Dek-D.com ใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสบการณ์ของ
ผู้ใช้ให้ดียิ่งขึ้น เรียนรู้เพิ่มเติมที่นี่
ยอมรับ

[เด็กโข่งไดอารี่]เมื่อฉันกลับไปเรียนม.ปลายตอนอายุ 26 ปี(มีภาพ)

ตั้งกระทู้ใหม่
ตั้งกระทู้ใหม่


สวัสดีครับ จุดประสงค์ที่ผมมาตั้งกระทู้นี้ เพื่อให้เป็นแรงบันดาลใจกับใครหลาย ๆ คนที่อาจจะไม่ได้เรียนต่อแล้วหรือคนที่กำลังตัดสินใจจะไม่เรียนต่อนะครับ เผื่อจะเป็นแนวทางในการใช้ชีวิต และทำให้ทราบทฤษฎีที่ว่า ไม่เคยมีคำว่าสายสำหรับการศึกษา มันมีอยู่จริง ๆ ไม่ได้หวังว่าจะยกหางตัวเองให้สูงขึ้นหรือทำให้คนอื่นมองว่าผมเป็นคนดีอะไรนะครับ

***ผมก็เป็นบุคคลธรรมดาที่มีทั้งด้านดีและไม่ดี ก็อยากจะเสนอด้านที่ดูแล้วมีประโยชน์ต่อผู้อ่านมากที่สุด เพื่อที่อ่านแล้วมีกำลังใจสู้ต่อไป เรื่องต่อไปนี้เขียนมาจากประสบการณ์จริงครับ

สวัสดีครับผมเป็นเด็กแอด#59(ที่จริงก็ไม่เด็กละ) ที่เกิดในยุค80ครับ คือจะขอเกริ่นคร่าว ๆ นะครับ

เมื่อก่อนผมไม่ให้ความสำคัญกับการศึกษาเท่าไหร่เลยเพราะคิดว่าเราเก่งแล้ว เรามีความสามารถอยู่แล้ว แต่ในความเป็นจริงมันสำคัญ การทำงานต้องการดูวุฒิการศึกษาเพื่อการันตีความสามารถ เขาไม่มีเวลามานั่งศึกษาความสามารถของคนทีละคนหรอกครับ ยกเว้นคุณจะเก่งมากๆจนเป็นที่ประจักษ์จริงๆ แต่ถึงกระนั้นการศึกษาก็สำคัญอยู่ดีในสังคมหลายๆแห่ง

ผมเชื่อว่าหลายคน คงจะมีคำถามในใจว่า แล้วก่อนหน้านั้นไปทำอะไรอยู่? ทำไมเพิ่งมาเรียน? ผมขออนุญาตเล่าโดยสังเขปนะครับ ภูมิลำเนาผมเดิมทีเป็นคนจังหวัดน่านครับ เป็นจังหวัดที่สงบ เงียบ น่ามาเที่ยวแบบสโลว์ไลฟ์ หากสมาชิกท่านใด กำลังมองหาเมืองเนิบ ๆ ช้า ๆ ก็เชิญได้ครับ (ขออภัยนอกเรื่องไปนิด) ก็เรียนที่น่านมาโดยตลอดจนถึง ม.1 ผมก็ได้ย้ายไปเรียนที่จังหวัดยะลาตามแม่ครับ แม่ผมไปทำงานที่นั่น พ่อกับแม่ผมแยกทางกันครับ แม่เลี้ยงผมกับพี่สาวคนเดียว

และผมจบชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 จากโรงเรียนเบตง"วีระราษฎร์ประสาน" ครับ



อ่อผมลืมบอกไปครับ ผมมีพี่สาวด้วยนะครับ ซึ่งห่างกัน 3 ปีพอดี พอผมจบ ม.3 พี่สาวก็จบ ม.6 พอดีครับ จวบจังหวะว่าภาคใต้ไม่ค่อยสงบ เศรษฐกิจไม่ค่อยดี แม่เลยตัดสินใจจะไม่ให้ผมเรียนต่อสายสามัญ จะให้ออกมาทำงาน และเรียนการศึกษานอกโรงเรียนไปด้วย พี่สาวผมก็ไปเรียนราม หลังจากออกจากม.3 ผมก็ได้ไปทำงานเสริฟ และ ก่อสร้าง 

