Dek-D.com ใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสบการณ์ของ
ผู้ใช้ให้ดียิ่งขึ้น เรียนรู้เพิ่มเติมที่นี่
ยอมรับ

[บทความและคำถาม] นักเขียน กับ ภาวะซึมเศร้า

ตั้งกระทู้ใหม่
ตั้งกระทู้ใหม่

[…]   ข้ารู้สึกถึงงานศพอยู่ในหัว ผู้ร่วมอาลัยอาวรณ์วนเวียน ย่ำก้าวแล้วเก้าเล่ากระทั้งรู้สึกได้ ว่าบรรยากาศนั้นแทรกผ่านเข้ามา จนเมื่อพวกเขาทั้งหลายพากันนั่งลง พิธีกรรมดั่งเสียงกลอง กระหน่ำซ้ำตี ครั้งแล้วครั้งเล่า กระทั่งใจข้าด้านชาไร้ความรู้สึก จากนั้นข้าได้ยินเสียงพวกเขายกโลงศพกรีดผ่านวิญญาณข้า ด้วยรองเท้าตะกั่วคู่เดิมนั้น และแล้วความว่างเปล่าก็เริ่มครางเสียง ราวกับสวรรค์เป็นดั่งระฆัง และชีวิตเปรียบดั่งโสตประสาท ตัวข้าและความเงียบงัน การแข่งขันอันแปลกพิกล หักพัง เปลี่ยวเหงา ที่แห่งนี้

เมื่อนั้น พื้นที่แห่งเหตุผลก็แตกสลาย ปล่อยข้าให้จมดิ่งลง กระแทกกระทบโลกในทุกระดับ จนกระทั้งสิ้นสูญความรู้สึกใด ๆ […]  (จาก I felt a funeral in my brain)

 

นี่เป็นกวีที่แผงการอุปมาภาวะซึมเศร้า ออกมาทางภาษา ของ เอมิลี่ ดิ๊กคินสัน และมีศิลปินอีกหลายคนที่ถ่ายทอดออกมาทางภาพวาด เช่น แวนโก๊ะ, เอ็ดเวิร์ด มุงค์, ฟรานซิสโก โกยา, ฯลฯ

 

ภาพ Saturn Devouring His Son ของ Francisco Goya

 นักเขียนเป็นอาชีพที่เสี่ยงเกิดภาวะซึมเศร้า และเป็นกลุ่มที่อยู่ในเรทมีโอกาสเกิดภาวะซึมเศร้าสูง และสไตล์การเขียนสามารถเชื่อมโยงกับการเสี่ยงฆ่าตัวตายได้ ความคิดสร้างสรรค์ อาการซึมเศร้า และการฆ่าตัวตายเป็นสิ่งเชื่อมโยงกัน เราจะเห็นได้ว่ามีนักสร้างสรรค์หลายคนที่มีอาการเจ็บป่วยทางกาย และความซึมเศร้าจะมีผลกระทบต่อความคิดพวกเขา เช่น Ernest Hemingway, Sylvia Plath, John Keats เป็นต้น ซึ่งนักเขียนเหล่านี้ได้มีบางอย่างที่แอบแผงในงานเขียนของเขา ที่ถูกเล่าผ่านบุคคลหนึ่ง ซึ่งมันมีการแฝงอยู่ของภาวะซึมเศร้า และสัญญาณของการฆ่าตัวตาย

ภาวะซึมเศร้านั้นอาจเกิดจากพันธุกรรมรุ่นสู่รุ่น ถ้าคนในครอบครัว ปู่ ย่า ตา ยาย ใครมีประวัติโรคซึมเศร้า หรือการฆ่าตัวตาย ก็มีโอกาสที่คนรุ่นต่อมาจะเกิดภาวะเช่นนี้   และแน่นอน ภาวะซึมเศร้าก็เกิดจากสภาพชีวิตที่ผู้ป่วยได้พบเจอด้วยเช่นกัน

โดยคนที่เป็นโรคซึมเศร้านี้ ไม่ได้หมายความว่า พวกเขาเป็นคนอ่อนแอ ไม่สู้ปัญหา หรือเป็นคนคิดมาก เอาแต่ท้อแท้ หากแต่เขาเป็นเพราะตัวโรคที่เขาเป็น แม้โรคซึมเศร้าจะเป็นโรคทางอารมณ์ แต่ผู้ป่วยก็ต้องการ การบำบัด รักษา ดูแลเอาใจใส่ (ต้องดูแลเอาใจใส่อย่างถูกวิธีด้วย เพราะไม่อย่างนั้น ผู้ป่วยอาจคิดว่าเป็นการไปซ้ำเติม) และภาวะนี้มีผลกระทบทางด้านการสร้างสรรค์ ทางด้านอารมณ์ ความคิด และพฤติกรรมไปพอสมควร อีกทั้งยังทำให้การทำงานของนักเขียนแย่ลงไปด้วย

นักเขียน รวมถึงนักสร้างสรรค์แทบทุกแขนง มักมีประวัติอาการซึมเศร้า คลุ้มคลั่ง และติดยา และขึ้นชื่อในเรื่องสุขภาพจิตที่ผิดปกติ

เหตุผลอาการซึมเศร้าของนักเขียน ก็เป็นเหตุผลปกติทั่วไป เช่น เหตุผลทางเคมีในร่างกาย ประสบการณ์ชีวิตวัยเด็ก สภาพความเป็นอยู่ สิ่งแวดล้อม ฯลฯ   

โดยอาชีพนักเขียนเป็นอาชีพที่มีปัจจัยร่วมหลายอย่างของภาวะซึมเศร้า เช่น อาชีพนักเขียนเป็นอาชีพที่เปลี่ยวเหงา และอยู่กับการครุ่นคิด การทำงานในเวลาที่ผิดปกติ อาหารการกิน และไปจนถึงอาการ writer’s block หรืออาการตัน ที่ค่อนข้างเป็นเอกลักษณ์ของอาชีพนักเขียน ซึ่งอาชีพอื่นมักไม่ค่อยเกิดอาการแบบนี้  ถ้าหมอเกิดอาการ doctor’s block แล้วไม่รู้จะให้ยาผู้ป่วยยังไงนี่ซวยมากๆนะ (หัวเราะ)

