วรรณกรรมพื้นบ้านภาคเหนือ
วรรณกรรมพื้นบ้านภาคเหนือส่วนใหญ่เป็นเรื่องที่มาจาก ปัญญาสชาดก
พื้นบ้านได้นำเนื้อหามาจากชาดกเรื่องนี้มาประพันธ์ด้วยฉันทลักษณ์
ของท้องถิ่น เช่น โคลง ค่าวธรรม ค่าวซอ เป็นต้น วรรณกรรมพื้นบ้าน
ภาคเหนือมี ๔ ประเภทคือ วรรณกรรมโคลง วรรณกรรมค่าวธรรม
วรรณกรรมค่าวซอ และวรรณกรรมเบ็ดเตล็ด แต่ละรูปแบบมีรายละเอียดดังนี้
พื้นบ้านได้นำเนื้อหามาจากชาดกเรื่องนี้มาประพันธ์ด้วยฉันทลักษณ์
ของท้องถิ่น เช่น โคลง ค่าวธรรม ค่าวซอ เป็นต้น วรรณกรรมพื้นบ้าน
ภาคเหนือมี ๔ ประเภทคือ วรรณกรรมโคลง วรรณกรรมค่าวธรรม
วรรณกรรมค่าวซอ และวรรณกรรมเบ็ดเตล็ด แต่ละรูปแบบมีรายละเอียดดังนี้
๑. วรรณกรรมโคลง
โคลง หรือเรียกตามสำเนียงท้องถิ่นภาคเหนือว่า กะโลง เป็นฉันทลักษณ์
ที่เจริญรุ่งเรืองในสมัยราชวงศ์มังรายตอนปลาย กวีสมัยอยุธยาได้นำ
รูปแบบโคลงของภาคเหนือมาประพันธ์เป็น โคลงสอง โคลงสาม
และโคลงสี่ ตัวอย่างวรรณกรรมโคลงของภาคเหนือที่รู้จักกันแพร่หลาย
เช่น โคลงพรหมทัต โคลงเจ้าวิทูรสอนหลาน โคลงพระลอสอนโลก
โคลงปทุมสงกา เป็นต้น
๒.๑ ความหมายของเพลงกล่อมเด็ก
เพลงกล่อมเด็กเป็นวัฒนธรรมท้องถิ่นอย่างหนึ่งที่สะท้อนให้เห็น
ความเชื่อค่านิยมของคนในท้องถิ่นต่าง ๆ คนทุกชาติทุกภาษาในโลกมี
บทเพลงกล่อมเด็กด้วยกันทั้งนั้น สันนิษฐานว่าเพลงกล่อมเด็กมีวิวัฒนาการ
จากการเล่านิทาน ให้เด็กฟังก่อนนอน ดังนั้น เพลงกล่อมเด็กบางเพลงจึงมี
ลักษณะเนื้อร้องที่เป็นเรื่องเป็นราว เช่น จันทรโครพ ไชยเชษฐ์ พระรถเสน
เป็นต้น การที่ต้องมีเพลงกล่อมเด็กก็เพื่อให้เด็กเกิดความเพลิดเพลิน หลับง่าย เกิดความอบอุ่นใจ
ความเชื่อค่านิยมของคนในท้องถิ่นต่าง ๆ คนทุกชาติทุกภาษาในโลกมี
บทเพลงกล่อมเด็กด้วยกันทั้งนั้น สันนิษฐานว่าเพลงกล่อมเด็กมีวิวัฒนาการ
จากการเล่านิทาน ให้เด็กฟังก่อนนอน ดังนั้น เพลงกล่อมเด็กบางเพลงจึงมี
ลักษณะเนื้อร้องที่เป็นเรื่องเป็นราว เช่น จันทรโครพ ไชยเชษฐ์ พระรถเสน
เป็นต้น การที่ต้องมีเพลงกล่อมเด็กก็เพื่อให้เด็กเกิดความเพลิดเพลิน หลับง่าย เกิดความอบอุ่นใจ
๒.๒ ลักษณะของเพลงกล่อมเด็ก
ลักษณะของเพลงกล่อมเด็ก ลักษณะกลอนของเพลงกล่อมเด็กจะ