***อาชีพก่อสร้างก็ไม่ได้เลวร้ายนะครับ ก็ไปเป็นลูกมือให้ช่าง ตักหิน ตักทรายมาให้ช่างเขาผสม ตักปูนให้ช่างก่ออิฐ ค่าแรงตอนนั้นอยู่ที่ วันละ 150 บาท แต่จุดที่ทำให้ผมเคารพตัวผมเองมากๆคือ ทุก ๆ วันจะมีผู้รับเหมามาดูการทำงานของแต่ละคน ใครขยันก็จะได้เพิ่ม ปรากฎว่าพอเงินออกผมได้รับค่าจ้างวันละ 160 บาท ความต่างแค่ 10 บาทอาจจะไม่เยอะ แต่มันทำให้ผมรู้สึกเคารพในตัวเองและรู้สึกดีที่ผู้รับเหมาเขาก็เห็นในความขยันของเรา อันนี้คือความทรงจำที่ไม่เคยลืม ทำให้ผมเรียนรู้ที่จะเห็นค่าของเงินครับว่ากว่าจะหามาได้แต่ละบาทช่างยากเย็น

หลังจากนั้นก็เรียนมั่ง ทำงานมั่ง ทำงานก่อสร้างไปสักพักรู้สึกเหนื่อย ก็เลยไปหางานใหม่ เป็นร้านหมูกะทะครับ ไม่ต้องเสริฟแค่บริการเครื่องดื่มและเก็บโต๊ะ แค่นั้นเอง งานเบา ๆ ได้เงินดี ก็ทำไปเวลาก็ผ่านไป 1 ปีครับ 

จนวันหนึ่งได้เจอกับเพื่อนรุ่นราวคราวเดียวกัน เขามากินหมูกะทะร้านที่เราทำงานอยู่ ก็ได้พูดคุยทักทายกันตามประสาเพื่อน ซึ่งเวลาเขาคุยเขาก็จะคุยแต่เรื่องเรียน  ๆ ๆ ๆ ๆ ตอนนั้นเหมือนได้เห็นแสงแห่งธรรม ว่าเราจะอยู่เป็นเด็กเสริฟแบบนี้ไปตลอดชีวิตไม่ได้นะ เราต้องพัฒนาตนเอง กับช่วงนั้น เศรษฐกิจที่นั่นไม่ดีเอามาก ๆ แม่เลยตัดสินใจจะย้ายไปหาดใหญ่ และจะให้ผมไปอยู่กับลุงที่ตลาดไท **ลุงผมทำอาชีพขนผลไม้จากจังหวัดต่าง ๆ เขาไปส่งที่ตลาดไท ตอนนั้นก็คิดละว่า ชะตากรรมต้องไปเป็นจับกังขนผลไม้ที่ตลาดไทแน่ ๆ เลยตัดสินใจวางแผนว่าเราจะต้องไปเรียนต่อ เรียนต่อ และเรียนต่อ ก็ใช้อินเตอร์เน็ตค้นหาคุณสมบัติการเรียนต่อซึ่งในนั้นเขาไม่จำกัดอายุ แต่ต้องสถานะโสด ซึ่งจะเรียนที่เบตง มันก็ไม่โอเค เพราะมีแต่คนที่รู้จักเรา และเพื่อนของเราก็อยู่ ม.5 แล้ว กลัวว่าจะโดนล้อ อายคนอื่นเขา เลยตัดสินใจจะไปเริ่มเรียนในที่ ๆ ไม่มีคนรู้จักเรา เลยตัดสินใจจะไปเรียนต่อที่กรุงเทพฯ ก็แอบไปเอาเอกสารต่าง ๆ จากแม่มาเก็บไว้ และทำงานที่ร้านหมูกะทะ เก็บเงินได้จำนวนหนึ่ง

