ภาคต่อ - ทำไมนิยายของฉันถึงไม่มีใครอ่าน !?
ขอไม่อารัมภบทอะไรนะครับ เพราะเนื้อหาครึ่งหลังค่อนข้างยาว(เดี๋ยวจะไม่จบ)
สำหรับท่านที่ยังไม่เห็นกระทู้แรก กดตรงนี้เลยครับ
-------------------------------------------------------
แนวทางปฏิบัติของนักเขียนหน้าใหม่
ทำอย่างไรให้คนอ่านไม่ร้อง ‘ยี้’ !!!
-------------------------------------------------------
ภาคจบ - คลิกเข้ามาแล้วทำยังไงจะไม่ถูกกดปิด
5. เพลงประกอบอย่าตั้งเป็นออโต้
หลังจากที่นักอ่าน(เรื่องมาก)ได้ตัดสินใจคลิกเข้าสู่หน้าบทความแล้ว ถามว่าเราจะเริ่มอ่านนิยายของคุณในทันทีหรือเปล่า ? คำตอบคือไม่ครับ เวลาว่างๆ ที่พวกเราจะหานิยายอ่าน บ่อยครั้งที่เราเลือกเปิดหน้านิยายที่เราสนใจโดยใช้คำสั่ง “Open in new tab” หน้านิยายที่กองเอาไว้ว่า ‘ตั้งท่าจะอ่าน’ จะถูกรวมกันเอาไว้ในหน้าต่างบราวเซอร์ บางคนอาจจะทิ้งไว้สักสามสี่เรื่องแล้วมาดูสักที หรือในบางคนอาจจะเป็นสิบเรื่อง
หากนิยายที่เข้าตามันมีเยอะเกินไป อะไรจะเป็นปัจจัยแรกที่ทำให้คนอ่านเลือกที่จะปิด Tab นิยายทิ้งไปทั้งที่ไม่ได้เข้าไปอ่าน.. มันคือ เสียง
นึกภาพดูนะครับ.. มีคนอ่านนิยายจำนวนไม่น้อยที่ชอบเปิดเพลงไปด้วยอ่านนิยายไปด้วย แล้วถ้าอยู่ดีๆ มี ‘เสียงแปลกปลอม’ ดังขึ้นมาขัดจังหวะเพลงสุดโปรดที่เขาหรือเธอกำลังฟังอยู่ล่ะ
หากนักอ่านคนนั้นเป็นแนวเนิบๆ ง่ายๆ ไม่รีบร้อน เขาอาจจะยอมเสียเวลาเข้าไปในหน้านิยายต้นเสียงนั้นแล้วไล่หาปุ่มปิดเสียงหรือปุ่มหยุดเพลงประกอบอันไม่พึงประสงค์ ถ้าหาง่ายๆ ก็แล้วไป แต่ถ้าซ่อนไว้ลึกมากๆ เห็นทีจะไม่เข้าท่าแน่
นักเขียนท่านไหนที่ตั้งเพลงเป็นออโต้แล้วหวังจะเจอแต่นักอ่านกลุ่มเนิบๆ ง่ายๆ ที่ว่านี้ล่ะก็ บอกเลยว่ายาก เพราะส่วนมากนักอ่านจะมาแนวใจร้อนมากกว่าคือ ปิดทิ้งมันทั้งหน้านิยายนั่นแหละ !
