## รู้จักพ่อของมาร์ค ผู้ก่อตั้ง facebook เขาสอนลูกอย่างไร จนสามารถสร้างลูกเป็นเศรษฐีอายุน้อยที่สุดในโลก
ตั้งกระทู้ใหม่
นิตยสาร TIME ได้ให้คำกล่าวเนื่องด้วยการจัดอันดับ 100 บุคคลที่ทรงอิทธิพลต่อโลก
"หากไม่มี Edward ... คงไม่มี Facebook ในวันนี้"
Dr.Edward Zuckerberg บิดาและผู้อยู่เบื้องหลังความสำเร็จของ Mark Zuckerberg ซีอีโอผู้ก่อตั้ง Facebook และประวัติส่วนตัวจาก TIME magazine
Dr.Edward Zuckerberg ประกอบอาชีพทันตแพทย์ใน Dobbs Ferry, New York
ได้ให้สัมภาษณ์ในคอลัมน์ของนิตยสาร TIME ว่า
"สิ่งสำคัญในการประกอบอาชีพ คือ การมีวิสัยทัศน์ที่กว้างไกลหรือการมองเห็นโอกาศของสิ่งที่กำลังทำอยู่ตอนนี้ในอนาคต แล้วเลือกลงทุนไปกับสิ่งนั้น"
Dr.Edward Zuckerberg กล่าวกับผู้สื่อข่าว Aaron Sorkin
วิสัยทัศน์ที่มาจากพ่อถึงลูกชาย Mark Zuckerberg เริ่มขึ้น เมื่อ Edward Zuckerberg ในสมัยเป็นวัยรุ่น นอกเหนือจากการเรียนในโรงเรียนทันตแพทย์ที่ New York University เขายังศึกษาและพัฒนาโปรแกรมคอมพิวเตอร์เป็นทางเลือกหนึ่ง ด้วยเหตุผลที่ว่า "เพียงเพื่อดูว่าพวกมันทำงานตามผลลัพธ์ที่เราต้องการหรือไม่" ต่อมาเพื่อนๆในโรงเรียนทันตกรรมที่เขาศึกษาได้ร่วมมือกับเขา พัฒนาโปรแกรมตัวแรกออกมา และเสนอขายให้แก่ยักษ์ใหญ่อย่างไอบีเอ็ม ซึ่งขอซื้อโปรแกรมดังกล่าว ด้วยเงิน 10,000 ดอลลาร์ โดยโปรแกรมดังกล่าวถูกนำมาใช้เพื่อพิมพ์ใบแจ้งหนี้และการทำรายการ
แต่สิ่งนี้ มันไม่ได้เป็นจุดที่ Edward บอกว่าตื่นเต้นเท่าไรนัก
"มันไม่ได้เกี่ยวกับความรู้ แต่มันเกี่ยวกับวิสัยทัศน์"
"สมัยเรียนผมเป็นคนจริงจังและขวนขวาย ผมเลือกสิ่งที่ดีที่สุดเสมอ ตอนเลือกเรียน ผมศึกษาจากรุ่นพี่ในมหาลัยหลายคนที่จบออกมาเป็นแพทย์ จึงไม่เลือกที่จะเป็นแพทย์ทั่วไป เพราะมีความเสี่ยงสูงที่จะถูกฟ้อง คุณภาพในชีวิตการทำงานในเวรกะกลางคืนที่ย่ำแย่ ยิ่งค่าทำประกันต่อคนไข้ ยิ่งมีราคาแพงกว่าค่ารักษาต่อปีที่ได้รับ โอกาศออกมาประกอบอาชีพของตนเองยิ่งมีน้อย เวลาในการทำงานของแพทย์ก็มีมากจนอาจไม่มีเวลาให้ครอบครัว เมื่อเทียบกับทันตแพทย์ที่การรักษาดูเป็นรูปธรรมและมองเห็นได้ อีกทั้งค่ารักษาที่ได้รับก็สูงกว่ามากกว่าแค่การจ่ายยา อีกทั้งความเสี่ยงต่ำหรือโอกาศถูกฟ้องร้องไม่มี ยังไม่รวมถึงการมีเวลาอยู่กับครอบครัว และผมสามารถดูแลลูกๆทั้ง 4 คน โดยเฉพาะให้การสอนด้านโปรแกรมคอมพิวเตอร์ให้กับมาร์ค ผมคิดว่า หากตอนนัั้นผมเลือกที่จะเป็นแพทย์ คงไม่มีเวลาที่จะทำสิ่งเหล่านี้ได้ จากการใช้เวลาทั้งหมดดูแลคนไข้ในวอร์ดของโรงพยาบาลในทุกช่วงเวลา และอาจจะไม่มีมาร์ค ลูกชายของผม ผู้สร้าง facebook ในวันนี้"