ถึงวันที่แม่จะส่งขึ้นรถไปหาลุง โดยขึ้นรถทัวร์จากเบตงไปลงที่ยะลา โดยลุงจะรอรับที่นั่น เราก็ตัดสินใจ ลงรถกลางทางแล้วมุ่งหน้าเข้าสู่กรุงเทพฯ ลงที่สายใต้ใหม่(ตอนนั้นสายใต้ใหม่จะอยู่แถวเซ็นทรัลปิ่นเกล้า) ก็ตัดสินใจเดิน ๆ แล้วไปขึ้นรถเมลล์สาย 40 กะว่าแถวไหนโอเคก็จะอยู่ที่นั่น รถเมลล์จอดอยู่ป้ายหนึ่ง คนลงค่อนรถ เราก็เลยคิดว่าเขาคงจะสุดสายแล้วเลยลง ปรากฎว่าที่นั่นคือ อิสรภาพ42(ชื่อเหมือนมุ่งสู่อิสรภาพเลยนะครับ) ก็ไปติดต่อเช่าหอและหาโรงเรียนใกล้ ๆ แถวนั้นเพื่อจะสมัครเรียน ก็เลยไปสมัครสอบโรงเรียนทวีธาภิเศก สอบติดครับ ได้สายวิทย์-คณิตฯ





ช่วงแรกที่เรียนก็ไฟกำลังแรงครับไม่ได้เรียนมานาน ร้อนวิชา ก็กำลังไปได้สวย แต่หลัง ๆ เริ่มแผ่วครับ เพราะต้องทำงานเสริฟที่ร้านหมูกะทะ เลิกงานดึก ***ด้วยความเป็นเด็ก(ตอนนั้นอายุ 17 ปี) ก็ควบคุมตัวเองไม่ค่อยได้ ไปโรงเรียนบ้างไม่ไปบ้าง แต่โรงเรียนนี้ คุณครูก็ช่วยเหลือเราทุกอย่างนะครับ สอบก็มาตาม ทุนก็หาให้ มันเลยเป็นปมชีวิตมาจนทุกวันนี้ครับ รู้สึกเสียดายที่มีครูดี แล้วเราไม่ตั้งใจเรียน ก็เลยตัดสินใจ ลาออกมาครับเพราะเรียนไม่ไหวค ชีวิตในรั้วทวีธา อบอุ่นและมีความสุขมากครับ

หลังจากออกมาก็ไปทำงาน ๆ ๆ ๆ ๆ ๆ ๆ ลอยไปลอยมา เหมือนจะมีความสุข แต่ก็คิดถึงโรงเรียนครับ ก็ได้รู้จักกับคน ๆ หนึ่ง รู้จักกันได้สักพัก เขาก็รู้เรื่องราวของเราและอยากช่วยครับ เลยถามผมว่าอยากเรียนไหม ถ้าอยากเรียนจะส่งให้เรียน ตอนนั้นก็เห็นแสงแห่งความหวังอีกครั้ง ก็เลยตัดสินใจเรียนต่อครั้งที่ 2 ครับ ที่โรงเรียนมัธยมวัดบึงทองหลาง ก็สอบได้สายศิลป์-จีนครับ แต่ด้วยค่านิยมว่า เรียนสายวิทย์-คณิตฯ แล้วได้เปรียบเลยไปขอย้ายสาย ก็ได้เรียนสายวิทย์ - คณิตฯ อีกครั้ง



การที่ได้เรียนที่มัธยมวัดบึงทองหลาง ก็ได้มีโอกาสเรียนนักศึกษาวิชาทหาร เป็นรสชาติชีวิตอีกแบบหนึ่งครับ






ชีวิตเหมือนจะไปได้ดีนะครับ ก็เรียนไปไม่ต้องทำงานด้วยเรียนไปด้วย แค่ช่วยพี่เขาทำงานของพี่เขาบ้าง แต่แล้วชีวิตก็ต้องเปลี่ยนไป เมื่อมีจดหมายฉบับหนึ่งมาส่งที่บ้าน

หมายเรียกเข้ารับการเกณฑ์ทหารครับ โดยที่ต้องให้ผมไปจับใบดำใบแดงที่เบตง ยะลาครับ หูววว ไกลจัง เป็นคนน่านทำไมต้องไปจับที่โน้น คือแม่ไม่รู้กฎหมายครับ ตอนอายุ 17 ปีก็พาไปขึ้นที่อ.เบตง จ.ยะลาเลยครับ เลยต้องกลับมาจับใบดำใบแดงที่นี่

