการตัดแต่งยีนส์มนุษย์อยู่แล้วว่า “เพราะต้องการควบคุมจำนวนประชากรโลก” อย่างที่ 4
หนังได้ชี้ให้เห็นความไม่เป็นธรรมของสังคมหลายอย่าง ไม่ว่ายุคไหนๆ คนรวยย่อมเป็นผู้มีบารมีต่อการวางนโยบายความเป็นไปของโลก…เช่น
- ผู้กำหนดกลไกต่างๆ ของผู้คนบนโลกคือ “คนรวย”
- คนจน คือ ผู้ผลิตแต่กลับไม่ค่อยได้มีเวลาเสพ สมกับเวลาและแรงงานที่ใช้ไป
- คนรวย คือ ผู้กอบโกยดอกผลอันเกิดจากแรงงานของผู้ที่ตนเองเรียกว่า ต่ำชั้นกว่าอย่างที่ 5 ได้ปรัชญาชีวิตกลับมาขบคิดต่อค่ะว่า
- ระหว่างคนที่อายุ 100 ปี /คนที่อายุ 30 ปี / คนที่อายุ 500 ปี/ คนที่อายุ … มีเวลาเหลือเพียง 1 วันเท่ากัน เขาเหล่านั้นหรือหากเราเป็นเขาเหล่านั้น เราเลือกจะทำอะไร (ณ ที่นี้คือ หากเราไม่สามารถต่อเวลาได้แล้ว)
- การมีเวลาเป็นชีวิต ทำให้เราสามารถกำหนดอนาคตเราได้ภายใต้ข้อจำกัดเรื่องเวลา เช่น อยากละโลกเมื่อไหร่ก็ได้
- เราสามารถเลือกที่จะตายพร้อมกันกับคนที่เรารักได้ โดยวิธีการถ่ายโอนเวลาให้เท่ากัน (อันนี้ผมดิฉันชอบค่ะ) ซึ่งแน่นอนว่า เราสามารถพิสูจน์รักแท้ให้กันได้(พร้อมที่จะตาย หรือเสียสละเวลาให้กันและกันได้มากน้อยแค่ไหน) อยากให้ in time มีต่อภาค 2 ค่ะ เพราะยังรู้สึกว่าเนื้อหายังไม่จบ.
ดิฉันมองว่า In Time คือ ภาพยนตร์แนว Action Sci-Fi  แต่เมื่อชมจบกลับรู้สึกว่าเป็นภาพยนตร์ที่เป็นภาพสะท้อนโลกระบบทุนนิยมและการแบ่งแยกชนชั้น (Time Zone) ที่เราอยู่ได้เป็นอย่างดี และได้ให้แง่คิดในเรื่องของเวลา มีความสำคัญมากๆ อย่าปล่อยให้เวลาผ่านไปโดยเปล่าประโยชน์ และนั่นคือสิ่งที่ดิฉันชอบมากที่สุดในเรื่องนี้ (การวิจารณ์แนวอิงบริบท)
( ข้อมูลประกอบการเขียนจาก :  www.nangdee.com ,http://movie.kapook.com/ , นิตยสาร Filmax)


:: บทวิจารณ์นี้ ทำขึ้นเพื่อส่งงานในวิชาศิลปวิจารณ์วิทยุ-โทรทัศน์ :: หากบกพร่องอันประการใด ดิฉันขอน้อมรับคำติชมทุกประการคะ .

แสดงความคิดเห็น

>

2 ความคิดเห็น