Dek-D.com ใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสบการณ์ของ
ผู้ใช้ให้ดียิ่งขึ้น เรียนรู้เพิ่มเติมที่นี่
ยอมรับ

เมื่อครั้งนั้น...เราพบกันครั้งแรก - ไปรับฝรั่งกันเถอะ #ฝรั่งคือนิพพาน #ติ่งฝรั่ง #ฝรั่งคือพ่อของลูก

ตั้งกระทู้ใหม่
สวีดัด สวัสดีชาวเด็กดีทุ๊กกกกกคน กระทู้นี้ไม่ใช่กระทู้แรกของเรา เพราะก่อนหน้านี้เราได้ตั้งกระทู้นึงไปแล้ว ลิงค์ http://www.dek-d.com/board/view/3580497/ อาจจะเรียกว่ากระทู้นี้เป็นภาคต่อก็ได้ ปกติเราจะเขียนเรื่องของเราลงแค่ในเฟสส่วนตัว แต่เผื่อว่ามีใครอยากอ่านอีก วันนี้เลยมาเขียนลงเด็กดี วันนี้สำนักพิมพ์ทึบแสง ขอเสนอเรื่องราวรักมุ้งมิ้งสุดติ่งจากการมโนอันเลิศล้ำของชะนีไทยในเรื่อง เมื่อครั้งนั้น...เราพบกันครั้งแรก ในตอน ไปรับฝรั่งกันเถอะ ว่าแล้วก็ let's goooooooo 

เมื่อครั้งนั้น...เราพบกันครั้งแรก – ไปรับฝรั่งกันเถอะ

เธอจำได้ไหม วันนั้นที่ฝรั่งกำลังจะมาถึง หลังจากที่เขาขึ้นเครื่องบินแล้วฉันแทบคลั่งเลยล่ะ กังวลไปซะจนหมดทุกอย่าง คิดไปเรื่อยเปื่อยว่า เขาจะชอบครอบครัวเราไหม เขาจะอยู่ที่บ้านเราได้รึเปล่า หรือว่าสุดท้ายแล้วจะต้องได้ไปเปิดโรงแรมให้เขาพัก เพราะบ้านเราต่างจากบ้านเขามากมาย แล้วถ้าเขาเห็นตัวจริงของเรา เขาจะยังคงชอบเราอยู่รึเปล่า จะทำยังไงดีล่ะ ถ้าเขาเห็นหน้าเราปุ๊บแล้วเดินหนี  นี่คือความคิดตอนนั้น ซึ่งกังวลไปจนหมดทุกอย่างจริงๆ เจอกันครั้งแรกในชีวิตจริงเชียวนะ  