Edward Zuckerberg กล่าว
ความรู้ทางคอมพิวเตอร์เป็นอีกทางเลือกหนึ่งที่เขาสนใจในช่วงวัยรุ่นของเขา ซึ่งมาพร้อมกับการสนับสนุนและการสอนการเขียนโปรแกรมให้แก่ลูกชายของเขา Mark Zuckerberg โดยสอนหนุ่มมาร์คในการเขียนโค้ด "เขาเป็นคนที่เบื่อกับการเรียนของเขา เขาจึงต้องหาอะไรใหม่ๆทำ" พ่อของมาร์คอธิบาย หลังจากนั้นเขาก็ปล่อยให้เด็กชายเสกสรรโปรแกรมขึ้น และนำมันมาใช้ในคลีนิคของตน โดยโปรแกรมที่ถูกพัฒนาบนเครื่องคอมพิวเตอร์ Atari 800 เพื่อการส่งข้อความโต้ตอบแบบทันทีว่ามีคนที่เปิดใช้งานในส่วนต่างๆของสำนัก งานทันตกรรม โดยติดต่อไปที่บ้าน ผ่านการติดต่อสื่อสารผ่านทางคอมพิวเตอร์ เขาเรียกว่ามัน "Zuck Net"
"มันเป็นโปรแกรมชนิดเล็กและมันอาจจะจำกัด แต่ทำงานประมาณปีเศษ จนเราจะได้เครือข่าย" เอ็ดเวิร์ดกล่าว
เขาเคยพูดกับเพื่อนนักศึกษาทันตแพทย์ในสมัยที่เขาเรียนในมหาวิทยาลัย เกี่ยวกับ "การรวมเทคโนโลยีในสำนักงานทันตกรรม"
Dr.Tom Colnelly เพื่อนของ Edward ที่โรงเรียนทันตแพทย์ ซึ่งเคยเข้าร่วมในความหวังของการปรับปรุงโปรแกรมการปฏิบัติงานทางทันตกรรม ได้กล่าวถึง Edward Zuckerberg ว่าโปรแกรมที่มาร์คเขียนบน digitizing ใช้ติดต่อในคลีนิคทันตกรรม โดยส่งเตือนการนัดหมายอีเมลและการตลาดให้กับลูกค้า โดยคอนเนลลี่ได้กล่าวว่า
"ความจริงไม่เคยคิดว่า Edward จะทำมันได้จริง จนถึง 10 ปีข้างหน้า ลูกชายของเขา Mark Zuckerberg กลับสร้างมันขึ้นมาได้จริง จนผมประทับใจจริงๆ" คอนเนลลี่กล่าว
Mark Zuckerberg ได้เริ่มใช้คอมพิวเตอร์ในการเขียนซอฟต์แวร์ ตั้งแต่ยังเป็นเด็กในชั้นประถมปลาย เนื่องจากมาร์คมีอาการตาบอดสี ดร.เอ็ดเวิร์ด บิดาของเขา จึงสนับสนุนให้มาร์คศึกษาทางด้านคอมพิวเตอร์แทนที่การศึกษาในสาขาทันตแพทย์ เช่นเดียวกับตน พ่อของมาร์คได้สอนให้ใช้โปรแกรมพื้นฐานของเครื่อง Atari ในช่วงคริสต์ทศวรรษ 1990 และต่อมายังจ้างนักพัฒนาซอฟต์แวร์ ที่ชื่อ David newman มาสอนเป็นการส่วนตัว นิวแมน ครูสอนด้านโปรแกรม เรียกเขาว่า "เด็กอัจฉริยะ" และกล่าวต่อว่า "ยากที่จะล้ำหน้าเกินเขา"