และแม้จะเป็นนักเขียนที่ประสบความสำเร็จ ก็ล้วนมีอาการกลัวด้วยเช่นกัน กลัวว่าตนจะไม่สามารถเขียนได้สำเร็จเท่างานที่เคยเขียนมาครั้งก่อน และอาจถึงขนาดคิดไปว่า ไม่ว่าจะเขียนงานมากขนาดไหน แต่เขาจะไม่สามารถทำได้เท่างานก่อน ที่ตนเองเคยสำเร็จได้อีกแล้วและมันก็กลายเป็นภาวะกดดัน จนกลายเป็นอาการซึมเศร้า (โดนเฉพาะนักเขียนในประเทศที่แวดวงวรรณกรรมกว้าง มีผู้กลุ่มผู้อ่าน นักวิจารณ์มากมายและกว้างขวาง ที่จริงแล้วก็รวมถึงในวงการที่ขนาดเล็กด้วยเช่นกัน เอาเข้าจริง ๆ แล้ว)   

ทำไม? มีเหตุผลหรือไม่? สมควรหรือไม่ที่ใครสักคนจะถูกคาดหวัง ให้กลัวในสิ่งที่เขารู้ว่าเกิดมาเพื่อทำ  แล้วงานสร้างสรรค์มีอะไรกัน ที่ทำให้เราต้องกังวลถึงสุขภาพจิตของกันและกัน ในแบบที่สาขาอาชีพอื่นไม่เป็นกัน

มีนักสร้างสรรค์ดี ๆหลายคน ในศตวรรษที่ 20 ที่ตายตั้งแต่อายุยังน้อย และตายด้วยน้ำมือของตัวเอง แม้แต่คนที่ไม่ได้ฆ่าตัวตายก็ดูจะเพี้ยน ๆ จากพรสวรรค์ที่มีอยู่ในตัว

อย่างเช่น นอร์มัน เมลเลอร์ นักเขียนชาวอเมริกัน ที่เคยได้รางวัล Pulitzer Prizes สองครั้ง และเป็นหนึ่งในนักเขียนที่ริเริ่มการเขียนด้วยวิธีใช้ การบรรยายสารคดี(narrative nonfiction) ซึ่งเป็นประเภทงานเขียนที่เรียกว่า การเขียนข่าวแนวใหม่(New Journalism) ที่ใช้ไปตั้งแต่บทความไปจนถึง นวนิยายเชิงสารคดี(Nonfiction novel)  ก่อนจะเสียชีวิต เขาเคยให้สัมภาษณ์ครั้งสุดท้ายว่า หนังสือทุกเล่มของผม ปลิดชีวิตผมไปทีละนิด

เราได้ยินคำจำเภทนี้มานานมาก นานจนเราเองอาจฝังความเชื่อ หรือยอมรับว่า ความคิดสร้างสวรรค์และความทุกข์ระกำเป็นของคู่กัน และงานศิลปะจะนำไปสู่ความตรอมตรมและหมองเศร้า  


           ถ้าคุณอยากให้บรรดานักสร้างสรรค์มีชีวิตยืนยาวขึ้น แล้วคุณรับได้ไหม กับความคิดแบบนี้?

เครดิต ข้อมูล :
http://en.wikipedia.org/wiki/Black_Paintings

http://www.elizabethmoon.com/writing-depression.html

https://www.ted.com/talks/andrew_solomon_depression_the_secret_we_share

https://www.ted.com/talks/elizabeth_gilbert_on_genius

http://en.wikipedia.org/wiki/Emily_-inson

http://en.wikipedia.org/wiki/Norman_Mailer

แสดงความคิดเห็น

>

18 ความคิดเห็น

MuI2asaki [紫] 8 เม.ย. 58 เวลา 15:54 น. 1-3

เคยอยู่ในสภาวะติดเกมมาก่อน 55555
ช่วงที่เรียนมหาลัย สาขาที่เรียน(ออกแบบ) มันเป็นงานที่กดดันตัวเอง
เราต้องคิดต่าง แต่ไม่แหกกฏ ที่สำคัญห้ามซ้ำกับเพื่อนในสาขา
//เหมือนกับการคิดพล็อตนิยายสักเรื่อง

เคยคิดว่าเกมคือทางออกของทุกอย่าง //จะได้ไม่เครียด เล่นๆ ไปซะ
เอาเข้าจริง มันกลับทำให้เราไม่สามารถมองสิ่งต่างๆ รอบตัวได้ชัดเจน
มันเหมือนกับสังคมเรามีแค่นั้น เกม การ์ตูน
เอาตามตรง เวลาจะแต่งนิยายสักเรื่อง อิเจ๊จะไม่สิงการ์ตูน และเกม นะ 55555
เพราะแม่มเครียดกว่าเก่า สันดา.น คือจะเอางานเราไปเทียบกับสิ่งที่ดู ที่เห็น
แล้วคาแรคเตอร์ และพล็อตจะถูกถอดออกมาโดยที่เราไม่รู้ตัว //บางคนก็รู้ -*-

แต่งานวาดมีผลชัดเจน บางคนถึงขั้นครีเอทลายเส้นตัวเองไม่ได้ เพราะยึดติดกับสิ่งที่ตัวเองพยายามจะเป็น
พอมีคนติว่าภาพเหมือนคนนั้นนี่ กลับไม่รู้ตัว //กดดันตัวเอง 55555+
=_=

0
AwesomeGirl 7 เม.ย. 58 เวลา 22:46 น. 2

ถ้าไม่(เคย)กลัว...ก็ไม่ใช่มนุษย์

"กลัวที่จะกลัวไปทำไม"
-นักดองแถวนี้กล่าวไว้ T-T-

0
poroyo 7 เม.ย. 58 เวลา 23:17 น. 3

เป็นประเด็นที่น่าสนใจค่ะ

นักเขียนที่เราเคยได้ยินชื่อหลายๆ คนก็ประสบภาวะซึมเศร้า
ที่ถึงขั้นจบชีวิตด้วยตนเองก็เช่น เฮมิงเวย์, เวอร์จิเนีย วูลฟ์, ซิลเวีย แพลธ
ส่วนใหญ่จะเป็นคนที่เน้นความสมบูรณ์แบบ ความคาดหวังในเนื้องานที่สูง