วันนั้นทั้งวันเรามัวแต่วุ่นอยู่กับการจัดบ้าน 555 บ้านจากที่โทรมๆนี่ก็พยายามหาผ้าม่านแบบหรูๆมาห้อยตกแต่งบ้างเอย แต่มันก็ไม่มีอะไรเข้ากันสักอย่างเลย จนจำคำพูดคำนึงของฝรั่งที่ฝรั่งย้ำแล้วย้ำอีกว่า ‘’ยูอย่าลืมซื้อมุ้งให้ไอด้วยนะ ไอกลัวยุง ไอกลัวมาลาเรีย ที่บ้านไปมันไม่มียุง ไอไม่กล้านอนถ้าไม่มีมุ้ง’’ เอาไงล่ะหว่าทีนี้ ทำยังไงดี ที่ไหนเขาขายมุ้งแบบห้อยๆบ้างล่ะเนี่ย จะเอามุ้งธรรมดาที่บ้านกางให้ก็ขาดหลุดลุ้ยไปหมดแล้ว กลัวจะตกใจเอา เวลาก็ปาไปเกือบหกโมงเย็นแล้ว ทำไงดีเนี่ย ดันอยู่ต่างจังหวัดอีก เราจะไปหาซื้อมุ้งที่ไหน ?!! นึกขึ้นได้เลยรีบโทรไปหาเพื่อน พากันสวมวิญญาณเด็กแว๊น ขับรถตระเวนทั่วตัวเมืองเพื่อจะหามุ้งให้อีฝรั่ง -.,- จนแล้วจนรอด กว่าจะได้มุ้งมาตอนนั้นก็เกือบสามทุ่มแล้ว = = เลยรีบตกลงนัดแนะเวลากับเพื่อน ว่าจะออกเดินทางไปสนามบินกันกี่โมง เพราะจังหวัดที่เราอยู่นั้นกับสนามบินมันอยู่คนละจังหวัดกัน จำได้ว่าฝรั่งบอกว่าเครื่องจะลงประมาณหกโมงเช้า จะรอจนเช้าแล้วไปด้วยรถตู้ก็กลัวจะไม่ทัน กลัวเขาจะรอเก้อ (ทำยังกะไปรอรับนายก 5555) เลยขึ้นว่า งั้นก็ไปรถไฟฟรีกันสิ ออกจากบ้านตี 1:30 รถไฟคงจะมาถึงประมาณตี พอดี (จะเช้าไปไหนเนี่ยยยย ><) กลับไปถึงบ้าน แม่ก็คงตื่นเต้นไม่แพ้กัน บอกให้ลูกสาวรีบไปอาบน้ำแล้วนอนพักผ่อน เดี๋ยวจะไม่สวยเอา ถ้าไม่นอน >< แต่จะทำไงได้อ่ะ ก็ในเมื่อคนมันตื่นเต้นขนาดนั้น นั่งรอเวลาไปสิ จัดห้องรอต่อไป ถึงแม้ว่ามันจะจัดจนเรียบร้อยแล้วก็เถอะ จนออกมาเป็นแบบนี้...  

ยิ่งใกล้เวลาที่เครื่องจะลงที่สุวรรณภูมิ ยิ่งกระสับกระส่ายไปหมด นี่ไม่ได้ตื่นเต้นเลยนะ 555 >//< มองดูนาฬิกาก็ห้าทุ่มแล้ว เครื่องคงจะลงแล้วล่ะนะ ทำไมไม่เห็นมีเบอร์แปลกๆโทรเข้ามาสักทีล่ะ งั้นก็งีบสักแปปละกัน จากนั้นคงจะประมาณชั่วโมงครึ่งได้ล่ะมั้ง เสียงโทรศัพท์ก็ดังขึ้น สะดุ้งตื่นขึ้นมา รีบกดดูเป็นเบอร์แปลกๆ คงไม่ใช่เบอร์ใครที่ไหน รีบกดรับไป...

            เสียงจากปลายสายมันแหกปากมาแต่ไกล จับใจความได้ประมาณว่า ‘’Babyyyyyyyyyyyy I’m in Thailand now’’ ไอไม่เชื่อเลยว่าไออยู่ที่ประเทศไทยแล้ว ไออยู่ประเทศไทยจริงๆที่รัก มันร้อนจริงๆ มันร้อนมากๆเลย โอ้ ข้างนอกนั่นๆ มันมีฝนตกด้วยอ่ะ โอ้ย ไอตื่นเต้น ไอจะเจอยูแล้ว มันไม่ใช่ความฝัน ไออยากจะไหว้พ่อแม่ยูแล้วนะ รอไม่ไหวจริงๆ แหมๆ ฝรั่งๆ นี่แกบ้ารึเปล่า พูดมาทีฉันแทบฟังไม่ทันเลย เลยแค่บอกกลับไปว่า ไอก็ตื่นเต้นเบบี้ แต่ไอฟังยูไม่ค่อยรู้เรื่องเท่าไหร่ ส่งข้อความมาหาไอแทนได้ไหม... // แป่ววว 5555