มาร์คเริ่มเรียนที่โรงเรียนอาร์ดสลีย์ไฮสคูล ก่อนที่เขาจะย้ายไปเรียนระดับมัธยมปลายที่โรงเรียนฟิลิปส์เอกเซกเตอร์อคาเด มี ที่นี่ มาร์คได้รับรางวัลทางวิทยาศาสตร์หลายแขนง (คณิตศาสตร์ ดาราศาสตร์ และฟิสิกส์) เขายังเรียนภาษาต่างประเทศ โดยเขาสามารถอ่าน ภาษาฝรั่งเศส ภาษาฮิบรู ภาษาละติน และภาษากรีกโบราณ อีกทั้งเขายังเป็นกัปตันทีมฟันดาบด้วย
มาร์คเรียนคอร์สวิชาเสริมด้านคอมพิวเตอร์ที่วิทยาลัยเมอร์ซี ใกล้กับบ้านของเขา ขณะที่เรียนระดับไฮสคูลอยู่ เขาพัฒนาโปรแกรมคอมพิวเตอร์ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง โปรแกรมด้านการสื่อสารและเกม ตัวอย่างเช่น มีโปรแกรมหนึ่ง ซึ่งเกี่ยวข้องกับพ่อของเขาที่เป็นทันตแพทย์ เขาสร้างโปรแกรมที่ชื่อ "Zuck net" ที่จะให้คอมพิวเตอร์สามารถสื่อสารได้ระหว่างบ้านกับสำนักงานทันตกรรม โดยใช้ระบบเชื่อมต่อเข้าหากัน ถือว่าเป็นเมสเซนเจอร์การสื่อสารตัวแรกๆที่มีคนคิดค้นในสมัยนั้น
ในช่วงระหว่างเรียนไฮสคูล ภายใต้การทำงานของมาร์คกับบริษัท อินเทลลิเจนต์ มีเดียกรุ๊ป เขาได้สร้างโปรแกรมเล่นดนตรีที่เรียกว่า ไซแนปส์มีเดียเพลเยอร์ (Synapse Media Player) ใช้ปัญญาประดิษฐ์เรียนรู้พฤติกรรมการฟังเพลงของผู้ใช้
ไมโครซอฟท์และเอโอแอล พยายามจะซื้อไซแนมป์และรับมาร์คเข้าทำงาน แต่เขาเลือกที่จะสอบเข้าในสาขาคอมพิวเตอร์ที่ Havard ในเดือนกันยายน ค.ศ. 2002
ในช่วงที่มาร์คเรียนอยู่ที่ฮาวาร์ด เขามีกิตติศัพท์ด้านความอัจฉริยะในการเขียนโปรแกรม เขาศึกษาด้านวิทยาศาสตร์คอมพิวเตอร์และจิตวิทยา พอเรียนชั้นปีที่ 2 เขาสร้างโปรแกรมจากห้องพักของเขาที่ชื่อ "cross match" ที่ให้ผู้ใช้สามารถตัดสินใจเรื่องการเลือกเรียนวิชา จากการตัดสินใจของนักเรียนคนอื่น และยังช่วยให้พวกเขาร่วมกันสร้างกลุ่มการเรียน ต่อจากนั้นไม่นาน เขาสร้างโปรแกรมที่แตกต่างกันไปเรียนว่า "face mask" ที่ให้ผู้ใช้เลือกหน้าผู้ใช้ที่หน้าตาดีที่สุดในบรรดารูปที่ให้มา เพื่อนร่วมห้องของเขาเวลานั้นที่ชื่อ อารี ฮาซิต กล่าวว่า "เขาแค่สร้างเว็บไซต์นี้เพื่อความสนุก"
มหาลัยของเรามีหนังสือ ที่เรียกว่า facebook ที่รวบรวมรายชื่อและภาพของทุกคนที่อยู่ในหอพัก ในตอนแรก มาร์คสร้างเว็บไซต์ที่วางรูป 2 รูป หรือรูปของผู้ชาย 2 คน และผู้หญิง 2 คน ผู้เยี่ยมเยือนเว็บไซต์จะเลือกว่า ใครร้อนแรงกว่ากัน และรวบรวมจัดอันดับเป็นผลโหวต