เป็นกลอนชาวบ้าน ไม่มีแบบแผนแน่นอน เพียงแต่มีสัมผัสคล้องจองกัน
บ้างถ้อยคำที่ใช้ในบางครั้งอาจไม่มีความหมาย เนื้อเรื่องเกี่ยวกับ
ธรรมชาติสิ่งแวดล้อมเรื่องราวต่าง ๆ
ที่เกี่ยวกับชีวิต ความเป็นอยู่ สะท้อนให้เห็นความรัก ความห่วงใย
ของแม่ที่มีต่อลูก สั่งสอน เสียดสีสังคม เป็นต้น
บ้างถ้อยคำที่ใช้ในบางครั้งอาจไม่มีความหมาย เนื้อเรื่องเกี่ยวกับ
ธรรมชาติสิ่งแวดล้อมเรื่องราวต่าง ๆ
ที่เกี่ยวกับชีวิต ความเป็นอยู่ สะท้อนให้เห็นความรัก ความห่วงใย
ของแม่ที่มีต่อลูก สั่งสอน เสียดสีสังคม เป็นต้น
๒.๓ คุณค่าและประโยชน์ของเพลงกล่อมเด็ก
๑. เป็นบทร้อยกรองสั้นๆ มีคำคล้องจองต่อเนื่องกันไป
๒. มีฉันทลักษณ์ไม่แน่นอน
๓. ใช้คำง่ายๆสั้นหรือยาวก็ได้
๔. มีจังหวะในการร้องและทำนองที่เรียบง่าย สนุกสนาน
จดจำได้ง่าย
จดจำได้ง่าย
และยังมีประโยชน์อื่นๆ อีก คือ
๑. ชักชวนให้เด็กนอนหลับ
๒. เนื้อความแสดงถึงความรัก ความห่วงใย ความหวงแหนของแม่ที่มีต่อลูก
๓. แสดงความรักความห่วงใย
๔. กล่าวถึงสิ่งแวดล้อม
๕. เล่าเป็นนิทานและวรรณคดี
๖. เป็นการเล่าประสบการณ์
๗. ล้อเลียนและเสียดสีสังคม
๘. ความรู้เกี่ยวกับการดูแลเด็ก
2 ความคิดเห็น
ตั้งของเมืองโบราณ เช่น ชากังราว นครชุม ยังมีอีกเมืองหนึ่งคือ
เมืองไตรตรึงษ์ ชื่อเมืองไตรตรึงษ์ปรากฏ
ในศิลาจารึกหลักที่ ๓๘ เรียกว่าศิลาจารึก กล่าวไว้ว่า
พระเจ้าไชยศิริเชียงแสนหนีพม่ามาจากเชียงราย
เป็นผู้สร้างเมืองไตรตรึงษ์ เมื่อประมาณ พ.ศ.๑๕๐๐ จากซาก
กำแพงเมืองที่ยังปรากฏเห็น พบว่าตัวเมืองไตรตรึงษ์เป็นรูปสี่เหลี่ยม
ผืนผ้าขนานกับแม่น้ำปิง ขนาดกว้างประมาณ ๔๕๐ เมตร
ยาวประมาณ ๘๐๐ เมตร มีทางเข้าสู่เมือง ๒ ทาง
วัดสำคัญในกำแพงเมืองมี ๒ วัด คือวัดเจ็ดยอด และวัดพระปรางค์
ภายนอกกำแพงเมืองทางด้านทิศใต้มีวัดขนาดใหญ่เรียกว่า
วัดวังพระธาตุ ที่วัดนี้มีเจดีย์ทรงไทยหรือทรงพุ่มข้าวบิณฑ์เป็น
เจดีย์หลัก
รอบๆ มีเจดีย์รายทั้ง ๕ ทิศ ขุดค้นทางโบราณคดีพบลูกปัด
หินสีภายในบริเวณวัด ตะเกียงโบราณแบบโรมัน
และชิ้นเครื่องเคลือบลายครามขนาดเล็กกระจายอยู่ทั่วไป
ทุกวันนี้เมืองไตรตรึงษ์อยู่ที่บ้านวังพระธาตุ ตำบลไตรตรึงษ์
อำเภอเมืองกำแพงเพชร
