Dek-D.com ใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสบการณ์ของ
ผู้ใช้ให้ดียิ่งขึ้น เรียนรู้เพิ่มเติมที่นี่
ยอมรับ

ชีวิตเฮงซวยที่อยู่ๆก็โผล่มาอยู่โลกแฟนตาซี แต่ดันไม่มีอะไรดีเหมือนในนิยายเลยซักกะติ๊ด

ตั้งกระทู้ใหม่
ตั้งกระทู้ใหม่
เบื้องหน้า ณ ปราสาทแห่งหนึ่งเต็มไปด้วยฝุ่นควันและซากศพไร้ชีวิต เหล่าสหายร่วมรบต่างค่อยๆสิ้นใจไปทีละคน กลิ่นคาวเลือดรอยครุ้งไปทั่วอาณาบริเวณ ทั้งๆที่เป็นตอนกลางวันแต่ท้องฟ้ากับดำทมิฬมีเพียงแสงสว่างอ่อนๆจากดวงอาทิตย์ที่รอดผ่านผืนฟ้านั้นมา และเปลิวเพลิงที่ถูกจุดขึ้นจากการปะทะกับครั้งแล้วครั้งเล่าที่คอยส่องนำทาง ปลายทางของแสงสลัวนั้น มีศัตรูคู่อาฆาตกำลังไล่พรากชีวิตพรรคพวกที่ร่วมรบกันมาเนินนานอย่างบ้าคลั่ง ทำให้ผู้คนที่ปะมือด้วยเริ่มตกอยู่ในความสิ้นหวังเนื่องจากรู้สึกได้ถึงช่องว่าระหว่างพลังของพวกตนกับสัตว์ประหลาดที่กำลังรับมืออยู่
“ทุกคนอดทนไว้ ต้านเอาไว้อีกไม่นานเขาก็จะมาถึงแล้ว”
อัศวินหญิงผู้มีผมสีแดงฉานเหมือนเปรวเพลิงที่ลุกโชดช่วงอย่าง ที่กำลังต่อสู้อยู่แนวหน้า ในแววตาสีน้ำทะเลของเธอนั้นไม่มีแม้แต่ความลังเล ตะโกนลั่นเพื่อปลุกขวันกำลังใจให้กับพรรคพวกที่สูญเสียความหวังไป
แต่สุดท้ายแล้วต่อให้มีความมุ่งมั่นหรือแรงใจมากแค่ไหน ก็ไม่ได้ช่วยให้ระยะห่างของพลังลดลงแม้แต่มิลเดียว ร่างของอัศวินหญิงที่ต่อสู้อย่างสุดกำลัง ด้วยทุกอย่างที่มี ถูกกรงเล็บของมันทะล่วงทะลุร่าง ก่อนจะกระเด็นออกจากแนวรบ
“อย่างน้อย... ถ้ามีซักครึ่งนึงของคนๆนั้นละก็...”
อัศวินหญิงที่ถูกซัดกระเด็นออกมาได้แต่คิดสมเพชในความอ่อนแอของตัวเอง ปล่อยให้ร่างที่แทบจะไร้สติของตนลอยออกไปเรื่อย จากเลือดที่พุ่งออกมาจากแผลที่ท้องจนลอยเคว้งอยู่กลางอากาศตามแรงลม ทำให้เธอรู้ว่าตนเองคงมาได้แค่นี้ และในจังหวะที่ร่างกายของเธอกำลังจะตกถึงพื้น เธอก็ตัดสินใจจะละทิ้งความหวังไปนั้น ก็มีมือคู่หนึ่งมารองรับร่างของเธอเอาไว้ อย่างอ่อนโยน เมื่อเธอเห็นใบหน้าของชายหนุ่มที่มารับเธอเอาไว้ก็ยิ้มออกมาได้อีกครั้ง ก่อนจะพยายามใช้สติที่หลงเหลืออยู่น้อยนิดเค้นเสียงออกมา
“นายมาสายนะ”
“โทษทีนะ”
“มาสายแล้วก็อย่ามัวแต่ชักช้าสิ ไปเลยนายเป็นผู้กล้านะ ต้องทำได้อยู่แล้ว”
“ฉันจะจบเรื่องนี้เอง”
“หึ ฉันเชื่อในตัวนายนะ อึก ฉันคงไม่ไหวแล้วละ… ไปซะ”
“อืม พักให้สบายเถอะ”
แล้วอัศวินหญิงก็สิ้นใจไปในอ้อมแขนของชายหนุ่มผู้ที่ได้รับสืบทอดชื่อ「ผู้กล้า」มาจากการฝึกฝนอย่างหนักและการผ่าฟันอัตรายมากมายมา เขาก็วางร่างของหญิงสาวผู้เป็นที่รักลง ก่อนจะชักดาบในตำนานออกมามุ่งเข้าสู้สนามรบ