วูลฟ์ที่เขียนแบบใส่วิญญาณเข้าไปในเนื้องานและเขียนอย่างละเอียดลออ
แต่ในขณะเดียวกัน เธอก็ป่วยทางจิต(สมัยเด็กเธอกับพี่สาวเคยถูกพี่ชายต่างมารดาคุกคามทางเพศ )
จดหมายลาตายของวูล์ฟที่เขียนถึงสามี ว่ากลัดกลุ้มกับการป่วยทางจิตจนไม่อยากให้ความรู้สึกนี้มาทำร้ายชีวิตคู่ และรู้สึกว่าตนเป็นตัวถ่วงในชีวิตสามี

ซิลเวียมีทั้งเรื่องของการที่เธอไม่ค่อยได้สร้างผลงานหลังแต่งงาน (แต่สามีกลับเด่นดังขึ้นทุกวัน) และเรื่องปัญหาชีวิตสมรสที่สามีไปนอกใจ สุดท้ายฆ่าตัวตายด้วยการรมแก๊สในห้อง ส่วนสามีก็ฆ่าตัวตายในอีกหลายปีถัดไป

โดยรวมก็มาจากความเครียด แรงกดดันทั้งในชีวิตส่วนตัวและการทำงาน คำวิจารณ์ที่ส่งผลต่อตัวงานและเกี่ยวพันไปยังผู้เขียน

// เพิ่มเติม
เราไปเจอบทความวิจารณ์หนัง Birdman และ Whiplash ที่พูดถึง Social Approval ซึ่งน่าจะเกี่ยวข้องกับความซึมเศร้าของนักศิลปินในบทความของคุณเจ้าของกระทู้ด้วยค่ะ https://www.facebook.com/ThaiPsychiatricAssociation/posts/656412514462768:0 

2
นาลันดา 7 เม.ย. 58 เวลา 23:26 น. 3-1

เนี่ยคุณ ผมกำลังรอสอย To the lighthouse ของ เวอร์จิเนีย วูลฟ์ ที่เพิ่งแปลออกมาช่วงงานหนังสือที่ผ่านมานี่เอง

0
poroyo 7 เม.ย. 58 เวลา 23:33 น. 3-2

เรายังไม่ได้สอยเล่มTo The Lighthouseเลยค่ะ(ปีนี้เราไม่ได้มางานหนังสือ)
แต่เคยอ่าน เรื่องความเดือดดาลในกระแสเสียงของสนพ.เดียวกัน เรารู้สึกว่าเขาแปลแบบยังไม่แก้รูปประโยคเลยค่ะ ก็ยังลุ้นๆอยู่ว่าเล่มของวูลฟ์จะแปลมาแบบไหน

0
wat_r 7 เม.ย. 58 เวลา 23:29 น. 4

อันที่จริงไม่เป็นนักเขียนก็ซึมเศร้าได้ (ฮา)

โดยส่วนตัวคิดว่า...
ผู้เขียนทุกคนลล้วนมีอัตตา ขึ้นอยู่ว่ามากหรือน้อยจะมีความเป็นตัวตนของตนเองใส่ลงไป ทั้งความคิด อารมณ์ ความรู้สึก อาจลึกซึ้งถึงแก่นลึกทางจิตวิญญาณ
รวมถึงการคาดหวังจากผลงานโดยรู้ตัวหรือไม่
ผลงานเหมือนเป็นส่วนหนึ่งของตัวตน การที่งานถูกชื่นชมก็เหมือนบุคคลถูกชื่นชมไปด้วย และก็มีคสามคาดหวังจากผลงานชิ้นต่อไปมากขึ้น จึงอดไม่ได้ที่จะหวาดกลัวผลตอบรับที่อาจไม่คาดคิด
ผลงานที่ถูกต่อว่า ก็ไม่ต่างอะไรจากการถูกใครบางคนยืนตะโกนตะโกนด่า ยิ่งทุ่มเทความคิดและจิตวิญญาณลงไปมากเท่าใด ยิ่งรู้สึกเหมือนคำเเหล่านั้นเป็นเข็มที่ทิ่มแทงจนสั่นสะท้านไปถึงทรวง
เหมือนความรู้สึกที่ถูกปฏิเสธ ความคิดที่ไม่มีใครยอมรับ
ยิ่งผลงานถูกสรรค์สร้างมากขึ้น ตัวตนหลายมุมก็ยิ่งถูกเผยออกไป ผู้สร้างจึงยิ่งต้องแบกรับคำวิจารณ์ทั้งดีและร้ายหนักมากเรื่อยๆ
ความเห็นเชิงบวกอาจเป็นดั่งดอกไม้ เราดีใจที่ได้รับแต่ก็แบกความคาดหวังเดินหน้าต่อไปจนทุกย่างก้าวหนักขึ้น อาจโชคร้ายที่เจอคำความเห็นเชิงลบเป็นพายุพัดซ้ำโหมกระหน่ำเข้าใส่ จนพาลให้คิดไปว่าดอกไม้ในมือของผู้ให้จริงใจหรือเปล่า

ปล. ความเห็นนี้เชิงบ่น อยากพิมพ์ยาวๆ แต่ระบบปฏิบัติการโทรศัพท์ไม่อำนวย ฮา...

