Dek-D.com ใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสบการณ์ของ
ผู้ใช้ให้ดียิ่งขึ้น เรียนรู้เพิ่มเติมที่นี่
ยอมรับ

โศกนาฏกรรมรัก (ของ ๒ นักเรียนไทย) ณ กรุงปารีส … ในฤดูใบไม้ผลิ

ตั้งกระทู้ใหม่
ตั้งกระทู้ใหม่
โศกนาฏกรรมรัก (ของ ๒ นักเรียนไทย) ณ กรุงปารีส … ในฤดูใบไม้ผลิ
credit : http://pantip.com/topic/30507449



เช้าวันหนึ่ง ผมได้รับโทรศัพท์จากหน่วยช่วยเหลือผู้ป่วยฉุกเฉิน (SAMU) แจ้งว่าจะส่งเจ้าหน้าที่มารับผมที่บ้าน ให้ผมรีบเตรียมตัวด้วยเพราะเป็นกรณีเหตุฉุกเฉินยิ่งยวด

ก่อนที่ผมจะมีโอกาสได้ถามเจ้าพนักงานในสาย ผมก็ได้ยินเสียงหวอดังใกล้เข้ามา ผมจึงรีบวางสายและรีบแต่งตัว (เรียกว่า คว้าเสื้อแล้วกระโดดเข้าไปในกางเกงน่าจะเห็นภาพกว่า) แล้วก็วิ่งลงบันไดจากชั้น ๕ ลงมาข้างล่าง

ตำรวจจอดรอผมอยู่ข้างล่าง ผมรีบขึ้นรถด้วยความคิดในหัวที่ยังวิ่งไปมาเพื่อหาคำตอบให้ตัวเองว่า ผมจะต้องไปทำอะไร ที่ไหน และทำไมมันถึงต้องไปด่วนขนาดนี้?!

เพราะปกติแล้วงานของนิติจิตแพทย์อย่างผมจะอยู่ในศาล ในคุก ในโรงพยาบาลของนักโทษ และเนื่องจากคนไข้นิติจิตเวชคือผู้ป่วยคดีที่ถูกตัดสินจากศาลแล้ว จึงไม่มีความจำเป็นที่นิติจิตแพทย์อย่างพวกผมจะต้องรีบร้อนอะไรมาก ยังไงคนไข้ก็ไปไหนไม่ได้อยู่แล้ว เพราะเมื่อรักษาหายก็จะต้องถูกส่งกลับแดนอยู่ดีจนพ้นโทษ ยกเว้นแต่ในกรณี (ที่เกิดขึ้นน้อยมาก ๆ ผมยังไม่เคยเจอหรอกนะ) เช่น คนไข้จับใครเป็นตัวประกัน หรือหนีออกจากคุกไปก่อความเดือดร้อนในพื้นที่ ซึ่งตรงนั้น เจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้อง (ตำรวจ เจ้าพนักงานราชทัณฑ์ ฯลฯ) ก็มีหน้าที่และอำนาจในการดำเนินการจับกุมกลับมาได้เอง ไม่เห็นจำเป็นจะต้องใช้หมออย่าง

ผมจึงยิ่งไม่มีความจำเป็นที่จะต้องรีบไปทำอะไรแบบนี้เข้าไปใหญ่ ซึ่งผมไม่เคยรู้เลยว่าเหตุการณ์ในวันนี้จะเป็นการทำงานของผมครั้งสุดท้ายในฐานะนิติจิตแพทย์ เป็นเหตุการณ์ที่ทำให้ผมวางมือและกลับไปรักษาทหารที่บาดเจ็บทางจิตใจจากการสู้รบ เพราะสำหรับผมแล้ว มันมีเหตุผลที่เป็นรููปธรรมมากกว่าเรื่องจากคนทั่วไป

………………………………………..

บ้านผมอยู่ใจกลางกรุงปารีส ปกติผมจะเดินหรือไม่ก็ขี่จักรยานไปทำงาน ขึ้นอยู่กับว่าผมรีบหรือไม่รีบแค่ไหน
คนที่มีบ้านอยู่ในปาีรีส ทำงานในปารีสแล้วยังขับรถไปทำงานนั้นเป็นพวกที่งี่เง่ามากในสายตาของ Vrai(e) parisien(e)

วันนั้นตำรวจใช้เวลาไม่ถึง ๕ นาที ก็นำผมมาถึงจุดเกิดเหตุ ซึ่งเป็นสถานีรถใต้ดินแห่งหนึ่ง (Métro) ของปารีสที่นักท่องเที่ยวทุกคนต้องเคยผ่าน

มหานครปารีสมีรถไฟใต้ดินทั้งหมด ๑๔ สายใหญ่ มีรถไฟชานเมืองระยะไกล (RER) ทั้งหมด ๕ สาย ยังไม่นับรวมรถราง (Tramway d’Île-de-France) และรถประจำทางอีกหลายต่อหลายสาย เฉพาะรถไฟชานเมืองระยะไกลในวันธรรมดาก็มีคนใช้บริการวันละหลายล้านคน ยังไม่นับผู้ใช้บริการรถไฟใต้ดินและอื่น ๆ

ชั่วโมงเร่งด่วนของมหานครปารีสคือ ช่วงเวลาตั้งแต่ ๗ โมง ถึง ๙ โมงเช้า และตอนเย็นช่วงเลิกงาน ตั้งแต่เวลาประมาณ ๖ โมงเย็นถึง ๒ ทุ่ม

ในชั่วโมงเร่งด่วนรถเมโทรจะมาทุกประมาณ ๒ ถึง ๔ นาที ขึ้นอยู่กับความหนาแน่นในการจราจรของแต่ละสาย หากการมีอะไรเกิดขึ้นในช่วงเวลานี้จึงถือว่าเหตุการณ์วิกฤติและต้องได้รับการแก้ไขโดยเร็วที่สุด

………………………………………..

ผมได้รับการแจ้งว่า รถเมโทรสายนี้ได้จอดสนิทมาแล้วเป็นเวลากว่า ๒๐ นาที ตำรวจเปิดทางให้ผมเดินลงไปในสถานี ผมเห็นคนสองกลุ่มกำลังยืนปรึกษากันอยู่ที่ชานชาลาข้างรถเมโทรที่จอดสนิท รถเมโทรเปิดไฟอยู่แต่ไม่มีผู้โดยสารบนรถ

เมื่อเจ้าหน้าที่เห็นผมเดินลงมา จึงรีบพาผมเดินไปหาผู้ชายสามคนที่กำลังยืนปรึกษากันอยู่อย่างคร่ำเครียด



“สวัสดีครับคุณหมอ ผมชื่อหลุยส์ เป็นหัวหน้าทีม นี่คุณหมอฌอง-ปิแอร์ ศัลยแพทย์ นี่คุณหมอโดมินิค แพทย์วิสัญญี”

ผมจับมือคุณหมอทั้งสามท่าน รู้สึกได้ว่ามือของ(อาจารย์)หมอหลุยส์เย็นมาก “มีผู้โดยสารกระทำอัตวินิบาตรกรรมด้วยการให้รถไฟทับ” หมอหลุยส์พูดต่อ

ถึงจุดนี้ ผมยังสับสนหาจุดต่อและเหตุผลไม่ได้ว่าทำไมแพทย์นิติจิตเวช (นิติจิตแพทย์) อย่างผมถึงต้องเข้ามาเกี่ยวข้องกับเหตุการณ์นี้ด้วย ?

“มีคนผลักเขาหรือครับ คนผลักอยู่ที่ไหน”

ผมถามด้วยความสงสัย คิดสรุปเข้าข้างตัวเอง เพื่อประมาณการว่า ผมอาจจะต้องไปช่วยตำรวจตรวจสภาพจิตผู้ต้องหาก่อนส่งฝากขัง แต่หน้าที่นี้แพทย์ท่านไหนก็สามารถทำได้เพราะผู้ต้องหายังไม่ถูกตัดสินว่าผิดจริงหรือไม่ อาจเป็นการใส่ความก็ได้

“ไม่มีครับไม่มี ผู้โดยสารเดินลงไปเอง เราได้ตรวจดูจากกล้องวงจรปิดแล้ว” หมอหลุยส์ตอบผมแทบจะทันที ทั้งนี้ที่ว่าเดินลงไปนั้น ก็คือเดินลงไปในรางรถไฟ ซึ่งอันตรายมาก มีทั้งสายไฟฟ้าแรงสูง ทั้งอะไรต่อมิอะไร “ผู้โดยสารตัดหน้ากระชั้นชิดมากในจุดโค้ง คนขับจึงไม่สามารถเบรครถได้ทันที จึงถูกตัวรถดูดเข้าไป”
หมอหลุยส์หยุดถอนหายใจ

“ร่างของคนเจ็บถูกรถไฟทับไปครึ่งตัวล่าง ครึ่งบนพ้นแต่ถูกหนีบไว้ระหว่างชานชาลากับโบกี้รถ ที่เหลือลงไปนั้นบอบช้ำเสียหาย แต่ยังไม่เสียชีวิต”

“อะไรนะครับ!!!” ผมตกใจ แทบไม่เชื่อหูตัวเอง

“มันเป็นเหตุสุดวิสัยครับหมอ ทีมของผมพยายามแล้ว แต่พวกเราไม่สามารถจะทำอะไรได้มาก ถ้าเราขยับรถโดยไม่ระวัง คนเจ็บอาจจะเสียชีวิตได้”
หมอหลุยส์หยุดถอนหายใจอีกรอบ “หมอต้องไปแจ้งคนเจ็บว่าทีมแพทย์ไม่มีทางอื่นนอกจากต้องเคลื่อนขบวนรถออกไป เราจะทำอย่่างระวังที่สุด เพื่อที่จะสามารถประเมิน (Évaluer) ได้ว่าเราพอหาหนทางช่วยชีวิตของคนเจ็บได้อย่างไร แม้ทีมของผมจะมีโอกาสแค่ศูนย์จุดศูนย์หนึ่งเปอร์เซนต์ แต่พวกเราทุกคนจะทำให้ดีที่สุด”

“คนเจ็บเป็นนักท่องเที่ยวชาวไทย”

ผมมองหน้าหมอหลุยส์ที่กำลังมองผมด้วยความเมตตา เอามือแกมากุมมือผม

“ผมมั่นใจว่าหมอรู้ว่าจะต้องทำอย่างไร “

ณ นาทีนั้น … ผมรู้สึกเหมือนว่าตัวเองลืมหายใจ



หน้าที่ของผมคือการเดินไปบอกคนเจ็บถึงแผนการเคลื่อนย้าย ซึ่งแน่นอนว่าจะทำให้ช่องว่างระหว่างความเป็นกับความตายชัดเจนยิ่งขึ้น
ถ้าทำก็อาจที่จะรอด แม้โอกาสนั้นต่ำจนเกือบจะเหลือศูนย์ แต่อย่างน้อยทุกคนก็ได้พยายามเต็มที่ที่จะช่วยอย่างเต็มกำลังความสามารถ แต่ถ้าไม่ทำ ก็จะทำให้คนเจ็บทรมานมากขึ้น และสิ่งที่สำคัญที่สุดในตอนนี้ ก็คือ เวลา ทุกคนต้องทำงานแข่งกับเวลา และทุกคนกำลังรอผมอยู่คนเดียว!

มองไปที่เกิดเหตุ ผมเห็นร่างเล็กของผู้หญิงคนหนึ่งซึ่งไว้ผมยาวเพียงแค่ไหล่ในเสื้อคลุมบางสีขาวที่เปรอะไปด้วยคราบโลหิตสีแดงปะปนกับคราบสกปรกสีดำของพื้นสถานี ร่างของเธอพ้นชานชาลาออกมาเพียงครึ่งบน เอียงค่อนขวาตามทิศแรงเบรกของโบกี้ ผมมองไม่เห็นครึ่งล่างที่อยู่ลึกลงไป

ไม่มีเสียงโอดโอย … ไม่มีเสียงร้องร่ำคร่ำครวญ

ในความเงียบนั้น เป็นเสียงส้นรองเท้าของผมกระทบกับพื้นซีเมนต์ของชานชาลาดังก้องไปทั้งสถานี สายตาทุกคู่ในเวลานี้ต่างจ้องมาที่ผม รวมถึงจากของหญิงสาวคนนั้นด้วย ผมย่อตัวลง แต่รีบเปลี่ยนจากการเตรียมนั่งชันเข่า เป็นการนั่งพับเพียบ ผมไม่อยากให้เธอได้ภาพของผมเป็นตำรวจที่กำลังสอบสวนผู้ต้องหา ผมอยากเป็นใครก็ได้ที่ทำให้เธอรู้สึกอยากที่จะคุยกับผมให้ได้โดยเร็วที่สุด ”สวัสดีครับ ผมเป็นแพทย์นะครับ” เงียบ … ไม่มีเสียงตอบใด ๆ

“พี่เป็นหมอที่นี่นะครับ พี่ชื่อ อเล็กซ์ น้องชื่ออะไรครับ” เมื่อผมลดดีกรีของภาษาลงมา ผมก็ได้ยินคำตอบแรก “ตาลค่ะ” (นามสมมติ)
“น้องตาลรู้สึกยังไงบ้าง เจ็บตรงไหนบ้างไหมบอกพี่สิครับ” “หนูรู้สึกว่าหนูโง่มากเลยค่ะที่ต้องกลายมาเป็นแบบนี้ หนูคิดถึงแม่”
แม้จะไม่ได้คำตอบที่ตรงคำถามผม แต่อย่างน้อยก็ดีที่สามารถช่วยให้เธอได้ระบายความคับแค้นที่คั่งค้่างในใจออกมา

ดีกรีของความเจ็บปวดดูจะไม่่ใช่ประเด็นที่เป็นปัญหาดังที่ทีมแพทย์คาดการณ์ไว้
ผมชำเลืองตามองที่หมอหลุยส์ที่ตอนนี้กำลังกอดอกดูผม approach น้องตาลอยู่ ได้ยกนิ้วชี้ขวาขึ้นเป็นสัญญาณให้ผมไปต่อได้

ผมพยายามถอนหายใจให้เบาที่สุด “น้องตาลครับ จำเบอร์โทรศัพท์ของคุณแม่ได้ไหมครับ”
“จำได้ค่ะ .. แต่หนูไม่อยากให้แม่รู้ ไม่อยากให้แม่เสียใจ”

“น้องตาลครับ ถ้าคุณแม่ก็รักน้องตาล ท่านคงดีใจเวลาได้ยินเสียงหนู เหมือนเวลาน้องตาลได้ยินเสียงคุณแม่นะ”
“น้องตาลรักคุณแม่มาก ผมเข้าใจเลยล่ะ รักมากกว่าคนที่ได้ทำลายความรู้สึกของน้องตาลบนโลกที่ห่วยแตกใบนี้ !!!”
“…… ………… ……..” อิคค์ อิคค์ เสียงน้องตาลกระซิกเบา เหมือนกับต่อสู้กับอารมณ์ของตัวเอง ผมกลั้นหายใจเอาไว้ และพยายามปล่อยออกอย่างเบาและให้ช้าที่สุด

น้องตาลสบตาผม … ผมยิ้มบาง ๆ กลับไป “ค่ะ พี่หมอ เบอร์ xxx-xxx-xxxx”

“รอผมเดี๋ยวนะครับ”
ผมล้วงไปหยิบ BlackBerry ของผมออกมาจากแจ๊คเก็ต กดโทรศัพท์ไปที่หมายเลข +66-xx-xxx-xxxx

“บริการฝากหมายเลขโทรกลับ ……….”
ผมกดไปอีกครั้งก็เป็นแบบเดิมอีก

“เบอร์ xxx-xxx-xxxx ถูกต้องนะครับ”
น้องตาลพยักหน้า ผมกดโทรศัพท์กลับไปอีกครั้งและืทิ้งหมายเลขโทรศัพท์ของผมไว้



ผมนั่งพับเพียบลงข้าง ๆ อีกครั้ง ”น้องตาลรู้สึกอย่างไรบ้างครับ” ผมถามด้วยความห่วงใย

“ตอนนี้คุณหมอและเจ้าหน้าที่ทุกคนกำลังพยายามหาวิธีที่จะทางช่วยน้องตาลกันอย่างเต็มความสามารถ ตู้ขบวนข้างหลังหลังได้ถูกปลดออกไปแล้ว เหลือแต่ตู้ข้างหน้าที่จะดึงขบวน” ผมพยายามอธิบายอย่าง ช้า ช้่า … ชัด ชัด และพยายามประคองสายตาต่อน้องตาลที่กำลังฉายแววของความกลัว

ผมกำลังสะกดจิตน้องตาลให้เกิดภาวะย้อนสมาธิไปพร้อมกับผม เทคนิคที่ผมเถียงอาจารย์(จิตเวช)ว่ามันไม่น่าจะใช้งานได้จริงก็ได้พิสูจน์ตัวมันเองแล้วตอนนี้ถึงประสิทธิภาพของมันว่า ไม่มีอะไรที่จะสื่อสารกับจิตได้นอกจากจิตด้วยกัน ในเวลานี้ จิตของผมได้ทำหน้าที่เป็นพี่เลี้ยงให้จิตของน้องตาล ให้จิตสงบ ให้จิตนิ่ง เพราะถ้าผมติดต่อกับคุณแม่ของน้องตาลไม่ได้ ผมต้องการให้จิตนั้นเรียกสติขึ้นมา เพื่อให้สตินั้นทำหน้าที่เรียกความทรงจำที่ดีในอดีตระหว่างน้องตาลกับคุณแม่ขึ้นมาให้ได้

“ตอนรถไฟเคลื่อน จะมีเจ้าหน้าที่ ดึงตัวหนูไว้ เพื่อกันไม่ให้ ร่างกายของหนู ถูกดูดเข้าไป ข้างใต้ขบวน”

“น้องตาลพูดตามผม” ผมพูดเสียงดัง
“ตาลรักแม่และแม่ก็รักตาล … ตาลรักแม่และแม่ก็รักตาล” ผมพูดนำ
“ตาลรักแม่และแม่ก็รักตาล … ตาลรักแม่และแม่ก็รักตาล … ตาลรักแม่และแม่ก็รักตาล …”

สภาพร่างของน้องตาลนั้น ติดคาอยู่ตรงกลางโบกี้พอดี จะเคลื่อนรถไปข้างหน้า หรือจะถอยไปข้างหลังก็มีค่า(ระยะ)เท่ากัน
ชานชาลาของสถานีแห่งนี้มีช่องว่าง (Gap) ค่อนข้างกว้างเนื่องจากจุดที่เกิดเหตุเป็นมุมโค้งและเป็นสถานีเมโทรเก่า Gap จึงกว้างกว่าปกติ

พวกเราไม่มีเวลาเหลือแล้ว ตอนนี้ทุกสายตาต่างก็จดจ้องมาที่ผมเพื่อรอสัญญาณจากผม

“น้องตาลพร้อมนะครับ …”

ในวินาทีที่ผมหลับตาสูดหายใจเข้าไปเต็มปอด ก่อนจะตัดสินใจให้สัญญาณนั้น เสียงโทรศัพท์ของผมก็ดังขึ้น

………………………………

“สวัสดีค่ะ ใครคะ” เสียงหญิงมีอายุถามขึ้นมาในสาย

“สวัสดีครับผม นายแพทย์วัชรพล ผมเป็นแพทย์ไทยในกรุงปารีส” “คะ?”

“ไม่ทราบว่าเป็นคุณแม่ของน้องลูกตาลใช่ไหมครับ”
“ใช่ค่ะ มีอะไรเหรอคะคุณหมอ”

“คุณแม่ตั้งใจให้ดีนะครับ ตอนนี้น้องลูกตาลประสบอุบัติเหตุที่ปารีส”
“อะไรนะคะ !!!” “น้องตกลงไปในรางรถไฟเมื่อยี่สิบนาทีที่แล้ว ทีมแพทย์ต่างพยายามหาหนทางช่วยเหลือน้องอย่างเต็มที่ แต่เนื่องจากบาดแผลของน้องสาหัสมาก เราจึงเห็นว่าต้องเคลื่อนขบวนรถออกเพื่อทำการช่วยน้องออกมาครับ” “คะ?!!!!