นักเขียนควรตระหนักไว้ตั้งแต่วินาทีที่คิดจะใส่เพลงประกอบลงไปในหน้านิยายเลยนะครับว่า ‘เพลงของคุณไม่ได้เพราะสำหรับทุกๆ คน’ ถ้าเจอคนที่ชอบแนวเดียวกัน บวกกับเขาคนนั้นไม่ได้เปิดเพลงคลอระหว่างเล่นอินเตอร์เน็ต คุณจะเป็นนักเขียนที่โชคดีมาก แต่ถ้าเงื่อนไขที่ว่ามานั้นมีไม่ครบ ความเสี่ยงที่หน้านิยายจะถูกปิดไปตั้งแต่ยังไม่ถูกอ่าน มีสูงมากทีเดียว
ฉะนั้น.. เพลงออโต้ของท่านเอามันออกไปเถอะครับ
6. สีสันและการตกแต่งต้องพอเหมาะ
มาถึงจุดนี้เราๆ นักอ่านได้กดเข้ามาสู่หน้านิยายของท่านๆ นักเขียนแล้ว สิ่งต่อมาที่เราเห็นก็คือการจัดแต่งหน้านิยายด้วยลูกเล่นต่างๆ หรือที่เรียกรวมๆ ว่า Theme พอพูดถึงเรื่องนี้นักเขียนหลายๆ คน (โดยเฉพาะมือใหม่) อาจจะคิดว่าสีสันที่โดดเด่นสะดุดตาจะเป็นจุดขายชั้นดีที่จะเรียกคนเข้ามาอ่านนิยายของท่านได้ แต่ในความเป็นจริงมันเป็นอย่างนั้นแค่ครึ่งเดียวครับ
ถ้านักเขียนท่านไหนทำจุดนี้ได้ดี สีสันเข้าท่า ลูกเล่นต่างๆ ไม่ได้ดูรก หรือดูเยอะเกินความจำเป็น ใช่เลยครับ Theme สวยๆ จะเป็นจุดที่ช่วยเสริมความน่าสนใจของนิยายได้เป็นอย่างดี แต่ในทางตรงกันข้าม ถ้าหากว่าสีสันที่นักเขียนเลือกใช้มันไม่ถูกที่ถูกทางสักเท่าไหร่ มันก็เป็นส่วนที่สามารถไล่นักอ่านออกไปได้เร็วไม่แพ้เสียงเพลงในข้อที่แล้ว
สีขาวเจิดจ้า สีดำทะมึน หรือรูป Background ที่ไม่ได้จัดการกับ transparent/opacity มาก่อน (ทำให้รูปจางลง;ลายน้ำ) พื้นหลังแบบนั้นประกอบกับการเลือกใช้สีของตัวหนังสือที่อ่อนหรือเข้มจนเกินไปอาจส่งผลให้การอ่านเป็นไปได้ยากขึ้น
ถ้ามันอ่านยาก ! นั่นถือเป็นความผิดพลาดอย่างแรง เพราะนักอ่านคงไม่มานั่งเพ่งมองตัวอักษรแบบนี้แน่ และผลที่ตามมาก็คือ.. ปิดทิ้ง
นอกจากสีพื้นหลังและตัวอักษรแล้ว รายละเอียดเล็กๆ อีกอย่างที่ไม่อยากให้นักเขียนพลาดก็คือการดัดแปลง Cursor ของ Mouse อันนี้ถ้าเป็นไปได้อย่างไปยุ่งกับมันเลยครับ เพราะมันทำให้เกิดความไม่คุ้นเคยในการใช้งาน มีอยู่บ่อยครั้งที่ผมหาเมาส์ตัวเองไม่เจอเพราะมันถูกเปลี่ยนรูปร่างไปเป็นอย่างอื่น และเมื่อช่วงเวลาแบบนั้นเกิดขึ้นมันจะทำให้นักอ่านอย่างผมออกอาการเซ็งอยู่เหมือนกัน
อันที่จริงแล้วการไม่ได้ใส่ Theme สวยๆ ก็ไม่ได้ทำให้หน้านิยายลดความน่าสนใจลงแต่อย่างใดนะครับ แต่การใส่ Theme แย่ๆ ต่างหากจะเป็นข้อเสีย
7. หน้ากระดาษ และการใช้คำบางประเภท
ก่อนที่จะเริ่มอ่านนิยายเรื่องใหม่สักเรื่องหนึ่ง สิ่งที่นักอ่านเรื่องมากอย่างผมมักจะทำอยู่เสมอก็คือการเปิดสุ่มตอนใดตอนหนึ่งของเรื่องขึ้นมาแล้วดูรูปแบบการจัดหน้า และการใช้คำคร่าวๆ ของนิยายเรื่องนั้นก่อน
ไม่ได้บอกว่านักอ่านทุกคนทำแบบนี้หรอกนะครับ แต่มันเป็นวิธีการประเมินที่ดีซึ่งสามารถบอกถึง ‘ฝีมือ’ ของผู้เขียนได้ในระยะเวลาอันสั้น
ในประเด็นแรกคือ ‘หน้ากระดาษ’ คุณนักเขียนรู้ไหมครับว่าการเลื่อน Scroll mouse เร็วๆ โดยไม่ต้องอ่านอะไรเลยจะสามารถบอกอะไรได้บ้าง ?
