คนเขียนบทละครโทรทัศน์ไทย
ตั้งกระทู้ใหม่
คนเขียนบทละครโทรทัศน์ไทย
ละครไทยมากมายที่เราติดตามชมหลายๆ เรื่องล้วนผ่านคนเขียนบทละคร นักเขียนหลายท่านมากมาย
อาทิเช่นรุ่นครู ศัลยา / ปราณประมูล / ยิ่งยศ ปัญญา
*********************************************************
- ศัลยา (ศัลยา สุขะนิวัตติ์)
ผลงานเด่น : คู่กรรม , คือหัตถาครองพิภพ , สายโลหิต , รัตนโกสินทร์ , มงกุฎดอกส้ม , ดอกส้มสีทอง , ลูกไม้ไกลต้น , เวลาในขวดแก้ว , แค้นเสน่หา
ผลงานที่กำลังถ่ายทำ รอออกอากาศ
กลลวงทวงหนี้รัก ทางช่อง 3
บุพเพสันนิวาส ทางช่อง 3
สายโลหิต ทางช่อง 7
คำสัมภาษณ์ ศัลยา สุขะนิวัตติ์
"การเขียนบทละคร ถ้าเรารู้ก่อนว่าตัวนักแสดงคนไหนใครจะเป็นคนแสดง
จะเป็นประโยชน์ต่องานมาก คือเราจะเขียนบทให้ใกล้เคียงกับคาแรคเตอร์ของคนนั้นถ้าตัวละครๆไม่ตรงเราก็ยังหาทางตะล่อมให้เข้ากันได้บ้าง ไม่ให้เสียคาแรคเตอร์จากบทประพันธ์เดิมเกินไป เพราะละครเป็นอะไรต้องไปเร็วมาก ถ่ายกันวันละสิบกว่าซีนถ้าบทต่างจากคาแรคเตอร์ตัวนักแสดงมากก็ยากกับการถ่ายทำ แต่บางครั้งก็มีเหมือนกันที่ต้องเขียนไปก่อนโดยที่ยังไม่รู้ว่าใครจะแสดงต่อไปเราก็พยายามหาทางตะล่อมให้กลมกลืมมากขึ้น"
************************************************************************************************
- ปราณประมูล (ทิพย์ธิดา ศรัทธาทิพย์)
ผลงานเด่น สวรรค์เบี่ยง , ปัญญาชนก้นครัว , เคหาสน์สีแดง , คนเหนือดวง , อุบัติเหตุ , อุ้มบุญ , เชลยศักดิ์ , คุณหญิงนอกทำเนียบ , วันนี้ที่รอคอย , น้ำใสใจจริง , สัมปทานหัวใจ , เงิน เงิน เงิน , บ่วงหงส์ , หนุ่มทิพย์ , ปริศนา , มายา
เหตุเกิดที่ สน. (2533-2534) ช่อง 7
ไม่ย่อท้อมรสุม (2540) ช่อง 5
นิราศสองภพ (2545) ช่อง 3
สะดุดรัก (2549) ช่อง 3
กุหลาบตัดเพชร (2549) ช่อง 3
จอมใจ (2550) ช่อง 3
สุสานภูเตศวร (2552) ช่อง 3
มาลัยสามชาย (2553) ช่อง 5
ลิขิตฟ้าชะตาดิน (2555) ช่อง 5
The Sixth Sense สื่อรักสัมผัสหัวใจ (2555) ช่อง 3 (ควบคุมบทโทรทัศน์)
คู่กรรม (2556) ช่อง 5
คุณชายพุฒิภัทร (2556) ช่อง 3
The Sixth Sense สื่อรักสัมผัสหัวใจ 2 (2556) ช่อง 3
พ่อไก่แจ้ (2557) ช่อง 3
น่ารัก (2557) ช่อง 5
ลมซ่อนรัก (2558) ช่อง 3
เจ้าบ้าน เจ้าเรือน (2559) ช่อง 3
ลมไพรผูกรัก (2560) ช่อง 3
คำสัมภาษณ์ จากเว็บ http://www.sakulthaionline.com/magazine/reader/19157/8
-รักในการเขียนบทละครมาตั้งแต่วัยเรียน...