“คุณแม่อยู่กับลูกนะครับ”
ผมส่งโทรศัพท์ให้น้องตาล

“ตาลรักแม่และแม่ก็รักตาล … ตาลรักแม่และแม่ก็รักตาล” ผมพูดย้ำ

ปากน้องตาลพึมพำำตามผม และเมื่อน้องตาลได้ยินเสียงคุณแม่ เสียงร้องไห้ก็ดังขึ้น
“แม่ขา ตาลขอโทษ ตาลรักแม่ ตาลรักแม่มากกกกกก”

แม้ผมจะได้ยินบทสนทนาแค่เพียงฝั่งเดียว แต่นั่นก็เพียงพอแล้วสำหรับการทำให้ลูกผู้ชายอย่างผมมีสายน้ำอุ่นไหลออกมาจากสองตา
ผมหันไปทางทีมแพทย์ พยักหน้า ทุกคนต่างกุลีกุจอในการทำหน้าที่ของตัวเอง เสียงผู้คนวิ่งวนอลหม่าน … ผมเหมือนตกอยู่ในภวังค์เสียเอง

“ทุกคนพร้อมแล้ว” เสียงหมอหลุยส์ดังขึ้น ผมถอยออกมา เพื่อหลีกทางให้พนักงานได้ปฏิบัติหน้าที่

มือข้างขวาของน้องตาลกำโทรศัพท์ไว้แน่น ลำตัวถูกประคองโดยเจ้าหน้าที่
เมื่อรถเริ่มเคลื่อนขบวน ผมก็ได้ยินเสียงของน้องตาลกรีดร้องด้วยความเจ็บปวด

“โอ๊ยยยยยย แม่จ๋า ตาลเจ็บ …. ตาลเจ็บมากกกก แม่จ๋าาาาาาาาาาา ”

น้องตาลร้องโหวกเหวก สายตามองผมด้วยความวิงวอน

แม้ผมจะเป็นแพทย์ทหารที่ผ่านสมรภูมิรบมาแล้ว เห็นทหารถูกยิงต่อหน้าต่อตามาแล้ว โดนยิงเองก็แล้ว แต่ผมก็ยังเกือบประคองตัวเองไม่อยู่ “แม่จ๋า …………………………………..” และนั่นคือเสียงสุดท้ายที่ผมได้ยิน

ตู๊มมม!!!! เสียงหม้อแปลงไฟระเบิด ทุกสิ่งตกอยู่ในความมืด ท่ามกลางเสียงโหวกเหวกโวยวายของทุกคน

เมื่อระบบไฟสำรองเปิดขึ้น ก็ปรากฏภาพที่เจ้าหน้าที่ทุกคนไม่อยากให้เกิดขึ้น
ร่างของน้องตาลครึ่งล่างตกลงไปในรางจำสภาพเดิมไม่ได้ ครึ่งบนอยู่ในอ้อมกอดของเจ้าหน้าที่สองคน แต่เป็นร่างที่ไม่มีลมหายใจอีกต่อไป

BlackBerry ของผมตกลงไปในราง เมื่อเจ้าหน้าที่เก็บกลับมาให้ผม ผมยังได้ยินเสียงแม่ของน้องตาลตะโกนโหวกเหวกดังออกมาเหมือนคนเสียสติ

“ลูก ลูก … ฮือ … ฮือ ลูกแม่ ลูกตาล ลูกกก ลูกกกก” แล้วสายก็หลุดไป …



เหตุการณ์ทั้งหมดนั้น เกิดขึ้นและจบลงภายในเวลาไม่ถึง ๑๐ นาที

ผมหลับตาลง ยืนนิ่ง มือประสานกุมที่ปาก ผมยืนสงบสติอารมณ์ของตัวเองอยู่พัก จนได้ยินเสียงดังมาจากตรงหน้า

“อาจารย์ครับ นี่คือสิ่งของของผู้ตาย”


ผมลืมตาดู เห็นเจ้าหน้าที่ยืนยิ้มเจื่อน ๆ ให้ผมอยู่ ในมือมีกระเป๋าผ้าสีขาวปักด้วยด้ายหลากสี เป็นภาพเด็กผู้หญิงกำลังถืออมยิ้ม ไกลออกไปมีต้นไม้และมีเด็กผู้ชายยืนแอบดูอยู่



เหตุการณ์ทั้งหมดนั้น เกิดขึ้นและจบลงภายในเวลาไม่ถึง ๑๐ นาที
ผมหลับตาลง ยืนนิ่ง มือประสานกุมที่ปาก ผมยืนสงบสติอารมณ์ของตัวเองอยู่พัก จนได้ยินเสียงดังมาจากตรงหน้า

“อาจารย์ครับ นี่คือสิ่งของของผู้ตาย”

ผมลืมตาดู เห็นเจ้าหน้าที่ยืนยิ้มเจื่อน ๆ ให้ผมอยู่ ในมือมีกระเป๋าผ้าสีขาวปักด้วยด้ายหลากสี เป็นภาพเด็กผู้หญิงกำลังถืออมยิ้ม ไกลออกไปมีต้นไม้และมีเด็กผู้ชายยืนแอบดูอยู่ ผมใส่ถุงมือยางที่เจ้าหน้าที่ยื่นให้ หยิบมาเปิดดูภายใน มีสมุดไดอารี่่สีชมพู ยาอม ดินสอ และยางลบกลิ่นผลไม้ที่ถูกกัด (เป็นรอยฟัน) หายไปครึ่งก้อน มีรูปถ่ายของน้องตาลกำลังยิ้มหัวเราะกับน้องผู้ชายวัยไล่เลี่ยกัน ด้านหลังเป็นวิว Statue of Liberty มีปากกาเมจิกเขียนไว้บนรูป …. “เรารักป๋องมากนะ”

ผมถอนหายใจเบา ๆ ก่อนจะเก็บสิ่งของทั้งหมดลงไปในถุงผ้าและส่งกลับไปให้เจ้าหน้าที่ ก่อนจะถอดถุงมือยางออก เดินกลับขึ้นมาบนถนน ก่อนจะหันหลังมองกลับลงไปในสถานีเมโทร

“ผมขอให้หนูไปดี ขอให้ไปสู่สุคติ ผมขออโหสิกรรมที่เราเคยได้ทำร่วมกันไว้ไม่ว่าในชาติภพใด ขอให้หมดสิ้นกันไปแต่เพียงในชาตินี้นะหนูนะ”

To be continued …..
It is (quite) a long story

วันนั้นทั้งวันผมไม่เป็นอันทำอะไร กว่าเจ้าหน้าที่จะจัดการเรื่องเอกสารและนำศพน้องตาลส่งสถาบันนิติเวชกรุงปารีสเวลาก็ปาไปเที่ยงกว่า ผมถอดซิมจาก BlackBerry (BB) ของผมเครื่องนั้นแล้วซีลมันไว้ในถุงก่อนจะเก็บลงไปในกระเป๋าำทำงาน ผมไม่ได้รังเกียจที่จะใช้มันต่อ แต่ผมว่ามันมีค่ามากกว่าสำหรับคุณแม่ของน้องตาลหากเราได้มีโอกาสพบกัน
ต่อที่คห1

แสดงความคิดเห็น

>

109 ความคิดเห็น

ทิงเกอเบล 29 ม.ค. 57 เวลา 21:38 น. 1

กว่าที่ทุกอย่างจะเรียบร้อย กว่าที่ผมจะมีเวลาไปซื้อ BB เครื่องใหม่และจัดการทำให้มันใช้อย่างเครื่องเก่า ก็ปาไปเกือบทุ่มนึงแล้ว ในทันที่ที่เปิดเครื่อง BB ของผมแจ้งว่า มี 14 missed call จาก +66-xx-xxx-xxxx ไม่นับรวมอีก 7 missed call จากเบอร์ +66 อื่น ๆ

ในขณะที่ผมกำลังคิดว่าจะโทรกลับดีไม่โทรกลับดี เสียงโทรศัพท์ก็ดังขึ้น ”สวัสดีครับอาจารย์ ผมหมวดดูปองนะครับ” ”ครับหมวด มีปัญหาอะไรกับเอกสารหรือเปล่า” ผมถามด้วยความสงสัยเพราะก็เพิ่งจะแยกจากกันเมื่อตะกี้นี้ หมวดเป็นคนขับรถพาผมมาส่งที่ร้านโทรศัพท์นี่ล่ะ

“ลูกน้องผมได้รับการข้อมูลการเข้าเมืองยืนยันมาแล้ว ผู้ตายพักอยู่โรงแรมในเขต ๔ (4e arrondissement de Paris) เราได้ประสานไปแล้ว และนำตัวเพื่อนที่เข้าพัดด้วยมาสอบสวน อาจารย์หมอว่างไหม ผมจะได้ปิด Dossier คดีเสียที” ”หมวดได้เรียนอาจารย์หลุยส์หรือยัง?” ”อาจารย์หลุยส์บอกให้อาจารย์เดินหน้าได้เลยครับ แกเป็นคนสั่งให้ผมโทรหาอาจารย์เอง”

“แล้วหมวดจะมารับผมเมื่อไหร่” ”อาจารย์มองมาทางสิบนาฬิกานะ ผมโบกมืออยู่ … เห็นไหม ๆ” โห! เอางี้เลยนะหมวด บ้านเบิ้นผมไม่ต้องกลับ น้ำเนิ้มผมไม่ต้องอาบ ทำเหมือนผมเป็นคนไม่มีครอบครัว?! ผมเดินไปหาผู้หมวดดูปองที่โบกมือยิ้มให้ผมอยู่

หน้าที่ … ภารกิจ … จรรยาบรรณ … ผมบอกกับตัวเอง

“คนที่พักกับผู้ตายเป็นใครหมวดมีข้อมูลให้ผมตอนนี้ไหม? เป็นคนไทยใช่ไหม?” ผมถามไปงั้น เพราะยังไงก็น่าจะไทยชัวร์ ”เป็นอเมริกัน’จารย์”
“อ้าว! ไม่ใช่คนไทยหรอกเหรอ?! เอา Dossier มาดูสิ” ผมงงตึ๊บ ”DAN XXXXXXXXXXXXXXXXXXXXXXXXXXXXXXX” (นามสมมติ)
ชื่อพยางค์เดียวแต่นามสกุลยาวแปดกิโลขนาดนี้ ถ้าไม่ใช่คนมาดากัสการ์ (Madagascar) ก็ต้องเป็นไทยล้านเปอร์เซนต์

ผมพลิกดู Dossier ของน้องตาลซึ่งถือหนังสือเดินทางไทยมีวีซ่าเข้า Schengen Area ออกโดย Consulat Général de France à Los Angeles!!!



Fact

ตาล เป็นนักศึกษาปริญญาโทกฏหมาย (LLM) ในมหาวิทยาลัยเก่าแก่แห่งหนึ่งในรัฐแคลิฟอร์เนีย ประเทศสหรัฐอเมริกา

ป๋อง ลูกครึ่ง(พ่อ)ไทย-(แม่)อเมริกัน(เอเชีย) เป็นแฟนหนุ่มของตาล เรียนสาขาเดียวกัน ที่มหาวิทยาลัยแห่งเดียวกัน จบ ป.ตรี จากสถาบันเดียวกันจากเมืองไทย ได้เกียรตินิยมเหมือนกัน ทั้งคู่เป็น High School Sweetheart ที่รักกันมานานและวาดหวังกันไว้ว่าจะแต่งงานกันเมื่อเรียบจบ และอยู่ด้วยกันที่แคลิฟอร์เนีย ป๋องพาตาลมาเที่ยวที่ยุโรปในช่วงฤดูใบไม้ผลิเพราะต้องการที่จะขอตาลแต่งงานที่นี่

และแล้ว Pre-Wedding Honeymoons ก็ไม่เป็นไปตามแผนที่วางไว้ ป๋องเองก็ย่ำแย่เพราะไม่คิดว่าจะเกิดเรื่องร้ายเช่นนี้ขึ้น แผนที่เตรียมไว้ในคืนวันนี้ใน Dinner Cruise ที่ป๋องหวังจะเซอร์ไพรส์ตาลด้วยการคุกเข่าขอแต่งงานเมื่อนักไวโอลินเดินมาข้างโต๊ะ กลายเป็นการยืนก้มหน้าต่อหน้าถุงศพ แหวนหมั้นที่ป๋องเตรียมไว้ให้ตาลยังถูกกำแน่นในมือข้างขวาที่สั่นสะท้านของป๋อง

…………………………………..

ผมใช้เวลาไปไม่กี่ชั่วโมงในคืนนั้น ป๋องเองก็ให้การทั้งน้ำตา ผมเองก็มีความรักมาก่อน ทำไมผมจะมองไม่ออกว่ารักแท้รักเทียมป็นอย่างไร คืนนั้นสมองผม Shutdown สลบคาเตียงในชุดทำงาน ภาพเหตุการณ์ในตอนเช้ายังตามมาหลอกหลอนผมอีกครั้งในฝัน ผิดที่ว่า BB ที่ผมถือในมือในฝันนั้นดังขึ้นมา ผมสะดุ้งตื่น … แล้ว BB ของผมก็ดังขึ้นมาจริง ๆ

“Bonjour” ผมงัวเงียตอบ
“แม่ ๆ ติดแล้ว ๆ” เสียงในสายดังขึ้น ผมได้ยินเสียงวิ่งกุก ๆ ๆ ๆ

“คุณหมอ คุณหมอใช่ไหมคะ” เสียงในสายเหนื่อยหอบ
“ครับผม คุณแม่น้องตาลใช่ไหมครับ”
“ค่ะคุณหมอ ดิฉันวิยะดา (นามสมมติิ) ดิฉันอยู่กำลังจะขึ้นเครื่องจากกรุงเทพฯ มาปารีส จะถึงคืนนี้ค่ะ”
“คุณหมอรอดิฉันนะคะ ดิฉันไม่รู้จะหันไปพึ่งใครแล้วตอนนี้”

“คุณวิยะดามาคนเดียวหรือเปล่าครับ” ผมถามด้วยความเป็นห่วง
“มาคนเดียวค่ะ แต่ตอนนี้พ่อน้องป๋องทราบเรื่องแล้ว จะบินมาหาคุณหมอด้วยจากเอลเอ เราจะไปเจอกันที่นั่นค่ะ” หัวอกของคนเป็นพ่อเป็นแม่ กับหน้าที่ของคนเป็นหมออย่างผม

คนหนึ่งอยู่กรุงเทพฯ (GMT+7) คนหนึ่งอยู่ลอสแองเจลิส (GMT-8) กำลังจะบินมาหาผมที่ปารีส (GMT+1) เพราะอีกคนหนึ่งเสียลูกไป อีกคนลูกกำลังแย่ ผมลุกขึ้นไปอาบน้ำเป็นครั้งแรกในรอบ ๒๔ ชั่วโมงที่ผ่านมา สายน้ำอุ่นจากฝักบัวที่ตกกระทบศรีษะปลุกผมให้ตื่นขึ้นมา

.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
หึหึ … ผมหัวเราะกับตัวเองเบา ๆ



ตอนนี้ตีสี่สามสิบนาที ผมตื่นขึ้นมาเพราะฝันว่าได้นั่งคุยกับพ่อ … แพทย์รุ่นพี่ที่ติดตามอ่านเรื่องในนี้ ถามมาด้วยความเป็นห่วงเกรงว่าจะทำให้ผมมีปัญหาทางกฏหมายกับทางญาติ ๆ ที่ได้นำเรื่องนี้มาเล่าหรือไม่ จริงแล้วทางญาติเองนี่ล่ะ (ข้างใดข้างหนึ่ง) ที่เป็นคนขอร้องให้ผมเขียน (ตั้งแต่ตอนเรื่องจบใหม่ ๆ) ไว้เป็นอุทาหรณ์สอนเด็กรุ่นหลังต่อไป

ชีวิตผู้คนที่ผมได้เรียนรู้ ก็เปรียบได้กับสิ่งที่อาจารย์ใหญ่ได้อุทิศร่างตนเพื่อการศึกษาของว่าที่คุณหมอในอนาคต นั่นคือ ความรู้ที่สามารถต่อยอดและนำมาถ่ายทอด สั่งสอน และนำไปใช้ต่อได้ เพราะหากเรื่องนี้สามารถป้องกันไม่ให้เกิดการคิดสั้นทำนองนี้ในอนาคตได้ น้องตาลเองก็คงจะดีใจ ทั้งนี้ เหตุการณ์ที่ผมนำมาเล่านั้นได้เกิดขึ้น(หลายปี)ก่อนหน้า คดี (http://topicstock.pantip.com/chalermthai/topicstock/2008/03/A6446293/A6446293.html) ในประเทศไทย ซึ่งผมไม่สามารถจะบอกได้ว่าเมื่อไหร่ จะเป็นการจำเพาะเจาะจงจนเกินไป ผมไม่ใช่นักข่าว ผมเป็นหมอ

ถ้าเรื่องนี้ทำให้คุณผู้อ่านเครียด ลองนึกสิครับว่าความรู้สึกของผมในตอนนั้นจะเป็นอย่างไร ทั้ง Adrenaline ทั้งเสียง ทั้งกลิ่น ฯลฯ

ผมว่าที่ผมฝันเห็นพ่อคืนนี้ คงเป็นเพราะผมเคยคิดว่าจะเล่าเรื่องนี้ให้พ่อฟัง ก็แต่ก็ไม่ได้เล่าเสียที ผมคิดถึงพ่อจากกระทู้ที่แล้วก็เลยหยิบขึ้นมา เพราะการที่ผมเลือกที่จะเขียนอะไรนั้น ผมไม่ได้หยิบขึ้นมาพร่ำเพรื่อ ถ้าเรื่อง ๆ นั้นไม่ได้สร้างประโยชน์อะไรให้ใคร แล้วผมจะเสียเวลาพักผ่อนของผม (ที่ก็ไม่ได้มีมากมาย) ไปทำไม เพื่ออะไร

อย่างที่บอกว่าผมไม่คิดที่จะร่ำจะรวยจากการเขียนหนังสือ ลำพังแค่ค่าตั๋วเครื่องบินกลับเมืองไทยก็ลำบากแล้วถ้าผมคิดว่าจะหาเงินให้ได้เพื่อการนี้ ผมมีงานประจำ มีหน้าที่ มีความรับผิดชอบในวิชาชีพ คนที่เป็นแพทย์ (MD, DDS) ในปัจจุบัน มีหน้าที่ ๒ แบบใหญ่ ๆ คือ รักษา (Treatment) และป้องกัน (Prevention) ผมเป็นจิตแพทย์ที่ใช้ชีวิตอยู่ในต่างประเทศ จุดประสงค์ของผมจึงไม่ใช่ดูแลรักษาสั่งยาให้ทาน แต่เป็นการให้ประสบการณ์ กับผู้คนที่เข้าใจวิถีของผม ให้ได้รับวัคซีนชีวิตทางใจจากสิ่งที่ผมได้นำมาเล่าให้ฟัง ได้เก็บไว้ใช้ ได้ส่งวัคซีนต่อ ๆ กันไป

ผมไม่ใช่คนเก่งโดยกำเนิด แต่ผมจำเป็นต้องเก่งในสังคมที่ผมอยู่ในปัจจุบัน ความเก่งทำให้ผมแกร่ง และความแกร่งทำให้ผมยืนอยู่ได้ในจุดที่เป็นตัวผมในทุกวันนี้ จุดที่ผมกล้าจะตะโกนบอกคนทั้งโลกว่า ผมภูมิใจที่ได้สร้างมันขึ้นมาจากสองมือสองขาและหัวใจของผมเอง

ปล. นี่ผมเครียดเกินไปหรือเปล่าเนี่ย … ผมออกไปวิ่งดีกว่า เช้าแล้ว!

ผมแต่งตัวเดินออกจากบ้านไปทำงาน อากาศยามเข้าที่ปารีสในฤดูใบไม้ผลินี้ช่างเย็นสบาย ลมโชยโกรกโบกพัดดี แม้จะเป็นใจกลางปารีสก็เถอะ ผมเดินไปก็คิดไปถึงเหตุการณ์เมื่อวานตอนเช้า นึกถึงเรื่องที่ป๋องเล่าให้ผมฟังทั้งน้ำตาเมื่อคืนก่อนตอนมาให้การที่สถานีตำรวจ

“ตกลงมันยังไง” ผมบ่นกับตัวเอง … ก่อนจะนึกอะไรขึ้นมาได้! ”หวัดดีโซฟี” ผมโทรไปหาเลขา
“วันนี้ผมไม่เข้าที่ทำงานนะ มีอะไรด่วนให้โทรบอกผมได้ พอดีมีธุระต้องไปทำหน่อย เรื่องเมื่อวานน่ะ”

“หมอจะไม่เข้าเลยเหรอ งั้นฉันไปบ้างนะ จะไปซื้อดินสอสีให้เซลีน (ลูกสาว ๖ ขวบ)”
“ได้ ๆ ผมอนุญาต สองชั่วโมงพอไหม” ”ไม่ต้องห่วง ฉันรับรองว่าจะไม่ทำให้หมอโดนตาแก่ (เจ้านายผม) ว่าได้แน่นอน ขอบคุณหมอมากนะ”

……………………………………..

ผมเลี้ยวขวาเข้าไปในโรงแรมที่ผมหยุดยืนโทรศัพท์ โรงแรมนั้นเป็นโรงแีรมที่ป๋องกับตาลเข้าพัก ผมเกือบจะเดินไปหา Bell แล้ว ถ้าไม่ได้เห็นนายป๋องนั่งหมดอาลัยตายอยากอยู่บนเก้าอี้ในล็อบบี้

“ว่าไงพ่อหนุ่ม” ผมทัก ” สวัสดีครับคุณหมอ” นายป๋องรีบลุกขึ้นมา ก้มหัวไหว้ผมเสียใกล้จนหัวแทบจะชนอกผม ”คุณหมอมาได้ยังไงครับเนี่ย”
“ก็เดินมา” ผมอมยิ้มตอบ “เป็นไงเรา นอนหลับไหมเมื่อคืน ขอโทษด้วยนะที่ยาวไปหน่อย เอกสารทั้งนั้น ราชการฝรั่งเศสก็อย่างนี้ล่ะ” ”ครับผมเข้าใจ”

“ทานอาหารเช้าหรือยัง” ผมถามด้วยความเป็นห่วง ”ไม่อะครับคุณหมอ ผมทานอะไรไม่ลง”

“เข้าใจ … งั้นไปเดินเล่นกัน ไปมะ” ผมชวน
“ไปไหนครับคุณหมอ”
“แถวเนี้ย” ผมยิ้มให้นายป๋องอีกหนึ่งรอบ แล้วก็บุ้ยปากเดินนำไป

ผมพานายป๋องเดินทะลุย่าน Marais ข้ามสะพาน Pont Marie ไปที่เกาะ Île Saint-Louis กลางแม่น้ำแซน (Seine) ผมรู้จักเกาะนี้ดีเพราะบ้านแม่แฟนผมอยู่ที่นี่ เป็น Appartement เก่าแก่สมบัติตระกูล อยู่ในตึกโบราณอายุสี่ร้อยกว่าปี Appartement บนเกาะนี้ราคาแพงหูดับตับระเบิด ตึกเก่าแก่โบราณขนาดนี้ ต่อให้ภายในบ้านมีผีตายโหงควักไส้ไล่บีบคอคนในบ้านยังไม่น่ากลัวหัวหดสยดสยองเท่ากับตอนเห็นราคา!!!