0
Jantana Klungsup 7 เม.ย. 58 เวลา 23:39 น. 5

ข้อมูลนี้ถือว่าจริงมาก ๆ เลยนะคะ  สังเกตจากตัวเองเหมือนกัน  บางครั้งต้องฝึกการปรับโหมดสมองค่ะ  เพราะส่วนตัวเองที่ประสบคือ  สมองมุ่งคิดแต่เรื่องที่เขียนในนิยาย  ซึ่งบางสถานการณืเราอยู่กับกลุ่มเพื่อน  เรากลับคิดถึงแต่นิยาย จ นลืมโลกแห่งความเป็นจริงตรงหน้า

ส่วนตัวแล้วไม่ได้เป็นนักเขียนมืออาชีพ  ที่ต้องเร่งสร้างผลงานส่ง นสพ. หรือต้องมียอดขายที่ไม่ให้เสียชื่อนักเขียน  ซึ่งส่วนตัวคิดว่านักเขียนมืออาชีพเหล่านี้ยอมรับไม่ได้กับการเปลี่ยนแปลง ทั้งยอดขาย ยอดนักเขียนหน้าใหม่ที่เพิ่มมากขึ้น  ประกอบกับ ตันเรื่องพล็อต ฯลฯ เลยเกิดความเครียด  นักเขียนเก่ง ๆ หลายคนที่ฆ่าตัวตาย  เพราะบางครั้งแยกโลกจินตนาการ กับ โลกแห่งความเป็นจริงไม่ออกก็ได้นะคะ  อันนี้ความคิดเห็นส่วนตัวค่ะ

ขอบคุณนะคะที่ส่งมอบบทความดี ๆ มาเตือนกัน

0
Sratthawalee 7 เม.ย. 58 เวลา 23:44 น. 6

เมื่ออ่านจบแล้ว ก้มมองตัวเอง

ส่วนตัวคิดว่าคนซึมเศร้าไม่ได้วัดที่การหัวเราะหรือการแสดงออกทางสีหน้า มันเป็นสภาวะของจิตใจล้วนๆ เราย้อนมองตัวเอง และไม่ได้กลัวอะไรเลยนอกจากจิตใจตัวเองแฮะ 

คนหัวเราะร่าเริง ติดตลก แต่สภาพแวดล้อมรอบกายอาจสร้างให้เขาตั้งกรอบความรู้สึกปิดความจริงก็ได้ คนร่าเริงอาจจะมีปมเศร้า ส่วนตัวเราเป็นอยู่ข้อหนึ่งคือเมื่อเขียนนิยายแล้วรู้สึกป่วย รู้สึกกดดัน รู้สึกต้องการสมาธิ ครุ่นคิด ก่อนนอนก็ต้องมโนจนหลับไปว่าจะเขียนนิยายต่อยังไง ต้องบีบคั้นให้ได้ถึงที่สุด จนมันตีกลับมาหาตัวเอง

นั่นแหละค่ะ เขียนมากๆ มันเครียด

เพราะงั้นก็เลยดองลงไหไงละคะ...


4
นาลันดา 7 เม.ย. 58 เวลา 23:50 น. 6-1

555 ครับ อย่างที่เรื่อง 'บันทึกใต้ถุนสังคม' ของ ดอสโตเยฟสกี้ ที่ส่วนหนึ่งเขียนไว้ว่า

"… ในความทรงจำของคนเรานั้น มีเรื่องราวต่างๆหลายอย่างที่เขาไม่อยากจะบอกเล่าให้ใครฟังนอกจากเพื่อนบางคน บางเรื่องเขาก็ไม่เปิดเผยกับเพื่อน แต่ก็ยังมีบางเรื่องที่คนเรากลัวแม้แต่จะเปิดเผยกับตัวเอง…"

0
Sratthawalee 8 เม.ย. 58 เวลา 00:05 น. 6-2

6-1 เป็นที่มาของประโยคที่ว่า "กลัวใจตัวเอง"
เขิลจุง

0
Mr.Blackystar[Blackcat] 8 เม.ย. 58 เวลา 02:26 น. 6-3

จริงที่ว่าคนเรามีบางเรื่องที่คุยกับคนอื่นได้ บางเรื่องที่คุยกับคนที่ไว้ใจได้ และสุดท้ายเป็นเรื่องที่แม้แต่กับตัวเองก็ไม่สามารถพูดได้ แค่คิดยังต้องรีบลบมันออกไปจากสมอง ซึ่งแน่นอนว่าทำไม่ได้ เพราะความทรงจำเลวๆ!นี้มันจะติดตัวเราไปจนวันตาย
ซึ่งระหว่างความทรงจำนี้กับตัวเรา ไม่รู้ว่าใครจะตายก่อนกัน

0
Gaster 7 เม.ย. 58 เวลา 23:58 น. 7

เมื่อก่อน ก็เคยเป็นแบบนี้นะครับ 

จนถึงตอนนี้ก็ยังเป็นอยู่ และอาจจะไม่ใช่แค่งานเขียน แต่เป็นเรื่องในชีวิตประจำวัน เรื่องต่างๆ นาๆ ที่ทยอยเข้ามาในหัว จนบางครั้งเคยแอบคิดเล่นๆ หรือน่าจะเรียกว่าเคยคิดด้วยซํ้าว่า "ฆ่าตัวตายเลยดีไหม? ไหนๆ โลกก็ยังวนเวียนอยู่ต่อไป คนตายสักคนสองคน โลกมันคงไม่ถึงกาลอวสานหรอก" #ขอยํ้าว่านี่เป็นเพียง "ความคิดเห็น" เพียงเท่านั้น

แต่ก็ไม่เคยได้ทำสักที จริงๆ แล้วลึกๆ อาจจะยังไม่ได้อยากตายหรอกครับ แต่มันจะมีในช่วงเวลาหนึ่งที่จู่ๆ ก็แวบเข้ามาในหัว ยิ่งถ้าอยู่คนเดียวด้วยแล้ว ยิ่งแล้วใหญ่ครับ คิดไปเรื่อยเปื่อยต่างๆ นาๆ อะไรอย่างนั้น  

ก็เลยวางงานเขียนไปสักพักนึง แล้วค่อยกลับมาเขียนต่อ ถือว่าเป็นการ "พัก" สมองไป

ปล.มาเชิง "บ่น" เฉพาะเลยนะเนี่ย ฮ่าๆ

1
นาลันดา 8 เม.ย. 58 เวลา 00:04 น. 7-1

ครับ ผมก็เคยเกิดอาการอย่างนั้นเหมือนกัน ที่จริงผมเขียนบทความนี้ ก็เพราะมีโรคนี้ติดอยู่ด้วย แม้จะไม่มากก็ตาม อันที่จริงตอนแรกก็คิดว่าตัวเองแข็งแรงนะครับ คิดว่าจะต้องอยู่ได้ อยู่รอด แต่พอเป็นด้วยตัวเองนี่รู้เลยครับ ว่าเป็นยังไง 555
อันที่จริง คนที่พยายามฆ่าตัวตาย แล้วไม่ตายเนี่ย ก็มีหลายคนเหมือนกันที่พูดว่า ในช่วงวินาทีที่ฆ่าตัวตาย พวกเขารู้สึกได้ว่าตัวเองตัดสินใจผิด เฉพาะฉะนั้นก็อย่าฆ่าตัวตายเลยนะครับ