ตอนนั้นก็คิดละว่า ถ้าเราจะผ่อนผันเพราะติดเรียนที่มัธยมวัดบึงทองหลาง ก็ต้องเทียวไปเทียวมาทุกปี การผ่อนผันนี่ต้องไปรายงานตัวทุกปีนะครับ เลยตัดสินใจเสี่ยงครับ เพราะช่วงนั้นมีกระแสประมาณว่า คนสมัครเป็นทหารเยอะ พวกที่จับใบดำใบแดงส่วนมากจะไม่ได้กัน

***ปรากฎว่าจับได้ ใบแดงครับ ทร.3 การเริ่มต้นเรียนครั้งที่ 2 ของผมเลยต้องถูกล้มเลิกไป





รับราชการทหารเต็มจำนวนครับ คือ 2 ปี บังเอิญได้รับตำแหน่งดีในปีที่ 2 เป็นทหารหน้าห้องของท่านรองเจ้ากรมพลาธิการทหารเรือครับ เลยตัดสินใจอยู่อีก 1 ปี เพื่อเก็บเงิน เลยปลดประจำการเมื่อ เดือน พฤษจิกายน ปี 2555 ครับ

พอปลดประจำการก็มีเงินก้อนหนึ่ง และวางแผนไว้ว่าปลดทหารแล้วจะต้องกลับมาบวชทดแทนคุณพ่อแม่ ครูบาอาจารย์ ผู้คอยอุปถัมป์ และญาติมิตรสหาย ครับ



พอบวชเสร็จ เลยคิดว่าจะกลับมาเรียนต่อครับ ตอนนั้นอายุ 26 ปีพอดี อยากจะกลับมารีสตาร์ทตัวเอง และ แก้ไขปมที่เริ่มเรียนมา 2 ที่แล้วไม่สำเร็จสักที แต่การกลับมาเรียนครั้งนี้เราจะต้องไม่รบกวนผู้อื่น เพราะคิดว่าเราตัดสินใจจะมาเรียนเอง เลยคิดว่าถ้าจะเรียน ต้องมีงานทำ และอะไรล่ะ ที่เราถนัด และทำได้ดี ก็นึกออกแต่พนักงานเสริฟ แต่ไม่น่าจะไหว เพราะงานมันหนักและได้เงินน้อย ***เคยดูภาพยนต์เรื่องหนึ่งนางเอกตกงาน เลยเขียนจดหมายว่าตนเองทำอะไรได้บ้างแล้วส่งไปที่ ๆ อยากจะทำงาน ให้เขาติดต่อมา 
(Cr.The confession of shopaholic สเน่ห์รักสาวนักช็อป)

ผมก็เลยทำเรซูเม่(Resume[อ่านว่า เรซูเม่]คือใบสมัครงาน ใบแนะนำตนเอง,ประวัติส่วนตัวเพื่อสมัครงาน) เป็นภาษาอังกฤษ (โดยไม่ได้ระบุวุฒิการศึกษา) ส่งไปเกือบทุกโรงแรมในจังหวัดน่าน เพื่อสมัครเป็น รีเซปชั่น เดชะบุญ มี 1 โรงแรมติดต่อกลับมา ให้ไปสัมภาษณ์ พอสัมภาษณ์ เขาก็ไม่ได้ขอดูวุฒิการศึกษา และรับเข้าทำงานทันที (เจ้าของให้เหตุผลว่า ไม่ว่าจะจบอะไรมาก็ต้องมาเรียนรู้หน้างานอยู่ดี ที่เรียกมาสัมภาษณ์เพราะอยากดูบุคลิก) ผมก็ได้ทำงานเป็นรีเซปชั่น ได้เงินเดือนประมาณ 9000 บาท (สำหรับต่างจังหวัดบ้านไม่เช่าข้าวไม่ซื้อถือว่าอยู่ได้ครับ) ทำงาน 4 โมงเย็นเลิกเรียนถึงเที่ยงคืน จะอ่านหนังสือหรือมีการบ้านก็เอามาทำได้เวลาไม่มีลูกค้า โรงแรมชื่อน่านบูติกนะครับ ถ้าหากมีโอกาสมาเที่ยวน่านเชิญแวะมาชมได้นะครับ โรงแรมสะอาดและอยู่ใจกลางเมืองครับ