ตรงหัวมุมถนนบ้านแม่แฟนผมนั้น มีม้านั่งตั้งอยู่ ตรงกันข้ามรูปปั้นพระนางไม่มีหัว (La Femme-sans-Tête) ที่หัวหายไปจากตัวตั้งแต่ปี ค.ศ. 1710 และจนป่านนี้ก็ยังหาหัวของตัวเองไม่เจอ ช่างน่าสงสารแม่นางเหลือเกิน!

หายเครียดกันแล้วนะ ….

ผมนั่งทอดสายตาอยู่เงียบ ๆ เป็นเพื่อนนายป๋องที่ตอนนี้ดูจะมีท่าทีที่ผ่อนคลายลง แต่ยังเศร้าอยู่เหมือนเดิม

อาจารย์(กรีก)เคยสอนผมว่า ถ้าอยากจะให้คนไข้เปิดใจกับเรา ห้ามนั่งคุยกันใน “กล่อง” ใหัพากันไปคุยในที่ที่เห็นแม่น้ำ เห็นท้องฟ้า เห็นเดือน เห็นตะวัน เห็นโลกกำลังทำหน้าที่ของมัน ”ปารีสสวยนะ อากาศดีด้วย อยู่กรุงเทพฯ ผมไม่รู้จะหามุมแบบนี้นั่งได้ที่ไหน” ผมเปิดฉากการสนทนา

“ที่เราเล่าให้ผมฟังเมื่อคืนนี่ เล่ามาหมดแล้วใช่ไหม” ”ครับ” ป๋องตอบเสียงเบา

“รู้ใช่ไหมว่าแม่เขาจะมา” ผมถามต่อ
“รู้ครับ ถึงคืนนี้” ป๋องตอบผมเสียงเศร้า

“น่าเสียดายนะ รักกันดี” ผมเปรยประโยคขึ้นมา
“รูปนั้นที่ถ่ายกันกับแฟนเรา ถ่ายกันเมื่อไหร่เหรอ” ผมยิงคำถามต่อ

“รูปอะไรครับคุณหมอ!” ป๋องมืงมือขวาที่ชันเข่าเท้าคางไว้ แล้วยืดอกหันมามองผมเต็มตัว ”รูปที่อยู่ในถุงผ้ากับไดอารี่ ผมไม่ได้เก็บไว้หรอก ฝากไว้กับตาลเขา เดี๋ยวแม่เขามาก็จะได้ให้ไปพร้อมกันเลย” ”กระเป๋าของตาลยังอยู่ในห้องที่โรงแรมนะครับคุณหมอ!” ป๋องตาลุกวาว

“อ้าว แล้วมันถุงของใครล่ะนะ มียางลบ มีดินสอ มียาอมในนั้นด้วยนะ”

“เป็นรูปอะไรครับคุณหมอ” ป๋องเสียงเครียด
“รูปที่เราถ่ายกับตาลที่นิวยอร์คไง ฉากหลังเป็นเทพีเสรีภาพ”

“คุณหมอครับนั่นไม่ใช่รูปตาล” ”อ้าว! แล้วใครล่ะนะที่อยู่ในรูปกับคุณ”
“เพื่อนของตาลครับชื่อหญิง หญิงเรียนที่นิวยอร์ค ผมพาตาลไปเที่ยวนิวยอร์คเมื่อปีที่แล้วก็เลยได้เจอกัน”

“เพื่อนมหา’ลัยเหรอ” ผมเริ่มงง
“เพื่อนตาลตั้งแต่สมัยประถมแล้วครับคุณหมอ บ้านเขาอยู่ติดกัน”

“ป๋องเคยเห็นรูปที่ว่านี้ไหม” ผมชักสงสัย
“ไม่เคยครับ ที่จำได้เพราะตาลเป็นคนบอกให้ผมไปยืนถ่ายคู่กับหญิง”
“คุณหมอหมายถึงรูปอะไร ขอผมดูได้ไหม” ป๋องเริ่มทำหน้าซีเรียส

“ใจเย็น ใจเย็น … แฟนเราเขียนไดอารี่หรือเปล่า”
“ตาลไม่เขียนหรอกครับ ตาลไม่มีไดอารี่ ตาลชอบถ่ายรูป”

“แล้วตอนนี้หญิงอยู่ที่ไหน นิวยอร์คเหรอ?”
“หญิงไม่ได้มาปารีสด้วยครับ หญิงแยกกับผมและตาลที่ลอนดอนเมื่อสามวันที่แล้ว”

“ตกลงได้มาเที่ยวด้วยกันเหรอ” ผมซัก

“เขามาของเขาเอง ตาลนัดให้มาเจอกันที่ลอนดอน ได้เที่ยวด้วยกันสามวัน”
“จริงผมก็ไม่ชอบหรอกนะครับคุณหมอ เพราะผมอยากอยู่กับตาลสองต่อสอง”

“แต่ผมรักตาล ตาลอยากเที่ยวกับหญิง ผมก็ยอม จริงแล้วผมไม่มีความสุขเลยนะตอนนั้น”
“ผมไม่อยากมีใครมาอยู่ตรงกลาง ผมอยากให้มีแค่ผมกับตาลเพียงสองคน”

ภาพในหัวผมเริ่มเป็นรูปเป็นร่างมากขึ้น … ชัดขึ้น … ชัดขึ้น … ชัดขึ้น

โอย! … บรรลัยแล้วไหมล่ะเนี่ย!!!!!!! ผมสบถกับตัวเอง ผมมีเวลาประมาณเก้าชั่วโมงก่อนที่แม่ของตาลจะมาถึงปารีส … โชคดีที่บรรยากาศเป็นใจ … โชคดีที่สมองผมส่งคำถามนี้ขึ้นมา

“เดินกลับไปโรงแรมเองได้ไหม” ผมลุกขึ้นมาจากเก้าอี้
“กลับได้ครับคุณหมอ” ป๋องตอบผมด้วยความกระตือรือล้น ตาเป็นแวว

“ไปรอผมที่นั่นล่ะ เดี๋ยวอีกสองชั่วโมงผมจะมารับไปกินข้าว”

……………………………………………..

ผมกึ่งเดินกิ่งวิ่ง จนกลายเป็นการวิ่งไปที่ถนนใหญ่ เพราะเกรงว่าเจ้าหน้าที่นิติเวชจะหยุดพักเที่ยงเสียก่อน ตอนนี้ภาพในหัวของผมเริ่มปรากฏชัดขึ้น

แวบแรกที่ผมเห็นรูปถ่ายใบนั้น ผมยังเครียดมากจากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น

(ให้นึกถึงความรู้สึกของคุณตอนอ่านเหตุการณ์ที่ผมเล่าเป็นครั้งแรก)

จะว่าผมมองผิดก็อาจจะเป็นได้ เพราะผมได้เห็นน้องตาลก็เพียงแค่จากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในช่วง ๑๐ นาทีมรณะ ตรงนั้น สิ่งที่สำคัญที่สุดสำหรับผมตอนนี้คือไดอารี่เล่มนั้น มันน่าจะเป็นกุญแจสำคัญในการไขปริศนาว่าทำไมตาลถึงตัดสินใจทำลายชีวิตของตัวเอง ผมต้องรู้ให้ได้ก่อนที่เรื่องมันจะยุ่งกันไปใหญ่ ภาพเหตุการณ์เมื่อวานนี้พร่างพรูเข้ามาในหัวผมอีกครั้ง

Taxi!!!!!!!!!!! ผมแทบจะกระโดดลงไปขวางบนถนน
“À l’Institut médico-légal s’il-vous-plaît !!!”

ผมนั่งอยู่ใน Morgue ข้างถุงที่ใส่ร่างน้องตาล มีลุงเจ้าหน้าที่สถาบันฯ นั่งเป็นเพื่อนผมที่ประตูทางเข้า กระเป๋าผ้าสีขาวตอนนี้อยู่หน้าผม … ผมใส่ถุงมือยาง หยิบไดอารี่ออกมา ก่อนจะเริ่มเปิดอ่านทีละแผ่น …. เรื่องราวภายในเป็นเรื่องชีวิตประจำวันทั่วไปที่ถูกเขียนบันทึกไว้ตลอดระยะเวลาหนึ่งปีที่ผ่านมา ตั้งแต่ตอนที่คนเขียนอยู่เมืองไทย มาจนถึงหน้าสุดท้ายที่ สโตนเฮนจ์ (Stonehenge) เกือบจะทุกหน้ามีคำว่า “วันนี้ตาล…” วันนี้ตาลทำ(อะไร) วันนี้ตาลไป(ไหน) วันนี้ตาลโทรมา(เมื่อไหร่) ฯลฯ

เท่าที่อ่าน ผมพอจะสันนิษฐานได้ว่า น่าจะเป็น “หญิง” ที่เขียนถึงเพื่อน

ตาลเองก็ดูจะรักเพื่อนคนนี้มาก เพราะเหมือนจะติดต่อกันอยู่ตลอดเวลา

ผมหยิบรูปถ่ายขึ้นมาเปรียบเทียบอีกครั้ง ซึ่งคราวนี้ผมมีเวลาพิจารณา ….

ผมหยิบของออกมาวางไว้บนเตียง ยาอม ดินสอ และยางลบกลิ่นผลไม้ที่ถูกกัดหายไปครึ่งก้อน

“ช่วยตรวจให้ผมได้ไหมว่ารอยบนยางลบนี่ เกิดจากฟันของผู้ตายหรือเปล่า” ผมตะโกนบอก ”ครับอาจารย์” ลุงเจ้าหน้าที่รีบเดินมาเอายางลบจากมือผม ผมหยิบรูปมาดูอีกครั้ง ลายมือที่เขียนถึงป๋องบนรูป ไม่ใช่ลายมือเดียวกับในไดอารี่ … ถ้าหญิงเป็นคนเขียนไดอารี่ ลายมือนี้ก็ต้องเป็นลายมือของอีกคนหนึ่ง ซึ่งก็ควรเป็นลายมือของตาล เจ้าป๋องคงไม่บ้าเขียนว่ารักตัวเอง!

ผมเขย่ากล่องยาอม เป็นเสียงแก๊ก ๆ ๆ

เทออกมาเป็นกุญแจดอกเล็กหนึ่งดอกที่ผมยังไม่รู้ว่ามันใช้ไขอะไรได้

“เป็นรอยฟันผู้ตายแค่ครึ่งเดียวครับอาจารย์” ลุงเจ้าหน้าที่หันมาบอกผม พลางทำสำเนารูปถ่ายเก็บไว้เป็นหลักฐาน ”ครึ่งเดียวยังไง” ผมเดินไปดู
“นี่ครับอาจารย์ … ด้านขวาใช่ แต่ด้านซ้ายไม่ตรง” แกเทียบให้ผมดู

“งั้นก็แสดงว่ายางลบก้อนนี้ถูกกัดมาก่อนใช่ไหมลุง” ผมชักสงสัย
“ก็คงเป็นเช่นนั้นล่ะครับ … อาจารย์สงสัยอะไรเหรอ”
“ผมอยากรู้ ผมไม่เข้าใจว่าเด็กคนนี้ฆ่าตัวตายไปทำไม”

“บางวันมีถึงสิบรายเลยนะอาจารย์ พวกที่ฆ่าตัวตายในเมโทรน่ะ” ลุงแกคุย
“ถ้าผมคิดมากอย่างอาจารย์นะผมลาออกไปนานแล้ว ไม่อยู่ทำจนจะเกษียณหรอก”

เรื่องมันชักจะยังไง …

เรื่องในไดอารี่สีชมพูก็ไม่ได้พิเศษมากมายอย่างที่ผมคิด

เป็นเรื่องของคนเขียนกับเพื่อนที่ชื่อตาล ชื่อเจ้าป๋องยังไม่มีด้วยซ้ำไป มีแต่เขียนว่า “แฟนตาล”

ผมมองไปที่ถุงที่ใส่ร่างที่เคยเป็นของสาวน้อยอนาคตไกล ซึ่งบัดนี้ได้กลายเป็นก้อนเนื้อแข็งทื่อไร้วิญญาณ ผมมองกลับมาดูกระเป๋าผ้าสีขาวที่อยู่ในมือ … ผมถอนหายใจ … ”มะรืนนี้ผมจะพาคุณแม่หนูมาที่นี่ ป๋องและคุณพ่อเขาด้วย” ผมก้มลงไปบอกน้องตาล ”ถ้าวิญญาณหนูยังวนเวียนอยู่ในภพนี้ ขอให้หนูไปหาคนที่หนูติดต่อได้ อย่าทำบาปกับคุณแม่ บอกสาเหตุให้ท่านทราบนะหนูนะ”

ผมเดินออกมาจากสถาบันนิติเวชฯ เพื่อเรียกแท็กซี่ไปที่โรงแรม นี่ก็เลยเวลานัดกับนายป๋องมาครึ่งชั่วโมงแล้ว คนขับแท็กซี่ใช้เวลาขับไม่ถึงสิบนาทีก็พาผมมาถึงโรงแรม ผมเอามือล้วงลงไปกระเป๋ากางเกงเพื่อหาเศษสตางค์มาจ่ายค่าโดยสาร ผมถึงรู้ว่า … กุญแจดอกเล็กดอกนั้นยังอยู่กับผม!

การที่เรารักใครมาก ๆ แล้วคน ๆ นั้นได้จากเราไป มันเหมือนการตายทั้งเป็น

ผมว่าตาลเองก็คงรู้ แต่ถึงรู้ก็ยังทำ การที่ตาลกระโดดให้รถไฟทับแต่ไม่ตายในทันที ทำให้ผมกับเด็กสาวคนนี้ต้องมารู้จักกัน ซึ่งแม้จะเป็นช่วงเวลาสั้น ๆ เพียงไม่ถึงสิบนาที แต่มันก็มากพอที่จะทำให้ผมต้องเอาตัวเองเข้ามาเกี่ยวข้องกับคดีนี้ ทั้งที่ผมไม่มีความจำเป็นที่จะต้องเข้ามาเลยก็ได้

ความรักนั้นมีทั้งด้านบวกและด้านลบ รักแรกพบก็เหมือนกับยาเสพติด แรกรักจะมีแต่ด้านดีที่ฉายให้เห็น จนเมื่อเวลาผ่านไปกลายเป็นความเคยชิน สิ่งที่เคยเข้าใจในตอนแรกก็กลับกลายเป็นไม่เข้าใจในตอนนี้ สิ่งที่เคยได้อยากมีก็ไม่อยากได้ีอีกต่อไป

……………………………………………………

ป๋องพาผมขึ้นไปบนห้องพักในโรงแรม ตาทั้งสองข้างของป๋องบวมแดง เหมือนผ่านการร้องไห้มาอย่างหนัก

“ผมอยากให้คุณหมอได้ดูอะไร”

ในห้องพัก ข้าวของทุกอย่างถูกจัดเตรียมไว้ในที่ของมันอย่างเรียบร้อย

ป๋องชี้ไปที่เตียงที่อยู่ติดริมหน้าต่าง บนนั้นมีกระดาษเล็ก ๆ ที่ยับยู่ยี่หนึ่งแผ่น เขียนไว้ว่า

เห็นป๋องนอนยิ้มอยู่ก็เลยไม่ปลุก คงฝันดีอยู่ ตาลไปก่อนนะ

“มันหล่นอยู่ในซอกเตียงครับคุณหมอ ผมเก็บห้องเตรียมไว้เพื่อแม่ของตาลจะขึ้นมาก็เลยเจอ”

“คุณหมอครับ ผมผิดตรงไหน ผมไม่ดีตรงไหน ทำไมตาลถึงทำอย่างนี้กับผม?!” ตาทั้งสองข้างของป๋องเริ่มแดงเรื่อขึ้นมาอีกครั้ง

ผมเอามือขวาโอบไหล่ ประคองเด็กหนุ่มคนนี้มานั่งบนเตียง

“ป๋องฟังหมอนะ ทุกคนมีเหตุผลของตัวเอง ตาลมีชีวิตหนึ่งชีวิตเท่ากับที่ป๋องมี

การที่ตาลพลาดจากสิ่งที่ตาลคิด ไม่ได้ความว่าเขาจะไม่รักป๋องนะ” ผมทรุดตัวลงนั่งที่เก้าอี้ตัวเล็กหน้ากระจก

”เหตุผลใช้ไม่ได้กับความรัก ความรักเป็นความรู้สึก เป็นเสน่หา ความสำเร็จในความรักไม่ใช่การแต่งงานหรือการมีครอบครัว มันอยู่ที่นี่” ผมกำมือขวาและเอาไปทาบเหนือราวนมด้านซ้าย

“ถ้าตาลมีเหตุผลของเขาที่จะทำอย่างนี้ และเขาบอกป๋องว่าเขาจะไปฆ่าตัวตายป๋องจะทำอย่างไร”
“ผมก็ไม่ให้เขาไป ผมจะยื้อเข้าไว้” ป๋องมองตาผม
“จะยื้อได้นานแค่ไหน” ผมถามต่อ

ป๋องก้มตัวลงเอาซ้ายกุมหัว เอามือขวาลูบหน้า

“พูดกันตรง ๆ ผมไม่จำเป็นที่จะต้องเสียเวลามานั่งคุยกับเราตอนนี้เลยนะ หน้าที่ของผมจบสิ้นอย่างเป็นทางการไปแล้วตั้งแต่เมื่อวาน ถ้าแม่ของตาลไม่ได้โทรกลับมาหรือหากโทรกลับมาตอนที่ทุกอย่างสายเกินไป ผมคงไม่มานั่งอยู่ตรงนี้”

ผมสูดลมหายใจเข้าปอด …

“เราเองก็ไม่ใช่เด็ก เรียนปริญญาโทก็แล้ว คิดให้มันดี ๆ ใครกันแน่ที่ห่วงเรามากที่สุด พ่อเราหรือตาล?”

“เราร้องไห้เพราะกระดาษแผ่นนี้ แต่เรารู้ไหมว่าตอนที่ตาลกำลังจะตาย เขาไม่ได้เรียกหาเรานะ เขาเรียกหาแม่ของเขา”
“ถ้าเขารักเราจริง เขาต้องไม่ทำอย่างนี้กับเรา”

“ทำไมคุณหมอพูดถึงตาลกับผมแบบนี้” ป๋องเสียงแข็ง แววตาแข็งกร้าว

“ผมพูดความจริง ผมอยู่ตรงนั้น ในวินาทีนั้น คุณได้อยู่ตรงนั้นหรือเปล่า ตอนนั้นคุณทำอะไรถ้าไม่ได้นอนหลับอยู่ในห้องนี้” ผมเริ่มมีอารมณ์
“ผมไม่ได้เกี่ยวข้องกับครอบครัวคุณหรือแฟนคุณเลยแม้แต่น้อย ถ้าแค่นี้ยังคิดไม่ได้ก็บอกพ่อคุณให้คืนตั๋วไปซะ ไม่ต้องบินมาให้เสียสตางค์ ผมจะบอกให้นะ ความรักที่ขาดสติมันจะทำให้คนตาบอด ต่อไปมันจะทำให้คนโง่ และเมื่อหนักขึ้นมันจะทำให้คนอกตัญญู”

“คุณอย่านึกนะว่าผมมองคุณไม่ออก ผมขอให้คุณโชคดีกับชีวิต หวังว่าเราคงไม่ต้องพบกันอีก!!!!!”