จากนั้นก็ได้รับข้อความจากฝรั่งบ๊องบอกว่า เดินหาร้านโทรศัพท์อยู่นานมาก กว่าจะได้ซื้อซิม เลยโทรไปช้า (อยากจะบอกว่าซิมราคาพันกว่าบาทเชียว แพงแบบน่าสะพรึงมาก)  แล้วยังบอกเราอีกนะว่า ไอกลัวว่าไอจะไหว้พ่อแม่ยูไม่ถูก ไอเลยไปฝึกไหว้กับคนที่อยู่ในสนามบิน ไอไปไหว้เขา แล้วเขาก็สอนไปไหว้ด้วย มารยาทดีจริ๊งจริงพ่อคุณ ไม่คิดว่าจะถึงขั้นไปยืนไหว้คนในสนามบินขนาดนั้น 5555

แสดงความคิดเห็น

>

3 ความคิดเห็น

minimum199714 24 มี.ค. 59 เวลา 14:40 น. 1

จากนั้นเราเลยไม่รออะไรแล้ว รีบอาบน้ำแต่งตัวเลย ต่อให้นอนก็คงนอนไม่หลับ โทรจิกเพื่อนให้รีบออกมา เดี๋ยวจะไม่ทันรถไฟเอา ไปถึงสถานีรถไฟก็เกือบตี แต่ปรากฏว่ากว่ารถจะมาถึงก็เกือบตี ก็นั่งรอกันต่อไป เข้าเซเว่นประมาณ รอบได้ และเปลี่ยนทรงผมประมาณ รอบได้ล่ะมั้ง 5555 ก็กลัวไม่สวยนี่หว่า วันนั้นเราก็ซื้อของกินไปสารพัดเลย กลัวว่าฝรั่งจะหิว แต่ของที่ซื้อไปดันเป็นพวกเมล็ดทานตะวันอบแห้ง (แบบที่เขาแกะแก้มเหล้ากันอ่ะ)  แล้วก็เบ็นดตะรสที่มันเผ็ดเผ๊ดเผ็ด คิดไปคิดมาตัวเองนี่ดง่จริงๆเลย อย่างกะเขาจะกินเป็นแหละ - -‘ ใกล้เวลารถไฟมา เราเลยโทรรายงานฝรั่งว่า ตอนนี้ไอมาถึงสถานีแล้วนะ กำลังจะขึ้นรถแล้ว แต่คำตอบที่ได้รับกลับมาคือ ยูพูดว่าอะไรนะ ไอฟังไม่รู้เรื่อง’ ตายล่ะหว่า แล้วแบบนี้จะคุยกันรู้เรื่องไหมเนี่ย >< เลยส่งข้อความไปบอกแทน จนขึ้นรถไฟมาถึงสถานีปลายทาง... เวลาตอนนั้นก็ประมาณตี ครึ่ง ซึ่งเราไม่รู้ว่าสนามบินเขาเปิดตอนตี นึกว่าเขาจะเปิดแบบทั้งวันทั้งคืนเหมือนที่สุวรรณภูมิงี้ 5555 เราไม่ได้โง่นะ แค่มันเป็นการไปสนามบินครั้งแรกใรชีวิตก็แค่นั้น

จึงตัดสินใจนั่งแท็กซี่ไปที่สนามบินเลย แต่ไปถึงปรากฏว่า แท็กซี่บอกว่า สนามบินยังไม่เปิด ต้องเดินเข้าไปเองนะ จะไม่ขับเข้าไป.... (เพราะเขามีที่กั้นกั้นไว้อยู่) เออก็ได้วะ เดินก็เดิน!!! ตัดสินใจลงรถที่ถนนหน้าสนามบิน เดินไปอีกประมาณครึ่งกิโลกว่าจะถึงตัวสนามบิน (ความจริงก็ไม่ได้ไกลนะ) ระหว่างเดินไปก็วิดิโอคอลไปหาฝรั่ง บอกว่าใกล้จะเช้าแล้วนะ เหลืออีกแค่ไม่กี่ชั่วโมงก็จะเจอกันแล้ว ทั้งเดินทั้งแหกปากไปเรื่อยๆตามทาง จะได้ไม่น่ากลัวมาก เพราะมีแต่ความมืดรอบๆ เหมือนคนบ้าจริงๆ = =’