1) ความยาวต่อ 1 ตอน ต้องไม่สั้นเกินไป (ยาวเกินไปนั้นผมยังไม่เคยเจอ) นิยายบางเรื่องหั่นตอนถี่มาก ถึงขนาดที่ว่าความยาวต่อหนึ่งตอนได้ไม่ถึงหนึ่งหน้ากระดาษ A4 ในมุมมองของนักเขียนอาจจะมองว่านั่นเป็นการแบ่งอัพที่มีประสิทธิภาพ และดีกว่าในแง่ที่สามารถอัพเดทนิยายได้อย่างต่อเนื่อง แต่ในทางกลับกัน.. นักอ่านบางคนอาจจะมองว่าคนแต่งมือไม่ถึงหรือเปล่า ทำไมเขียนตอนนึงได้สั้นขนาดนี้ ?
ในกรณีนี้นักเขียนบางคนอาจจะบอกว่าการเขียนเป็นตอนสั้นๆ จะทำให้สามารถอัพเดทได้บ่อย อาจจะวันละสามครั้ง หรือสี่ครั้ง (นำไปสู่การได้ยอดวิวเยอะๆ) แล้วแบบไหนล่ะที่ดีกว่า ? ถ้าถามผมล่ะก็.. ผมเชื่อว่าหนึ่งตอนที่สมบูรณ์ทั้งเชิงคุณภาพและปริมาณ จะบ่งบอกถึงความสามารถของนักเขียนได้ดีกว่าหนึ่งตอนที่หั่นสั้นๆ ครับ
36 ความคิดเห็น
2) การจัดย่อหน้า เป็นเรื่องที่มือใหม่พลาดกันเยอะ ทั้งๆ ที่หากมีประสบการณ์การอ่าน(นิยายที่ตีพิมพ์)มาพอสมควรแล้วล่ะก็จะเห็นได้ทันทีเลยว่า การเขียนแบบมีย่อหน้านั้นดูสบายตากว่าการเขียนแบบชิดขอบเป็นไหนๆ การแบ่งย่อหน้าที่ดีจะเอื้อให้นักอ่านสามารถอ่านจับประเด็นต่างๆ ได้ง่าย และทำให้ไม่รู้สึกตาลายจากการที่ต้องทนกับตัวหนังสือติดกันเป็นพืดมากจนเกินไป
ทั้งที่ถูกต้องตามหลักและถูกใจนักอ่านขนาดนี้ก็แปลกดีที่หลายๆ คนยังเลือกจะเขียนชิดซ้ายอยู่อย่างเดิม
3) Font ขนาดตัวอักษร การเว้นช่องไฟ และการเว้นบรรทัด รายละเอียดยิบย่อยอีกอย่างหนึ่งที่หลายๆ คนไม่นึกถึง มันเป็นอะไรเล็กๆ น้อยๆ ที่เอื้อให้นักอ่านสามารถอ่านได้ง่ายขึ้นเช่นเดียวกับเรื่องย่อหน้า
ในเรื่อง Font ขนาดตัวอักษร และการเว้นช่องไฟคงไม่ต้องชี้จุดอะไรมาก ขอแค่มันไม่แปลกประหลาดจนเกินไปเชื่อว่านักอ่านทุกคนจะรับได้ แต่ในกรณีของการเว้นบรรทัดนั้นควรจะยกมาเป็นประเด็นสักหน่อย เพราะนักเขียนหลายๆ คน(แน่นอนว่าโดยเฉพาะมือใหม่) ใช้การเว้นบรรทัดได้สุดลิ่มทิ่มประตูกันสุดๆ บ้างก็ติดกันเกินไปจนตาลายเพราะไม่มีช่องว่าง บ้างก็ห่างกันเกินไปจนคนอ่านสงสัยว่าต้องการเพิ่มจำนวนหน้าหรืออย่างไรกันแน่
สุดท้ายมันก็ต้องกลับมาที่หลักของความพอดี ซึ่งต้องอาศัยการอ่าน แล้วการดูตัวอย่างของคนอื่นนั่นแหละครับ
ประเด็นที่สอง คือ การใช้คำบางประเภท ซึ่งสามารถทำให้นักอ่านเห็นภาพรวมของความสามารถเชิงภาษาของนักเขียนได้โดยไม่ต้องเริ่มอ่านจริงๆ จังๆ ถ้าเป็นผมที่ชอบสุ่มเลือกขึ้นมาหนึ่งตอน จุดอ่อนสำคัญที่ทำให้ผมเลือกที่จะปิดนิยายเรื่องหนึ่งๆ ทิ้ง ได้แก่