แล้วอยู่「สิ่งนั้น」ที่กำลังอาละวาดอย่างบ้าคลั่งก็หยุดชะกัดไปเมื่อมีอะไรบางอย่างเข้ามาในทัศนวิสัย ก่อนจะค่อยๆขยับปากขนาดมหึมาขึ้น ก่อนที่เสียงคำรามจะดังสนั่นไปทั่ว
“Grassssssss!! ในที่สุดก็มาจนได้นะ รอจนเบื่อแล้ว”
“อ่า มาจบเรื่องนี้กับเถอะ”
ผู้คนที่กำลังสิ้นหวังอยู่ต่างมองไปที่คนที่ทำให้สัตว์ประหลาดที่ได้แต่ทำลายมาโดยตลอดปริปากได้ และเมื่อได้เห็นผู้กล้าที่ค่อยๆเดินเข้ามายังสนามรบ พวกเขาก็เริ่มได้รับความหวังกับมาจึงหลีกทางให้กับชายหนุ่มคนนั้น
ในระหว่างทางที่ผู้กล้ากำลังเดินเพื่อเข้าไปยังใจกลางของศึกในครั้งนี้ผ้าคลุมของเขาพริ้วไหวไปตามกระแสลม ดวงตาที่กวาดมองไปรอบๆได้เห็นร่างไร้วิญญาณของของพรรคพวกที่สู้เคียงบ่าเคียงไหล่กันมานาน และผู้คนที่คอยช่วยเหลือเขาตอนที่ยังอ่อนแอ ก่อนที่จะได้รับชื่อ「ผู้กล้า」คนแล้วคนเล่าไปตลอดทาง
และในที่สุดผู้กล้าที่ใบหน้าเศร้าหมองไปจากการที่เสียพรรคพวกและคนที่รัก ก็เดินมาประจันหน้ากับสัตว์ประหลาดขนาดมหึมา จากหัวถึงปลายหางมีความยาวประมาณ 1 กิโลเมตร ผิวหนังถูกปกคลุมไปด้วยเกร็ดสีดำทมิฬ หางที่มีหนามงอกออกมารอบระยะประมาณ 100 เมตร ขาทั้งสี่ข้างที่ครอบครองกรงเล็บที่แหลมคมดุจปลายหอกเอาไว้ข้างละ 3 ดวงตาสีแดงของนักล่าที่ไร้ความปราณี คมเขี้ยวอันแหลมคมที่สามารถฉีกกระฉากทุกอย่างได้อย่างง่ายดาย และปีก 2 ข้างขนาดมหึมาที่แข็งแรกขนาดสามารถยกร่างของสัตว์ประหลาดขนาดยักษ์ให้บินขึ้นได้ ชื่อของมันก็คือจอมมารที่เกิดขึ้นเพื่อทำล้ายร้าง จอมมารราชามังกรแห่งความเกรี้ยวโกรธ ไทมอส
เมื่อทั้งสองสบตากัน สงครามที่หยุดไป ก็ได้เริ่มต้นขึ้นมาอีกครั้ง ผู้กล้าถีบพื้นพุ่งทะยานขึ้นไปบนอากาศด้วยความเร็วระดับเดียวกับเสียง ฟันปีกของมังกรทั้งสองข้างขาดสะบั้นในครั้งด้วยดาบในตำนาน เลือดสีดำของราชามังกรพุ่งกระฉูดทะยานขึ้นไปบนท้องฟ้าก่อนที่จะค่อยๆตกลงมาเหมือนสายฝน
แต่แล้วหางของมังกรก็ฟาดร่างของผู้กล้าที่ลอยคว้างอยู่กลางอากาศกระเด็นด้วยความเร็วระดับพอๆกัน
ผู้กล้าที่ถูกซัดกระเด็นกระอักเลือดออกมา ก่อนจะใช้จิตใจที่ถูกฝึกฝนมาสะกดความเจ็บปวดเอาไว้ แล้วพลิกตัวลงมายืนบนพื้น วงแหวนเวทย์ปรากฎขึ้นใต้เท้าของผู้กล้า
「การแลกเปลี่ยนกระแสแห่งสวรรค์ การเคลื่อนไหวแห่งจิตวิญญาณ ตัวข้านั้นคือสายฟ้า」
แล้วร่างกายของผู้กล้าก็หายวับไปโผล่ที่ด้านหลังของมังกร ก่อนที่มังกรจะทันรู้สึกตัว หางของมันก็ถูกตัดออกมาเป็นที่เรียบร้อย
“Grassssssss!!”