พอเดินไปถึงหน้าสนามบิน เงียบยังกะป่าช้าเลยจ่ะ ไม่มีแม้แต่หมาสักตัว เลยเดินไปตามป้ายเรื่อยๆ ที่เขาบอกว่าผู้โดยสารขาเข้า พอไปถึง... ผ่างงงงงงงงงงงงงง สนามบินมันโดนไฟไหม้เลยมีแต่เก้าอี้เรียงรายอยู่ข้างนอกไปหมด (หรือมันเรียงแบบนี้มานานแล้วก็ไม่รู้) ไฟก็ไม่รู้จะไปเปิดตรงไหน มืดก็มืด ยุงก็แทบจะหามอีก ก็นั่งไปตรงนั้นแหละวะ อีกไม่นาน รอด้ายยยยยยยย แล้วพวกเราก็พากันนั่งอยู่ในความมืดแบบนั้น... จนเริ่มเช้าแล้ว มีทหารมาวิ่งออกกำลังกายกับไซบีเรี่ยน เอ๊ะ เหมือนจะไม่เกี่ยวกับเรานะ 555 ><

พอสนามบินเปิด คนเริ่มมากันคึกคัก ฝรั่งโทรมาบอกเป็นสายสุดท้ายว่า

J: แบตไอเหลือ 1% แล้ว ไอกำลังจะขึ้นเครื่องแล้วนะ ไอคงจะโทรหายูไม่ได้ตอนที่ไอถึงที่นั่น

M: ไม่เป็นไรหรอก เดี๋ยวให้โชคชะตาเขาช่วยยู เดี๋ยวก็ตามหาไอเจอเอง // บั๋ยยยยยยยย พูดยังกะสนามบินมันใหญ่มาก ทั้งๆที่ก็มีทางออกอยู่แค่ทางเดียว 555

J: ยูจะจูบทักทายไอไหม ถ้าไอหายูเจอ

M: ก็ไม่รู้สินะ ..... >//<

J: แล้วเจอกันนะ ที่รัก

รอไปสักพัก ทางสนามบินเขาประกาศว่า เครื่องกำลังจะลง ไม่รู้ว่า TG อะไร ตัวเรานั้นมโนไปก่อนเองแล้วว่าต้องใช่แน่ๆ เพราะเขาบอกว่าเครื่องจะลงประมาณหกโมงครึ่ง คุณเพื่อนรีบควักโทรศัพท์ขึ้นมาถ่ายวิดิโอ แต่จนคนเดินออกมาหมดแล้ว ก็ยังไม่เจอ T^T มีแต่ฝรั่งแก่ๆ หัวเกรียนๆเดินออกมา 5555 จนเครื่องลงไปได้ประมาณสามรอบ เวลาก็เกือบเก้าโมงแล้ว เลยคิดว่าครั้งนี้ต้องใช้แน่ๆ (ความรู้สึกมันบอกว่าอย่างงั้น) เพื่อนรีบเอาโทรศัพท์ขึ้นมาถ่ายวิดิโอ แล้วเพื่อนก็กรี๊ดกร๊าดใหญ่ว่า มาแล้วๆๆๆๆ เรานี่ก็ตื่นเต้นจนตัวสั่นเลยจ่ะ เดินออกมา อีนี่รีบเดินตรงดิ่งไป อ้าแขนรับจะกอดเขา (-ซะจริงๆเลย) ปรากฏว่าเขามองไม่เห็น หรือจำตัวจริงไม่ได้ก็ไม่รู้ 5555 อายไหมล่ะตัวเธอ - -‘  ขนาดว่าไม่ได้เตี้ยอะไรนักหนา จนเขาก้มมาเห็นแล้วเขาก็กอดเรา -///- เงยหน้าขึ้นฝรั่งก็หอมเข้าที่แก้มแล้วจะจูบทักทาย แต่อีนี่เม้มปากอย่างเดียวเลยค่ะ เม้มจนไม่เห็นริมฝีปาก เขินเกินจะต้านทาน เหมือนโลกมันหยุดหมุนไปชั่วขณะ เหมือนตกอยู่ในภวังค์ วินาทีนั้นมันเงียบไปหมด พูดได้แค่คำเดียวว่า Baby it’s like a dream. จนเพื่อนเดินมาบอกว่า อะแฮ่มๆ บอกตรงๆว่าเขินมาก นี่ในชีวิตนี้ไม่เคยเข้าใกล้ฝรั่งตัวเป็นๆขนาดนี้เลยนะ ผิวมันขาวจนออร่า ตามันก็เป็นประกายวิ๊งๆ คิดกลับไปแล้วขำตัวเอง 5555