4) สัญลักษณ์ที่ไม่น่าจะมาอยู่ในงานเขียนนวนิยาย ยกตัวอย่างเช่น ‘5555+’ ‘#$$#)@*^’ รวมไปถึง ‘^o^’ ‘=___=’ ‘T^T’ และอื่นๆ อีกมากมาย ในที่นี้อาจยกเว้นนิยายรักบางกลุ่มที่ใช้สัญลักษณ์เหล่านี้กันจนเป็นที่ยอมรับกันในหมู่นักอ่านมาช้านานแล้ว แต่สำหรับนิยายหมวดอื่นๆ ที่นอกเหนือจากนั้น การใช้สัญลักษณ์แบบนี้ในนิยายถือเป็นการบ่งบอกถึงฝีมืออันอ่อนด้อย (ฟังดูแรง แต่เป็นความรู้สึกจริงของนักอ่านหลายๆ คน)
การพรรณนาให้เห็นภาพถือเป็นทักษะพื้นฐานที่นักเขียนจะต้องมี ฉะนั้นอะไรที่บรรยายได้ก็ต้องบรรยายออกมา นักเขียนจะต้องสื่อให้ได้ว่าหญิงสาวคนนั้นยิ้มได้หวานตรึงใจขนาดไหน และต้องแสดงให้เห็นให้ได้ว่าน้ำตาของเธอคนนั้นสื่อถึงความเจ็บช้ำเจียนตายได้อย่างไร
การเรียบเรียงความรู้สึกที่เป็นนามธรรมออกมาให้เป็นคำ เป็นประโยคให้ได้ นั่นถึงจะเรียกว่าเป็นความสามารถของนักเขียน
5) คำหยาบคาย ตัวเลือกที่หลายๆ คนเลือกใช้ด้วยเหตุผลที่ว่า ‘มันได้อารมณ์กว่า’ ใช่ครับ หลายๆ ครั้งมันก็เป็นอย่างนั้นจริงๆ แต่ไม่ใช่ว่านักเขียนจะมีแต่อะไรแบบนี้เท่านั้นในการดึงอารมณ์ของคนอ่าน คำหยาบคายที่มานานๆ ครั้ง แต่ใช้ออกมาในเวลาที่มันถึงที่สุดจนไม่มีคำอื่นจะมาใช้แทนได้ อันนี้ถือว่าฉลาดใช้
ตรงกันข้าม.. หากมาบ่อยเกินไป หรือหยาบเกินไปโดยไม่ได้มีความจำเป็น คำเหล่านี้จะฉุดให้คุณค่าของงานเขียนดิ่งลงเหวไปในทันที เพราะฉะนั้นนักเขียนจะต้องรู้ว่าหยาบคายอย่างไรให้ดูดี สิ่งนี้เป็นสิ่งสำคัญ
6) ภาษาวิบัติและการสะกดผิดที่ไม่น่าให้อภัย เช่น ‘คัยอ้ะ’ ‘ปัยหนัย’ ‘เอาจิงเหรอค่ะ’ เป็นอะไรที่คนอ่านเห็นแล้วจะส่ายหน้าแล้วกดปิดหน้าต่างอย่างเร็วที่สุด คำเหล่านี้มีผลคล้ายๆ กับอิโมติคอนเพราะมันบ่งบอกถึงวุฒิภาวะของคนเขียน และความเอาใจใส่ในผลงาน จงอย่าใช้มันโดยไม่จำเป็นเด็ดขาด
8. การแสดงออกของนักเขียน
หัวข้อนี้เป็นหัวข้อสุดท้ายที่มีความสำคัญ เพราะเมื่อถึงเวลาที่นักอ่านเข้ามาเยี่ยมเยียนถึงหน้านิยายซึ่งเปรียบเสมือนเป็นประตูบ้าน ถ้อยคำการแสดงออกของเจ้าบ้านจะเป็นความประทับใจแรกที่แขกผู้มาเยือนได้รับรู้
แต่ก็มีอยู่ไม่น้อยเหมือนกันที่ถ้อยคำเหล่านั้นสร้างความรู้สึกที่เป็นลบขึ้นมา ยกตัวอย่างเช่น
1) การขับไล่ไสส่งนักอ่านเงา และ การข่มขู่คุกคามเพื่อให้ได้มาซึ่งคอมเมนต์
ทั้งสองอย่างนี้ถือเป็นสิ่งเดียวกันเพียงแต่ต่างกันที่ระดับความรุนแรง นักเขียนควรทราบว่านักอ่านทุกคนก่อนที่จะเป็นแฟนคลับของนิยายสักเรื่อง พวกเราต้องเริ่มจากการเป็นนักอ่านเงาเสมอ น้อยจริงๆ ครับนักอ่านที่พร้อมจะลุยคอมเมนต์ให้ท่านตั้งแต่เริ่มอ่านไปไม่กี่หน้าไม่กี่บท และถ้าคุณนักเขียนขับไล่พวกเราตั้งแต่เรายังไม่ได้เริ่มอ่านแล้วล่ะก็ คุณจะคาดหวังการคอมเมนต์จากเราได้อย่างไร ?