ผมลุกขึ้นแล้วก้าวเท้าเดินออกจากห้องไปอย่างรวดเร็ว
ปึ๊งงงงงง!!!!! เสียงของหนักอะไรสักอย่างที่ถูกปาตามหลังผม ชนกับบานประตู

0
ทิงเกอเบล 29 ม.ค. 57 เวลา 21:40 น. 2

ผมกลับมานั่งสงบสติอารมณ์อยู่ในห้องโถงที่บ้าน

เสียงโทรศัพท์มือถือของผมดังขึ้น
“สวัสดีค่ะคุณหมอ ดิฉันวิยะดานะคะ”
“ครับผม คุณวิยะดาถึงนานแล้วเหรอครับ”

“อยู่สนามบินค่ะ เครื่องเพิ่งลง คุุณหมอสะดวกไหมคะคืนนี้”
“วันนี้ผมไม่ค่อยสะดวกครับ ขอเป็นวันพรุ่งนี้แล้วกันนะครับ”

“ไม่เป็นไรค่ะคุณหมอ ดิฉันจะพักที่ Park Hyatt นะคะ แล้วจะโทรมาเรียนให้คุณหมอทราบอีกครั้งว่าดิฉันพักอยู่ห้องไหนตอนเช้าวันพรุ่งนี้”

“ขอบพระคุณคุณหมอมากนะคะ ราตรีสวัสดิ์ค่ะ” แม่ของลูกที่ตายไป ลูกของพ่อที่ยังไม่ตาย … ทำไมมันถึงได้แตกต่างขนาดนี้

คนเป็นพ่อเป็นแม่ยอมทำทุกอย่างเพื่อลูก แต่ลูกกลับไม่เคยสำนึกในความดีของพ่อแม่มัน มองแต่ความรักที่เห็นแก่ได้ของตัวเอง ในเมื่อตาลเองก็มีแม่ที่ดีขนาดนี้ ทำไมตาลถึงทำอะไรที่แสนจะอกตัญญูกับแม่ตัวเองได้ ผมเองก็ไม่เข้าใจ ผมเอามือล้วงเข้าไปในกระเป๋ากางเกง หยิบกุญแจดอกเล็กดอกนั้นขึ้นมาพิจารณาดูอีกครั้ง ”ตราสามห่วง … ลูกกุญแจเมืองไทยนี่หว่า” ผมหัวเราะเบา ๆ กับตัวเอง

……………………………………………

เก้าโมงเช้าวันรุ่งขึ้น ผมก็ได้รับโทรศัพท์จากคุณวิยะดาอีกครั้ง คุณวิยะดาอยากพบผมเช้านั้น แต่เพราะวันนี้ผมต้องเข้าที่ทำงาน มีประชุมทั้งวัน ผมจึงนัดคุณวิยะดาไว้ตอนห้าโมงเย็นที่หน้ามหาวิหารน็อทร์-ดาม (Notre-Dame de Paris) ซึ่งอยู่ไม่ไกลจากที่ทำงานผม วันนั้นทั้งวันผมยุ่งมาก ยุ่งจนเกือบจะลืมเวลานัด

ผมได้พบกับคุณวิยะดา หญิงวัยกลางคนในชุดสีดำที่หน้าตาดูอ่อนกว่าวัย

“คุณวิยะดาใข่ไหมครับ” ผมเดินเข้าไปถาม ”ผมวัชรพลครับ”
“อุ๊ย สวัสดีค่ะคุณหมอ ดิฉันนึกว่าคุณหมอจะสูงวัยกว่านี้”

ผมยิ้มมุมปากแทนคำขอบคุณ ”ไปเดินเล่นกันนะครับ”

……………………………………………

ผมเดินนำคุณวิยะดาข้าม Pont au Double ข้างมหาวิหารและพาเดินเลี้ยวซ้ายลงบันไดไปยังถนนเทียบท่าเรือเลียบริมแม่น้ำแซน
“คุณวิยะดาขอวีซ่าทันได้ยังไงครับ วีซ่าฝรั่งเศสปกติต้องรอนานนะครับกว่าจะได้”

“ดิฉันมีวีซ่าอยู่แล้วค่ะ ดิฉันทำธุรกิจส่วนตัว ต้องเดินทางมาต่างประเทศบ่อย ๆ”

หลังจากคำตอบนี้ทั้งผมและคุณวิยะดาต่างก็เดินกันอย่างเงียบ ๆ

“คุณหมอโกรธดิฉันไหมคะ” คุณวิยะดาถามผม
“ผมควรจะโกรธคุณวิยะดาด้วยสาเหตุใดเหรอครับ”

“ลูกสาวของดิฉันทำให้คุณหมอต้องเดือดร้อน” ”คุณวิยะดา”
“เรียกดิฉันว่าดาเฉย ๆ ก็ได้ค่ะคุณหมอ”

“ขอบคุณครับ … คุณดาไม่เสียใจที่น้องตาลเสียชีวิตเหรอครับ”
“เสียใจสิคะดิฉันถึงได้มาที่นี่เพื่อจะมารับเขากลับบ้านด้วยตัวของดิฉันเอง”

ผมถอนหายใจ …
คุณดาถอนหายใจ … ”คุณหมอคะ คุณหมอเชื่อเรื่องวิญญาณไหมคะ”

ผมหยุดเดิน หันไปมองหน้าคุณดาด้วยความสงสัย

“คุณพ่อน้องตาล สามีดิฉัน ได้มาหาดิฉันในฝันดิฉันเมื่อเสาร์ที่แล้ว บอกว่าให้ดิฉันดูลูกให้ดี ๆ”
“สามีดิฉันเสียชีวิตเมื่อสิบปีที่แล้วด้วยโรคหัวใจ ก่อนหน้านั้นดิฉันไม่เคยฝันเขาถึงแม้แต่หนเดียว”
“ดิฉันมีลูกสาวสองคน ตาลเป็นคนโต แตนเป็นคนเล็กกำลังเรียนบัญชีอยู่ปี ๓”

“ดิฉันเป็น Single Mother ทำงานเลี้ยงลูกคนเดียว แม้ดิฉันจะไม่ค่อยมีเวลาเลี้ยงลูก แต่ลูกดิฉันก็หาทางให้ตัวเองได้ ไม่ว่าตาลหรือน้องเขา”

“คุณดาได้คุยกับน้องตาลครั้งสุดท้ายเมื่อไหร่ครับ” ผมถาม ”สองวันก่อนหน้านั้นค่ะ”

“ตอนนั้นน้องตาลอยู่ที่ไหนเขาบอกคุณดาไหมครับ”
“ค่ะ บอกว่าโทรมาจากมงมาร์ต แกว่าเดินอยู่คนเดียวแล้วแกเหงาก็เลยคิดถึงดิฉัน”

“คุณดาเคยเห็นกุญแจดอกนี้ไหมครับ?” ผมควักลูกกุญแจออกมาให้คุณดาดู

“อุ๊ย!!! .. คุณหมอได้ลูกกุญแจนี้มาจากไหนคะ?!!!”



กุญแจดอกน้อยดอกนั้นดูจะเป็นจุดศูนย์กลางของการสนทนาระหว่างผมกับคุณดา

ผมเล่าให้คุณดาฟังถึงเหตุการณ์ตั้งแต่วินาทีแรกจนถึงตอนที่ผมโมโหเจ้าป๋องในโรงแรม คุณดาดูจะไม่ใส่ในนักกับเรื่องที่ผมเล่าให้ฟังนัก ดูจะหมกหมุ่นอยู่กับการเอามือลูบ ๆ คลำ ๆ กุญแจดอกน้อยดอกนี้ แววตาที่เหม่อลอยนั้นแฝงไปด้วยความเศร้า

“ดิฉันไม่ได้เห็นมันมานานแล้ว และไม่เคยคิดว่าจะได้เห็นมันอีก”
คุณดาเอามือจับเชือกฝางสีชมพูที่ถูกผูกติดอยู่กับรูกุญแจเป็นติ่งห้อย ดูรู้ได้ว่าถูกดึงขาดจากขั้วของอะไรสักอย่างด้วยการกระชาก

“ดิฉันปามันทิ้งไปเพราะมันเป็นความทรงจำที่เจ็บปวด ดิฉันไม่ทราบว่าน้องตาลไปได้มันมาจากที่ไหน”
“มันอยู่ในกระเป๋าผ้าที่อยู่ในที่เกิดเหตุครับ เป็นสิ่งของของผู้ตายซึ่งทางเราต้องเก็บไว้เป็นหลักฐาน”
“กระเป๋าผ้าดิบ ที่มีด้ายสีปักเป็นรูปเด็กผู้หญิงถืออมยิ้มกับเด็กผู้ชายยืนแอบดูอยู่หลังต้นไม้ใช่ไหมคะคุณหมอ”

คำตอบของคุณดาทำให้ผมถึงกับตะลึง!

“มันเป็นของดิฉันเองล่ะค่ะ ดิฉันปักมันด้วยตัวเองในวิชาเย็บปักถักร้อยสมัยดิฉันเป็นนักเรียนมัธยมฯ”
“ดิฉันทิ้งมันลงถังขยะไปตั้งนานแล้ว เพราะไม่อยากจะเห็นมันอีก”
“ดิฉันไม่เข้าใจว่าน้องตาลไปได้มาตั้งแต่เมื่อไหร่ และนานแค่ไหนแล้ว เพราะตอนนั้นเขายังเล็กมาก เพิ่งจะเรียนอยู่ชั้นประถม”

ผมพาคุณดาเดินมาจนสุดทางเลียบริมแม่น้ำแซน ก่อนที่จะพาเดินเลี้ยวซ้ายขึ้นบันไดหน้า Académie française

“นั่งพักก่อนดีไหมครับ” ผมเชิญคุณดานั่งพักบนม้านั่งยาวกลางสะพาน Pont des Arts
“ขอบคุณค่ะคุณหมอ” คุณดายิ้มให้ผม
“ด้วยความยินดีครับ” ผมทรุดตัวลงนั่งข้างคุณดา ทิ้งระยะประมาณครึ่งช่วงแขน

เราทั้งคู่นั่งหันหน้าไปทาง Île de la Cité มหานครปารีสที่แสนจะงดงามในยามเย็นนี้ช่างสวยงามยิ่งนักในมุมนี้

“คุณหมอคะ คุณหมอว่าเราเคยได้พบกันมาก่อนไหมคะ” ผมดาหันมายิ้มให้ผม
“ผมคิดว่าคงไม่นะครับ” ผมยิ้มกลับ

“อะไรทำให้คุณหมอต้องมาพบกับลูกสาวดิฉัน ทำไมเขาถึงฟังคุณหมอ ตาลเขาไม่ใช่คนฟังใครนะคะ กับดิฉันเขายังไม่ฟังเลย”
“ดิฉันต้องกราบขอบพระคุณคุณหมอมากที่อนุญาตให้ดิฉันได้อยู่กับลูกในวินาทีสุดท้าย”
“มันเจ็บปวดมากนะคะคุณหมอ แม้มันจะต่างจากวันที่ดิฉันพาเขาออกมาอยู่บนโลกใบนี้ แต่ดิฉันก็ดีใจที่ได้เป็นคนสุดท้ายที่ได้อยู่กับเขา”
“คุณหมอทราบไหมคะ ตอนที่ดิฉันโทรกลับไปหาคุณหมอ ดิฉันเพิ่งจะประชุมบอร์ดเสร็จ เพิ่งจะเดินออกมา” คุณดาหยุดถอนหายใจ

“ในตอนนั้นดิฉันกรีดร้องจนสลบไปเลยเชียวค่ะ มันเป็นความปวดร้าวที่สุดแสนจะเจ็บปวดยิ่งกว่าอะไรทั้งสิ้นที่ดิฉันได้เคยรู้สึกมาในชีวิต
“แต่เมื่อดิฉันฟื้นขึ้นมาแล้วดิฉันก็ถือว่าดิฉันเป็นแม่ที่โชคดีที่สุดในโลกที่ได้อยู่กับลูกตาลในวินาทีสุดท้ายของชีวิตเขา”
“ถ้าดิฉันไม่ได้คุณหมอ ดิฉันคงไม่ได้โอกาสได้เป็นแม่ที่แม่ทั้งโลกจะต้องอิจฉา”
“เพราะถึงดิฉันกับลูกจะอยู่ไกลกันคนละฝั่งโลก แต่เขาก็ยังนั่งอยู่ในหัวใจดิฉันตลอดมา … และจะอยู่ตลอดไป”

คุณดาน้ำตารื้น เธอแหงนหน้าขึ้นไปบนฟ้าก่อนจะหลับตาลง น้ำตาของเธอไหลอาบแนบแก้มที่แดงระเรื่อ

ผมเองก็เริ่มแย่ … ผมพยายามบังคับตัวเองไม่ให้น้ำตาไหลออกมา
“ชายชาติทหารอย่างผมต้ิองเข้มแข็ง” ผมพยายามเตือนตัวเอง

ผมยื่นผ้าเช็ดหน้าสีขาวของผมให้คุณดา
“ขอบคุณมากนะคะคุณหมอ ดิฉันต้องขอโทษด้วย ทำไมดิฉันถึงได้ขี้แยขนาดนี้”

“ดิฉันพยายามติดต่อคุณหมอ ลูกแตน เพื่อนของดิฉัน แต่ก็ไม่สามารถติดต่อคุณหมอได้” คุณดาเล่าเหตุการณ์ให้ผมฟังต่อ
“ตอนนั้นดิฉันตัดสินใจว่ายังไงก็จะต้องมาปารีส มารับลูกตาลกลับไปกับดิฉันให้ได้”

“แกขี้เหงาค่ะคุณหมอ เป็นของแกอย่างนี้มาตั้งแต่เล็ก ๆ ดิฉันไม่อยากทิ้งแกไว้ที่นี่คนเดียว”

“คุณดาอยากให้ผมช่วยในเรื่องเอกสาร เรื่องการดำเนินการในการนำน้องตาลออกมาไหมครับ?”
ผมใจอ่อน ผมเป็นผู้ชายที่แพ้ความรักของแม่และพ่อ ผมเอามือถูกจมูกเพื่อกลั้นไม่ให้น้ำตาไหลออกมา …

“ดิฉันคงไม่กล้ารบกวนคุณหมอ ดิฉันคิดว่าน่าจะจัดการเองได้ค่ะ หากติดขัดอะไรอาจต้องเรียนปรึกษาคุณหมออีกครั้ง”
คุณดาให้เกียรติผมมากจนผมเริ่มเขินตัวเอง

“คุณดาพูดฝรั่งเศสได้เหรอครับ” ผมงัดไม้ตายที่ทำให้คนจากเมืองไทยที่มาฝรั่งเศสต้องยอมผม

“Oui Docteur, j’ai fait mes études à Genève”

คุณดาเอาผ้าเช็ดหน้าซับน้ำตา โปรยยิ้มหวานกลับมาให้ผม

โอ แม่เจ้า! ช่วยบอกผมทีสิครับว่านี่มันคดีอะไรกัน!!!

“น้ำค้างเริ่มลงแล้ว เดี๋ยวผมเดินไปส่งนะครับ”
“ค่ะ คุณหมอ” คุณดายิ้มเป็นการตอบรับ

ผมพาคุณดาเดินจาก Pont des Arts ผ่านพิพิธภัณฑ์ลูฟวร์ (Musée du Louvre) เข้า Rue Saint-Honoré ผ่าน Place Vendôme ก่อนจะถึงโรงแรมที่คุณดาพักซึ่งอยู่ถัดไป ผมบอกลาคุณดาที่หน้าโรงแรม

“คุณดามีอะไรให้ผมช่วยก็บอกมาได้นะครับ ถ้าผมช่วยได้ ผมสัญญาว่าจะช่วยอย่างเต็มที่” ผมเม้มปาก พยักหน้า
“ขอบคุณค่ะคุณหมอ ราตรีสวัสดิ์นะคะ” คุณดายิ้มบาง ๆ ให้ผม

…………………………………………….

ผมยกนาฬิกาขึ้นมาดู เดินมุ่งหน้าไปสถานีเมโทรเพื่อนั่งรถไฟใต้ดินกลับบ้าน

เดินไปได้ไม่ถึง ๓ นาที ผมก็ได้ยินเสียงใครเรียกตามหลังมา
“คุณหมอครับ คุณหมอครับ”

ผมหันไปดู เห็นนายป๋องกำลังวิ่งมาในทิศทางที่ผมยืนอยู่อย่างเร่งรีบ
“คุณหมอครับ ….” “แฮ่ก ๆ ๆ” นายป๋องเสียงหอบ มือทั้งสองเท้าอยู่บนเข่า

“เอ้า…ว่ายังไง มีอะไรว่ามา … ถือแจกันจะมาปาหัวผมด้วยไหมวันนี้” ผมแซว แต่เก็กหน้าโหดเอาไว้
“คุณหมอครับ ผมต้องกราบขอโทษคุณหมอจริง ๆ ในเหตุการณ์เมื่อวานนี้” เจ้าป๋องยกมือไหว้ผมปะหลก ๆ
“ผมไม่ควรทำตัวแบบนั้นเลย ผมต้องกราบขอโทษคุณหมออีกครั้งจริง ๆ นะครับ”

เห็นเด็กสำนึกผิดผมก็โกรธไม่ลง
“มานั่งคอยคุณแม่น้องตาลอยู่นานแล้วเหรอ” ผมถาม
“ผมมากับคุณพ่อครับ คุณพ่อมาถึงเมื่อบ่ายวันนี้ ผมไปรับ”
“พอเล่าเหตุการณ์ทั้งหมดให้ท่านฟัง ท่านก็ไล่ให้ผมมาขอโทษคุณหมอเดี๋ยวนี้เลย ผมรู้สึกผิดจริง ๆ ครับคุณกโทษให้ผมด้วยนะเถอะนะครับ” เจ้าป๋องทำตาละห้อย

ผมเบี่ยงตัวไปดูก็เห็น คุณดากำลังยืนคุยกับผู้ชายสูงอายุท่านหนึ่ง ดูท่าทางจะคุ้นกันดี
“เอาแล้วมั๊ย คืนนี้ผมจะได้กลับบ้านผมกี่โมงเนี่ย!”
ผมพูดติดตลกกับเจ้าป๋องซึ่งตอนนี้ยืนเชื่องกับผมอย่างกับแมวโดนกัญชา (Catnip)

“สวัสดีครับคุณหมอ ผมภราดร (นามสมมติ) เรียกผมว่า “ดอน” ก็ได้ครับคุณหมอ” คุณพ่อของป๋องเดินตามเข้ามา
ผมเข้าใจล่ะว่าทำไมเจ้าป๋องชื่อว่าแดน (Dan)

คุณดาเดินตามหลังมาติด ๆ
“โอย … คุณหมอขา รบกวนแย่เลยวันนี้” คุณดาดูจะเกรงใจผมมาก
“ไม่เป็นไรครับ ขอผมโทรศัพท์กลับบ้านก่อนนะครับ แล้วเดี๋ยวเราไปทานข้าวกัน”

“ขอให้ดิฉันเป็นคนดูแลคุณหมอนะคะ” คุณดารีบพูดชิงขึ้นมา
“ไม่เอาคุณดา มื้อนี้ผมจัดการเอง” คุณดอนรีบชิงกลับ
“คุณหมอเลือกร้านได้เลยครับ”

มื้อนั้นผมไม่ได้มีจินตนาการอะไรมากว่าอยากไปกินที่ไหน เพราะเหนื่อยแล้ว ก็นั่งทานกันที่ Park Hyatt นั่นล่ะ

ผมเคยมาทานดินเนอร์ที่ Le Pur’ ก่อนหน้านี้แล้ว ๓ ครั้ง เป็นภัตตาคารของโรงแรมที่ทำอาหารฝรั่งเศสอร่อยมาก (แต่ราคารถไฟเหาะตีลังกา) ตามจำนวนดาวที่ได้จาก Le guide MICHELIN (annuaire des restaurants gastronomiques)

คุณดอนกับคุณดาดูจะสนิทสนมกันดี
“รู้จักกันมาก่อนเหรอครับ” ผมเปิดหัวข้อสนทนา ในขณะส่งเมนูคืนกลับให้บริกร
“คุณดากับภรรยาผมเป็นรูมเมทกันสมัยเรียนที่เจนีวา คุณวินัย (นามสมมติ) สามีคุณดาก็เป็น Business Partner กับผม”

“น้องตาลกับเจ้าป๋องลูกผมก็เคยเจอกัน แต่ตอนนั้นยังเล็กมาก ๆ ช่วงนั้นผมยังทำธุรกิจอยู่ในเมืองไทย”

คุณดอนอธิบาย

“พอผมย้ายกลับมา เจ้าป๋องติดย่าก็ขออยู่กับย่ามันต่อที่เมืองไทย มันรักย่ามัน คุณแม่ผมเองท่านก็เหงา ผมก็เลยตามใจ ไป ๆ มา ๆ ก็ดันมาเจอหนูตาลตอนเรียน ม.ปลาย แถมยังเอ็นท์ได้คณะเดียวกัน แล้วยังมาเรียนต่อโทด้วยกันอีก ปีที่แล้วมันขออนุญาตผมไปนิวยอร์ค แต่น้องตาลอยากจะขอคุณแม่ก่อน -ลูกผมมันปอดแหกเลยขอให้ผมโทรไปรับประกันกับคุณดาที่เมืองไทย”

“คุยกันสามคำก็ถึงบางอ้อน่ะคุณหมอ” ขำกันแทบตาย
“โลกมันกล้มกลมนะหมอนะ” คุณดอนหัวเราะเบา ๆ

“หกเดือนที่แล้วเจ้าป๋องมักบอกว่ามันอยากจะขอน้องตาลแต่งงาน อยากให้ผมไปพูดกับคุณดา ไปสู่ขอให้มันด้วย ผมก็บอกมันไปว่า …”

คุณดอนชำเลืองมองลูกชายที่ตอนนี้หน้าแดงเรื่อขึ้นมา

“ให้ไปตกลงกันให้เรียบร้อยก่อน ส่วนเรื่องของผู้ใหญ่นั้น เอาไว้ให้เรียนจบ รับปริญญา หางานทำให้ได้ก่อน ก็ยังไม่สาย -ป๋องมันทำงานพิเศษเก็บเงินของมันเองตั้งแต่กลับมาจากทริปนิวยอร์คที่พาน้องตาลไปเที่ยว มันว่าจะพาน้องตาลไปยุโรป มันบอกผมว่างั้น ผมไม่ได้เป็นห่วงมันเท่าไหร่หรอก-ลูกผมน่ะ ผมเป็นห่วงคุณดา ตอนคุณวินัยเสีย ผมกับภรรยาก็ไปร่วมงานศพของแกที่เมืองไทย เราทำธุรกิจร่วมกันมานาน ครอบครัวเราเหมือนเป็นญาติกัน ถ้าภรรยาผมไม่ติดธุระเรื่องแม่ของเขา คงได้มาพร้อมหน้ากันวันนี้แล้ว”

ณดายิ้มให้คุณดอนก่อนจะหันมาผม

“ดิฉันเองก็ไม่ได้ห้ามลูก เพราะตาป๋องก็ดี พ่อแม่ก็คุ้นกัน อยากจะคบจะหากันก็ทำไป แต่ให้อยู่ในกรอบ อย่าให้เกินงาม คุณหญิงสา (นามสมมติ) คุณแม่ของน้องหญิงก็ยังเอารูปที่น้องหญิงส่งมาให้มาคุยว่าตาป๋องกับน้องตาลดูจะรักกันดี ”

“น้องหญิงนี่ใครเหรอครับคุณดา” ผมถามแทรกขึ้นมา

“เพื่อนน้องตาลตั้งแต่สมัยเรียนประถมค่ะคุณหมอ บ้านอยู่ใกล้กัน คุ้นกับทางฝั่งตระกูลสามีดิฉัน สองคนนี้เขามีอะไรก็จะคุยกันตลอด แต่ไม่ค่อยจะบอกพวกแม่ ๆ กลับไปเล่าให้น้องฟังแทน ดิฉันบอกน้องตาลว่าไหน ๆ จะไปยุโรปแล้วก็ชวนน้องหญิงไปด้วยสิ ”

ผมหันไปมองเจ้าป๋อง
“เราได้เล่าเรื่องทั้งหมดให้คุณพ่อกับคุณแม่น้องตาลฟังหรือยัง ไม่เล่าผมเล่านะ”

“เรื่องอะไรนายป๋อง” คุณดอนดูจะเป็นพ่อที่ดุใช้ได้ นายป๋องก็ไม่เหมือนเด็กอเมริกัน

คงเพราะคุณย่าเป็นคนเลี้ยงมา ผมคิด “ครับ เล่าครับ คุณหมอ … ” เจ้าป๋องตอบเสียงเบา

…………………………………………….