สู้สู้

0
whaticouldnevertell 8 เม.ย. 58 เวลา 00:11 น. 8

ค่อนข้างจริงค่ะ เราเองก็เป็นคนคิดมาก คิดหยุมหยิม ไวต่ออารมณ์และความรู้สึกต่างๆ เหมือนกัน จึงเขียนเพื่อระบายสิ่งที่อยู่ในใจค่ะ กลุ่มคนที่เป็นนักแปล นักเขียนพวกนี้ เราว่าคงเป็นกลุ่มคนที่ถูกกระตุ้นให้โรคซึมเศร้ากำเริบที่สุดแล้วมั้งคะ แต่ส่วนตัวเรา เราไม่คิดว่าตัวเองเป็นนะคะ แค่แย่เป็นช่วงๆ แล้วแต่สถานการณ์ต่างๆ ในชีวิตค่ะ 

0

ความคิดเห็นนี้ถูกลบ

ถูกลบโดยเจ้าของความเห็น

Monalism (สาวงามผู้สาดเกลือ) 8 เม.ย. 58 เวลา 00:37 น. 10

เป็นคนที่ไอเดียพุ่งพรวดตอนดึกๆ พอความคิดเกี่ยวกับนิยายมันหยุดชะงักก็เริ่มคิดไปเรื่อย ไม่ได้มีสมาธิกับนิยายอีก 

ท้ายที่สุดแล้วก็รู้ตัวว่าเหลือแค่ตัวเองที่ยังไม่หลับ กับโน้ตบุ้ค และตัวละครที่ไม่มีวันออกมามีชีวิตจริงได้ (ถึงตรงนี้ทีไรคือเวลานอนค่ะ ทนอยู่คนเดียวไม่ได้ มันเหงา)

บางทีเราก็ใส่ใจกับมันมากเกินไปจนลืมคนรอบข้างไปบ้าง รู้สึกเสียใจทุกครั้งที่คิดได้ วันต่อๆมาจึงพยายามวางมันลงแล้วอยู่กับคนใกล้ตัวให้มากขึ้น แต่มันก็เป็นแบบนี้ซ้ำแล้วซ้ำอีก

0
ซามูไรแมว 8 เม.ย. 58 เวลา 02:49 น. 11
เคยเป็น... และอยากจะบอกว่า อย่าเป็นจะดีกว่า มันเป็นโรคที่น่าเศร้า และหาคนเข้าใจยากมาก ๆ การต้องทนอยู่กับสภาพจิตใจที่หดหู่และแปรปรวนตลอดเวลา หยิบจับอะไรขึ้นมาก็เบื่อ และท้อแท้จนอยากจบชีวิตตัวเองให้สิ้นเรื่องสิ้นราว สมองครุ่นคิดแต่แง่ลบ คิดแล้วก็นอนไม่หลับ คุยกับใครเขาก็ไม่รู้เรื่อง เพราะเขาไม่เข้าใจ ยิ่งคุยก็ยิ่งรู้สึกเหมือนโดนคนอื่นเหยียบย่ำซ้ำเติมจนไม่อยากโงหัวขึ้นสู้อีก มันเป็นความรู้สึกที่ทรมานมาก และทุกครั้งที่รู้สึกอย่างนั้น อย่าว่าแต่เขียนนิยายเลย กินก็ไม่อยากกิน อยู่ก็ไม่อยากอยู่ อยากจะนอนมันทั้งวัน แล้วเฝ้าฝันว่าจะไม่ต้องลืมตาตื่นขึ้นมาอีก เพราะอยู่ไปก็ไร้ค่า เป็นตัวถ่วงคนอื่นเขา

ถ้าไปหาจิตแพทย์ หมอจะบอกว่า โรคนี้เกิดจากสารสื่อประสาทในสมองทำงานผิดปกติ คือ สมองไม่หลั่งสารแห่งความสุขเหมือนคนปกติ (รักษาได้ด้วยการกินยา) จึงไม่แปลกที่คนป่วยโรคนี้มักจะหดหู่เกือบตลอดเวลา ทำอะไรก็ไม่มีความสุข วิตกกังวลและคิดในแง่ลบเกือบตลอดเวลา แล้วยิ่งต้องทำงานภายใต้ความตึงเครียด และมีความคาดหวังในตัวเองสูง อาการของโรคก็จะยิ่งแย่ พออาการแย่ลง อารมณ์ทุกอย่างจะต่ำลงจนกระทั่งคิดสั้นได้ (คำว่า แย่ ของคนป่วยโรคซึมเศร้า มันแย่มาก ๆ ๆ แย่กว่าคนปกติหลายร้อยเท่า โลกเป็นสีเทาไปเลย อะไรที่เคยสนุกกับมัน เคยหัวเราะกับมัน ณ วินาทีนั้น เห็นแล้วไม่อยากแตะต้อง เห็นอะไรก็ร้องไห้ มีสิ่งเดียวที่อยากทำ คือ ทำยังไงก็ได้ให้หายไปจากโลก)

คนเป็นโรคซึมเศร้าไม่ใช่คนที่ทำงานได้ดีหรอกนะ เพราะประสิทธิภาพในการทำงานของเขาจะลดลงเนื่องจากความคิดหดหู่นั่นแหละ พอเขารู้สึกหดหู่ อะไรที่เคยทำได้ดีก็จะลดลงกว่าปกติจนถึงขั้นวางมือ ไม่อยากทำอะไรอีกเลย คนที่เป็นหนัก ๆ นี่ถึงขั้นนอนทั้งวัน ไม่กิน ไม่พูดเลยนะ (เคยเกิดภาวะซึมเศร้ารุนแรงตอนนั่งทำงานอยู่ หยุดเลย หยุดทุกอย่าง ร้องไห้อย่างเดียว ทำอะไรต่อไม่ได้ น้ำตากำลังหมาด แป๊บ ๆ ร้องอีกแล้ว ใครพูดอะไรนิดก็ร้อง ควบคุมตัวเองไม่ได้ ร้องทั้งวัน งานการไม่ทำ ทำไม่ได้จริง ๆ)

