Dek-D.com ใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสบการณ์ของ
ผู้ใช้ให้ดียิ่งขึ้น เรียนรู้เพิ่มเติมที่นี่
ยอมรับ

กว่าจะเป็นบัณฑิต ชีวิตต้องเจออะไรบ้าง (ฉบับโลกไม่สวย)

ตั้งกระทู้ใหม่
ตั้งกระทู้ใหม่

สำหรับน้องๆ ที่เพิ่งสลัดชีวิตวัยมัธยม มีที่เรียนในมหาลัยแล้ว และกำลังตื่นเต้นดีใจ ใช้ชีวิตเพลิดเพลินเบิกบานสำราญเปรมปรีดารอเวลาเปิดเทอมที่จะได้เข้าแก๊งค์กับเพื่อนใหม่ พี่อยากบอกน้องๆ เหลือเกินว่า ไขว่คว้าความสุขในช่วงเวลาที่มีอยู่เหล่านี้ไว้นะครับ…ก่อนที่มันจะหมดไป
 
เพราะเปิดเทอมก็เหมือนกับเปิดฤดูกาล Hunger Games
 
เราต้องไฝว้กับสารพัดวิชาที่ถาโถมเข้ามา เราต้องสู้เพื่อให้อยู่เป็น Survivor ผู้ชนะแห่งเทอม (ชนะในที่นี้คือไม่โดนรีไทร์อ่านะ) เพราะ…
 
กว่าจะจบเป็นบัณฑิต ชีวิตไม่ได้โรยด้วยกลีบกุหลาบ
กว่าจะจบเป็นบัณฑิต ชีวิตต้องก้าวผ่านอุปสรรคนานา
กว่าจะจบเป็นบัณฑิต ชีวิตต้องผ่านประสบกาณ์แห่งคืนวัน
 
กว่าจะเป็นบัณฑิต ชีวิตต้องเจออะไรบ้าง…มาดูกัน

 

 
    1. ความสุขอันแสนสั้นของช่วงเวลาเฟรชชี่ตาใสๆ
    นี่คือช่วงเวลาที่น้องอาจจะรู้สึกแฮปปี้ ชีวิตดี ลั้ลลา มีพี่รหัสพาไปเลี้ยงสายอิ่มหนำสำราญ แถมยังมีพี่เทคพาไปเลี้ยงซ้ำจนตัวจะแตก มีกลุ่มเพื่อนๆ ที่เพิ่งเข้าขากันได้ เฮฮาปาร์ตี้กันประจำ แต่บอกเลยว่าช่วงเวลานี้มันสั้นมากเหมือนภาพมายา เผลอแปบเดียวเดี๋ยวมันก็ผ่านไป พอตัวเองเป็นพี่รหัสพี่เทคเขาบ้างเดี๋ยวรู้เลย เลี้ยงน้องวันนี้กินมาม่ากินแกลบกันจนสิ้นเดือน หึๆๆ
    
    2. กิจกรรมรอบตัว ทำไปทั่วก็เหนื่อยตายพอดี
    กิจกรรมนี่ก็มีเข้ามาเยอะแยะครับ ที่สนุกก็มี ที่ได้ประสบการณ์ดีๆ ก็เยอะ แต่เผลอลืมตัวลืมลิมิตตัวเองเมื่อไรก็เละเทะแน่นอน บางคนรับหลายงานหลายกิจกรรมมาก เดี๋ยวก็ต้องซ้อมงานนั้น เดี๋ยวก็ต้องซ้อมงานนี้ เหนื่อยยังไม่พอ เวลาทำงานส่วนตัวอ่านหนังสือยังแทบไม่มีอีก อันนี้ต้องระวัง 
    