ดิฉันชอบเขียนค่ะ นวนิยายก็เขียนเหมือนกัน เขียนทุกอย่าง เขียนมาตั้งแต่เด็ก ก็เขียนหนังสือในชั้นเรียนให้เพื่อนๆอ่าน เพราะธรรมชาติเป็นคนชอบเขียนอยู่แล้ว ถึงไม่มีใครจ้าง ก็คงเขียนไว้อ่านกันเอง ให้เพื่อนอ่าน งานเขียนเป็นงานที่ถูกจริตที่สุด และชอบเขียนบท เพราะว่าตั้งแต่สมัยเด็ก เป็นคนทำบทละครให้เพื่อนๆเล่นในงานโรงเรียน คือหมายความว่ามีความสุขในสิ่งที่ทำ กระทั่งกลายเป็นวิชาชีพมาจนถึงทุกวันนี้
- ครอบครัวช่วยส่งเสริมด้วยมั้ยคะ
คุณพ่อดิฉันเป็นนักอ่านมากๆ คุณแม่ก็เป็นนักอ่าน คุณแม่รับนิตยสารสกุลไทย สตรีสาร เป็นประจำ ส่วนคุณพ่อก็ชอบอ่านหนังสือแนวการเมือง และหนังสือของนักเขียนชายเป็นส่วนใหญ่ เนื่องจากคุณพ่อเป็นเพื่อนสนิทกับคุณสุวัฒน์ วรดิลก คุณทวีป วรดิลก คุณอาจินต์ ปัญจพรรค์ และด้วยความที่น้องชายของคุณพ่อ ก็คือ คุณอาทนง ศรัทธาทิพย์ เป็นบรรณาธิการหนังสือพิมพ์สารเสรี (พ.ศ.๒๔๙๗-๒๕๐๘) ซึ่งดังมากในสมัยนั้น จึงทำให้ทั้งคุณอาทนงและคุณพ่อมีเพื่อนเป็นนักเขียนมากมาย ท่านนักเขียนเหล่านี้ก็จะมาตั้งกลุ่มนั่งสนทนากันที่บ้านคุณพ่อเป็นประจำ ตั้งแต่ดิฉันยังไม่เกิด เพราะฉะนั้น เมื่อดิฉันเกิดเติบโตมา จึงเป็นเด็กที่อ่านหนังสือผู้ใหญ่หมดเลย การอ่านการเขียนเป็นวิถีในชีวิตประจำวัน แล้วพอมาอยู่โรงเรียนราชินี ซึ่งเป็นโรงเรียนที่ห้องสมุดดีมาก หนังสือดีมหาศาลเลย ดิฉันหายตัวไปเป็นประจำ เพื่อนๆก็รู้ว่าไปตามดิฉันได้ที่ห้องสมุด
ดิฉันชอบอ่านนวนิยายทุกแนว ทั้งนวนิยายจีนกำลังภายใน นวนิยายนักเขียนชาย นวนิยายนักเขียนหญิง การ์ตูนญี่ปุ่น อ่านหมดทุกประเภท นักเขียนทุกคนก็เป็นนักเขียนในดวงใจ เพราะว่าดิฉันได้หยิบยืมวิธีคิดหรือถ้อยคำสำนวน การใช้ภาษา มาจากหลายๆท่าน
-คุณพ่อปลื้มที่ลูกสาวเลือกเดินสายการเขียนละครหรือไม่คะ
ไม่เลย คุณพ่อไม่อยากให้ลูกเรียนเอกละครเลย ท่านอยากให้เรียนภาษาศาสตร์มากกว่า เช่น ภาษาจีน ภาษาฝรั่งเศส ท่านอยากให้เราเป็นนักวิชาการด้านอักษรศาสตร์ พอคุณพ่อมาทราบภายหลังว่าดิฉันเลือกเอกการละคร ท่านก็อึ้ง เงียบไป แต่ทุกครั้งที่เล่นละครในมหาวิทยาลัย คุณพ่อก็จะมาดูทุกครั้ง เพียงแต่ท่านไม่อยากให้ลูกยึดเป็นอาชีพ เพราะสมัยนั้นนักเขียนหลายท่านมีรายได้ไม่เพียงพอ คุณพ่อเห็นว่าอาชีพนักเขียนเป็นอาชีพที่ลำบากในการดำรงอยู่ ท่านจึงกลัวว่าลูกจะลำบาก