การที่ผู้ป่วยชอบเขียนหรือวาดอะไรที่ดูน่ากลัว เศร้า หดหู่ ก็เป็นไปตามสภาพอารมณ์ในตอนนั้น เมื่อหาทางออกให้กับความซึมเศร้าไม่ได้ (เพราะพูดไป คนอื่นก็ไม่เข้าใจ หนักกว่านั้น คือ ยิ่งพูดกับคนอื่นยิ่งเครียด) ก็จะระบายออกมาผ่านทางคำพูดหรือภาพวาด (แต่บางคนก็อาละวาดทำลายข้าวของนะ) แต่เชื่อไหม พออาการซึมเศร้าสงบลงแล้วย้อนกลับไปอ่านสิ่งที่เขียน มันแบบ...เฮ้ย ฉันเขียนอะไรที่มันหดหู่ขนาดนี้ได้ยังไง ? หดหู่ขนาดไม่อยากกลับไปอ่านซ้ำเลย นั่นก็เพราะ ตอนเขียน เขียนด้วยอารมณ์ซึมเศร้ารุนแรงที่เกิดจากสารเคมีในสมองแปรปรวน ไม่เป็นปกติ พอสารเคมีในสมองสงบลง โลกที่เขามองก่อนและหลังซึมเศร้ามันแตกต่างกันลิบลับราวฟ้ากับเหวเลยนะ จิตแพทย์จึงชอบเน้นว่า อารมณ์หดหู่มันเกิดจากสารเคมีในสมองไม่ปกติ ถ้ากินยาคุมมันได้ ก็จะกลับมาเป็นเหมือนเดิม มองโลกสดใสเหมือนเดิม ซึ่งมันก็จริง แต่มันต้องใช้เวลาค่อนข้างนานและต้องมีคนเข้าใจคอยอยู่ข้าง ๆ ด้วย จึงจะหาย กินยาอย่างเดียวไม่หาย

ดังนั้น ไม่แปลกที่คุณจะรู้สึกหดหู่และสะเทือนใจกับผลงานที่เขียนหรือวาดออกมาโดยคนเขียนที่มีภาวะซึมเศร้า เพราะคนเขียนเขียนออกมาตอนตกอยู่ในสภาวะอารมณ์ที่เกินกว่าที่คนปกติเคยรับรู้ไปแล้ว และมันมากกว่าที่คนปกติจะจินตนาการได้ด้วยซ้ำ

เวลาคุณเจอคนป่วยโรคซึมเศร้าบ่นว่าอยากตาย นั่นไม่ได้แปลว่าเขาอยากจะตายจริง ๆ หรอก แต่เขากำลังส่งสัญญาณเพื่อขอความช่วยเหลือต่างหาก เขากำลังบอกว่า ไม่ไหวแล้ว ช่วยด้วย ดังนั้น ผลงานทั้งหลายจากกวี นักเขียนและจิตรกรที่เอ่ยถึงความตายของตัวเอง นั่นอาจจะแปลได้ว่า เขาส่งสัญญาณเตือนแล้ว เขาอยากมีใครสักคนช่วยดึงเขาออกไปจากขุมนรกที่เรียกว่า "ซึมเศร้า" จริง ๆ...

เป็นกำลังใจให้คนเป็นโรคนี้ โรคที่ผมเรียกว่า...โรคเวรโรคกรรม
1
นาลันดา 8 เม.ย. 58 เวลา 23:11 น. 11-1

อ่าห์... โรคนี้มันหาคนเข้าใจยากหน่อยจริง ๆ นั่นแหละ ไม่เหมือนโรคทางกายภาพที่จะรู้กันแบบจะๆ

บางคนแต่งงานใช้ชีวิตร่วมกัน ก็ยังไม่รู้เลยว่าอีกฝ่ายเป็นโรคซึมเศร้า (แล้วฝ่ายนั้นก็เป็นโรคซึมเศร้าด้วยเหมือนกัน)

0

ความคิดเห็นนี้ถูกลบ

ถูกลบโดยเจ้าของความเห็น

MuI2asaki [紫] 8 เม.ย. 58 เวลา 15:25 น. 13
สภาวะกดดันแบบนี้ เรามองว่าไม่ใช่แค่กับงานนิยายอย่างเดียวนะคะ
แต่พวกงานศิลปะ การวาดรูป ออกแบบแขนงต่างๆ ก็ต้องถูกกดดันด้วย

แน่นอน เราคิดว่า วิธีแก้ที่เราใช้กับตัวเอง
คงต้องมองว่า มีคนชอบ ย่อมไม่มีคนชอบ ผลงานของเรา
ไม่ว่าจะมุมมองเรื่องลายเส้นการวาดตัวละคร หรือพล็อตนิยายของเราสักเรื่อง
ถ้าจะให้เราวิจารณ์งานเขียน หรือ รูปวาด เราจะมองแค่คนที่เราวิจารณ์ค่ะ
เราจะไม่เอางานเขาไปเปรียบเทียบกับใคร //อาจารย์ที่สอนวาดรูปกล่าวไว้
เราเอง เวลาจะมองคำวิจารณ์ของใคร เราจะดูจากจุดนี้ด้วย

เพราะที่จริงเราเป็นคนค่อนข้างสนใจต่อคำพูดของคนรอบข้างเอามากๆ เลยนะคะ
แต่คนรอบข้างมักจะพูดถึงเราในประเด็นอื่น มันมีทั้งจริงและเกินจริง
หม่อมแม่ก็พยายามบอกว่าอย่าสนใจต่อคำพูดเหล่านั้น
จนครอบครัวคิดจะย้ายเราออกจากพื้นที่ที่อยู่ด้วย
มันไม่ใช่คำวิจารณ์ในทางลบหรอกค่ะ แต่พวกเขาคาดหวังกับเรา เลยกลายเป็นที่สนใจ
ปกติ ถ้าด่านี้คือด่าเลย แต่ไอการด่าไม่ได้นี่โคตรอึดอัด //555555

เรามองว่า...การไม่ยึดติดกับตัวเอง และความคิดคนอื่น 
คือสิ่งที่ช่วยลดความกดดันได้ดีที่สุดนะคะ 