ช่วงที่ผมลาสิกขามา เป็นช่วงที่โรงเรียนต่าง ๆ ได้สอบเพื่อรับนักเรียนเข้าศึกษาต่อไปหมดแล้ว แต่ยังมีบางโรงเรียนที่ยังรับอยู่เลยไปสมัครเข้าเรียนที่โรงเรียนนันทะบุรีวิทยา โดยเลือกเรียนสายศิลป์ - จีน เพราะหลังจากที่เราผ่านอะไรมา เราก็พอรู้ตัวเองว่าไม่ชอบคณิตฯ ไม่ชอบอะไรคำนวณ ๆ ชอบภาษามากกว่า



เรียนอยู่ที่โรงเรียนนันทะบุรีวิทยาอยู่ได้ 1 เดือน ผมก็อยากไปเข้าโรงเรียนเอกชนใกล้บ้าน เพราะมันสะดวกเดินทางใกล้กว่า ผมก็เลยไปสอบถามผ่านทางเพจของโรงเรียนน่านคริสเตียนศึกษาเกี่ยวกับเรื่องการย้ายโรงเรียน ตอนแรกจะย้ายไปตอน ม.5 แต่โรงเรียนน่านคริสเตียนศึกษาก็ให้โอกาสผม โดยรับผมเข้าเรียนทันทีครับ มาทราบทีหลังว่าคนที่ตอบข้อความเฟซบุ๊คของผมก็คือท่านผู้จัดการโรงเรียน ก็ต้องขอบคุณที่ได้ให้โอกาสผมด้วยนะครับ และแล้วผมมาเรียนต่อที่โรงเรียนน่านคริสเตียนศึกษา ในสายศิลป์-จีนเช่นเดิมครับ



คืนนี้ขอละไว้เท่านี้ก่อน พรุ่งนี้ผมจะมาเล่าประสบการณ์การเรียน กับคนรุ่นหลานให้ฟังว่าเจอกับอะไรมาบ้าง หากใครใคร่แชร์ก็แชร์นะครับ ใครใคร่เม้น ใคร่ถาม ก็เม้นได้นะครับ พร้อมรับฟังทุกความคิดเห็นครับ 

มาต่อกันครับ สำหรับช่วงแรกที่ย้ายเข้าไปเรียน ด้วยความเราเคยเป็นทหารเก่ามา และ เคยบวชมาแล้วด้วย การปรับตัวค่อนข้างจะลำบากเพราะจะให้เราไปแอ๊บแบ๊ว มันก็ทำลำบาก จะให้เราบอกทุกคนว่า เฮ้ย! ฉันอายุเท่ากับอา ๆ พวกเธอแล้วนะ ก็ไม่ได้ กลัวจะไม่มีสังคม เลยตัดสินใจ ไม่บอกใครเรื่องอายุ แต่จะรู้เฉพาะครูบางท่าน(ครูบางท่านรู้ ครูทุกท่านรู้ครับ) ก็พยายามไปศึกษาว่า เด็กสมัยนี้ชอบอะไร ฟังเพลงแนวไหน สนใจในเรื่องอะไร (เหมือนทำสื่อการสอนยังไงไม่รู้นะครับ) เพราะไอเราเกิดมากับยุค RS ยุคก่อน ราฟฟี่-แนนซี่ โมเม เจอาร์-วอย เอิร์น กรพินธ์ โดม เจมส์ ลิทฟ์-ออย (ใครรู้จักหมดก็พึงสังวรณ์ไว้เถิด ว่าใกล้เลข 3 ละ) แนวความคิดมันก็ย่อมต่างกันแบบเกือบจะสุดขั้วอยู่แล้ว เลยทราบว่าเด็กสมัยนี้ชอบอะไรที่แหวก ๆ ไม่ต้องมีความหมายก็ได้ ขอมันส์ ๆ แนว ๆ ไม่เหมือนใคร เป็นกระแสแค่ช่วงหนึ่ง มาแล้วก็ไป เช่น กาโว,ฮาเรม เช็ค อะไรประมาณนี้ ***ก็มีอยู่ครั้งนึง เราฟังเพลงในไอโฟน ซึ่งในไอโฟนก็ จัดเต็มมาเลย The Next,The Adventure,Mission 4 Project,บาซู,ไชน่า ดอล เพื่อนก็มาขอฟังด้วย มันก็บอกว่า โหแกฟังเพลงเก่าจัง ไอเรานี่ก็ไปไม่ถูกเลย ก็พยายามปรับตัวให้สามารถคุยอยู่ร่วมวงสนทนากับพวกเพื่อนๆ(หลานๆ)ได้น่ะครับ เพื่อเขาจะไม่ได้เกิดความสงสัย ภาพนี้เป็นภาพแรกที่ได้ถ่ายหลังจากเข้าไปเรียนที่โรงเรียนน่านคริสเตียนศึกษานะครับ