แล้วเรื่องต่าง ๆ ก็ค่อย ๆ คลายปมของมันออกมา แต่เป็นการคลายออกมาเพียงฝั่งเดียวโดยการบอกเล่าของป๋อง ซึ่งผมฟังแล้วก็ยังไม่กระจ่างนักว่าอะไรมันคือสาเหตุที่ทำให้น้องตาลทำอัตวินิบาตกรรมในเช้าวันนั้นได้ ถ้านายป๋องสามารถให้การหลอกผมได้อย่างแนบเนียนในสถานีตำรวจในคืนนั้น คืนนี้นายป๋องสอบตกกราวรูดเลยทีเดียว

เรานั่งคุยเรื่องต่าง ๆ กันกว่าสามชั่วโมง ทั้งหัวเราะ ทั้งเศร้า ทั้งสลด ทั้งถอนใจ เป็นหนึ่งดินเนอร์ที่ผมจำได้ไม่รู้เลือนทีเดียว

“ยางลบก้อนนั้น ที่คุณหมอพูดถึง เกรงว่าเป็นของดิฉันเอง” คุณดาอมยิ้ม
“คุณพ่อซื้อให้ดิฉันตอนเรียนชั้นประถม ตอนนั้นยางลบกลิ่นผลไม้หอมหายากในเมืองไทย คุณพ่อเลยซื้อยกโหลมาให้ดิฉัน”

“วันหนึ่งดิฉันหิวมาก เพราะรอคนที่บ้านมารับนานแล้วก็ยังไม่มา ก็เลยกัดไปหนึ่งคำ” คุณดาหยุดหัวเราะ
“คิดว่ากินได้ แต่รสชาติไม่เอาไหนเลย ก็เลยคายออกมา”
“คุณแม่อธิการเดินเห็นพอดี เกือบโดนตอกมะเหงก” คุณดาขำ ใช้นิ้วชี้ขวาป้ายน้ำตาที่ไหลออกมาจากหางตา

“ดิฉันเป็นคนชอบสะสมของในอดีต พอเล่าให้น้องตาลฟัง แกก็ร่ำ ๆ ร้องขอยางลบก้อนนั้น ไม่คิดว่าแกยังเก็บเอาไว้กับตัว”
“นี่ดิฉันก็เพิ่งจะรู้ว่าลูก เก็บสิ่งที่ดิฉันทิ้งไปเอามาไว้กับตัวหมดเลยนะคะเนี่ย ไดอารี่ที่คุณหมอว่าคงเป็นของน้องหญิง”

“คุณหญิงสามาส่งดิฉันที่สนามบิน บอกดิฉันว่าน้องหญิงสอบวันนี้เป็นวันสุดท้าย จะบินมาถึงปารีสวันมะรืนนี้และจะมาพักที่นี่ (โรงแรมเดียวกัน) ตอนนั้น ดิฉันน่าจะติดต่อประสานเรื่องน้องตาลเรียบร้อยแล้ว แกคงคิดถึงเพื่อนแกมาก”

“คุณดาจะไม่พาน้องกลับไปฌาปนกิจที่เมืองไทยเหรอครับ” ผมถามด้วยความสงสัย
“เอาไปแบบ Human remains ใส่กล่องโหลดใต้ท้องเครื่องลูกคงไม่ชอบ ดิฉันคงจะอยู่จัดการเรื่องให้เรียบร้อยเสียที่นี่เลยน่ะค่ะ”

ผมชื่นชมความเป็นแม่ที่แข็งแกร่งของคุณดามาก แต่ผมก็ยังไม่กล้าถามปมส่วนตัวของคุณดาในเรื่องของกุญแจดอกนั้น ผมสังเกตว่าทั้งคุณดอนและเจ้าป๋องก็ดูเหมือนจะไม่รู้เรื่องนี้ คุณดาเองก็ดูเหมือนไม่ได้อยากสะกิดขึ้นมาเป็นประเด็นเช่นกัน สามชั่วโมงผ่านไป ผมขอตัวคุณดรและคุณดา เพราะผมวันพรุ่งนี้ผมมีประชุมทั้งวัน หากทุกอย่างลงตัว ผมจะพบกับคนทั้งสามอีกครั้งในวันมะรืนเช้า เพราะน้องหญิงคงจะได้เดินทางมาถึงปารีสแล้ว

เรื่องทุกอย่างดูจะลงตัวจนน่าพิศวง การเสียชีวิตของน้องตาลดูจะมีเหตุผลในตัวของมันเอง อย่างน้อยก็ในประเด็นที่ผมได้ตั้งข้อสงสัยไว้

คุณดาเป็นผู้หญิงไทยที่ถือว่าแกร่งมากในสายตาผม เพราะได้สูญเสียทั้งสามี ทั้งลูก แต่ยังมีเป็นความสุภาพชน ยังมีสติอยู่กับตัวตลอดเวลา เป็นสุภาพสตรีที่ถ่อมตัว (play a low profile) ทั้งที่ตามจริงแล้วน่าจะมีประสบการณ์ชีวิตที่น่าสนใจไม่แพ้คนเก่งหลายต่อหลายคนที่ผมรู้จักเลยทีเดียว

“หรือจะคิดมากไปเองจริง ๆ” … ผมพึมพัมกับตัวเองในแท็กซี่ระหว่างทางกลับบ้าน

ภาวะความสูญเสียเป็นความต้านทานทางชีวิตของแต่ละคนที่มีการแสดงออกแตกต่างกัน ปฏิกิริยาการตอบสนองในขณะเกิดเหตุ การตอบสนองหลังเหตุการณ์นั้น และการมีชีวิตอยู่ต่อไปให้ได้ภายหลังจากความเปลี่ยนแปลงในชีวิตที่เกิดขึ้น

คุณดาเข้มแข็งกว่าที่ผมคิดไว้มาก ผมอนุมานว่าคงเป็นเพราะคุณดาได้ผ่านเหตุการณ์ของการสูญเสียสามีมาครั้งหนึ่งแล้ว การเป็น Single Mom การเป็นนักธุรกิจหญิงแนวหน้า และการเป็นอดีตนักเรียนไทยในต่างประเทศ คงหลอมให้เธอรู้ว่าสิ่งใดที่เธอควรทำตอนไหนและไม่ควรทำตอนไหน

สิ่งที่ยังค้างคาใจผมอยู่ ก็คือ “ลูกกุญแจดอกนั้น” ซึ่งดูจะเหมือนมีไว้ไข Pandora’s box ไม่ของคุณดาเองก็ของน้องตาล วันที่ผมรีบวิ่งกลับไปที่สถาบันนิติเวชฯ ก็เพราะผมกลัวว่าสิ่งที่ถูกบันทึกในไดอารี่เล่มนั้น จะนำไปสู่การฆ่าตัวตายหมู่ (Mass suicide) ในที่ใดที่หนึ่งในอนาคต (ที่เกิดขึ้นค่อนข้างบ่อยในช่วงเวลานั้น) โชคดีที่สิ่งที่ผมเชื่อนั้น ไม่ได้เป็นจริงดังที่ผมได้คาดการณ์ไว้

เมื่อคุณแม่น้องตาลไม่ได้ติดใจการเสียชีวิตของลูกสาว อีกทั้งผมเองก็เป็นแพทย์ ไม่ได้เป็นตำรวจที่มีหน้าที่สอบสวนคดี สิ่งที่ผมทำได้ในตอนนี้จึงเป็นแค่การเฝ้าดูเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นอยู่ห่าง ๆ โดยไม่เข้าไปก้าวก่ายความเป็นส่วนตัวของครอบครัวผู้เสียชีวิต

สาเหตุของการฆ่าตัวตายนั้น เป็นเรื่องที่ถูกบอกสอนไว้ในตำราว่ามีสาเหตุอะไรบ้าง แต่สิ่งที่ได้เรียนรู้จากหนังสือ กับสิ่งที่ได้เรียนรู้จากประสบการณ์ตรงของตัวเองก็มีความต่างกัน คนที่ผ่านเหตุการณ์ตรงนั้นมาได้จะมีความแข็งแกร่งจากจิตใจสูงมากกว่าคนทั่วไป (ที่คิดว่าความตายนั้นเป็นเรื่องน่ากลัว) อาจจะเป็นจุดนี้หรือไม่ที่ทำให้ผมสงสัยว่าคุณดาเองก็คงจะมีประสบการณ์ในทำนองเดียวกันนี้มาแล้วเช่นเดียวกัน

……………………………………….

เนื่องจากผมถูกเรียกตัวไปราชการด่วนในต่างประเทศ ผมจึงไม่มีโอกาสที่จะไปตามนัดตามที่ได้ตกลงไว้ในคืนก่อนวันนั้นได้ หลายวันต่อมา ผมก็ได้รับโทรศัพท์จากคุณดา ขอเชิญให้ผมมาร่วมพิธีฌาปนกิจร่างน้องตาลที่สุสาน Père-Lachaise (Cimetière du Père-Lachaise) สุสานที่เก่าแก่ของกรุงปารีสในบ่ายวันหนึ่ง

คุณดาดูจะมีเพื่อนในยุโรปมากกว่าที่ผมคิดไว้ เพราะมีผู้มาร่วมพิธีในบ่ายวันนั้นสิบกว่าคน นอกจากคุณดอนและนายป๋องแล้ว สามคนใหม่ในนั้น ที่ได้รับการแนะนำโดยคุณดาให้ผมรู้จัก ก็คือ น้องแตน (ลูกสาวคุณดา/น้องสาวตาล) น้องหญิง และ คุณแม่ (คุณหญิงสา) ที่ผมทราบในภายหลังว่าคุณดาเป็นคนออกค่าใช้จ่ายในการเดินทางให้ทั้งหมด

พิธีเต็มไปด้วยความเศร้าโศกของทุกคน สำหรับผมแล้ว เหตุการณ์ในเช้าวันนั้น ทั้งภาพ กลิ่น เสียง วินาทีแห่งความสะเทือนใจ ได้ตามมาหลอกหลอนกระแทกย้อนกลับเข้าไปในหัวใจผมอีกครั้ง เหตุการณ์ ๑๐ นาทีมรณะที่ยังคงฝังอยู่ในหัวผมและคงจะเป็นฝันร้ายของผมต่อไปอีกนาน

แม้คุณดาจะดูนิ่งมาก แต่ภายใต้ผ้าคลุมบางสีดำที่ปกคลุมหน้า (Un crêpe de deuil) ดวงตาที่บวมแดง เสียงลมหายใจที่ขัดอยู่ตลอดเวลา และผ้าเช็ดหน้าสีขาวที่เปียกชุ่ม ทำให้เห็นว่าผ้าบางชิ้นนั้นจะไม่สามารถป้องกันความคิดของผู้คนที่ยืนเป็นพยานอยู่โดยรอบได้เลย ทุกคนมองเห็นได้ถึงความทรมานในความพยายามที่จะเก็บความรู้สึก ความอัดอั้น และความเสียใจอันมากมายมหาศาลที่ไม่สามารถจะบรรยายออกมาจากหัวใจของคนที่เป็นแม่ ความเจ็บปวดที่ต้องกลายเป็นฝ่ายมารับรู้ว่าลูกน้อยที่ได้พามาอยู่บนโลกใบนี้นั้น ได้จากเธอไปแล้วตลอดกาล ในความสงบที่เป็นนิรันดร์

ผมเองก็ไม่ทราบเหมือนกันว่าคุณดาทำธุรกิจอะไร แต่จากที่ผมเห็น คุณดาทำให้ผมได้เข้าใจว่า เงินไม่ใช่คำตอบทุกอย่างในชีวิตของเธอ (Money is not everything for her)

0
ทิงเกอเบล 29 ม.ค. 57 เวลา 21:42 น. 3

ความเป็นแม่ที่น่าสนใจยิ่งของคุณดา ทำให้ผมตัดสินใจลางาน ตอบรับคำเชิญที่คุณดาได้เชิญไม่เพียงแต่ผม แต่กับทุกคนที่ได้มาร่วมในพิธีฌาปนกิจร่างน้องตาลในบ่ายวันนั้น เดินทางโดยรถโค้ชขนาดยักษ์ (เมื่อเทียบกับจำนวนคน) เพื่อนำอัฐิ (ส่วนหนึ่ง) ของน้องตาลไปฝากไว้ที่มหาสมุทรแอตแลนติก (Océan Atlantique) ที่ชายหาดเมือง Étretat ซึ่งเป็นเมืองเล็ก ๆ ในแคว้นโอต-นอร์ม็องดี (Haute-Normandie)

ผมเองไม่รู้ว่าคุณดาเอาเวลาที่ไหนมาจัดการกับเรื่องเรื่องนี้ ผมคิดว่าคุณดาคงจะมีทีมเลขาฯ ที่เมืองไทยที่ดูแลประสานเรื่องต่าง ๆ ให้ ความเป็น Perfectionist ของคุณดา ดูจะถ่ายผ่านไปถึงน้องแตนลูกสาวคนเล็กออกมาได้ดีอย่างไม่ผิดเพี้ยน



เราออกเดินทางกันในตอนเช้า ใช้เวลาเดินทางประมาณ ๓ ชั่วโมงจากปารีสก็มาถึง Étretat ผมเลือกที่จะนั่งอยู่คนเดียวเงียบ ๆ ที่เบาะยาวด้านหลังสุดของรถโค้ช เพื่อที่จะไม่รบกวนความเป็นส่วนตัวระหว่างคนในครอบครัวและเพื่อน ๆ ของคุณดาที่นั่งกันอยู่ทางด้านหน้าของรถ ซึ่งมันคงจะเป็นการเดินทางโดยรถโค้ชที่เงียบที่สุดครั้งหนึ่งในชีวิตผม ถ้าคุณดาไม่ได้เดินตามหาผมถึงเบาะหลังสุดที่ผมนั่งอยู่เพียงลำพังคนเดียว

“ไม่ทราบคุณหมอจะอนุญาตให้ดิฉันนั่งด้วยได้ไหมคะ” คุณดาเอ่ยถาม ตาที่บวมแดง (จากการร้องไห้) บอกให้ผมรู้ว่าเธอกำลังต้องการกำลังใจ

“เชิญครับผม เชิญครับ” ผมลุกขึ้นยืน เชิญให้คุณดานั่งลงก่อน
“ขอบคุณค่ะคุณหมอ” คุณดาส่งรอยยิ้มบางที่แฝงไว้กับนัยน์ตาเศร้ากลับมาให้ผม

“คุณหมอคะ คุณหมอจำได้ไหมคะว่า … ดิฉันเคยถามคุณหมอว่า … คุณหมอและดิฉันเคยได้พบกันมาก่อนหรือไม่” คุณดายิ้มเศร้า ๆ

ผมยิ้มตอบด้วยความสุภาพ

“คุณหมอคะ …. “ คุณดาสูดหายใจลึก

“ที่ดิฉันไม่ติดใจเรื่องการกระทำของลูก ก็เพราะดิฉันเข้าใจว่ามันเป็นความผิดของดิฉันด้วยส่วนหนึ่ง”
“ตอนที่ลูกทั้งสองของดิฉันยังเล็ก ดิฉันเคยพยายามฆ่าตัวตาย … ตอนนั้นลูกตาลเข้าโรงเรียนแล้ว แต่ลูกแตนยังเล็กมาก”

ผมชะงัก เพราะตะลึงกับเรื่องที่คุณดากำลังเล่าให้ผมฟัง!

“ดิฉันจับได้ว่าคุณวินัย นอกใจดิฉัน เริ่มจากจดหมายน้อยในเสื้อสูท หลังจากนั้น หญิงคนนั้นก็บุกมาหาดิฉันถึงหน้าบ้าน”
ผมนั่งฟังนิ่ง

“ตอนนั้นคุณวินัยไปติดต่อธุรกิจในต่างประเทศ ติดต่อไม่ได้ ดิฉันเจ็บมาก มันเจ็บปวดยิ่งกว่าอะไรทั้งสิ้น พ่อของลูกดิฉัน เลือกคนอื่น”
คุณดาน้ำตาไหล

“ตอนนั้นมือดิฉันสั่นมาก ใจมันหวิวค่ะคุณหมอ มันเหมือนจะเป็นลมให้ได้แต่มันไม่ใช่ เหมือนจะโกรธ ตัวจะลุกเป็นไฟ แต่มันก็ไม่ใช่อีกเสียทีเดียว”
“ไม่รู้ว่าดิฉันคิดอะไรอยู่ตอนนั้น เพราะแม้ผู้หญิงคนนั้นเดินจากไป เสียงหัวเราะเยาะของเธอก็ยังก้องอยู่ในหัวดิฉันต่อ”
“ในนาทีนั้นดิฉันแย่มาก คิดถึงแต่ตัวเอง แค้นที่ทำไมคุณวินัยทำร้ายดิฉันได้มากถึงเพียงนี้”

ผมควักผ้าเช็ดหน้าของผมให้คุณดา เพราะตอนนี้ผ้าเช็ดหน้าของคุณดาชุ่มไปด้วยน้ำตาจนเปียกไปหมด

“ดิฉันเดินผ่านตู้ยาในบ้าน อารมณ์ชั่ววูบมันก็พุ่งเข้ามา คว้ากระปุกยากรอกมันเข้าไปในปากทั้งหมด”
“ตอนนั้นตัวดิฉันเองก็ยังไม่รู้ว่ากินยาอะไรเข้าไป … สติมันเริ่มหายไป … แล้วดิฉันก็เซล้มลง”

“ลูกตาลได้ยินเสียงดังโครมครามก็วิ่งเข้ามา ลูกแตนก็เดินเตาะแตะตามพี่ตัวเองมา”
“ดิฉันได้ยินเสียงลูก แม่จ๋า…. แม่จ๋า….. แม่เป็นอะไร”

ในวินาทีนั้น .. น้ำตาของผมเริ่มซึมออกมา

“แล้วลูกตาลก็เริ่มร้องไห้ ลูกแตนเห็นพี่ร้องก็ร้องตามด้วย”
“มือดิฉันเย็นมาก ใจมันหวิวค่ะคุณหมอ ดิฉันได้สติคืนมาก็ตอนได้ยินเสียงลูก”
“ดิฉันพยายามจะประคองตัวเองขึ้นมาแต่ก็ทำไม่ได้ แรงมันหายไปหมด”
“ลูกดิฉันก็เขย่าตัวดิฉันเรียกแม่จ๋า … แม่จ๋า … แม่เป็นอะไร … แม่อย่าเป็นอะไรนะ …”

ผมเม้มริมฝีปากแน่น … พยายามอย่างมากที่จะเก็บอารมณ์ของผมไว้

“ก่อนหน้าที่ดิฉันจะหมดสติไป ลูกตาลกอดดิฉันไว้ บอกดิฉันทั้งน้ำตาว่า … แม่ไม่ต้องกลัวนะจ๊ะ ตาลจะไปตามคนมาช่วยแม่เอง”

แล้วน้ำตาของลูกผู้ชายอย่างผมก็ไหลออกมาอย่างห้่ามไม่ได้

ในระหว่างความเงียบที่เหมือนโลกตรงนั้นได้หยุดหมุนไป

“คุณหมอคะ” ริมฝีปากของคุณดาสั่นสะท้าน

“กูญแจดอกนี้” คุณดาแบมือขวาออกให้เห็นถึงลูกกุญแจที่เธอได้กำเก็บไว้ ปากของเธอเม้มแน่น
“ก็คือกุญแจของตู้ยาตู้นั้นค่ะ”

คุณดาเล่าต่อว่าน้องตาลวิ่งออกไปร้องไห้จ้าอยู่ที่ถนนหน้าบ้าน และมีคนมาเห็น จึงเรียกรถพยาบาลมารับไปล้างท้องได้ทันเวลา ไม่อย่างนั้นคุณดาคงได้ตายสมใจหรือไม่ก็คงพิการ

“ถ้าวันนั้นดิฉันไม่ได้ลูก ชีวิตของดิฉันก็คงจบอยู่แค่ตรงนั้น” คุณดาเสียงเศร้า

“พอทุเลาขึ้น ดิฉันก็ทุ่มเทมีชีวิตให้ลูก อยู่เพื่อลูก ดิฉันแยกบ้านกับคุณวินัย เอาลูกมาเลี้ยงเองทั้งสองคน”
“อ้าวเหรอครับ ผมนึกว่าคุณดากับสามี … ” ผมหยุดคำถามของตัวเองไว้แค่ตรงนั้น

“ค่ะคุณหมอ คุณวินัยใช้ความพยายามมาก แต่อีกหลายปีค่ะ กว่าที่จะสามารถทำให้ดิฉันยอมคุยด้วยอีกครั้ง”
“ตอนนั้นหน้าที่การงานดิฉันดีมาก ที่ดิฉันใจอ่อนก็เพราะลูก เขาคิดถึงพ่อเขา เพื่อนก็บอกให้ดิฉันให้โอกาสคุณวินัยอีกครั้ง”

“ดิฉันก็ไม่เข้าใจตัวเองในตอนนั้นเหมือนกัน ทีหลังถึงพิจารณาได้ว่า มันคือโมหะที่เข้ามาทำลายสติ”
“ลูกของดิฉันทั้งสองได้ดิฉันไปมาก แต่ไม่นึกว่าลูกตาล …” คุณดาหยุดเล่า น้ำตาเริ่มไหลออกมาอีกครั้ง

“คุณดาบอกผมว่า เราเคยพบกันมาก่อน คุณดาเล่าให้ผมฟังได้ไหมครับ” ผมรีบชิงเปลี่ยนเรื่อง
คุณดายิ้มบาง ๆ ให้ผม เอาผ้าเช็ดหน้าซับน้ำตา

“ดูท่าคุณหมอจะจำดิฉันไม่ได้จริง ๆ”
“คุณหมอชอบเข้ามานั่งคุยกับคุณแม่ดิฉันทุกวันเลย ดิฉันยังชี้ให้ลูกเห็นเลยว่าคุณหมอคงจะรักคุณพ่อคุณแม่มาก”

“หา ….. “ เหมือนลมออกจากตัวผมไปหมดปอด
แล้วภาพความทรงจำในอดีตก็ผุดเข้ามาให้หัว

“คุณยายห้องพิเศษ คุณยายวิมล (นามสมมติ) คุณยายวิมลเป็นคุณแม่ของคุณดาเหรอครับ” ผมตกใจ
คุณดายิ้มเม้มปาก พยักหน้า

นานหลายปีมาแล้ว ผมเคยขออนุญาตกองทัพกรีกมาฝึกศึกษา (Clinical clerkships) ที่โรงพยาบาลแห่งหนึ่งในกรุงเทพมหานคร เป็นเวลา ๘ สัปดาห์

“คุณหมอแต่งตัวไม่เหมือนคุณหมอท่านอื่น คุณหมอใส่เสื้อกาวน์แขนยาว ข้างในเหมือนเป็นเครื่องแบบ มีป้ายชื่อสีฟ้าเป็นภาษาที่ดิฉันอ่านไม่ออก” คุณดาเล่ายิ้ม

“คุณแม่เล่าให้ดิฉันฟังว่า คุณหมอชอบแวะมาคุยกับท่านเพราะกลัวว่าท่านจะกลัวเหงา”
“ตอนนั้นคุณแม่ก็เหงาจริง ๆ น่ะคะ เพราะไม่ยอมให้ใครมาอยู่เป็นเพื่อน คุณแม่ท่านขี้รำคาญ อยากอยู่ห้องพิเศษคนเดียว”

“ดิฉันไม่มีพี่ไม่มีน้องก็เลยไม่รู้จะหันหน้าไปปรึกษาใคร คุณแม่อยากได้อะไรก็ตามใจคุณแม่ เพราะคุณแม่เองก็ตามใจดิฉันมาตลอดเหมือนกัน”

“มีอยู่วันดิฉันพาลูกมาเยี่ยมคุณยาย คุณแม่กลับไล่ให้ดิฉันรีบกลับ ทั้งที่นั่งยังไม่ทันหายเหนื่อยเสียด้วยซ้ำ”
“คุณแม่ดิฉันว่า เดี๋ยวคุณหมอมา เดี๋ยวคุณหมอมา”

“ดิฉันกำลังจะพาลูกกลับ แล้วคุณหมอก็เดินเข้ามาพอดี” คุณดายิ้ม
“คุณหมอหันมาบอกดิฉันกับลูกว่า ถ้าไม่มีธุระให้อยู่ด้วยก่อนสิครับ”
“แล้วคุณหมอก็เดินไปนั่งที่เก้าอี้ข้างเตียงของคุณแม่ แล้วก็เล่าเรื่องการผจญภัยของคุณหมอให้ท่านฟัง”

“ตั้งแต่คุณพ่อจากคุณแม่ไป ก็ไม่มีใครได้เห็นรอยยิ้มของคุณแม่อีกเลย จนวันนั้นที่ดิฉันได้เห็นคุณแม่ยิ้มและหัวเราะอีกครั้ง”
“ก่อนที่คุณหมอจะกลับประเทศ คุณหมอทิ้งที่อยู่ของคุณหมอไว้ให้คุณแม่ แต่ดิฉันก็ไม่รู้ว่าคุณแม่ได้เก็บไว้ที่ไหน”

………………………………………….