ตอนนี้การเคลื่อนไหวของผู้กล้าได้ถูกยกระดับขึ้นด้วยเวทย์มนต์ก้าวข้ามกำแพงแห่งความเร็วเสียงสู่ความเร็วระดับสูงสุดความเร็วแสง ตอนนี้มังกรไม่สามารถตามการเคลื่อนไหวของผู้กล้าทันได้แม้แต่นิดเดียว
“Grassssssss!! อย่าคิดว่ามันจะจบแค่นี้นะ”
มังกรคำรามออกมาอย่างบ้าคลั่งอีกครั้ง เกร็ดรอบตัวของมันเปลี่ยนเป็นสีม่วง แล้วมีโดมสีม่วงกางออกมารอบๆตัวของมังกร เส้นผ่านศูนย์กลางของโดมมากพอที่จะกลืนทั้งหมดของสนามรบไปได้
พริบตาต่อมาการเคลื่อนไหวของทุกๆสิ่งรอบตัวของมังกรภายใต้โดมสีม่วงถูกทำให้หยุดนิ่ง มังกรใช้ดวงตาสีแดงฉานที่ดูเหมือนจะแดงมากกว่าก่อนหน้าเพราะความโกรธ ก่อนจะเค้นพลังงานที่เก็บรวมรวมไว้นับร้อยปี พ้นออกมาเป็นไฟแห่งนรกสีแดงฉานใส่ผู้กล้าที่หยุดนิ่งอยู่
เปรวเพลิงที่มังกรพ้นออกมาระเบิดออกอย่างรุนแรงเป็นปริเวณกว้างแค่แรงลมจากระเบิดที่พัดออกมาก็มีพลังระดับพายุใหญ่ๆลูกนึงเลย ไม่มีทางที่จะมีใครรอดจากพลังทำลายระดับนี้ได้ แต่ว่าเมื่อควันจากการระเบิดจางหายไปกลับไม่เห็นร่างกายของผู้กล้าอยู่แล้ว
“อะไรกัน”
“ถ้าขยับไม่ได้ก็ใช้แค่เวทย์วาร์ปก็พอ แต่ก็เกือบๆไปเหมือนกัน”
ผู้กล้าที่หนีออกมาได้ทันท่วงทีด้วยเวทย์ชนิดบิดเบือนมิติขั้นสูงออกมายืนอยู่นอกระยะของโดมพูดขึ้น แต่ถึงจะหลบออกมาได้แต่ก็ยังได้รับความเสียหายบางส่วนจากเปลวไฟของมังกรก็ได้ละลายชุดเกราะและสร้างแผลไฟลวกระดับร้ายแรงเอาไว้บนบางส่วนของร่างกาย
ผู้กล้าเมินความเจ็บปวด แล้วยกดาบในตำนานของตนขึ้นมาตั้งท่าเตรียมพร้อม ก่อนจะมีวงเเหวนเวทย์ปรากฏบนตัวดาบ
“ถ้าขยับในโดมไม่ได้ โจมตีจากนอกโดมก็หมดเรื่อง”
ผู้กล้าฟาดฟันดาบจากนอกโดมสร้างคลื้นกระแทกขนาดใหญ่พุ่งเข้าไปในโดม คลื่นกระแทกที่เกิดจากการฟันดาบในตำนานที่ผสมผสานเวทย์มนเข้าไปพุ่งทำลายพื้นที่โดยรอบอย่างรุนแรง ทุกครั้งที่พุ่งเข้าไปอากาศปริแตกแล้วส่งเสียงเหมือนกับจะร้องไห้ออกมา ในที่สุดเคลื่อนกระแทกนั้นก็ปะทะกับร่างกายขนาดมหึมาของมังกร
ร่างกายของมังกรถูกเคลื่อนกระแทกฟันลึงลงไปจนเลือดไหลออกมา มังกรที่เห็นว่าปล่อยไว้แบบนี้ตนขาดครึ่งแน่ มังกรจึงพ่นไฟออกมาเป็นเหมือนไอพ่นเพื่อปล่อยตัวให้กระเด็นไปตามแรงกระแทก จนร่างของมังกรกระเด็นไปถึงที่ๆผู้กล้าใช้เวทย์วาร์ปมารออยู่แล้ว
ผู้กล้าพุ่งเข้าไปแทงมังกรที่กำลังสับสนจากแรงปะทะ ทิ้งดาบในตำนานที่แทงไว้บนกลางศรีษะของมังกร