1
นาลันดา 8 เม.ย. 58 เวลา 16:14 น. 13-1

ขอบคุณที่แสดงความเห็นครับ
ใช่ครับ เห็นด้วย ผมว่าหลายคนที่ทำงานศิลปะ มักมีการรู้จักปล่อยวางคำวิจารณ์อยู่แล้ว หรือไม่ได้สนใจอะไรมาก แต่กระนั้นก็มีอีกหลายคนที่มักมีภาวะซึมเศร้าที่ไม่ได้มาจากแรงกดดัน หรือความคาดหวัง หรือการวิจารณ์
แต่กลับมาจากปัญหาชีวิตที่รุมเร้า แบบบางคนเกิดเพราะจากพันธุกรรม หรืออาจจะมีปัญหาทางวัยเด็ก หรือสภาพต่าง ๆ

แต่ถึงยังไง ความคิดที่ว่า นักสร้างสรรค์กับการติดยา ซึมเศร้า ระงมทนทุกข์ เป็นของคู่กัน คือใครที่มักคิดว่า นักดนตรี = กินเหล้า ติดยา เพี้ยน
ผมว่าความคิดนี้ควรจะหมดไป ในศตวรรษหน้า ไม่ก็เจนเนอเรชั่นข้างหน้า ครับ

0
จิโระ 8 เม.ย. 58 เวลา 16:00 น. 14

ผมก็น่าจะเป็นอยู่(มั้งนะ)แต่ที่แน่ๆอะไรที่ทำให้ผมเสียใจมากอ่ะหรอก็การโดนดูถูกครับทางการเงินทางการทำงานทางความสามารถทางครอบครัวและทางพี่น้องครับทางความสามารถนี่หนักเลยครับมีแต่คนดูถูกครับผมเคยร้องไห้เลยครับเพราะโดนดูถูกไม่ใช่แค่ด่าผมหรอกนะไปถึงพ่อแม่เลยครับระบายนิดนึงโกรธมากครับแต่ผมก็เอาคำนั้นแหละครับมาเป็นแรงผลักดันแต่งนิยายให้ชาวเด็กดีอ่าน

0
จิโระ 8 เม.ย. 58 เวลา 16:04 น. 15

ที่แน่ๆใครเป็นพยายามเอาคำคำนั้นมาเป็นแรงผลักดันแทนครับอย่าเอาคำนั้นมาเป็นตัวถ่วงในการทำงานของเราพยายามอย่าพูดอย่าคิดคำว่า"ท้อแท้"เพราะมันจะบั่นทอนกำลังใจของคุณไม่หยุดถ้าคุณไม่มีคำนี้ในสมองรุ่งแน่นอนครับ
กดดันแค่ไหนพยายามสู้ให้กำลังใจตัวเองล้มแล้วต้องฮึดสู้ครับ

0
นายเต้าเจี้ยว 8 เม.ย. 58 เวลา 21:48 น. 16

(รอบนี้มายาวนิดนึง รบกวนพื้นที่ด้วยนะครับ)

ขอมองจากประสบการณ์ส่วนตัวนะครับ  ยังไม่ได้เป็นนักเขียน  แต่เป็นคนที่กำลังเขียนและเคยทำงานออกแบบงานคณะเล็กๆ น้อยๆ มาบ้าง

ผมเองก็เป็นหนึ่งในกลุ่มที่จิตใจค่อนข้างอ่อนไหว  ซึ่งบอกได้ว่าพอได้รับ feedback (ขออนุญาตทับศัพท์นะครับ  คือตอนนี้นึกคำภาษาไทยไม่ออก) กลับมาอย่างนั้นอย่างนี้จากการทำงานข้างต้น  ผมก็จะเริ่มมองงานตัวเองแล้วว่ามันผิดพลาดตรงไหนสักที่  และก็พยายามแก้มันอยู่นั่น  พยายามทำให้พอใจทุกฝ่ายซึ่งเป็นไปได้ยากพอสมควร

แล้วผลลัพธ์สุดท้ายที่เกิดขึ้นกับผมนอกจากทำงานเสร็จก็คือความรู้สึกผิดหวังในตัวเองครับ  รู้สึกว่าตัวเองทำออกมาได้ไม่ดีตั้งแต่แรกก็เลยต้องเป็นแบบนี้  พอเป็นไปนานๆ ก็พาลไม่อยากรับงานแบบนั้นมาทำอีก
เพื่อนอาจจะมองว่าขี้เกียจ  แต่จริงๆ คือผมเกิดความกลัวครับ  กลัวว่าจะทำได้ไม่ดีเลยไม่อยากทำแต่แรก

ซึ่งถ้าปล่อยเป็นอย่างนี้ต่อไปก็เสี่ยงที่จะเข้าข่ายของภาวะโรคซึมเศร้าครับ  เพราะเริ่มมองไม่เห็นคุณค่าในสิ่งที่ตัวเองทำแล้ว

จากที่ถามในกระทู้ว่างานศิลปะนำไปสู่ความหมองเศร้าได้มั้ย  ผมว่าเกิดขึ้นได้ครับ  แต่ไม่ใช่กับทุกคน  ขึ้นอยู่กับว่าเขาจัดการอารมณ์ความรู้สึกที่เข้ามาอย่างไรมากกว่า

1
นาลันดา 8 เม.ย. 58 เวลา 22:58 น. 16-1

ขอบคุณครับที่แลกเปลี่ยนครับ
(รอบนี้มายาวนิดนึง รบกวนพื้นที่ด้วยนะครับ)
ผมคิดว่าการทำงานศิลปะของแต่ละคนแตกต่างกัน และคนเราก็รู้ความหมาย 'ศิลปะคืออะไร' แตกต่างกันไปด้วย ซึ่งคนทำงานศิลปะก็มักจะมีหลักคิดหนึ่งที่เขามีให้สำหรับความหมายนั้น ๆ หรือความรู้สึกที่มีให้แก่ความหมายนั้น ๆ

ส่วนเรื่องการกลัวที่จะทำงานต่อไป หลังจากมีคนพูดถึงงานที่เราทำไปแล้ว อันนี้เป็นปกติตอนเริ่มแรกของทุกคนเลยครับ