ผมเคยได้รับการ์ดขอบคุณจากเมืองไทยตามหลังผมมาไม่กี่สัปดาห์ยังคิดว่าถ้ามีโอกาสกลับเมืองไทยอีกจะไปเยี่ยมคุณยาย ไม่คิดว่าผมจะได้พบทั้งหลานคุณยาย และลูกของคุณยายที่ฝรั่งเศส

ตอนที่ผมมาเป็นหมอฝึกงานในโรงพยาบาล ผมจำคุณยายได้เพราะคุณยายทำให้คุณพยาบาลปวดหัวตรงที่คุณยายไม่ยอมทานข้าว คุณยายบอกว่าเดี๋ยวฉันก็ตายแล้ว จะกินไปทำไมให้เปลืองทรัพยากรโลก

อาจารย์บอกผมว่าให้ทำอะไรหน่อยสิ แล้วผมก็เข้าไปในห้องของคุณยาย

“หมอ นั่นมันภาษาอะไรน่ะ” คุณยายชี้มาที่ป้ายชื่อสีฟ้าของผม
“ภาษากรีกครับยาย” ผมใช้นิ้วไล่ตาม
ΚΑΜΝΕΡΔΣΗΡΗ Γ. (Καμνερδσήρη Γ.) “อ่านว่า กำเนิดศิริ กามม่า ครับ”
“ทำไมต้องเป็นกามม่า” คุณยายซักต่อ
“กามม่าเป็นตัวอักษรกรีกเริ่มต้นของชื่อผมครับยาย วัทชาราโปล … แบบนี้ครับ … Γουάτσαραπολ” ผมสะกดชื่อตัวเองเขียนลงในกระดาษให้คุณยายดู
คุณยายหยิบแว่นสายตาที่วางไว้ตรงหัวเตียงมาใส่เพื่ออ่านตามที่ผมเขียน ก่อนหรี่ตาเพ่งมองดูผมชัด ๆ

“หมอแต่งตัวแปลก เป็นคนไทยไม่ใช่เหรอ” คุณยายงง
“ครับ แต่ผมถูกไล่ออกไปนอกประเทศ” ผมตอบติดตลก
“ใครไล่หมอ?!” คุณยายซักต่อ หน้าซีเรียสทีเดียว
“ผมไล่ตัวเองนี่ล่ะครับ ตอนนี้ผมเรียนหมออยู่ที่กรีซ แต่ใกล้จบแล้วครับยาย เลยขอมาฝึกงานที่นี่ ๒ เดือน” ผมส่งยิ้มหวานจ๋อย
“อือ…” คุณยายพยักหน้าอือออ

“อาหารโรงพยาบาลนี้อร่อยมากนะยาย ผมแอบกินตลอดเลย” ผมยิงลูกล่อ
“อร่อยอะไร แกงจืดงี้จืดยังกับน้ำซาวข้าว” คุณยายบุ้ยปาก
“โห .. ยายต้องมาลองกินอาหารของโรงพยาบาลผมที่กรีซ ยายกินกับผมไหม แลกกันคนละคำ”

จากนั้นมาผมก็ต้องมาคุยกับคุณยายทุกวัน ถ้าวันไหนผมสาย ผมจะโดนคุณพยาบาลเพจตามหา เมื่อโทรไปก็จะถูกพี่พยาบาลหัวหน้าวอร์ดพิเศษค้อนว่า “คุณหมออยู่ไหนคะเนี่ย รีบมาไว ๆ หน่อย คุณยายกดออดเรียกพวกพี่จนไม่เป็นอันทำอะไรแล้ว”

วันสุดท้ายที่ผมทำงาน ผมบอกคุณยายว่า ยายต้องกินข้าวเยอะ ๆ ต้องแข็งแรงนะ แล้วผมจะกลับมาเล่าการผจญภัยของผมให้ฟังต่อ หลังจากนั้นผมก็ไม่ได้ทราบข่าวของคุณยายอีกเลยนอกจากการ์ดขอบคุณที่เขียนด้วยลายมือของคุณยาย

………………………………………….

“คุณแม่เสียชีวิตหลังจากคุณหมอกลับเพียงไม่กี่เดือน เพราะภาวะแทรกซ้อนหลังการผ่าตัด” คุณดา้เล่า
“ก่อนที่คุณแม่จะเสียชีวิต คุณแม่บอกกับดิฉันว่า ตอนนี้แม่ไม่กลัวแล้วที่จะตาย คุณหมอได้พาแม่ไปเที่ยวรอบโลกมาแล้ว”

น้ำตาของผมไหลออกมาโดยไม่รู้ตัว …

มันเป็นความบังเอิญที่น่าพิศวง ระหว่างผม น้องตาล คุณวิยะดา และ คุณยายวิมล

“ตอนที่เขาบอกดิฉันว่าจะไปยุโรป ดิฉันยังแกล้งแซวลูกว่า ไหน ๆ หนูก็จะไปเที่ยวยุโรปแล้ว ทำไมไม่แวะไปเที่ยวกรีซด้วยล่ะ เผื่่อหนูจะได้พบกับคุณหมอของคุณยาย” คุณดายิ้มรื้น

“คุณแม่ท่านเปลี่ยนไปมากค่ะ หลังจากที่ท่านได้คุยกับคุณหมอ”
“ท่านใจเย็นขึ้น อารมณ์ดีมากครั้งขึ้น บางทีก็เรียกดิฉันมาฟังเรื่องจากท่าน … นี่ยายดา … หมอเขาไปที่นั่นมา”

“ดิฉันเองก็ไม่คิดว่าคุณหมอจะเป็นคุณหมอของคุณแ่ม่ แม้คุณหมอจะชื่อวัชรพลก็ตาม เพราะคุณหมอวัชรพลอยู่ที่กรีซ จนเมื่อวันที่เราพบกัน”
คุณดายิ้มบาง ๆ ให้ผม

“คุณหมอดูมีวัยแต่ภูมิฐานขึ้น ดิฉันยังจำวิธีการพูดและการเล่าเรื่องแบบของคุณหมอได้ ดิฉันจึงถามไปว่าคุณหมอพอที่จะจำำดิฉันได้ไหม”

ผมจุกด้วยสภาวะทางอารมณ์ที่ทะลักผ่านความทรงจำในอดีีตจนพูดอะไรไม่ออก

ผมไม่เชื่อในเรื่องลิขิตฟ้าชะตาดิน ไม่เชื่อในเรื่องเวทย์มนต์คาถา แต่ผมเชื่อในหลักการของพุทธศาสนา ผมเชื่อในเรื่องกรรมชั่วกรรมดี

“น้องตาลเป็นหลานคุณยาย” ผมรำพึงกับตัวเอง

“ใช่ค่ะคุณหมอ น้องตาลเป็นหลานของคุณยาย เป็นลูกสาวของดิฉัน” คุณดาทวนประโยคของผม

ผมหลับตาเห็นภาพน้องตาลอีกครั้ง เพราะเหตุนี้หรือไม่เธอจึงยอมฟังผม เพราะเหตุนี้หรือไม่จึงมีอะไรไปดลใจคุณดาให้เปิดโทรศัพท์ ให้โทรกลับเบอร์โทรแปลก ๆ ข้ามทวีปกลับมาหาผมได้ทันเวลา เพราะเหตุนี้หรือไม่ผมถึงเลือกที่จะมีส่วนร่วมในการพาอัฐิของน้องตาลไปฝากไว้ให้มหาสมุทรแอตแลนติกเป็นผู้ดูแล

“ดิฉันกับคุณวินัยเคยมี-งกันก็จริง แต่เราไม่เคยทำให้ลูกได้เห็น” คุณดามองมาที่ผม
“ดิฉันคิดว่าน้องดาน่าจะยืนแอบดูอยู่ เพราะไม่เช่นนั้นคงไม่สามารถจะหากระเป๋าผ้าใบนี้เจอ”

คุณดาหยิบกระเป๋าใบนั้นออกมา

“คุณวินัยเป็นนักเรียนโรงเรียนชายไม่ไกลจากโรงเรียนดิฉัน” คุณดาเล่า
“ชอบมาคอยแอบมองดิฉันที่โรงเรียน เพื่อน ๆ ก็เลยวาดลายนี้ให้ดิฉันปักในชั่วโมงการเรือน”

คุณดาถอนหายใจ

“แต่พอดิฉันมีลูก ความรักที่มีอยู่ในตัวมันก็เปลี่ยนไป จากรักตัวเองกลายเป็นรักลูก คิดถึงลูก ทำทุกอย่างให้ลูก มีชีวิตอยู่เพื่อปกป้องลูก”
“ดิฉันมาเข้าใจความรักของคุณแม่ก็ในคืนวันที่สูญเสียลูกตาลไป เมื่อดิฉันคิดถึงหน้าคุณแม่ ใจของดิฉันก็สงบลง”

ผมมองไปนอกหน้าต่างรถโค้ช … รถกำลังพาเราวิ่งต่อไป ต้นไม้ข้างทางกำลังผลิดอกออกใบ ชีวิตต่าง ๆ ยังคงดำเนินไปตามวิถีของมัน

“คุณดาสงสัยไหมครับว่าทำไม … ” ผมเริ่มประโยค ก่อนจะหยุดไว้เพียงแค่นั้น

“ลูกคงไม่รักดิฉันกระมังคะคุณหมอ ถ้าเขาคิดถึงดิฉันเขาคงไม่ทำแบบนี้”

จริงแล้ว ตอนเช้าก่อนขึ้นรถ ผมก็ได้มีโอกาสยืนคุยกับน้องหญิง ถึงเรื่องไดอารี่และรูปถ่ายใบนั้น ที่ยังคงติดค้างเป็นประเด็นในใจผมอยู่

“หญิงไม่มีอะไรหรอกค่ะคุณหมอ หญิงเขียนของหญิงมาตั้งแต่ไหนแต่ไรแล้ว” น้องหญิงตอบ
“แล้วทำไมไดอารี่เล่มนี้ถึงมาอยู่กับน้องตาลได้ล่ะครับ” ผมถามต่อ

“คือ หญิงมาเที่ยวปารีสไม่ได้ด้วยไงคะ ตาลก็เลยบอกว่า … เอามานี่ ฉันจะเขียนให้แกเอง”
“หญิงก็แซวว่า หน้าอย่างแกอ่ะนะจะเขียนไดอารี่ได้”

“วันที่หนูรู้ว่าตาลเขาไม่อยู่แล้ว หนูสอบต่อไม่ได้เลยค่ะคุณหมอ สติแตกอยู่ตรงนั้น” น้องหญิงหน้าเศร้า
“อ้าว ตกลงหนูไม่ได้ไปสอบหรอกเหรอ” ผมสงสัย
“ไม่อ่ะค่ะ บอกแม่ไปแล้ว ตาลเป็นเพื่อนรักหนู หนูไม่มีสมาธิหรอกค่ะคุณหมอ ไว้ให้หนูใจดีขึ้นก่อนแล้วค่อยไปต่อ ตอนนี้หนูไม่ไหว หนูคิดถึงตาล”

“แล้วรูปนั้นล่ะ ลายมือเขาใช่ไหม ตาลเขาเขียนทำไม หนูพอจะรู้ไหม”
“หนูก็ไม่เข้าใจค่ะคุณหมอ แต่หนูกับป๋องไม่มีอะไรกันนะคะ หนูสาบานได้ แฟนเพื่อนก็แฟนเพื่อน หนูไม่สนใจอยู่แล้ว ป๋องหวงตาลอย่างกะอะไรดี”

“แล้วป๋องกับตาลเขารักดีกันไหม” ผมถาม
“ป๋องไม่มีอะไรหรอกค่ะคุณหมอ นายนี่มาโช(*)จะตาย ยายตาลเพื่อนหนูน่ะสิ อารมณ์แกว่งเหลือเกิน เดี๋ยวยิ้ม เดี๋ยวเศร้า เดี๋ยวเหงา เดี๋ยวดี”
“หนูยังว่า ถ้าตัวเศร้าตัวก็โทรไปคุยกับคุณแม่ตัวสิ”

ผมว่าแล้ว … ดีนะที่ผมชกหน้่าเจ้าป๋องด้วยการกระืแทกสติเข้าไปในหัวมันวันนั้น ไม่อย่างนั้นมันอาจจะฆ่าตัวตายตามแฟนมันไปในคืนนั้นก็ได้

น้องหญิงเองก็ดูเศร้าไม่น้อยในขณะที่กำลังยืนคุยอยู่กับผม

“ทุกคนขึ้นรถครับ! ขึ้นรถ!” เสียงคุณดอน (คุณพ่อของป๋อง) ตะโกนเรียก “รถจะออกแล้วครับ! รถจะออกแล้ว!”

“แล้วตาลเขาได้บอกหนูไหมว่าเขาเศร้าเพราะอะไร” ผมถามน้องหญิงเป็นคำถามสุดท้าย ในขณะที่เรากำลังเดินไปขึ้นรถโค้ชที่จอดรออยู่

“ค่ะ … ตาลบอกหนูว่า เขาไม่อยากเป็นอย่างแม่”

V (Vocaborary) : มาโช* = Machoism = derived from Spanish and Portuguese, where it has the meaning of a belief in the supremacy of men over women. However, in English the word means instead the sense of being macho or manly.

R (Reference) : http://en.wikipedia.org/wiki/Machismo

“ตาลบอกหนูว่าอะไรนะ” ผมสะดุ้งกับคำตอบจากน้องหญิง

“หนูเข้าใจว่าตาลเขาไม่อยากเจ็บอย่างคุณแม่เขานะค่ะ ตาลเขากลัวความรัก”

“ตาลเขาคุยเรื่องนี้กับหนูครั้งสุดท้ายเมื่อไหร่ ที่อังกฤษเหรอครับ” ผมสงสัย

“ไม่อะคะ ตอนเจอหนูเมื่อปีที่แล้วที่นิวยอร์ค หลังจากนั้นตาลเขาก็เฉย ๆ”

น้องตาลกลัวความรักอย่างนั้นเหรอ … ผมคิดในใจขณะที่ก้าวเท้าขึ้นมาบนรถโค้ช

ภาพตอนที่ผมคุยกับน้องหญิงนั้น ทุกคนที่นั่งอยู่บนรถต่างมองลงมาเห็นเหมือนกันหมด รวมถึงน้องแตนซึ่งเป็นน้องสาวคนเดียวของน้องตาลด้วย เพราะน้องหญิงและผมเป็นผู้โดยสารสองคนสุดท้ายที่เดินขึ้นมาบนรถ

………………………….

ผมไม่ได้เล่าเรื่องนี้ให้คุณดาฟังตอนที่คุณดาเดินมานั่งคุยกับผมที่เบาะหลัง เพราะผมไม่อยากสร้างความร้าวฉานให้เกิดขึ้นในครอบครัวด้วยเรื่องที่ถูกกล่าวขึ้นมาโดยบุคคลภายนอก เพราะถึงแม้น้องหญิงจะเป็นเพื่อนรักของน้องตาลมาตั้งแต่ชั้นอนุบาล แต่น้องหญิงก็ยังไม่เคยมีประสบการณ์ชีวิตโดยเฉพาะเรื่องความรักและการมีครอบครัวมากเท่ากับคนที่เป็นแม่อย่างคุณดา น้องหญิงจึงไม่ควรสรุปว่าที่น้องตาลตัดพ้อว่าตนกลัวความเสียใจนั้น มีสาเหตุมาจากน้องตาลไม่อยากที่มีปัญหาทางด้านความรักซ้ำรอยอย่างแม่ของตัวเอง

จากประสบการณ์ในการทำงานทำให้ผมรู้ได้ว่า เรื่องนี้จะต้องมีเบื้องลึกมากไปกว่านั้น คุณดาดูจะเป็นคุณแม่ที่เสียสละมาก เพราะไม่ว่าตัวเองจะโดนเรื่องร้าย ๆ ใด ๆ ก็ตาม ก็ยังยอมได้ทุกอย่างเพื่อความสุขของลูกรัก ยอมกระทั่งกลับมาใช้ชีวิตร่วมกับคุณวินัยอีกครั้งจนถึงวันที่คุณวินัยเสียชีวิต ซึ่งคุณดาเองก็ให้เกียรติสามีตัวเองมาโดยตลอด ไม่เคยโพนทะนาว่าร้าย ว่าคุณวินัยเคยไปมีหญิงอื่นจนทำให้เธอเกือบจะฆ่าตัวตายสำเร็จมาแล้ว

ผู้หญิงตัวคนเดียว ที่สูญเสียทั้งคุณพ่อ คุณแม่ และ ลูกสาว รวมถึงสามีที่แม้จะเคยพาหญิงอื่นเข้ามาทำร้ายจิตใจเธอมาก่อน ถ้าผู้หญิงที่แกร่งแต่สุภาพและจิตใจดีงามคนนี้ สามารถสร้างความร้าวฉานเป็นแผลในใจให้ลูกเธอได้มากจนกระทั่งไปตัดพ้อเรื่องที่เก็บไว้ในใจให้เพื่อนตัวเองฟัง ผมว่าน้องแตนเองก็น่าที่จะแสดงการกระทำเช่นเดียวกันนี้ออกมาในลักษณะเดียวกัน ถ้า้สมมติฐานนี้มีความเป็นไปได้และมีัมูลความจริง

สำหรับผมแล้ว เรื่องสาเหตุการตายของน้องตาลนี้ ดูจะมีความผิดปกติ ซับซ้อน มากกว่าที่ควรจะเป็น ซึ่งคนที่น่าจะเป็นกุญแจไขปัญหาทั้งหมดให้ผมได้ ก็น่าที่จะเป็นน้องแตน น้องสาวของตาล หลานสาวของคุณยาย ลูกสาวคนสุดท้ายของคุณดา

ผมรอเวลา รอจังหวะ รอโอกาส รอให้น้องแตนเป็นฝ่ายเดินเข้าหาผมเอง เพราะผมไม่อยากให้ความสงสัยส่วนตัวลึก ๆ ของผมนี้ ดูประหนึ่งว่าผมกำลังสอบสวนคดีที่ผู้เสียหายไม่ได้ติดใจเอาความ ผมสังเกตว่าน้องแตนกับน้องหญิงเองก็ไม่ได้คุยกันมากนัก น้องแตนดูจะคุยกับนายป๋องมากกว่า แต่ก็ไม่ได้มากเสียจนผิดสังเกตจนเหมือนเป็นคู่ชู้สาวแต่อย่างใด

………………………….