ผมมีเพื่อนสนิทชื่อสมดุ๋ยครับ สมดุ๋ยเป็นเด็กพิเศษ เป็นคนสมาธิสั้น ที่จริงเขาชื่อวิว แต่เหตุที่เรียกว่าสมดุ๋ยเพราะเขาชอบวาดการ์ตูนมาก ๆ และตั้งชื่อตัวเอกชื่อว่าสมดุ๋ย การเรียกชื่อแทนของใครไปนาน ๆ มันจะติดปากครับ แล้วเราจะเรียกชื่อจริง ๆ ของเขาไม่ถนัดเลย อย่างที่บอกสมดุ๋ยเป็นเด็กพิเศษ สมาธิสั้น ทำให้ผมสนใจในตัวเขาเป็นพิเศษ จะคอยช่วยเรื่องเรียน เพราะเห็นว่าเขาเป็นคนที่ต้องการความช่วยเหลือมากกว่าคนอื่น สมดุ๋ยเป็นคนไฮเปอร์ อยู่ไม่นิ่งเราจะต้องคอยสอน คอยปราม ให้เขาทำการบ้าน เวลามีกลุ่มก็จะลากเข้ามาทำงานในกลุ่ม เพราะคนอื่นมักจะไม่รับสมดุ๋ยเข้ากลุ่ม แต่เวลาวานสมดุ๋ยทำอะไร สมดุ๋ยจะไม่เคยเกี่ยง สมดุ๋ยเลยได้รับฉายาเป็น ม้าเร็ว ครับ



ปัญหาเรื่องการเข้ากับคนอื่นก็ค่อย ๆ ลดลงไป

ส่วนเรื่องการเรียน ปัญหาสำคัญอีกเรื่อง หลายคนอาจจะมองว่า โหย ก็คุณอายุปูนนั้นแล้ว คงได้ 4.00 แหละ เพราะเด็กเขาสู้คุณไม่ได้หรอก อันที่จริงก็ไม่ใช่นะครับ ไม่งั้นผมคงลงแอดฯเอามหาลัยดัง ๆ ไปแล้ว เด็กสมัยนี้เก่ง ขยัน เยอะมาก มีโอกาสในการเรียนรู้เยอะมาก กลับมาเรื่องการเรียนของผม มันก็พอประติดประต่อจากความรู้เดิมที่ห่างหายไปนานได้ ก็ต้องทบทวนมากกว่าคนอื่นครับ 

***เรื่องรายละเอียดปลีกย่อยผมจะไม่ขออธิบายละนะครับ กลัวคนเบื่อกัน เพราะมันมีเยอะมาก ถ้าอยากทราบถามเป็นการส่วนตัวก็ยินดีแชร์ครับ ผมจะขอยกเอามาบางเหตุการณ์ที่ตราตรึงในความทรงจำผมก็แล้วกันนะครับ

พอเข้าช่วงม.6 ก็เป็นช่วงที่ต้องหาที่เรียนต่อ ผมเคยคิดเสมอนะครับว่าชีวิตเรา โอกาสเรา โมเม้นเรา เราต้องทำให้สุด ถ้าอยากจะทำอะไรก็ทำ จะได้ไม่กลับมาเสียใจภายหลังอีก เลยตัดสินใจ ลงสอบทุกมหาลัยที่มีคณะที่เราอยากจะเรียน และ เป็นมหาลัยที่เราอยากจะเข้านะครับ เรื่องค่าใช้จ่าย ก็ออกเอง ที่บ้านก็ช่วยสนับสนุนอยู่บ้างครับ