    3. สมรภูมิกลางภาค-ปลายภาค
    มันคือความโกลาหลแห่งชีวิต 2 ครั้งต่อเทอม บอกเลยไม่สตรองจริงอยู่ไม่รอด เวลาเรียนก็ดูจะชิวๆ สบายๆ แต่เวลาสอบมันไม่สบายนักหรอก เห็นข้อสอบบางทีก็อุทานว่าคุณพระ! หนักหน่อยก็อุทานเป็นสัตว์เลื้อยคลายเพื่อนบ้านจระเข้ ถ้าบริหารชีวิตบริหารเวลาดีก็จะไม่เดือดร้อนกับการอ่านหนังสือมากนัก แต่ถ้าไม่ก็จะต้องนั่งถ่างตาซัดกาแฟเข้าไปเอาให้อยู่ได้ยันสว่างกะจะเป็นอัจฉริยะข้ามคืนกันเลยทีเดียว นี่ยังไม่นับถึงการสะสางภาระงาน เล่มรายงาน ทำมินิโปรเจคส่งอีกนะ กลางภาคบ้าง ปลายภาคบ้าง เวลาว่างอยู่ไหน ตอบ!
    
    4. สงครามลงทะเบียนเรียน (เป็นสงครามที่ดุเดือดแทบจะเชือดจะปาดคอกันอย่างใน Game Of Thrones)
    มัธยมนั่งเรียนตามตาราง เขาจัดวิชาอะไรมาให้ เอาใครมาสอนก็เรียนไปๆ อย่าบ่น เราเลือกเรียนไม่ได้ เปลี่ยนวิชาไม่ได้ แต่มหาลัยเราเลือกได้และเปลี่ยนได้ ดังนั้นคนที่จะกำหนดเวลาแต่ละเทอมว่าจะเรียนอะไรบ้างไม่ใช่ใครอื่น นอกจากเราที่จะตื่นมาลงทะเบียนแต่เช้าให้ได้ก่อนที่วิชานั้นรอบนั้นจะเต็มซะก่อน
    เห็นภาพแล้วใช่มั้ยนี่มันสงครามแย่งกันลงทะเบียนชัดๆ ถ้าเชือดคอกันได้คงทำไปแล้ว บางทีเห็นจำนวนคนที่ลงยังไม่เต็มเราก็ตื่นเต้นดีใจ พอเลือกเวลาเรียน จัดวันจัดอะไรเสร็จปุ้บ กดยืนยันการลงทะเบียนปั้บ สบถใส่หน้าจอคอมพิวเตอร์แทบไม่ทัน เพราะดันมีบางวิชาที่เต็มแล้ว ทำให้ต้องเปลี่ยนเวลาเรียนของวิชานั้น พอเปลี่ยนวิชานึงก็ชนกับอีกวิชานึง เอาล่ะสิ ตารางเละเทะหมดจัดใหม่หมด พอจัดได้ใหม่เสร็จกดยืนยันอีกที เอ้า! วิชานั้นเต็มอีก เละอีก จัดตารางใหม่ยกแผงอีก โอย! ตายๆๆๆๆๆ ชีวิตทำไมมันน่ารำคาญขนาดนี้
    
 
    5. ปมปัญหาวิชาเลือก 
    นี่เป็นปัญหาที่อาจจะสืบเนื่องหรือสอดคล้องกับข้อก่อนหน้า ในการเรียนมหาลัยเราจะต้องมีทั้งวิชาเรียนตามหลักสูตรบังคับและวิชาเลือก (ที่บังคับว่าต้องลงวิชาในหมวดใดบ้าง เลือกเองได้แค่จะเรียนวิชาไหน) ซึ่งปกติเราจะต้องให้ความสำคัญในการลงเรียนวิชาบังคับก่อนวิชาเลือก แต่ขณะเดียวกันก็มองข้ามวิชาเลือกไม่ได้เพราะถ้าเรียนวิชาเลือกไม่ครบตามที่กำหนดก็ไม่จบเหมือนกัน 
    ทีนี้ปัญหาของมันก็อยู่ที่บางทีเราลงวิชาบังคับไปแล้วไม่เหลือเวลาให้วิชาเลือก ไม่ใช่เพราะลงเรียนจนเต็มวัน แต่เพราะเวลาเรียนของวิชาหลัก-วิชาเลือก มันตรงกันเป๊ะ เอาละอาการรักพี่เสียดายน้องก็มาเราก็มักจะเลือกเอาวิชาหลักไว้ก่อน ทีนี้ถ้าสะสมวิชาเลือกที่ยังไม่ได้ลงเรียนไว้มากๆ พอขึ้นชั้นปีสูงๆ ก็ยิ่งต้องกุมขมับหาเวลาเรียนวิชาเลือกให้ได้ ถ้าไม่ลงในเทอมปกติก็ต้องไปเรียนตอนซัมเมอร์ ทีนี้บางทีซัมเมอร์เราอาจจะต้องฝึกงาน นั่นไง! จะเอาเวลาไหนไปลงเรียนอีก 
    นี่ยังไม่นับว่าเราก็ช่างเลือกกับวิชาเลือกกันอีก ไปได้ยินมาว่าวิชานั้นอาจารย์โหด วิชานั้นอาจารย์สอนไม่ดี วิชานั้นเรียนแล้วฉุดเกรด ก็ยิ่งคิดมากเลือกมากเลือกไม่ถูกหนักเข้าไปอีก โอย! ถ้าวิชาเลือกมันจะน่ากุมขมับขนาดนี้ไม่เรียนได้มั้ยเนี่ย 
    แต่วิชาเลือกดีๆ น่าเรียน ได้เกรดดีๆ ก็มีนะ ไม่ใช่ว่าวิชาเลือกจะมีแต่อะไรที่ไม่น่าพึงใจไปซะทั้งหมด
 