อีกประการหนึ่งที่สำคัญมาก คือทัศนคติของนักเขียนที่มีต่อ ‘จำนวนคอมเมนต์’
อย่าลืมครับว่ามันเป็นหน้าที่ของคนเขียนที่จะต้องทำให้คนอ่านรู้สึกอยากคอมเมนต์ มันไม่ใช่หน้าที่ของคนอ่านเลยที่จะต้องมาคอมเมนต์เพื่อให้คนเขียนเขียนนิยายออกมา การเอายอดคอมเมนต์มาเป็นเงื่อนไขในการอัพเดทนิยายจึงเป็นพฤติกรรมที่ไม่ฉลาดนักสำหรับนักเขียนที่ต้องการคอมเมนต์ดีๆ ที่จริงใจและมีประโยชน์
2) คอมเมนต์ได้ แต่อย่าใช้ถ้อยคำที่รุนแรง
ประโยคเด็ดที่นักเขียนหน้าใหม่ใช้เพื่อป้องกันตัวอยู่บ่อยๆ แต่หารู้ไม่ว่าคำๆ นี้มีประโยชน์น้อยนิดเมื่อเทียบกับสิ่งที่เสียไป ทราบหรือไม่ว่าโดยธรรมชาติของนักก่อกวนที่ชอบคอมเมนต์แรงๆ ด่าหยาบๆ ไม่มีใครหรอกครับที่จะฟังคำห้ามปรามเหล่านั้น ลองมีสักคนคิดอยากจะด่าแรงๆ ขึ้นมาล่ะก็ การร้องบอกว่า ‘อย่ารุนแรง’ มันไม่ได้ช่วยอะไรเลยกับสิ่งที่พวกเขาอยากจะทำ แต่ประโยคนี้กลับมีผลข้างเคียงอีกอย่างหนึ่งซึ่งนักเขียนอาจจะไม่รู้..
มันเป็นการบอกกลายๆ ว่านักเขียนคนนี้จิตอ่อน และ(อาจจะ)ไม่สามารถทนต่อการคอมเมนต์ตรงๆ ได้
(ถ้าเป็นในสังคมบอร์ดประโยคนี้ก็เหมือนกับ คำว่า ‘คหสต.’ ซึ่งใช้เป็นเกราะป้องกันตัวเองในรูปแบบที่คล้ายกัน)
ทุกๆ ครั้งที่ผมเห็นคำขอร้องเหล่านี้ ต่อให้เป็นนิยายที่ผมคิดอยากจะคอมเมนต์แค่ไหนผมก็จะปล่อยผ่านไปแทบทุกครั้ง เพราะอะไรล่ะ ? อย่าลืมว่านิยามของ ‘ถ้อยคำที่รุนแรง’ ในบริบทของแต่ละคนนั้นหนักเบาไม่เท่ากัน ถ้าผมไม่แน่ใจว่าการคอมเมนต์ตรงๆ ตามเนื้อผ้าของผม จะไปก้าวผ่านเส้นแบ่งของคำนิยามว่าด้วยถ้อยคำที่รุนแรงของนักเขียนคนนั้นหรือเปล่า ในกรณีแบบนี้ผมเลือกที่จะอยู่เงียบๆ ให้ตัวเองปลอดภัย ดีกว่าแหลมหน้าออกไปให้เสี่ยงต่อการถูกนักเขียน(และเหล่าแฟนคลับ)ตอกหน้ากลับมา
ถามว่าสุดท้ายใครเสียประโยชน์ ? ก็ฝ่ายนักเขียนนั่นแหละครับ..