 มหาวิทยาลัยที่ลงสมัครไปก็คือ

1.โควต้ามหาวิทยาลัยเชียงใหม่ (สอบ) ติดครับ

2.โควต้ามหาวิทยาลัยนเรศวร (ยื่นเกรด โรงเรียนส่งให้) ติดครับ

3.รับตรงมหาวิทยาลัยแม่โจ้ (ยื่นเกรด) ติดครับ

4.รับตรงมหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวง(ยื่นเกรด และคะแนนแกท) ติดครับ

5.รับตรงมหาวิทยาลัยสวนดุสิต (สอบ) ติดครับ

6.รับตรงสถาบันกรมการบินพลเรือน (สอบ) รอสอบครับ

***แต่ผมคิดว่าผมจะเลือกมหาวิทยาลัยเชียงใหม่ครับ เพราะติดคณะที่เราชอบพอดี

การไปสอบทุกที่มีค่าใช้จ่ายครับ ทั้งค่าสมัครและค่าเดินทางอีกทั้งค่าที่พักในการไปสอบ มีบุคคลบางกลุ่มก็บอกว่า ไม่เอาแล้วจะไปสอบกั๊กที่ของคนอื่นทำไม ขอตอบเลยครับ ผมอยากจะเก็บเอาประสบการณ์การใส่ชุดนักเรียนไปสอบตามสถาบันต่าง ๆ เก็บไว้ในความทรงจำ เพราะมันไม่สามารถกลับมาทำได้อีกแล้ว อยากมีอะไรเก็บไว้ไปเล่าให้คนรุ่นลูกรุ่นหลานฟังบ้างว่าเราผ่านอะไรมาบ้าง ก็อยากให้เข้าใจนะครับ 

***วันที่ผมรอคอยผมก็มาถึงครับ  วันพิธีจบหลักสูตร



ผมเป็นคนเข้มแข็งตลอดและเป็นคนร้องไห้ยากมากนะครับ แต่วันพิธีจบผมดันร้องไห้เฉย มันเป็นน้ำตาแห่งความภูมิใจว่า อย่างน้อยผมก็ได้ทำอะไรสักอย่างในชีวิตได้สำเร็จสักที ต่อไปนี้ผมก็จะได้มีความเคารพตนเองมากขึ้น ให้อภัยตัวเองมากขึ้น 



ที่ผมมาโพสเอาป่านนี้เพราะ ถ้าโพสในช่วงที่เรียนอยู่ กลัวเพื่อนในห้องมาอ่าน แล้วเขาจะทำตัวกับผมไม่ถูก เลยกะว่า รอคิดว่าเรียนจบชัวร์ ๆ แยกย้ายกันค่อยมาแชร์ ประสบการณ์ การเดินทางไกลของผม ซึ่งตอนนี้ได้ครึ่งทางแล้ว หวังว่าน้อง ๆทุกคนคงจะได้เอาส่วนที่ดี ไปปรับใช้ในชีวิต และ หวังว่าจะได้เป็นส่วนหนึ่งในการสร้างแรงบันดาลใจ และเป็นกำลังใจ ให้กับเด็กซิ่วด้วยนะครับ  

ในที่สุดผมก็จบม.6 ตามที่ผมหวังไว้ได้ละครับ น้ำตาไหล




***การศึกษาไม่เคยแบ่งอายุ  มีแต่คนเรานี่แหละที่แบ่งอายุในการศึกษา***

ขออนุญาติใช้สื่อนี้ได้กล่าวขอโทษทุกท่านกับเรื่องราวในอดีต หากได้ทำให้ท่านใด บุคคลใดได้รับความเดือดร้อน ไม่สบายใจ ก็กราบขออภัยมา ณ ที่นี้ด้วยนะครับ


แสดงความคิดเห็น

>

87 ความคิดเห็น

bobobubu 8 มี.ค. 59 เวลา 23:46 น. 1

โอ๊ย อ่านเพลินเลยค่ะ เจ๋งมาเลยค่ะพี่ เห็นแล้วนับถือในความพยายาม ทั้งเรียนทั้งทำงาน นึกถึงว่าถ้าเป็นตัวเองคงจอดไปนานแล้ว  สู้ๆเค้านะคะ  จะรออ่านตอนต่อไป รีบๆมาน้าาาา