“จบกันซักที”
ผู้กล้าตะโกนลั่นปลดปล่อยเวทย์มนต์ในตำนานระดับสูงสุด ด้วยจิตใจที่ว่างเปล่า แล้วบนท้องฟ้าปรากฏวงแหวนเวทย์เล็กมากมายรวมตัวกันเป็นวงแหวนเวทย์ขนาดยักษ์
「ปลดปล่อยพันธนาการ จุดสิ้นสุดของทุกสิ่งผันแปร กลืนกินจักรดารา ดิ เอ็น」
พริบตานั้นวงแหวนเวทย์บนท้องฟ้าถูกแปรเปลี่ยนเป็นหลุมขนาดใหญ่ เศษซากของดวงดาวจำนวนมากหล่นลงมาเหมือนฝนดาวตกกดร่างของมังกรลงไปจมดิน ก่อนที่แสงแห่งการพิพากษาจะสาดส่องลงมาสู่ร่างของมังกร
เมื่อแสงแห่งการพิพากษากระทบกับเกร็ดของมังกรระเบิดรุนแรงระดับที่ทำให้นิวเคลียร์กลายเป็นของเด็กเล่นก็ปะทุขึ้น ลมจากแรงระเบิดพัดออกมาจนต้นไม้แถวนั้นต่างพากันล้มระเนระนาด หลังระเบิดสิ้นสุดลงร่างของมังกรก็นิ่งสนิท
ผู้กล้าที่ยืนหอบด้วยความเหนื่อยล้ามองภาพตรงหน้า เอามือขึ้นมากุมหน้าอกด้วยความเจ็บปวด พึมพำออกมา
“เวทย์ในตำนานอันนี้มันทรงพลังระดับทำให้เอกภพล่มสลายได้ง่ายๆ เวลาใช้เลยต้องคอยลดระดับพลังลงมา ไม่รู้ว่าระดับนี้จะพอจัดการมันได้ไหม เราที่ไม่กล้าใช้อาจจะออมมือไปหน่อยรึเปล่า ข้อร้องละอย่าลุกขึ้นมาอีกเลย เราไม่เหลือพลังเวทย์พอจะทำอะไรแล้ว”
ผู้กล้าที่ใช้พลังเวทย์ทั้งหมดไปกับเวทย์ที่รุนแรงที่สุดของตน ได้แต่ภาวนาต่อหน้าร่างที่ไร้
การเคลื่อนไหวของมัง ว่าอย่าให้มันลุกมาได้อีกเลย
“คง… จบละ...”
ผู้กล้าที่ยืนดูจนแน่ใจแล้วและกำลังจะหันหลังให้กับร่างที่นอนกองกับพื้นอยู่ของมังกรต้องชะงักไป แล้วหมุนตัวกลับมาดูอีกครั้ง และภาพเบื้องหน้าก็แทบจะทำให้เขาหยุดหายใจ มังกรที่น่าจะสิ้นใจไปแล้วกลับลืมตาขึ้นมาอีกครั้ง ดวงตาที่จ้องมานั้นเต็มไปด้วยความโกรธแค้น
“ชิ เบาไปสินะ”
มังกร เริ่มขยับร่างกายที่เจ็บไปทั่วร่าง ขึ้นมาอีกครั้งมันย่อขาลงตั้งท่าเตรียมพร้อมขยี้เหยือแล้วเค้นเสียงออกมาคำรามอย่างบ้าคลั่ง
“กริ้งงงงงง!!!!!!!!!”
“ว้ากกกกกก!!”
เด็กหนุ่มร้องออกมาสุดเสียง สะดุ้งลุกขึ้นมา หลังจากรวบรวมสติสัมปชัญญะจึงลืมตาขึ้นมาค่อยๆมองตรวจสอบไปรอบๆตัว ก็พบกับเตียงนอนและเฟอนิเจอร์ที่คุ้นตา ในห้องที่รู้จักเป็นอย่างดี
“อ่าว ฝันไปหรอกเหรอ”
จะว่าไปแล้วเมื้อกี้ถึงจะบอกว่าใช้จิตใจสะกดความเจ็บปวดก็เถอะ แต่จริงๆแล้วที่ไม่เจ็บคงเป็นเพราะมันเป็นแค่ฝันเท่านั้น หลังจากที่สมองตัดสินไปแบบนั้น เด็กหนุ่มจึงลุกขึ้นจากเตียงเพื่อจัดการกับกิจวัตรยามเช้าตามปรกติ

แสดงความคิดเห็น

>