3) แย้งทุกคำที่นักอ่านคอมเมนต์
เคยเห็นไหมครับนักเขียนที่พูดไว้เสียดิบดีว่ายินดีรับความเห็นทุกรูปแบบ แต่พอเอาเข้าจริงกลับโต้กลับทุกความเห็นที่ไม่เป็นไปอย่างที่อยากได้ ยกตัวอย่างเช่น
นักอ่าน : ‘พระเอกเป็นคนสุขุมเยือกเย็นไม่ใช่หรือครับ ทำไมถึงสติแตกเอาง่ายๆ กับการถูกเหยียบเท้า’
นักเขียน : ‘ถ้าคุณถูกเหยียบเท้าบ้างจะไม่โกรธหรือไงครับ พระเอกของผมสุขุมอยู่แล้ว ไม่เห็นหรือไงว่าเขาไม่ได้ด่ากลับสักคำ ต่อยเปรี้ยงเดียวจบ’
หรือ
นักอ่าน : ‘รู้สึกเหมือนหลังๆ เรื่องมันเอื่อยๆ สนุกน้อยลง ’
นักเขียน : ‘ถ้าจะเมนต์ให้นักเขียนเสียกำลังใจแบบนี้อยู่เงียบๆ ไม่ต้องเมนต์ก็ได้นะคะ’
ยกตัวอย่างสุดโต่งไปหน่อย แต่เชื่อเถอะครับว่านักอ่านหลายคนเคยพบเห็นนักเขียนลักษณะนี้มาก่อนแล้วจริงๆ ที่ผมยกเรื่องการแสดงออกของนักเขียนขึ้นมาพูดทั้งหมดนี้ใช่ว่านักเขียนจะไม่มีสิทธิ์พูดสิ่งที่ตัวเองคิด แต่อยากจะย้ำเตือนเท่านั้นว่านักเขียนต้องคิดให้เยอะๆ ก่อนจะพูดอะไรออกมา
อย่าลืมว่าความสัมพันธ์ระหว่างนักเขียนกับนักอ่านมันอยู่ได้ด้วยอะไรหลายๆ อย่างมากกว่าแค่การโยนนิยายไปให้อ่านแล้วนับยอดแฟนคลับกับจำนวนคอมเมนต์ครับ
-------------------------------------------------------
สรุปรวบยอดทั้งหมดของ แนวทางปฏิบัติ ทั้งแปดข้อนี้หวังผลเพียงแค่ให้นักอ่านที่ไม่รู้จักกับท่านและนิยายของท่านได้มอบโอกาสที่จะเข้ามาสัมผัสกับเรื่องราวที่ท่านนักเขียนเขียนขึ้น ส่วนที่เหลือหลังจากนี้คือ ทำอย่างไรให้นักอ่านของท่านคงอยู่กับท่านตลอดไป ผมไม่สามารถจะสาธยายออกมาได้เนื่องด้วยความสามารถที่มีอยู่จำกัด หากเพื่อนๆ ชาวบอร์ดท่านใดมีข้อชี้แนะก็แบ่งปันกันมาได้ครับ
หวังว่ากระทู้ทั้งสองจะมีประโยชน์กับนักเขียนหน้าใหม่บ้างไม่มากก็น้อยครับ
ราตรีสวัสดิ์ครับ...
ให้เคล็ดลับดีมาก เราจะลองใช้นะ เพิ่งลองเขียนเป็นครั้งแรกขอบคุณคะ
ไม่ใช่นิยายแนวตลาด หรือไม่ใช่แนวที่นักอ่านส่วนใหญ่ต้องการ ด้วยครับ
ขอบคุณสำหรับกระทู้ดีๆค่ะ ตรงใจตรงแย้งทุกคำที่คอมเม้นต์มากมาย ฮา แต่มันก้ำกึ่งระหว่างเหตุผลของคนแต่งและความชอบส่วนตัวของคนอ่านเหมือนกันนะ
ขอบคุณครับ
เข้ามาปักตะไคร้ เอ้ย! ไม่ใช่! เข้ามาปักธงอ่านค่ะ ^^
ตามมาโหวตต่ออีกกระทู้
กระทู้ดีงามจริงๆค่ะ ขอบคุณมากนะคะ