ซึ่งตอนนั้นยังไม่เป็นธุรกิจมากเท่ายุคปัจจุบันนี้ คนทำงานศิลปะในยุคอดีตต้องเสียสละ ต้องอุทิศชีวิตเพื่อจรรโลงงานศิลปะ แต่ว่าพอมาถึงยุคของดิฉัน มันเปลี่ยนไปแล้ว อาชีพสร้างสรรค์งานเขียนบทละคร สามารถสร้างรายได้ให้ดำรงอยู่ได้และอยู่ดีด้วย สามารถสร้างเนื้อสร้างตัวได้ เป็นอาชีพที่มั่นคง ไม่ต้องพึ่งพ่อแม่
และประกอบกับว่าอาจารย์ชลประคัลภ์ จันทร์เรือง ท่านอยากจะเลิกเขียนบทละครแล้ว จึงส่งดิฉันซึ่งเป็นลูกศิษย์ให้เขียนแทน พอคุณไพรัช สังวริบุตร ซึ่งเป็นเพื่อนกับคุณพ่อของดิฉันด้วย เห็นชื่อนามสกุลของดิฉันที่อาจารย์ชลประคัลภ์แนะนำมาให้ คุณอาไพรัชก็ขับรถยนต์มาหาคุณพ่อที่บ้าน เพื่อชักชวนให้ดิฉันเขียนบทละครโทรทัศน์ให้แก่ช่อง ๗
นามปากกาปราณประมูลกำเนิดขึ้นตั้งแต่นั้นมา
จริงๆแล้ว นามปากกาปราณประมูลเกิดครั้งแรกในนิตยสารสตรีสาร ได้เขียนเรื่องสั้นส่งไปที่สตรีสารค่ะ
-ที่มาของชื่อนามปากกา
เนื่องมาจากคุณแม่ชื่อปราณี คุณพ่อชื่อประมูล ก็เลยเป็นปราณประมูลค่ะ
- สไตล์การทำงานของปราณประมูลเป็นอย่างไรคะ
ดิฉันเป็นคนที่ค่อนข้างคิดเร็ว แต่เขียนช้า เพราะกว่าจะลงมือเขียน ต้องคิดให้ได้ก่อน ที่บอกว่าเขียนช้า เพราะว่าต้องคิดให้มันแตกต่าง ยิ่งปัจจุบันนี้ งานละครถูกผลิตออกมาเยอะแยะมากมาย มุกทุกอย่างเคยบอกเล่ากันไปหมดแล้ว วิธีบอกรักทุกอย่าง วิธีบอกเลิกทุกอย่าง เซอร์ไพรส์ทุกอย่าง เคยเกิดขึ้นในงานละครหมดแล้ว เพราะฉะนั้น เราจึงต้องคิดสิ่งที่คนยังไม่เคยใช้หรือว่าแหวกแนว ฉีกออกไป ถ้าถามว่ารักษาคุณภาพยังไง ก็คือรักษาคุณภาพที่เราจะต้องยอมรับได้ ถ้าเปรียบว่าเป็นคนทำกับข้าว ก็ต้องเป็นคนทำกับข้าวที่ไม่ได้คำนึงว่านี่คือการทำขาย แต่นี่คือการทำกิน โดยทำทุกอย่างเหมือนทำกินเองที่บ้าน ลูกหลานเรากินได้ ไม่ว่าจะเป็นละครบ่าย ละครเย็น หรือละครอะไรเวลาไหนก็ตาม ถ้าเราทำเองแล้ว เราต้องกินลง หมายถึงว่ากินลงอย่างอร่อยด้วยนะ ไม่ใช่คิดลดคุณภาพ เพราะว่ามันเป็นละครหัวค่ำ ไม่เคยคิดอย่างนั้น
- คาดหวังอะไรจากนักเขียนบทละครรุ่นใหม่หรือไม่คะ
ก็คืออยากให้ทำอะไรที่เป็นรุ่นใหม่หน่อย อยากได้อะไรใหม่ๆ บางครั้งดูละคร ก็ยังมีมุกเดิมอีกละ พูดแบบนี้อีกละ ประโยคแบบนี้อีกละ ประโยคพิมพ์นิยม ฉากบอกรักพิมพ์นิยม ฉากพบรักพิมพ์นิยม ฉากอิจฉาพิมพ์นิยม รู้สึกเบื่อ เพราะฉะนั้นสิ่งที่คาดหวังจากนักเขียนบทรุ่นใหม่ คือช่วยใหม่หน่อย นั่นแหละค่ะอย่าให้คนดูเขาเบื่อกับอะไรที่ซ้ำๆ