เว็บไซต์เปิดในช่วงวันหยุด แต่พอถึงเช้าวันจันทร์ เว็บไซต์ก็ถูกปิดโดยมหาวิทยาลัย เว็บไซต์ได้รับความนิยมในช่วงเวลาอันสั้น จนทำให้เซิร์ฟเวอร์ของฮาวาร์ดล่ม นักศึกษาจะถูกห้ามใช้เข้าเว็บไซต์ นอกจากนั้นมีนักศึกษาหลายคนร้องเรียนเรื่องภาพที่ใช้ไม่ได้รับอนุญาต มาร์คออกมาขอโทษต่อสาธารณะ หนังสือพิมพ์นักเรียนจะพาดหัวเกี่ยวกับเว็บไซต์ของเขาว่า "ไม่เหมาะสม"
อย่างไรก็ตาม นักเรียนก็ได้เรียกร้องให้มหาวิทยาลัย Havard พัฒนาเว็บไซต์ที่ให้ข้อมูล รายชื่อ รวมถึงรูป ในส่วนหนึ่งของเครือข่ายมหาวิทยาลัย เพื่อนร่วมห้องเขากล่าวว่า "มาร์กได้ยินคำร้องเหล่านี้ และตัดสินใจว่า ถ้ามหาวิทยาลัยจะไม่ทำอะไรเลยก็ตาม เขาก็จะสร้างเว็บไซต์ที่ดีกว่าที่มหาวิทยาลัยจะทำแน่นอน"
มาร์คได้เปิดตัว facebook จากในห้องพักของเขาในมหาวิทยาลัยฮาวาร์ด เมื่อวันที่ 4 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 2004 โดยในขณะนั้น เฟซบุ๊ก เริ่มต้นเพียงแค่เป็นเว็บไซย์ "Harvard thing" จนกระทั่งมาร์คตัดสินใจที่จะกระจายเว็บไปสู่มหาวิทยาลัยอื่นๆ และมาร์คได้ใช้สีฟ้าเป็นสีหลักของเว็บไซย์ เพื่อที่ทุกคนสามารถมองเห็นได้ แม้แต่คนตาบอดสีเช่นเดียวกับตนเอง
มาร์คได้ย้ายไปอยู่ที่เมืองแพโลอัลโต รัฐแคลิฟอร์เนีย เขาดัดแปลงบ้านเช่าเป็นสำนักงาน ในฤดูร้อนนั้น มาร์คพบกับปีเตอร์ ทีล ที่ได้ให้ทุนกับบริษัท พวกเขาเริ่มก่อตั้งบริษัทในกลางปี 2004 พวกเขาได้ปฏิเสธการเสนอขายเฟซบุ๊กกับบริษัทใหญ่ๆ โดยในบทสัมภาษณ์ในปี 2007 ซักเคอร์เบิร์กอธิบายไว้ว่า
เขาพูดในนิตยสาร white ในปี 2010 ว่า "สิ่งที่ผมใส่ใจมากเกี่ยวกับภารกิจนี้ ก็คือ ทำให้โลกเปิดกว้างขึ้น"
ปัจจุบัน facebook มีผู้ใช้กว่า 1000 ล้านบัญชีรายชื่อ จนทำให้บริการ msn หรือ messenger ของ microsoft ต้องปิดตัวลง นิตยสาร วานิตีแฟร์ ได้ให้ มาร์ค ซักเคอร์เบิร์ก ติดอันดับ 1 ในปี 2010 ของรายชื่อ "100 อันดับ บุคคลที่มีอิทธิพลที่สุดในยุคข้อมูล" ในปี 2010 ยังติดอันดับ 16 ของการสำรวจประจำปีของ นิวสเตตส์เม็น ในหัวข้อ "บุคคลที่มีอิทธิพลมากที่สุดในโลก 50 อันดับ" และปัจจุบัน มาร์ค ซักเคอร์เบิร์ก เป็นมหาเศรษฐีอายุน้อยที่สุดในโลก ด้วยสินทรัพย์และมูลค่าหุ้นกว่า 104 พันล้านเหรียญสหรัฐ และติดใน 100 อันดับ บุคคลที่มีอิทธิพลที่สุดของนิตยสาร TIME ในปี 2013