เราเองเป็นนักอ่านที่แม้ไม่ได้เปิดหน้านิยายไว้เยอะๆหลายเรื่อง และไม่ได้ฟังเพลงไปด้วยขณะอ่าน แต่ถ้าเจอเรื่องไหนมีเพลงดังขึ้น...แล้วบังเอิญเป็นเพลงที่ไม่ตรงรสนิยมเรา เราก็ปิดนิยายนั้นทิ้งอยู่ดี(เรื่องมากสุดๆค่ะเรา 5555)
ขอบคุณครับดีมากๆเลยร้องไหแปบ
จริงทุกข้อค่ะ
นวนิยาย มันแสดงถึงความสามารถในการบรรยายลักษณะของตัวละครของนักเขียนคนนั้นๆ
ไม่ขอเถียงอีกเช่นกันว่ามีนิยายบางแนวที่ใช้แบบนั้นเช่นนิยายวัยรุ่นแนวเกาหลี ญี่ปุ่น เป็นต้น(ไม่เข้าใจเหมือนกันว่าทำไมต้องใช้สัญลักษณะแทนหน้าตาแสดงอารมณ์ของตัวละคร หรือเราแก่ไปเลยไม่เข้าใจอารมณ์มุ้งมิ้งของวัยรุ่น)
เมื่อเราเห็นนิยายที่ใช้แบบนี้จะปิดทันทีไม่อ่านต่อ จะว่ามีอคติไม่ยอมรับรูปแบบใหม่ ใจไม่กว้างเปิดรับสิ่งใหม่ๆก็ได้ เราว่านิยายคือก็บรรยายออกมาให้เห็นภาพ นักอ่านแต่ละคนอาจเห็นภาพต่างกันมันคือเสน่ห์ของนิยายเรื่องนั้นๆ แต่ถ้าเป็นสัญลักษณ์ใครอ่านก็เห็นเหมือนกันหมด (เราชอบมโนเองมากกว่า นักอ่านส่วนใหญ่เป็นนักมโนที่ยอดเยี่ยมกันทั้งนั้น เอะ!หรือคิดไปเองหว่า)
เราก็เป็นค่ะ บางครั้งก็สงสัยอยู่ว่าทำไมไม่บรรยายออกมามันดู้เป็นมืออาชีพมากกว่า (ไม่น่าเกี่ยวกับอานุเพราะเราก็ยังไม่ถึง15) เราก็มีแต่งนิยายบ้างนะแต่ก็ไม่เคยใส่รูปหน้า คือเราว่ามันก็ไม่ผิดอะไรแต่(ไม่รู้เป็นคนเดียวรึเปล่า)รู้สึกหงุดหงิดขึ้นมาลึกๆ บางครั้งก็คิดไม่ออกว่าจะร้องไห้แบบไหน เช่นT^T มันได้ทั้งหน้าน้อยใจกับเศร้าจริงๆ ส่วนใหญ่ที่เห็นตามนิยาย(เล่ม) จะเป็นหน้าน้อยใจงอนๆ แต่บางคนก็ดราม่าหน้านี้จนบางครั้งก็เดาไม่ถูก
ปล.ไม่พอใจก็ขอโทษด้วย
ข้อ 4 นี่มันเป็นอะไรที่จริงมากค่ะ นิยายรักหวานแหววของวัยรุ่นจะนิยมใช้กันเราก็ไม่ได้ขัดเคืองอะไร แต่ถ้าเราไปอ่านหมวดอื่นก็มีการปิดทิ้งๆนะฮ่ะ มันเหมือนจะบอกถึงความอ่อนด้อยในการบรรยายของนักเขียนจริงๆแหละ
"นักเขียนท่านไหนที่ตั้งเพลงเป็นออโต้แล้วหวังจะเจอแต่นักอ่านกลุ่มเนิบๆ ง่ายๆ ที่ว่านี้ล่ะก็ บอกเลยว่ายาก เพราะส่วนมากนักอ่านจะมาแนวใจร้อนมากกว่าคือ ปิดทิ้งมันทั้งหน้านิยายนั่นแหละ !" -โอ๊ยยย..แทงใจดำ เราเป็นนักอ่านกลุ่มนี้แหละ//แต่เราใจร้อนยิ่งกว่านั้น ถ้าเปิดหลายๆหน้าแล้วหาต้นเสียงไม่ได้ก็ ปิดมันทุกหน้าที่เปิดไปเลย!!!