ขอยกตัวอย่าง เกี่ยวกับทางนักดนตรี (ประเภทดนตรีคลาสสิคเพราะค่อนข้างอยู่สายทางนี้มานาน) ครับ

คือการฝึกฝนทางดนตรี นอกจากการฝึกซ้อมแล้ว จะมีการฝึกฝนอีกอย่างคือ มาเล่นกันให้ดู แล้วก็นั่งคุยกันครับ ส่วนใหญ่ก็จะเป็นเพื่อน หรือถ้าทางการเลยก็จะเป็น Master class เล่นให้อาจารย์ หรือคนที่เก่งกว่า ให้เขาดูเรา แล้วก็วิจารณ์แนะนำแนวทางการเล่น เทคนิคต่าง ๆ

ซึ่งในช่วงแรกคนที่มาเล่น แล้วโดนแก้การเล่น โดนวิจารณ์ มีไม่น้อยเลยที่โกรธตัวเอง หรือเศร้าใจกับตัวเอง มีแม้กระทั้งโทษตัวเอง ว่าตัวเองอย่างนู้นอย่างนี้ ผิดหวังตัวเอง บางคนแอบไปร้องไห้ก็มี เพราะว่า ในลึกๆใจเรา ก็อยากให้ตัวเองทำได้ดี เหมือนกับเวลาขึ้นเวทีแล้วตื่นเต้น ก็เพราะเราหวังว่าอยากทำออกมาให้ดี และกลัวผิดพลาด กลัวความไม่รู้

แต่พอบ่อย ๆเข้า นักดนตรีที่มุ่งมั่นและอยากเก่ง มักชอบที่จะไปเรียนกับคนนู้นคนนี้เสมอ ชอบให้คนวิจารณ์และแนะแนวทาง คุยเกี่ยวกับการฝึกซ้อม และความหมายปรัชญาของความหมายนั้น ๆ ความรู้สึกที่กลัวการพูดถึงผลงานตัวเองจะไม่มีอยู่เลยครับ

ผมว่า ศิลปะเป็นศาสตร์ที่ลึกซึ้งกับอารมณ์มนุษย์อย่างมาก แต่ถึงยังไง นักศิลปะก็จะมีแนวคิด หรือปรัชญาความหมายอะไรต่าง ๆ ที่ยึดในการดำเนินชีวิตอยู่ แม้บางครั้งศิลปะอาจต้องขบคิด แต่บางครั้ง ศิลปะก็ต้องเลิกคิดและใช้ใจ

ผมเห็นด้วยว่า งานศิลปะนำไปสู่ความหมองเศร้าได้ แต่หลังจากนั้นจะหลุดออกมาได้หรือเปล่านี่ก็เป็นคำถามหนึ่งที่สำคัญ และเป็นไปได้ไหม ที่คนเดียวกันจะสามารถทำงานที่นำไปสู่ความหมองเศร้า สามารถทำงานศิลปะไปสู่การหลุดพ้น (ในความหมายที่เขามีให้ในทางความคิดนั้น ๆของเขา) อันนี้ก็น่าสนใจ

แต่ถึงอย่างไร นักสร้างสรรค์ กับ ภาวะซึมเศร้า จนเลยไปถึงการทำร้ายตัวเอง ก็เป็นอะไรที่น่าหดหู่ใจ และเราอาจควรฉุดคิดอะไรบางอย่างได้บ้างไม่ก็น้อย ทั้งด้านการให้ความหมาย การดำเนินชีวิต บริบทแวดวง สังคม และเรื่องโครงสร้างต่าง ๆครับ

"งดงามเบื้องต้น งดงามท่ามกลาง งดงามในที่สุด จุดหมายที่เป็นสุขย่อมกอปรด้วยการเดินทางที่เป็นสุข" ผมเดินทางนี้ครับ

ขอบคุณครับ

0
ตั้งใจโสด. 8 เม.ย. 58 เวลา 21:50 น. 17

ขอบคุณสำหรับบทความดีๆ และ
ขออนุญาตแบ่งปันเรื่องราวของตัวเองนะคะ ^^

สวดมนต์แผ่เมตตา
วางปืนเอาไว้บนหัวเตียง
เผื่อเกิดนอนไม่หลับ

ไฮกุมั่วๆของเราเอง พอกลับมาอ่านอีกทีก็...นะ

แล้วเมื่อไม่นานมานี้ ไปดูงานชิ้นแรกของตัวเอง ทั้งการ์ตูน เรื่องยาว เรื่องสั้น
จะต้องมีบางส่วนบางตอนหรือทั้งเรื่องเกี่ยวกับการฆ่าตัวตาย (โรคจิตแล้วไงเรา)

จากนั้นเรื่องต่อๆมา ก็จะเริ่มไปพูดถึงเรื่องอื่น
เหมือนฆ่าตัวตายหลายรอบจนเบื่อไปเลย เพราะฉะนั้น
เราว่าถ้าพวกเรามองในอีกแง่หนึ่ง การเขียนก็เป็นการเยียวยาตัวเองได้

ไฮกุของเราบทต่อมา จึงกลับดำเป็นขาวๆเทาๆ ว่า

เหนี่ยวไกยิงทิ้งสิ้น
ความคิดฟุ้งซ่านซึ่งก่อกวน
จนได้หลับเป็นตาย

สุดท้ายนี้ สู้ต่อไปนะคะ สนุกไปกับความเศร้าด้วยกัน
ขอให้ทุกท่านมีชีวิตยืนยาวเพื่อสร้างสรรค์งานเขียนต่อไป
ปัจจุบันเราก็ยังสามวันดีสี่วันจิตตก บอกตัวเองไว้เราแค่ซุ่มซ่าม 55
1
นาลันดา 8 เม.ย. 58 เวลา 23:07 น. 17-1

ผมเริ่มเขียน Fiction
เดิมทีผมเขียนเพราะบำบัด
บำบัดให้ชีวิต

สู้สู้

0
Mr.Saka 8 เม.ย. 58 เวลา 22:54 น. 18

ท่องไว้ครับ "อยู่คนเดียวระวังความคิด อยู่กับมิตรระวังคำพูด"

แล้วคุณจะค้นพบความสมดุลของจิตใจครับ...

0