จากสิ่งที่เราได้ท่องจำมาตั้งนานว่า ยูอยากจะกลับบ้านด้วยอะไร รถตู้ รถไฟ หรือรถทัวร์  What type of transport do you want to take bus, train or van ? วินาทีนั้นลืมไปหมดทุกอย่าง ที่จำมาจากหนังสือไม่ได้ใช้อะไรเลย 555 สุดท้ายเราก็ไปลงเอยกันที่รถไฟ ตลอดเวลาที่นั่งบนแท็กซี่แทบไม่ได้พูดอะไรกันเลย อาจจะเพราะไม่รู้จะพูดยังไง และก็เขินด้วย ได้แต่มองหน้ากันไปมา จนถึงสถานีรถไฟ -///- 

ไปถึงสถานีรถไฟ ซื้อตั๋วเรียบร้อย แล้วเผอิญว่าเราปวดฉี่ เลยจะถามพ่อฝรั่งว่าจะไปเข้าห้องน้ำด้วยไหม เลยพูดออกไปตามที่เรียนมาอย่างมั่นใจเลยว่า

M: ดู ยู ว้อน ทู โก ทู ท้อยเล้ท? (คิดว่ายังเขาก็เข้าใจแน่ๆ ประโยคง่ายๆแค่นี้)

J: Huh? What did you say?

M: ดู ยู ว้อน ทู โก ทู ท๊อยเล๊ท ชี้นิ้วไปทางป้ายห้องน้ำพร้อมกับถามเสียงสูงตามที่ครูสอนมาเป๊ะๆ

J: ยูพูดว่าอะไรนะ ไอไม่เข้าใจ

M: ชิหายละไง ทำไมไม่เข้าใจล่ะเนี่ย // ดู ยู ว้อน ทู โก ทู เรสรูม ลากแขนมันมาหน้าห้องน้ำ พร้อมกับชี้ป้ายให้ดูอีกครั้ง.....

J: อ๋ออออออออ

นี่แค่ถามว่าจะเข้าห้องน้ำไหมยังยากขนาดนี้เลยนะเนี่ย 5555 พอออกมาจากห้องน้ำ ยังไม่ทันได้ได้พักหายใจกันเลย เสียงระฆังดังเม้งๆ พร้อมกับเสียงประกาศว่ารถกำลังจะออกแล้ว ชิบหายละทีนี้ ตอนนั้นพวกเรายืนอยู่ช่วงโบกี้ที่ แต่ตู้ที่เราจะนั่งนั้นมันอยู่ประมาณโบกี้ที่ 14 วินาทีนั้น ตัดสินใจลากแขนฝรั่งขึ้นไปบนรถเลย พากันยกกระเป๋าคนละข้างกับเพื่อนวิ่งไปบนโบกี้ ซึ่งมันไม่ใช่ใกล้ๆเลย และกระเป๋ามันหนักมากกกกก ฝรั่งก็ได้แต่กึ่งเดินกึ่งวิ่งตามแบบงงๆ กว่าจะมาถึงที่นั่งได้ก็เหนื่อยแทบตาย เป็นประสบการณที่คงจะไม่มีวันลืม.... 5555

 
เดี๋ยวมาต่อพาทต่อไปนะจ๊ะ 

0
Pathamawadee 24 มี.ค. 59 เวลา 17:13 น. 2
ตามมาอ่านเลย 555+
ของหนูอีก 2 ปีกว่าๆ เพราะแฟนตัดสินใจแล้วว่าอยากมาตอน 17 เพราะไม่อยากมาตอน 18 55
อยากเจอมากๆ แต่ก็ต้องรอแล้วค่ะ
0