หลังจากพิธีลอยอังคารของน้องตาลสิ้นสุดลง ผมก็ได้มีเวลาปลีกวิเวก มานั่งฟังเสียงคลื่นกระทบชายหาดอยู่คนเดียวเงียบ ๆ คลื่นลมที่สงบ กอปรกับท้องฟ้าสีครามยามบ่าย เหนือชายหาดแห่งนี้ที่สวยสดใส ทำให้ผมคิดว่าน้องตาลคงจะไปดีแล้ว อย่างน้อยก็คงได้กลับไปอยู่ในอ้อมกอดของคุณยายและคุณพ่อที่รออยู่บนสวรรค์ … ไม่ชั้นใดก็ชั้นหนึ่ง

“อาหมอคะ”

ผมหันไปตามเสียง น้องแตนกำลังก้มตัวลงมาหาผม

“ขอหนูนั่งด้วยได้ไหมคะ”

“เชิญครับเชิญ” ผมยืนขึ้น ผายมือเชิญ

“คุณแม่อยู่ไหนครับเนี่ย” ผมสงสัย

“อยู่กับเพื่อนของคุณแม่ทางด้านโน้นน่ะค่ะ” น้องแตนชี้ไปทางโบสถ์ที่อยู่บนเขา

“หนูเห็นอาหมอนั่งอยู่คนเดียว หนูก็เลย …”

“ครับผม ยินดีครับ” ผมยิ้มสุภาพ

“อาเสียใจด้วยนะครับ สำหรับเรื่องของพี่สาวหนู”

“ขอบคุณคะ … อาหมอ … คือ … หนู ….”

“อาหมอคะ คือ … หนู ….” น้องแตนลังเลจนมีพิรุธ

“หนูมีเรื่องอยากจะเล่าให้อาหมอฟังน่ะค่ะ”

“อาหมอคะ” น้องแตนเหม่อลอย ดวงตาจ้องมองอยู่ที่ระดับอกของผม

“พี่ตาล … โทรมาคุยกับหนูคืนก่อนหน้า … บอกหนูว่า … อย่าไปบอกคุณแม่”

“อาหมอให้สัญญากับหนูได้ไหมคะว่า อาหมอจะไม่เล่าให้คุณแม่ฟัง” น้องแตนเลี่ยงที่จะสบตากับผม

“อาให้สัญญาไม่ได้หรอกครับ เพราะอาเป็นแพทย์ อามีระเบียบปฏิบัติของวิชาชีพที่อาต้องเคารพ”

“ถ้าเรื่องที่หนูกำลังจะเล่าให้อาฟังนี้ มีหรืออาจจะมีผลกระทบกับชีวิตของคนอื่น ๆ อาอาจต้องแจ้งให้คุณแม่ของหนูได้ทราบ อาจึงไม่สามารถให้สัญญากับหนูทั้งหมดได้”

“แต่ถ้าสิ่งที่หนูกำลังจะบอกอานั้น อาพิจารณาแล้วว่าไม่น่าจะมีส่วนเกี่ยวข้องกับชีวิตผู้ใด อาสัญญาว่าจะไม่บอกใคร”

ผมบอกน้องแตนด้วยเหตุผล

“อาหมอคะ หนูรู้สึกกดดันจังเลย” น้องแตนทำหน้าเหมือนจะร้องไห้

“วันหนึ่งหนูก็คงจะต้องโตขึ้นไปเป็นแม่ … เมื่อถึงวันนั้น หนูก็จะมีลูกของหนูเองเหมือนกัน”

“ถ้าวันหนึ่งหนูได้ทำอะไรสักอย่าง ที่ถึงแม้มันจะไม่ดี แต่หนูคิดดีแล้วว่าหนูมีเหตุผลที่ดีพอที่จะไม่บอกกับลูกของหนู”

“หนูว่าลูกของหนูพอที่จะเข้าใจหนูได้ไหม” ผมมองไปที่น้องแตนซึ่งกำลังก้มหน้าอยู่

“ในทางกลับกัน ถ้าลูกหนูทำอะไรโดยเหตุผลของเขา แล้วไม่บอกหนูล่ะ เพราะคิดว่าเหตุผลของเขาดีพอ หนูจะรู้สึกอย่างไร”

น้องแตนมองหน้าผม น้ำตาเอ่อคลอเบ้า

“หนูรักพี่ตาลค่ะอาหมอ”

“อาดีใจที่ได้ยินว่าหนูรักพี่สาวของหนู หนูรักคุณแม่ของหนูด้วยไหม” ผมยิ้มบาง ๆ

น้องแตนพยักหน้าให้ผมแทนคำตอบ

ผมสูดหายใจเข้าเต็มปอด ก่อนจะหลับตาลงแล้วผ่อนลมหายใจออก ออกมาอย่างช้า ๆ ก่อนจะสูดเข้าไปลึก ๆ อีกครั้ง

“เราไปเดินเล่นที่ชายหาดกันดีไหม” ผมชวนน้องแตน พลางใช้มือขวายันตัวของผมให้ลุกขึ้นจากขอนไม้ที่ฝังอยู่ในผืนทราย

ผมเอามือปัดทรายที่ติดเปื้อนอยู่ที่กางเกงขายาวสีครามเข้มจนเกือบดำของผม หันกลับไปหาน้องแตนที่ยังนั่งอยู่ที่เดิม ก่อนจะยื่นมือขวาออกไป

“มา … ลูก … ไปกับอา”

“หนูลองเปรียบเทียบขนาดของเม็ดทรายเม็ดน้อยเม็ดนี้ กับท้องฟ้าสีครามที่อยู่เหนือเีราขึ้นไปสิลูก”

“มันเหมือนโลกของเราใบนี้ กับจักรวาลที่บรรจุโลกของเราอยู่”

“การที่ดาวเคราะห์สักดวงจะหายไปจากระบบสุริยะจักรวาล ก็ไม่ได้ความว่าจักรวาลที่กว้างใหญ่จะต้องพังพาบลงไปจริงไหมลูก”



0
ทิงเกอเบล 29 ม.ค. 57 เวลา 21:42 น. 4

“ชีวิตต่างก็ต้องดำเนินต่อไปตามวิถีของมัน ไม่ว่าจะเร็วจะช้า เราก็ต้องมาจบลงที่จุดเดียวกัน”

“อาหมอพยายามจะบอกหนูว่า สิ่งพี่ตาลทำนั้นไม่ผิดใช่ไหมคะ … ที่พี่ของแตนทำแบบนั้น” น้องแตนดูสับสนกับเรื่องที่ผมต้องการจะสื่อ

“ผิดสิลูก ผิดที่พี่ตาลของหนูไม่ทำตามหน้าที่ทางธรรมชาติที่สร้างให้พี่ของหนูเกิดมา” ผมตอบด้วยความเมตตา

“คนเราเกิดมาเพื่อทำความดี ในมนุษย์ ความดีเป็นสิ่ง ๆ เดียวที่หลงเหลืออยู่ เมื่อถึงเวลาที่โลกเรียกชีวิตเรากลับคืนไป

น้องแตนฟังผมอย่างตั้งใจ

“หนูจะเห็นได้ว่าชีวิตของเม็ดทรายหนึ่งเม็ด ที่อยู่ในโลกใบเล็กของเรานี้ อยู่ในจักรวาลอันกว้างใหญ่ไพศาลที่ยังหาจุดสิ้นสุดไม่ได้”

“แต่แม้เม็ดทรายเม็ดเดียวจะทำอะไรไม่ได้ แต่เมื่อมันมารวมตัวกัน มันก็สามารถจะถูกนำไปหลอมให้กลายเป็นแก้ว ทำประโยชน์อื่่น ๆ ได้ เหมือนกัน”

“แล้วทีนี้ หนูว่าพี่ตาลทำถูกไหม … ที่ตัดสินใจทำแบบนี้กับคุณแม่กับหนู” ผมใช้มือขวาลูบหลังน้องแตนอย่างแผ่วเบา

น้องแตนฟังผมอย่างตั้งใจ

“หนูจะเห็นได้ว่าชีวิตของเม็ดทรายหนึ่งเม็ด ที่อยู่ในโลกใบเล็กของเรานี้ อยู่ในจักรวาลอันกว้างใหญ่ไพศาลที่ยังหาจุดสิ้นสุดไม่ได้”

“แต่แม้เม็ดทรายเม็ดเดียวจะทำอะไรไม่ได้ แต่เมื่อมันมารวมตัวกัน มันก็สามารถจะถูกนำไปหลอมให้กลายเป็นแก้ว ทำประโยชน์อื่่น ๆ ได้ เหมือนกัน”

“แล้วทีนี้ หนูว่าพี่ตาลทำถูกไหม … ที่ตัดสินใจทำแบบนี้กับคุณแม่กับหนู” ผมใช้มือขวาลูบหลังน้องแตนอย่างแผ่วเบา

“แต่ถ้าหนูยังอยากที่จะเล่าให้อาฟัง แม้จะผิดสัญญาใจระหว่างหนูกับพี่ตาลเพราะอาให้สัญญากับหนูไม่ได้ว่าจะไม่เล่าต่อให้ใครฟัง อาก็ยินดี”

จริงอยู่ว่าผมอาจดูเหมือนผู้ใหญ่ใจร้าย …

แ่ต่ผมไม่สามารถให้ความอยากรู้ของผมอยู่เหนือความถูกต้องได้ ถ้าผมใ้ห้สัญญากับใคร ผมต้องมั่นใจว่าผมทำได้

เพราะมันคือคำสัญญาของผม

“หนูจะเป็นคนเลวไหมคะอาหมอ ถ้าหนูผิดสัญญาที่ได้ให้ไว้กับพี่ตาล”

ผมตอบโดยการเอามือลูบไปที่ท้ายทอยน้องแตนอย่างแผ่วเบา

“หนูต้องตอบตัวหนูเองให้ได้ก่อนว่าคนประเภทไหนที่ึคนทั่วไปเรียกว่าคนเลว … หนูรู้ใช่ไหมลูก ว่าคนดีคนเลวมีปนปะคละไปในสังคม”

“คนจะดีหรือเลวอยู่ที่การกระทำ ไม่ได้อยู่ที่ภาพที่เราเห็นจากภายนอก” ผมสอน

“ความสูงต่ำดำขาว ชาติตระกูล การศึกษา ไม่ได้เป็นตัวการันตีว่า คนนั้นจะต้องเป็นคนดีเสมอไป คนที่ดีจะดีจากหัวใจ คนที่ไม่ดีมักจะแกล้งทำตัวเป็นคนดีเพื่อหาผลประโยชน์จากเรา และเมื่อได้สิ่งที่ต้องการแล้วก็จะลอกคราบกลับไปเป็นตัวไม่ดีเหมือนเดิม”

“ตอนอาอยู่ในวัยเรียนอย่างหนู อาก็เคยโดนคนที่แก่กว่า ซึ่งเป็นถึงหมอ เป็นถึงอาจารย์ รังแกอา ทำให้ชีวิตอาเป๋ กลิ้งหลุน ๆ เกือบจะเอาตัวไม่รอดมาแล้ว” ผมยกตัวอย่างให้ฟัง

“แต่มันก็แค่นั้น -พวกนี้มันเก่งก็แค่กับพวกที่มันเบ่งได้ พอเปิดกะลาออกมันก็ตายเพราะมันไม่ได้เก่งจริง ถ้าอายอมแพ้-พวกนี้ อาก็จะแพ้ไปตลอดไป สมใจพวกมันที่สาบแช่งให้ชีวิตอาอับปาง อาจึงต้องถอนคำสาปของพวกมัน ด้วยการพัฒนาตัวของอาให้มีเหตุผลเป็นคาถาและเอาสติในตัวอาเป็นวิทยายุทธไว้ต่อกรกับพวกสัตว์ประหลาดพวกนี้ด้ อนุมานว่าเป็น ก๊อตซิลล่า ล่ะกัน”

น้องแตนหัวเราะคิก ๆ

“พวกก๊อตซิลล่าตัวผู้ตัวเมียที่เคยทำลายชีวิตอาในวันนั้นรวมไปถึงคนรอบข้างที่ไม่เห็นด้วย บัดนี้ก็ได้กลายเป็นก๊อตซิลล่าเหนียงยาน ไร้น้ำยา ไร้ผู้ชมมาสนใจ อยู่ได้ก็แต่กับพวกก๊อตซิลล่าบ๊อง ๆ ด้วยกัน เพราะต้องมาชดใช้ผลกรรมที่ได้ทำเอาไว้ตอนยังมีแรงอาละวาดพังบ้านพังเมือง”

“อาหมอช่างเปรียบเทียบ” น้องแตนหัวเราะ

“อาสรุปนะ คนเลว ก็คือ คนที่ตัดโอกาสคนดี ไม่ยอมให้คนดีได้มีโอกาสอย่างตัวเองบ้าง เพราะในใจนั้นเต็มไปด้วยความอิจฉาริษยา กลัวคนอื่นจะได้ดีกว่าตัวเอง หนูว่าเราควรเรียกพวกนี้ว่าอะไรดีล่ะ … พวกกลัวทองลอกดีไหม”

“ใช่เลยอาหมอ ทองมันบางจัด” น้องแตนตอบ

ณ วินาทีนั้น ผมดีใจ … เพราะผมได้ใจน้องแตนมาเรียบร้อยแล้ว

“แล้วหนูคิดว่าตัวหนูเป็นแบบนั้นไหมล่ะ” ผมยิ้ม

“ไม่อ่ะค่ะอาหมอ … หนูไม่ใช่ก๊อตซิลล่า” น้องแตนทำหน้าติดตลก

“ดีมาก … จำไว้นะลูกนะ หนูเป็นเพชร เพชรอยู่ที่ไหนมันก็คือเพชร มันจะส่องสว่าง ฉายแววประกาย”
“ดูคุณแม่ของหนูเป็นตัวอย่าง ท่านเป็นเพชรน้ำเอกเชียวนะ ตัวหนูถึงจะเป็นเพชรเม็ดเล็ก แต่ก็เป็นเพชรน้ำงาม … จงรักษาความงามนี้ไว้ตลอดไป”

น้องแตนอมยิ้ม หน้าแดงระเรื่อ

“หนูรักคุณแม่มากค่ะอาหมอ”

“ดีครับ ดีมาก” ผมยิ้มให้น้องแตน

น้องแตนมองไปข้างหน้า ตรงที่เส้นขอบฟ้าตัดกับทะเล

ที่ข้างหลัง ตอนนี้ทุกคนที่นั่งรถมาด้วยกันจากปารีสกำลังยืนมองผมกับน้องแตนอยู่ ประหนึ่งหาดทรายเป็นเวทีละคร

………………………………………..

“อาหมอคะ …”
“ครับผม”

“พี่ตาลโทรมาหาหนูตอนประมาณตีสองที่เมืองไทยคืนก่อนเกิดเหตุ” น้องแตนเริ่มเล่า
“หนูงัวเงียตื่นขึ้นมารับโทรศัพท์ … พี่ตาลร้องไห้ … หนูถามว่าร้องไห้ทำไม พี่เขาก็ไม่บอก แล้วสายก็หลุดไป”
“หนูรีบโทรไปเล่าให้แม่ฟัง แล้วอีกสักพักใหญ่ ๆ พี่ตาลก็โทรกลับมา … ว่าหนูใหญ่เลยว่าทำไปต้องบอกแม่ด้วย”
“หนูบอกพี่ตาลว่าหนูเป็นห่วง แต่หนูไม่รู้จะช่วยพี่ตาลยังไงเพราะหนูอยู่เมืองไทย”

ผมตั้งใจฟัง

“พี่ตาลบอกหนูว่ากำลังเดินอยู่ที่มงมาร์ต (Montmartre)”
“ก่อนหน้านั้นพี่ตาลกับพี่ป๋องกำลังเดินถ่ายรูปกันอยู่ แล้วก็มีคนเดินเข้ามาทักพี่ป๋อง”
“ปรากฏว่าเป็นเพื่อนต่างคณะที่เคยทำเรื่องให้พี่ตาลเกือบบอกเลิกกับพี่ป๋องตอนเรียนปี ๔”

“พี่ตาลบอกหนูว่ามันเป็นความบังเอิญที่ห่วยแตกมาก มาเจอกันได้ยังไงตั้งไกลที่ปารีส”
“หนูถามว่าแล้วตอนนี้พี่ป๋องอยู่ไหน .. พี่ตาลบอกว่าไปส่งยายคนนั้นที่โรงแรมเพราะขาแพลงแล้วจะรีบกลับมารับ”

“ทำไมเขาไม่ไปด้วยกันล่ะลูก” ผมถามเพราะสงสัย

“หนูก็ไม่รู้เหมือนกัน พี่ตาลเคยจับโกหกพี่ป๋องได้สองทีแล้ว ครั้งนี้เป็นครั้งที่สาม”

“แล้วหนูก็เผลอปากพูดกับพี่ตาลไปว่า … เหมือนพ่อพวกเราเลยเนาะ”

ผมหลับตาสูดลมหายใจเข้าไปสุดปอด แต่พยายามไม่ทำให้น้องแตนสังเกตเห็นได้

“พี่ตาลบอกว่านั่นสินะ .. พี่นี่ก็บ้าจริงเชียว แล้วก็หัวเราะ”

“หลังจากนั้นหนูกับพี่ก็คุยกันอีกนิดหน่อย พี่ตาลยังถามหนูว่าอยากได้อะไรจากปารีสไหม จะซื้อไปให้ แล้วก็เกิดเรื่องขึ้น”

อืมส์ … ช่วยกันคนละไม้คนละมือจริง ๆ บ้านนี้

คุณพ่อนิด (มีเมียน้อย) … คุณแม่หน่อย (ฆ่าตัวตาย) … คุณยายนิด (ตายคนเดียว) … คุณน้องหน่อย (ตอกย้ำความทรงจำ/ความจริง)

“แล้วทำไมหนูถึงตัดสินใจเล่าให้อาฟังล่ะลูก อาไม่ได้สัญญาอะไรกับหนูเลยนะ” ผมชูนิ้วก้อยมือขวา

“หนูไม่ชอบที่เห็นอาหมอคุยกับพี่หญิง”

“ทำไมล่ะครับ พี่หญิงไม่ใช่เพื่อนสนิทของพี่สาวหนูเหรอ”

“ผู้หญิงคนนั้นเป็นเพื่อนของพี่หญิงค่ะ เรียนคณะเดียวกัน พี่ตาลบอกหนู”

อ้าว …. ผมเริ่มงงอีกรอบ

“อาหมอขา … หนูขอร้องอาหมอนะคะ อย่าไปบอกพี่หญิง”

“ครับ อารับปาก”

“อาหมอ … แตนขอนิ้วก้อยขวา สัญญานะคะ” น้องแตนชูนิ้วก้อยขึ้นมา

“ครับผม เกี่ยวก้อยครับ” ตอนนั้น ผมนึกถึงพี่ป้อม (อัสนี) ยังไงก็ไม่รู้สิ

นี่ถ้าผมไม่ใช่(อดีัต)นายแพทย์ทหารมาดขรึม (เขาเชิญมาให้ทำหน้าที่นี้) และไม่เกรงใจพวกที่กำลังยืนดูฉากนี้อยู่ทางด้านหลัง

ผมคงแหกปากตะโกนวิ่งลงทะเลไปแล้ว … (อ๊ากซซซซซ์ !!!!!!)

………………………………………..

น้องตาลก็เสียไปแล้ว เถ้าก็ได้ลอยอังคารไปแล้ว … จะให้ผมฟื้นฝอยหาตะเข็บไปเพื่อการใดฤา

ตอนนี้ทุกคนที่เกี่ยวข้องก็อยู่กันพร้อมหน้า ผู้ปกครองก็อยู่ด้วย … แต่กลับไม่มีใครรู้เรื่อง มีผมรู้อยู่คนเดียว ( … Thanks to น้องแตน … )

น้องแตนโบกมือไหว ๆ เรียกให้ทุกคนเดินมาที่ชายหาดที่จุดที่ผมยืนอยู่

“อาหมอขา อาหมอคะ” น้องแตนยิ้มกว้าง ตาเป็นประกาย

ทำไมผมถึงรู้สึกแปลก ๆ อะไรอย่างนี้

“หนูฝากอาหมอบอกแม่ด้วยนะคะ”

“หะ … อะไรนะลูก” ผมตกใจ

“หนูสบายใจแล้วค่ะตอนนี้ เครียดเก็บไว้อยู่ตั้งนาน รู้งี้บอกอาหมอตั้งแต่วันแรกเสียก็ดี” น้องแตนลั๊นลา ร่าเริง เถกิงทัวร์

โห .. โยนเผือกร้อนฉ่ามาให้อา … บาปกรรมนะลูก … บาปหนักเสียด้วย

………………………………………..

คุณดาเดินยิ้มมาแต่ไกล เจ้าป๋องกับคุณพ่อก็เดินคู่กันมา น้องหญิงกับคุณแม่ก็ด้วย ตามด้วยเพื่อนคุณดาอีกหนึ่งโขยง

“ว่าไงคะคุณหมอ คุยกับลูกได้เรื่องอะไรบ้าง” คุณดาทัก ยิ้มกว้างให้ผม

“ไงครับหมอ คุยอะไรกันบ้าง ตั้งนานสองนาน” คุณป๋องก็ด้วย

“คุณหมอเก่งนะคะ ปกติดิฉันไม่เคยเห็นหนูแตนคุยยาวแบบนี้นะคะเนี่ย ดูสิยิ้มร่าเลย ดีใจจังที่ได้คุณหมอคนเก่งมาช่วยปลอบโยน” คุณหญิงสาเสริม

ผมยิ้มแห้ง ๆ แทนคำตอบ … ขอผมตั้งหลักก่อนนะว่าจะเริ่มต้นที่ตรงไหนดี

เฮ้อ …………….

เฮ้อ …………….

เฮ้อ …………….

C’est vraiment ma vie !!!