ข้อ 3 นี่ใช่เลย... เปิดไปตอนเดียวเห็นรวมๆว่าไม่เว้นบรรทัด ตัวอักษรติดกันเป็นพรืด ไม่มีย่อหน้า ปิดค่ะ... เนื้อเรื่องน่าสนใจแค่ไหนก็ปิดค่ะ เจอแบบนี้เราไม่อ่านซักบรรทัดเรากดปิดเลย มันดูไม่น่าอ่าน ไม่มีระเบียบอ่ะ ตาลายไปหมด คำวิบัติก็เหมือนกัน อ่านมาเพลินๆเจอ 'ไปไหนค่ะ?' 'เป็นอะไรไปค่ะ?' แรกๆก็รับได้หลังๆมีเลิกนะคะบอกเลย
ความยาวตอนนี้สำคัญนะอัพสั้นแต่อัพบ่อยสำหรับเราก็ไม่ได้ช่วยอะไรอ่ะ คือก็ไม่ได้ว่างมาตามทุกวันอ่ะ อัพอาทิตย์ละ1-2ครั้งแต่ยาวอันนี้ดองไปเถอะรับได้อยู่ สำหรับเรานะ
กดตามกดเฟบได้ก็กดเลิกได้ค่ะ ขอบคุณสำหรับกระทู้ดีๆที่ให้นักเขียนนำไปปรับปรุงและรู้ความต้องการของเราค่ะ
จากใจนักอ่านคนนึง
ฮือ เห็นใจคนอัพบนมือถือย่อหน้าไม่ได้บ้างนะคะ ToT พยายามย่อแล้วแต่มันไม่สำริดผลที่ดีเลยค่ะ
อันนี้ก็จริง เห็นด้วยกับคห.16-1 แต่ถ้าใครที่อัพคอมแล้วยังเขียนติดอีกคงต้องเห็นด้วยกับคห.16(สองจิตสองใจแฮะ-_-)
ตรงใจที่สุด แต่นิยายที่มีคุณสมบัติครบมันหายากและส่วนใหญ่ไม่ค่อยอัพค่ะ
ในฐานะที่ผมเป็นนักอ่าน ผมอยากจะบอกว่า ผมไม่ชอบวลีที่ผู้แต่ง เขียนไว้หน้านิยาย ก่อนเข้าอ่านในแต่ละตอนว่า
"ไม่เม้นไม่อัพ" ความรู้สึกแรกที่เราต้องการเวลาอ่านนิยาย มันก็เหมือนความประทับใจแรกพบ
ในความรู้สึกผม ถ้าคุณแต่งสนุก น่าติดตามก็ย่อมมีคนอยากคอมเม้นเป็นธรรมดา แต่การที่คุณแต่งเรื่องน่าเบื่อไม่สนุก แบบที่เห็นแล้วมันไม่ใช่ ซ้ำวลีเด็ดที่คุณบอก ไม่เม้นไม่อัพนั้น ทุกครั้งผมก็คิดว่า ไม่อัพก็แล้วแต่คุณเพราะผมจะไม่กลับไปอ่านเป็นครั้งที่สอง
และอีกอย่างคือ ผมไม่เข้าใจนักเขียนบางคน เหมือนจะเเต่งนิยายสดหน้าเด็กดี เอาลงเลย ไม่กี่บรรทัด 1 ตอน และหายไปสิบวัน มาลงอีก 1 ตอน สั้นๆ และไม่กลับมาแต่งอีกเลยหายไปหลายปี ทิ้งดองค้างไว้. ได้โปรดอย่าทำแบบนี้ มันเปลืองเนื้อที่ และเสียเวลาของผู้อ่านหลายคน
ผมขอแนะนำว่าลองแต่งให้ได้อย่างน้อยสัก 10 หน้า เอสี ขนาด 18 อังสนา เเล้วลองคิดว่าตนจะแต่งต่อหรือทิ้ง เมื่อมั่นใจแล้วค่อยลงจะดีกว่า. (คหสต)
เห็นด้วยเลยค่ะ พอเปิดอ่านแล้วเจอ ไม่เมนต์ไม่อัพ นี่แบบ อืมมมม ไม่อัพก็เรื่องของคุณค่ะ บางเรื่องนี่ไม่ต้องบอกให้เมนต์ เราก็เมนต์ให้นะ เพราะเนื้อเรื่องสนุก บรรยายดี เข้าถึงอารมณ์ตัวละคร แล้วก็ประเภทที่ขึ้นอัพเดตแล้ว พอกดเปิดเข้าไปดู เปิดให้เจิม ถึงสองร้อยเมนต์ สามร้อยเมนต์เจอกัน เพลียค่ะ บอกเลย
ขอกลับไปสำรวจนิยายตัวเองแปปนะครับ
ดีมากค่ะ
เรายืนยันเลย ว่าการมีเพลงรันออโต้ และไอคอนไล่นนักอ่านเงา ทำให้เราปิดเรื่องนั้นๆทันทีโดยที่ไม่คิดจะอ่านก่อนเลย
ถ้าผ่านข้างบนไปได้ก็ภาษาวิบัติ ตัวหนังสือยาวเป็นพืดนั่นล่ะ ที่ยอมรับไม่ได้
รายชื่อผู้ถูกใจความเห็นนี้ คน
แจ้งลบความคิดเห็น
คุณต้องการจะลบความคิดเห็นนี้หรือไม่ ?