ปัจจุบันมาร์ก ซักเคอร์เบิร์ก วัย 27 ปี ซีอีโอ และผู้ก่อตั้งเว็บไซต์เฟซบุ๊ก ได้แต่งงานกับ แฟนสาวชาวจีน แพทย์หญิง พริสซิลล่า ชาน (Priscilla Chan) โดยจัดงานเล็กๆ ที่บ้านพักในพาโล อัลโต (Palo Alto) รัฐแคลิฟอร์เนีย สหรัฐอเมริกา ซึ่งทั้งสองพบกันที่มหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด และคบหาดูใจนานกว่า 9 ปี โดย ซักเคอร์เบิร์ก ได้ออกแบบแหวนหมั้นด้วยตัวเอง ทำจากทับทิม และเชิญแขกมาร่วมงานเพียงไม่ถึง 100 คนเท่านั้น
Dr. Edward Zuckerberg บิดาของมาร์ค ได้ทิ้งท้ายมุมมองว่า
"เราทุกคนได้สัมผัสสิ่งต่างๆมากมาย แต่จะมีกี่คน ที่จะได้เห็นผลลัพธ์ที่เรากำลังมุ่งไปหา? หรือมีกี่คน ที่มีวิสัยทัศน์พอที่จะมองเห็นอนาคตและความก้าวหน้าของอาชีพของตน ก่อนที่จะเลือกเรียนหรือฝึกฝนตนเองให้ไปสู่ความสำเร็จ"
ปัจจุบันทันตแพทย์ดร.เอดเวิร์ด ซักเคอร์เบิร์ก วัย 57 ปี เปิดคลีนิคทันตกรรมส่วนตัว ชื่อ Edward Zuckerberg ที่ Dobbs Ferry, New York และสาขาย่อยอีก 7 แห่งในสหรัฐ
Profiles of Dr. Edward Zuckerberg
- 1978 , College of Dentistry in New York University (D.D.S.)
- 1979 , Residency at the Brooklyn V.A. Hospital
- Advanced training in Oral Surgery, Periodontics, Endodontics (Root Canal) and Prosthetics (Crown, Bridges and Dentures).
- Fellowship in the Academy of General Dentistry (F.A.G.D.) recognizing his superior achievements in post-graduate continuing education.
info clinic : www.painlessdrz.com
7 ความคิดเห็น
คุณเกิดมาเพื่อสิ่งนี้จริงๆ แจ่ม !
ผู้หญิงจีน! อ๊ากก แต่งงานกับคนจีนด้วย ผิวเข้มดีจิง! เก่งมากๆเลย แอบนอกเรื่อง
ว่าแล้วทำไมชอบนักฝรั่ง แต่ละคนประสบความสำเร็จจนน่าทึ่ง ขณะเดียวกันก็บ้าคลั่งพอๆกัน(นอกเรื่อง)
ชอบตรงที่ว่า "มันไม่เกี่ยวกับความรู้ มันคือวิสัยทัศน์ของผม" ความหมายคล้ายๆกับคำว่า "จินตนาการสำคัญกว่าความรู้" เจ๋งๆ แจ่มๆ อ่านแล้วก็ย้อนมาดูตัว ปรับปรุงๆ
ปล.บางทีเฟสเปลี่ยนใหม่ เริ่มแรกบางทีก็น่ารำคาญ อย่างทามไลน์มาแรกๆ พอมันเปลี่ยนให้อัตโนมัติจะเป็นลม ตอนนี้ชินแล้ว
เจ๋งมากๆอ่ะ พ่อวิสัยทัศน์ดีมาก มิน่าถึงประสบความสำเร็จขนาดนี้
#เลื่อนลงมาแอบตกใจกับรูปแรก - -
อายุพอ ๆ กันแท้ ๆ แต่หนุ่มมาร์คไปไกลโลดลิ่วขนาดนี้ บอกได้แค่คำเดียวว่า... นายยอดมาก และนายก็โชคดีมากที่พ่อให้การสนับสนุนในสิ่งที่ถูกทางกับนาย
ถึงว่าทำไมส่วนใหญ่ในเฟสถึงเป็นสีฟ้า เพราะว่ามาร์คตาบอดสีนี่เอง
แต่สีฟ้าก็โอเคนะ สบายตาดี
รายชื่อผู้ถูกใจความเห็นนี้ คน
แจ้งลบความคิดเห็น
คุณต้องการจะลบความคิดเห็นนี้หรือไม่ ?