น้องแตนดูจะสบายใจขึ้นมากหลังที่ได้ระบายความในใจให้ผมมารับไป

หากจะให้ผมไปเล่าต่อให้คุณดาฟัง ก็จะเหมือนว่าผมจงใจที่จะชักใบให้เรือเสีย ผมเองก็ไม่อยากเห็นใครต้องมาผิดใจกันในวันที่ทุกดวงใจต่างมาร่วมพิธีลอยอังคารของน้องตาล ณ ท้องทะเลแห่งนี้

ในความเห็นผม น้องตาลเองก็ผิด ความผิดที่หนึ่ง คือ ความผิดต่อตัวเองที่ได้ใช้อารมณ์ชั่ววูบเข้ามาตัดสินชีวิตแทนที่จะใช้สติปัญญาที่มีอยู่คู่กัน ความผิดที่สอง คือ ความผิดต่อมารดาผู้ให้กำเนิดเพราะมันคือบาปยิ่งกว่าบาปกับการที่คนเป็นลูกทำเช่นนี้กับพ่อกับแม่ ทั้งนี้ ไม่ว่าใครจะเป็นฝ่ายถูกหรือผิด น้องตาลก็ได้เสียชีวิตไปแล้ว ฟื้นฝอยหาตะเข็บไปก็ไม่ได้ทำให้น้องตาลฟื้นคืนชีวิตกลับมา และเมื่อผมนึกถึงรอยยิ้มของคุณยายยิ่งทำให้ผมทำไม่ลง

“ตกลงคุณหมอได้คุยอะไรกันลูกคะ ไม่เห็นเล่าให้ดิฉันฟัง” คุณดาทักผมอีกครั้ง

“เรื่องสัพเพเหระทั่วไปครับคุณดา ไม่มีอะไรมาก” ผมตอบ

คุณดายิ้มตาเศร้า ผมเชื่อว่าเธอคงรู้ว่าผมรู้อะไร

“ไปขึ้นรถกันเถอะค่ะคุณหมอ เดี๋ยวเราจะกลับถึงปารีสดึกเกินไป”

พวกเราเดินขึ้นไปบนรถโค้ชที่จอดรออยู่ นายป๋องนั่งกับคุณพ่อ น้องหญิงนั่งกับคุณแม่ น้องแตนนั่งกับคุณดา ผมกลับไปนั่งที่เบาะหลังสุดคนเดียวเหมือนเดิม

ผมได้ยินเสียงหัวเราะคิกคักของน้องแตน ซึ่งไม่มีใครเคยได้ยินอีกเลยตั้งแต่วันที่น้องตาลจากทุำำกคนไป ผมถือว่าผมได้ทำหน้าที่ส่วนหนึ่งของผมไปแล้ว แต่ในอีกส่วนที่เหลือนั้น ก็คงจะต้องรอให้เวลาเป็นผู้ตัดสินใจ เพราะคนที่ยังมีชีวิตอยู่ ก็จำเป็นที่จะต้องอยู่ต่อไป

ผมคงทำหน้าครุ่นคิดมากจนเกินไป จนนายป๋องเป็นฝ่ายเดินมาหาผมเองที่เบาะหลัง

“คุณหมอครับ ผมขอโทษคุณหมออีกครั้งนะครับ วันนั้นผมทำตัวแย่จริง ๆ” นายป๋องเปิดการสนทนา

ผมไม่ได้รอให้เวลาผ่านไปนานนัก ผมก็เริ่มเป็นฝ่ายรุกถามถึงเหตุการณ์ในเย็นวันก่อนเกิดเหตุอีกครั้ง

“บังเอิญเจอเพื่อนมหาลัยน่ะครับคุณหมอ เขาตกบันไดขาแพลง ผมก็เลยอาสาจะพยุงไปส่งที่โรงแรมซึ่งอยู่ไม่ไกลจากตรงนั้น” นาบป๋องเล่า

“ผมชวนตาลเขาให้ไปด้วยกัน เขาบอกไม่เป็นไรไปเถอะ จะอยู่เดินซื้อของฝากให้แม่กับน้องแถวนี้”

“ผมใช้เวลาไม่ถึงสิบนาที กลับมาก็หาตาลไม่เจอแล้ว โทรศัพท์เข้าไปก็ไม่รับสาย ผมเห็นท่าไม่ดีก็เลยรีบกลับโรงแรม”

“ผมเจอตาลนั่งอยู่คนเดียวในห้อง ผมชวนตาลไปทานอาหารค่ำตาลก็บอกไม่หิว ผมรู้ว่าผมไม่ควรทิ้งตาลไปในตอนนั้น”

บรรยากาศการสนทนาเริ่มตึงเครียด เพราะตอนนี้นายป๋องเริ่มมีน้ำตา ผมเองก็ไม่ได้เห็นว่านี่คือความผิดของนายป๋องคนเดียว

“ไม่เอา ๆ ลูกผู้ชายต้องเข้มแข็ง ตาลเขาไปดีแล้ว มันไม่ใช่ความผิดของใครคนใดคนหนึ่งเท่านั้นหรอกจริงไหม” ผมตบไหล่เบา ๆ

“นี่ได้ไปคุยกับคุณแม่ของตาลหรือยัง” ผมยิ้มให้กำลังใจ

“คุยแล้วครับคุณหมอ คุณแม่บอกผมว่าเราเป็นญาติกันแล้ว อย่าทิ้งแม่ไปนะ กลับมาหากันบ้าง” นายป๋องเอามือขวาป้ายน้ำตาที่ปริ่มออกมา

เรานั่งคุยกันต่อไปอีกสักพัก โดยมีน้องหญิงและน้องแตนเดินเข้ามาร่วมวงสนทนาด้วย ทุกอย่างดูจะลงตัวเมื่อรถเริ่มวิ่งเข้าเขตเมืองปารีส เหตุการณ์ในวันนี้กำลังจะจบลง พรุ่งนี้ทุกคนจะเริ่มทยอยกลับจากที่ที่ตัวเองจากมา ผมเองก็มีหน้าที่ของผมที่จะต้องทำต่อไปเหมือนกัน

“ดิฉันขอขอบคุณทุกท่านที่ให้เกียรติดิฉันกับลูก” คุณดาพูดผ่านไมโครโฟนในรถ

……………………………………..

ในขณะที่ทุกคนทยอยลงจากรถโค้ชและรอจังหวะเพื่อเดินข้ามไปอีกฝั่งเพื่อเดินเข้าโรงแรม

ทุกคนก็หันไปตาม เสียงโหวกเหวกโวยวายจากถนน

Attentionnnnnnnnnnnnnnnnnnnnn !!!
Attentionnnnnnnnnnnnnnnnnnnnnnn !!!

รถบรรทุกเบรกแตกวิ่งตรงมาที่จุดที่น้องแตนยืนอยู่ ซึ่งอยู่ตรงหน้าเสาโคมไฟถนนพอดี

ในขณะที่ทุกคนยังไม่ทันได้ระวังตัว รถก็วิ่งเข้ามาชน

เปรี้ยงงงงงงงงงงงงงงง !!!
โครมมมมมมมมมมมมมมมมมม !!!!!

ในขณะที่ทุกคนกำลังตะลึงกับเหตุการณ์ตรงหน้า

คุณดาซึ่งก่อนหน้านั้นได้ยืนคุยกับผมได้เป็นลมล้มฟุบหมดสติไปแล้ว

มือทั้งสองข้างของผมเปียกชุ่มไปด้วยเหงื่อ … หัวใจของผมเต้นดั่งกลองระรัว …

ภาพจากวินาทีแรกที่ผมได้เจอน้องตาลได้ย้อนกลับมาหาผมอีกครั้งเหมือน Flashback

“คุณดาครับ คุณดาครับ” ผมทรุดตัวลงไปช้อนตัวคุณดา ตรวจชีพจรจากข้อมือขวา ก่อนที่คุณหญิงสาและน้องหญิงจะเข้ามาช่วยผมประคอง

“คุณหมอรีบไปเถอะค่ะ ดิฉันกับลูกจะดูแลคุณดาเอง” คุณหญิงสาบอกทั้งที่เสียงยังสั่นด้วยความตกใจ

ผมเดินไปยังจุดเกิดเหตุ ส่วนหน้าของรถบรรทุกขนาดย่อมสีขาวพังยับเยินเพราะชนกับเสาโคมไฟริมถนน คนขับยังติดอยู่ในที่นั่งเพราะประตูบิดเบี้ยวเสียรูปทรงจนเปิดไม่ได้

ผมได้ยินเสียงรถหวอวิ่งใกล้เข้ามา ร่างที่ติดอยู่ระหว่างรถกับเสาไฟริมทางเป็นร่างของป๋อง

น้องแตนที่ทรุดนั่งอยู่บนพื้นถนนไม่ไกลออกไปนัก ข้อศอกมีรอยเลือดซึม ดูยังช็อคกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นตรงหน้า

“ลูก ป๋อง ลูก … ได้ยินพ่อไหมลูก” คุณดอนเบียดตัวแทรกซากความเสียหายเข้ากอดร่างของลูกชาย

“อาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาซ์์์์ ………………!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!”
“อาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาา………………!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!”

เสียงร้องของคุณดอนที่ประหนึ่งกำลังอุทธรณ์ขอชีวิตลูกต่อเทพยดาฟ้าดิน ทำให้ทุกคนที่เป็นพยานในที่แห่งนั้นต่างหลั่งน้ำตาออกมาด้วยความสงสาร

เจ้าหน้าที่ตำรวจดับเพลิง ตำรวจ เจ้าหน้าที่หน่วยฉุกเฉิน รีบรุดเข้ามาในที่เกิดเหตุเพื่อแก้ไขเหตุการณ์ตรงหน้า ผมเห็นป๋องขยับริมฝีปากกระซิบที่ข้างใบหูคุณคุณดอน ก่อนจะหันมายิ้มให้กับผม …. หันไปยิ้มให้คุณพ่อ แล้วป๋องก็คอตกแน่นิ่งไป

ผมยืนค้างอยู่กับภาพตรงหน้านั้น

น้องแตนวิ่งเข้ามากอดเอวผมจากทางด้านหลัง

“อาหมอ อาหมอ อาหมอ” น้องแตนตัวสั่นเหมือนลูกนก

“พี่ป๋องจะเป็นอะไรไหมคะ ฮืออออออออออออออ ………… ฮืออออออออออออออ …………” น้องแตนร้องไห้ซบหลังผม

จากสถานการณ์ผมประเมินได้ว่า ถ้าป๋องไม่ได้เป็นคนวิ่งเข้ามาผลักน้องแตนให้พ้นออกไปจากจุดเกิดเหตุ คุณดาอาจต้องเสียลูกสาวไปทั้งสองคน

คุณดอนร้องไห้อย่างบ้าคลั่ง ผมยังคงยืนแน่นิ่งไม่ไหวติง … มันไม่ใช่เรื่องของคนนอกอย่างผมที่จะเข้าไปยุ่งในวินาทีนี้

เพราะมันคือสายป่านแห่งรักระหว่างคุณพ่อกับลูกชาย เป็นช่วงนาทีชีวิตสุดท้ายของลูกในอ้อมกอดแห่งรักของคนเป็นพ่อที่สะอาด ใส ไร้มลทิน

เหตุการณ์ที่ประจักษ์อยู่ตรงหน้า ได้พิสูจน์ให้ผมเห็นแล้วว่า …

รักแท้นั้นมีอยู่จริงในธรรมชาติ

ป๋องเสียชีวิตในสภาพที่คล้ายคลึงกับน้องตาล ร่างของป๋องถูกอัดอยู่ตรงกลางระหว่างกระโปรงหน้ารถที่พังยับเยินกับเสาโคมไฟริมถนนที่หักเอียง แรงปะทะทำให้ร่างกายและอวัยวะภายในเสียหายเกินกว่าจะเยียวยา ป๋องหมดลมหายใจในที่เกิดเหตุพร้อมกับเสียงร้องไห้คร่ำครวญของผู้เป็นพ่อ เป็นความน่าเวทนาประจักษ์ต่อหน้าทุกคนที่ได้พบเห็นยิ่งนัก

…………………………………..

ไม่กี่วันต่อมา ผมถูกเชิญให้มาร่วมเป็นเกียรติในพิธีฌาปนกิจร่างของป๋องที่สุสาน แปร์ ลาแฌช (Père Lachaise) ซึ่งนอกจากที่ผมจะได้พบกับทุกคนที่ได้ไปร่วมงานพิธีลอยอังคารของน้องตาลแล้ว ผมยังได้พบกับแขกเหรื่อทางฝั่งของคุณดอน รวมทั้งคุณแมรี่ คุณแม่ของป๋อง ซึ่งเป็นรูมเมท (Roommate) ของคุณดาตั้งแต่สมัยที่ทั้งคู่เรียนอยู่ที่เจนีวา (Geneva)

คุณแมรี่เศร้าโศกเสียใจมากที่ลูกชายคนเดียวต้องมีอันเป็นไป ถึงกับเป็นลมล้มพับไปถึงสองครั้งในระหว่างพิธี คุณดาเองก็แย่ไปไม่น้อยกว่าแต่จำ้เป็นต้องนั่งกุมมือเพื่อนเพื่อเป็นให้กำลังใจ น้องแตนเองก็เสียใจมากถึงกับซึมทั้งวัน คงเพราะตำหนิตัวเองว่าคือต้นเหตุที่ทำให้ป๋องต้องมาเสียชีวิตลง ถ้าผมไม่ได้น้องหญิงกับคุณแม่คอยช่วยเหลือปลอบโยนเป็นเพื่อนคอยระวังน้องแตน เหตุการณ์อาจจะแย่ไปมากกว่านี้ก็เป็นได้

ผมได้รับเชิญให้ไปร่วมรับประทานอาหารค่ำในคืนวันนั้น บรรยากาศบนโต๊ะอาหารเป็นไปด้วยความเงียบสงัด ผมเองก็ทานอะไรไม่ลง แต่ที่จำเป็นต้องมาเพราะผมถือว่าผมได้รับเกียรติอย่างมากจากสองครอบครัวนี้ ที่ทำเสมือนหนึ่งว่าผมเป็นแพทย์ผู้ใหญ่ประจำทั้งสองตระกูล

“คุณดาครับ” คุณดอนเอ่ยขึ้น ท่ามกลางบรรยากาศที่เงียบงัน

“ผมไม่รู้ว่าคุณดาจะว่ายังไง ถ้าผมจะขออนุญาตทำตามคำขอร้องสุดท้ายของลูกชายผม”

“ป๋อง … กระซิบบอกผมก่อนสิ้นใจว่า … พ่ออย่าลืม … อือ …” คุณดอนเสียงกระตุก มีน้ำตาคลอเบ้า

“พ่ออย่าลืม … อย่าลืมขอตาลให้ผมด้วยนะครับ”

คุณดาเอามือขวาอุดปากน้ำตาไหลร่วงลงเป็นทาง คุณแมรี่ร้องไห้โฮก่อนจะโผไปกอดคุณดอนที่นั่งเงียบด้วยความเศร้า ทุกคนที่นั่งอยู่บนโต๊ะนั้นต่างก็สลดใจกับสิ่งที่เห็นตรงหน้า ผมเองก็ด้วย

…………………………………..

พิธีแต่งงานถูกจัดขึ้นที่พิกัดเดียวกันกับที่คุณดาได้ลอยอังคารอัฐิของน้องตาล บนเรือที่ทอดสมออยู่กลางทะเล ไม่ไกลจากชายฝั่งมากนัก

โถอัฐิของทั้งคู่ถูกผูกโยงเข้ากันด้วยด้ายสายสิญจน์มงคลสีขาว มีน้องหญิงยืนเป็นเพื่อนเจ้าสาว มีเพื่อนของป๋องจากอเมริกายืนเป็นเพื่อนเจ้าบ่าว เป็นพิธีแต่งงานที่จัดได้อย่างถูกต้อง สมบูรณ์ สวยงาม ครบถ้วน มีแขกเหรื่อ มีเพื่อนฝูง มีแขกผู้มีเกียรติ ร่วมรดน้ำสังข์ให้ (โถอัฐิของ) คู่บ่าวสาว มีการให้ศีลให้พร มีการส่งตัวเจ้าบ่าวและเจ้าสาวเข้าเรือนหอในอ้อมกอดของเทพแห่งมหาสมุทรผู้ยิ่งใหญ่ ให้เป็นผู้ดูแลดวงวิญญาณทั้งสองตลอดไป

คุณดาเดินมาเปรยกับผมว่า เธออยากให้ลูกทั้งสองของเธอ (ลูกสาวและลูกเขย) ได้อยู่กันเป็นคู่รักคู่ทุกข์คู่ยากทุกชาติไป เธอดีใจที่ป๋องรักน้องตาลมากถึงขนาดยอมสละชีวิตตัวเองเพื่อปกป้องคนที่น้องตาลรัก (น้องแตนและความรู้สึกของคุณดา)

…………………………………..

เมื่อเรือพาเรากลับมาถึงฝั่ง ทุกคนต่างพร้อมใจกันเดินขึ้นไปที่โบสถ์บนเขา เพื่อรำลึกถึงน้องตาลกับป๋องเป็นครั้งสุดท้ายก่อนจะเดินทางกลับปารีส

ผมเอามือล้วงลงไปในกระเป๋าสูท ก่อนจะนึกได้ว่ายังไม่ได้ให้โทรศัพท์ BlackBerry (เครื่องเก่าของผมที่ให้น้องตาลใช้คุยกับคุณดาในที่เกิดเหตุ) กับคุณดาเพื่อเป็นที่ระลึก

แสงอาทิตย์ยามบ่ายแก่ ตกกระทบจอโทรศัพท์ที่ผมควักออกมาจากกระเป๋า เป็นแสงสะท้อนจ้า แยงเข้าตาผม …

ในช่วงเสี้ยววินาทีนั้น อาจเป็นเพราะตาที่พร่า ผมเห็นภาพของคู่บ่าวสาวที่เพิ่งแต่งงานกำลังยิ้มแย้มเริงร่าในสายลมแห่งฤดูใบไม้ผลิของฝรั่งเศส

ท่ามกลางสักขีพยาน ณ ที่แห่งนั้น คำอวยพรจากผู้ที่ให้กำเนิดชีวิตทั้งสองขึ้นมาบนโลกใบนี้

คงจะทำให้ดวงวิญญาณของทั้งคู่ ได้สุขสมหวังในความรักที่มีต่อกัน ในทุกภพทุกชาติไป

ในวันที่สองหัวใจ … โยงใย … เกี่ยวพัน … นิรันดร์กาล

THE END

สวัสดียามค่ำจากกรุงปราก สาธารณรัฐเช็กครับ

ผมหวังว่าเรื่องที่ได้เล่าใ้ห้ฟังจบลงไปนี้นั้น คงจะมีประโยชน์ต่อคุณผู้อ่านไม่มากก็น้อยนะครับ

Dobrou noc! … ราตรีสวัสดิ์ครับ

0
LuCIFeRZ 29 ม.ค. 57 เวลา 23:39 น. 5

ข้อคิดเพียบ..

อ่านแล้วมีหลากความรู้สึกจริงๆ.. 

นานแล้วแต่ยังไงก็ สู่สุขคตินะครับ

0
Orina-Gaze 29 ม.ค. 57 เวลา 23:43 น. 6

อ่า ยาวมากเลยค่ะ 
แต่ก็อ่านจนจบ 
อยากจะถามว่า จขกท. เล่าเอง หรือไปเอามาอีกทีคะ? 
มันสุดยอดมากเลย 

และก็ขอให้ทั้งสองท่านที่จากไป ไปอย่างสู่สุคตินะคะ 
R I P

0
BlooD-Wine 30 ม.ค. 57 เวลา 00:25 น. 7

หลากหลายอารมณ์และความรู้สึกมาก

สอนแง่คิดอะไรได้หลายอย่างเลยทีดียว

ยังไงก็ขอให้ทั้งคู่ไปสู่สุขคตินะคะ

0
pnlnp 30 ม.ค. 57 เวลา 18:48 น. 11

เรื่องนี้ยังไม่ยืนยันนี่ฮะว่าเป็นเรื่องจริงหรือเปล่า
เคยเป็นดราม่าใหญ่ในพันทิพเลย เพราะคนที่เขียนเป็นคนดังในพันทิพ
เป็นเนื้อหาในหนังสือของคนเขียน
ปัจจุบันยังไม่แน่ใจว่าเป็นเรื่องจริงหรือเปล่า
ปล. ใครสนใจดราม่าเกี่ยวกับเรื่องนี้ลองsearchหาดูได้นะฮะ

0
30 ม.ค. 57 เวลา 19:20 น. 12

คิดว่าเป็นเรื่องที่แต่งขึ้นค่ะ
และเหมือนคนแต่งยังแต่งประวัติด้วย
ดราม่าดังมากปีที่แล้ว

0
pastapitt 30 ม.ค. 57 เวลา 20:16 น. 15

ตอนแรกก็ไม่ได้ตั้งใจจะอ่านนะคะ ไปๆมาๆนี่อ่านยาวจนจบเลย ไม่รู้ว่าเรื่องจริงรึเปล่า ภาษาสวยมาก...แต่อ่านแล้วได้ข้อคิดเยอะมากเลย น้ำตาปริ่มๆจะไหลหลายรอบเหมือนกัน ขอบคุณที่เอามาฝากนะคะ ^ ^

0
bebebelle 30 ม.ค. 57 เวลา 22:02 น. 16

ขอตอบแทน จขกท. นะคะ
บทความนี้มาจากเว็บ pantip ค่ะ
ผู้เขียนเป็นจิตแพทย์ทำงานอยู่ที่ฝรั่งเศสค่ะ

0
Monos(:007 30 ม.ค. 57 เวลา 22:42 น. 17

http://drama-addict.com/2013/12/05/%E0%B9%82%E0%B8%A8%E0%B8%81%E0%B8%99%E0%B8%B2%E0%B8%8E%E0%B8%81%E0%B8%A3%E0%B8%A3%E0%B8%A1%E0%B8%82%E0%B8%AD%E0%B8%87%E0%B8%AD%E0%B8%B2%E0%B8%88%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B8%A2%E0%B9%8C%E0%B8%AB%E0%B8%A1/

0