    6. ประสบการณ์อกหัก/รักพัก/แอบนั่งมองเขาอยู่ห่างๆ
    บางคนคงเคยวาดฝันว่าเข้ามหาลัยจะได้พบเจอคนใหม่ๆ จะได้หาใครมาเติมเต็มส่วนที่ขาดหายไปซักที อยู่มัธยมไม่เคยได้มีใครอย่างเขาเลย หรือเคยมีและจบกันไปแล้วก็กะจะไปเริ่มต้นใหม่ในมหาลัย โอเคมันก็มีก็เป็นไปได้สำหรับการมองหาโอกาสใหม่ๆ แต่ก็ใช่ว่าทุกคนที่จะได้รับแจ็คพ็อตนั้น ก็เหมือนกับการแข่งขันทางการตลาดในหลักเศรษฐศาสตร์นั่นแหละครับ
    นี่ยังไม่นับว่าพอยิ่งอยู่ชั้นปีสูงขึ้นๆ แล้วหวังจะเต๊าะ จะจีบรุ่นน้องให้ชื่นมื่นชี่นบาน ความนกมันมีอยู่จริงครับ! คือไม่ว่าเราจะมีอะไรดีอะไรเด่นก็ตามความนกมันไม่เข้าใครออกใครเลย บางคนอาศัยเริ่มต้นทำตัวเป็นเพื่อนเป็นรุ่นพี่ทีดี ติวให้ แนะนำการเรียนให้ ทำดีให้หลายๆ อย่าง ก็เลยได้รับรางวัลเพื่อนดีเด่น รุ่นพี่ดีเด่นแห่งปีไป เป็นได้แค่นั้นแหละขยับกว่านี้ไม่ได้ ถ้าโชคดีก็แฮปปี้ไป ถ้าไม่ก็ได้แต่นั่งมองเพื่อนมองรุ่นพี่มองรุ่นน้องที่เดินกันเป็นคู่ แล้วทวิตจิกกัดพร้อมแฮชแท็ก #โสดแล้วพาล
    