ตำนานเล่าขาน ที่อิงกับประวัติศาสตร์ถึงกำเนิดของอาณาจักรอยุธยา
นั่นคือตำนานเรื่อง 'ท้าวแสนปม'เรื่องราวโดยย่อมีว่า
เจ้าเมืองไตรตรึงษ์ มีพระธิดาผู้ทรงสิริโฉม และที่ใกล้เมืองไตรตรึงษ์
นี้มีชายคนหนึ่งซึ่งร่างกายเต็มไปด้วยปุ่มปม
ชาวบ้านเรียกเขาว่า แสนปม มีอาชีพปลูกผัก มาวันหนึ่งเทวดาดลใจ
ให้พระธิดานึกอยากเสวยมะเขือ นางข้าหลวงพบมะเขือในสวนของ
แสนปมลูกใหญ่อวบ จึงซื้อไปถวาย หลังจากพระราชธิดา
เสวยมะเขือของแสนปมได้ไม่นานก็เกิดตั้งครรภ์ขึ้น
ท้าวไตรตรึงษ์รู้สึกอับอายขายหน้า พยายามสอบถามอย่างไร
พระธิดาก็ไม่ยอมบอกว่าใครคือพ่อของเด็ก ครั้นเมื่อพระกุมาร
เติบโตพอรู้ความ ท้าวไตรตรึงษ์จึงประกาศให้ขุนนางและ
เหล่าราษฎรทั้งหลายนำของกินเข้ามาในวัง หากพระ
กุมารยอมกินของผู้ใดผู้นั้นจะได้เป็นเขยหลวง บรรดาผู้ชายทุกคน
พากันมาเสี่ยงทายเป็นบิดาของพระราชโอรส แต่พระราชโอรส
ไม่ได้คลานไปหาใครเลย เจ้าเมืองจึงให้เสนาไปตามแสนปม
ซึ่งยังไม่ได้มาเสี่ยงทาย แสนปมจึงมาเข้าเฝ้า พร้อมทั้งถือก้อน
ข้าวเย็นมา ๑ ก้อน เมื่อมาถึงจึงอธิษฐาน และยื่นก้อนข้าวเย็นให้
พระราชโอรสก็คลานเข้ามาหา
จึงขับไล่ออกจากวัง แสนปมพาพระธิดากับพระกุมารเดินทางเข้า
ไปหาที่อยู่ใหม่ ร้อนถึงพระอินทร์ต้องแปลงเป็นลิงนำกลองวิเศษ
มามอบให้ กลองนี้อยากได้อะไรก็ตีเอาตามได้ดังสารพัดนึก
แสนปมอธิษฐาน
ให้ปุ่มปมตามตัวหาย
ไปแล้วตีกลองวิเศษ ร่างก็กลับเป็นชายรูปงาม จึงตีกลองขอ
บ้านเมืองขึ้นมาเมืองหนึ่ง ให้ชื่อว่า เมืองเทพนคร
และสถาปนาตัวเองเป็นพระเจ้าแผ่นดิน ทรงพระนามว่าท้าวแสนปม
ปกครองไพร่ฟ้าด้วยความสงบสุข ท้าวแสนปมใช้ทองคำมาทำเป็นอู่
(เปล)ให้พระโอรส และตั้งชื่อพระโอรสว่า 'อู่ทอง' ต่อมาพระเจ้าอู่ทอง
จึงย้ายเมืองมาสร้างกรุงศรีอยุธยา จากความเชื่อมโยงดังกล่าว
ทำให้นักประวัติศาสตร์บางท่าน เรียกชื่อราชวงศ์อู่ทอง
อีกชื่อว่าราชวงศ์เชียงราย
พระเจ้าอู่ทองเป็นเชื้อสายราชวงศ์เชียงราย ยังคงเป็นหนึ่ง
ในหลายแนวคิดเรื่องที่มาของพระองค์ และก็ยังไม่ถูกตัดออกไป
จึงพอจะอนุมานได้ทางหนึ่งว่า เมืองไตรตรึงษ์คือต้นทาง
แห่งกรุงศรีอยุธยานั่นเอง
รายชื่อผู้ถูกใจความเห็นนี้ คน
แจ้งลบความคิดเห็น
คุณต้องการจะลบความคิดเห็นนี้หรือไม่ ?