0
Fishzyn 9 มี.ค. 59 เวลา 00:12 น. 4

หนูยังเรียนอยู่ มีพ่อแม่ส่งหนูยังขี้เกียจเรียนเลย พอได้อ่านเห็นความพยายามจะเรียนของพี่แล้วหนูอายเลยง่ะ T-T หนูจะตั้งใจเรียนค่ะ มาต่อด่วนๆเลยนะคะ อยากอ่านต่อแล้ววว

0
เฟื่องฟ้า : ) 9 มี.ค. 59 เวลา 00:49 น. 5

น้องพายยย จำพี่เฟื่องฟ้าได้ไหม เราเจอกันที่ค่ายครู (เรียกน้องดีไหมนะ เขินๆยังไงไม่รู้55)
เอาเป็นว่าอยู่ข้างนอกพายเป็นพี่แล้วกันเนอะ ^^

ตามมาอ่านกระทู้นี้จากที่พายโพสในเฟซบุ้กค่ายค่ะ
บอกตรงๆว่าไม่เคยเบื่อเลยที่จะฟังเรื่องนี้ และฟังทีไรก็น้ำตาคลอตลอด
ขนาดเฟื่องฟ้าที่เรียนในคณะเกี่ยวกับการศึกษาโดยตรงยังมีพายเป็นแรงบันดาลใจเลย
พายทำให้เข้าใจถึงความสำคัญของคำว่า'การศึกษา'จริงๆ
พายเป็นคนเก่ง และเป็นตัวอย่างที่น่าชื่นชม ขอบคุณที่มาแชร์เรื่องราวให้คนอื่นฟัง
ขอบคุณที่สู้กับสิ่งต่างๆมาถึงขนาดนี้ เรื่องของพายเป็นเรื่องที่เฟื่องฟ้าไม่มีวันลืมเลยค่ะ
มันประทับใจมากๆ หวังว่าสักวันเราคงจะได้มีโอกาสเจอกันอีกครั้งเนอะ ^^

ถ้าพายได้อ่านคอมเม้นท์นี้ก็อยากจะบอกว่าคิดถึงแล้วก็เป็นกำลังใจให้เสมอนะคะ
เชื่อว่าเรื่องราวของพายจะเป็นแรงบันดาลใจที่ดีให้กับหลายๆคนแน่นอน


ปล. สบายดีไหมมม ว่างๆทักมาคุยกันบ้างนะคะ : ))

0
Noname 9 มี.ค. 59 เวลา 00:54 น. 6

ทำไมเรารู้ว่าไม่ใคำว่าเสียไปสำหรับการเรียน รู้สึกเป็นกระทู้ที่ให้กำลังใจมากสำหรับเด็กซิ่ว นับถือคุณพี่จริงๆ

0
Marco Maurer 9 มี.ค. 59 เวลา 10:34 น. 8-1

ได้โควต้าน่ะครับ เป็นรูปที่ไปตรวจสุขภาพครับ

0

ความคิดเห็นนี้ถูกลบ

ถูกลบโดยเจ้าของความเห็น

Marco Maurer 9 มี.ค. 59 เวลา 10:47 น. 10-1

ขออภัยครับน้องตอนแรกพี่เว้นไว้ให้มันดูเป็น-ส่วนให้อ่านอ่าน แต่ดูแล้ว มันเยอะไปจรง ๆ แหละครับ แก้ไข้ให้นะครับ

0
johnwayne2175 9 ก.ย. 60 เวลา 13:52 น. 13-2

ยอดเยี่ยมมากเลยครับ เผื่อผมจะได้เลียนแบบบ้าง คนเราไม่แก่เกินเรียน

0
Tatum 10 มี.ค. 59 เวลา 18:15 น. 20

นับถือมากๆเลยครับ เป็นกำลังใจ เป็นแรงใจให้ผมได้ด้วย

ขอบคุณน่ะครับที่มาแชร์อะไรดีๆ ให้ข้อคิดได้อ่านกัน ขอบคุณและเป็นกำลังใจให้ครับ สู้สู้

0