    7. ดรอป / ติด F / ติดโปร
    ถ้าการเรียนเหมือนอยู่ในสนามรบ เราก็จะมีช่วงที่รบแพ้ ล่าถอย บาดเจ็บ เห็นเพื่อนร่วมศึกบาดเจ็บล้มตายไปบ้าง
    ดรอปคือการถอนวิชาเรียนที่ลงในเทอมนั้นๆ ก็เหมือนกับเห็นว่าท่าไม่ดีสั่งถอยทัพนั่นแหละครับ เอาไว้ไปลงเรียนใหม่ปีหน้าก็ได้ ปีนี้ยังไม่พร้อมไม่ไหว ยากไปไม่สู้ดีกว่า (ดรอปแล้วก็ไม่ต้องสอบ วิชานั้นก็ไม่ถูกเอามาคิดเกรดอีกในเทอมนั้น)
    ติด F รันทดหน่อย เป็นกรณีการสู้ตายแบบไม่หนีไม่ถอย กล้ามากๆ ไปตายเอาดาบหน้าแล้วก็เละเทะพินาศย่อยยับกลับมาก เกรด F ตีความง่ายๆ ก็ 0 ในวิชานั้นแถมยังต้องไปเรียนใหม่ปีหน้าให้รอด F ให้ได้อีก 
    ติดโปรนี่เหมือนโดนตั้งค่าหัวไว้เลย เทอมนี้เกรดต่ำกว่าเกณฑ์ของมหาลัยถ้ายังต่ำแบบนี้ติดต่อกันถึงเทอมหน้าอีก ก็โดนรีไทร์เชิญให้ออกไปโดยสมบูรณ์แบบ ทรมาณใจมากๆ เหมือนโดนสไนเปอร์เล็งหัวไว้ตลอดเวลา จะโดนยิงสมองกระจายเมื่อไรก็ไม่รู้ 555
    
    8. โปรเจคจบ
    จุดไคลแมกซ์ของการเรียนเลยก็ว่าได้ สงครามสนามสุดท้ายของนิสิต-นักศึกษา (หรือบางคนที่เรียนแบบสหกิจคือทำโปรเจคกับบริษัทภายนอกแทนการทำโปรเจคในคณะ) บางคณะบางสาขาก็จะเป็นลักษณะธีสิส-งานวิจัย ทุ่มกันสุดชีวิตละงานนี้ เทหมดหน้าตัก ทั้งตัวโปรเจค ตัวผลการศึกษา ผลการวิจัย และการทำรูปเล่มโครงงาน ทุกอย่างต้องละเอียด ต้องชัดเจน ต้องเป๊ะ ต้องดีพอ วัดกึ๋นกันจริงๆ แล้วว่าจะเจ๋งแค่ไหน จะเป็น Survivor ที่แท้จริงได้หรือไม่ จะเหนื่อยจะยาก จะท้อ จะหมดกำลังใจ ก็ต้องฮึดสู้กลับมาลุยต่อสานภารกิจให้สำเร็จให้ได้ ไม่งั้นไม่จบ 555 ยิ่งช่วงใกล้ส่งโปรเจคยิ่งทำกันแบบลืมตายรัวๆ เอาให้เสร็จให้สมบูรณ์ เก็บทุกช่องโหว่ของงานให้ได้ ช่วงสอบจบ (นำเสนอตัวโปรเจค) และการส่งเล่มปริญญานิพนธ์นี่ยิ่งลุ้นระทึกว่าจะผ่านไม่ผ่าน และหลังจากผ่านพ้นมาได้ก็ค่อยหายใจได้ทั่วท้องหน่อย จบแล้วสงครามที่ยืดเยื้อยาวนาน 4 ปี (บางหลักสูตร 5 ปีหรือ 6 ปีก็ว่ากันไป) อย่าให้ยืดเยื้อยาวนานกว่าที่ควรก็เป็นพอ
    
เป็นไงล่ะน้องๆ ฟังดูเหนื่อยดีมั้ยล่ะ ที่บอกว่า "ติดมหาลัยแล้วสบายแล้ว" ลองคิดใหม่กันดูเนอะ เตรียมตัวเตรียมใจก้าวสู่สงครามใหญ่ให้พร้อม และทำให้ดีที่สุดนะครับ อย่าประมาทอย่าชะล่าใจว่าเราเป็นคนเก่ง จบมัธยมมาเกรด 4.00 หรือ 3.99 ชีวิตมหาลัยไม่ใช่แค่เราวิชาการดี ทฤษฎีเยี่ยมแล้วจะอยู่รอดตลอดไป ปฏิบัติก็สำคัญเช่นกัน บางหลักสูตรเน้นปฏิบัติมากกว่าทฤษฎีมากๆ  และที่สำคัญใช้ชีวิตให้เป็น แบ่งเวลาให้ดีครับ
 
สวัสดี
...

แสดงความคิดเห็น

>

2 ความคิดเห็น