-บทละครที่มีลายเซ็นปราณประมูลจะต้องยึดหลักอะไรเป็นสำคัญคะ
ดิฉันเชื่อว่าตัวเองเป็นคนที่มีทัศนคติที่ดี ดังนั้น สิ่งที่พยายามส่งสารออกสู่สังคม ก็คือทัศนคติที่ดี แล้วก็การมีความหวัง มองโลกบวก เห็นแก่ส่วนรวม เห็นแก่อนาคต เห็นแก่เยาวชน
-แต่ขณะเดียวกันก็ต้องปรับให้เท่าทันกับยุคสมัย
ใช่ค่ะ ดิฉันเองก็ปรับตัวอยู่แล้วทุกวี่วัน อย่างตัวเราเองก็สมาธิสั้นลงเหมือนกัน สมมติถ้าให้เขียนฉากหนึ่งยาวๆ เราก็คงเบื่อ อย่างเวลาคนส่งบทประพันธ์มาให้เลือกว่าจะทำบทละครไหม บางเรื่องอ่านไปแล้วสิบหน้ายังไม่สนุก อุ๊ย จะไหวมั้ย ซึ่งบางเรื่องเป็นงานของนักเขียนใหม่ที่เรายังไม่รู้จักมาก่อน ก็ต้องรีบอ่านอย่างรวดเร็ว หรือบางทีก็ต้องให้น้องๆในทีมย่อเรื่องมาให้อ่าน แต่ถ้าเป็นบทประพันธ์ของนักเขียนรุ่นใหญ่มืออาชีพ โครงเรื่องแน่น อย่างเช่น นวนิยายของ ว.วินิจฉัยกุล / "แก้วเก้า" เราก็ต้องตั้งใจอ่านให้ดี ไม่ให้พลาด
http://www.sakulthaionline.com/magazine/reader/19157/8
****วงการละครสมัยก่อนกับสมัยนี้แตกต่างกันยังไง
"ถ้าเป็นงานบทพี่ว่ายิ่งเขียนไปยิ่งยากเพราะบททุกอย่างเคยเขียนมาหมดแล้ว เรื่องทุกเรื่องในโลกนี้เคยเล่ามาหมดแล้วบางทีก็มาเล่าซ้ำในขณะที่ตลาดมีละครมากมายจะทำยังไงให้บทตรงนี้แตกต่าง สมมติฉากประมาณนี้อารมณ์ประมาณนี้เคยเขียนมาหมดแล้ว มันเคยถูกบอกเล่ามาหมดแล้ว เราต้องคิดค้นหรือสร้างสรรค์หาอะไรที่แปลกใหม่กว่าที่เคยเล่ามา สมมติฉากรักสามเส้ามันรักสามเส้ามาแบบซ้ำๆเราก็ต้องคิดมุกรักสามเส้าแบบแตกต่าง ถ้าบทไม่แตกต่างก็ไม่สร้างสรรค์ไม่ให้อะไร ความที่มันยากในสมัยนี้คือต้องทำให้แตกต่างกว่าสิ่งที่เคยบอกเล่ามาหมดแล้ว การที่เราจะคิดวิธีบอกเล่าที่แตกต่างนี่แหละที่ยาก อย่างบางทีการที่เราต้องการเด็กใหม่ๆ มาเขียนบทก็เพื่อความแปลกใหม่เพื่อความสดเพื่อความแตกต่าง แต่ปรากฏว่าเด็กๆ กลับมีประสบการณ์น้อยบางทีเขาคิดไม่ค่อยแตกต่างมาก เขาจะคิดในสิ่งที่เขาเคยเห็นเคยดูมาแล้ว บางทีต้องบอกให้เขาไปดูอะไรเยอะๆกว่านี้ หรืออ่านอะไรให้เยอะกว่านี้เพื่อให้ประสบการณ์มากขึ้นจะได้เขียนให้มีมิติมีอะไรมากกว่าทำสิ่งอะไรที่ซ้ำซากหรือโหลๆ เฝือๆ แต่บางทีเด็กก็มีข้อจำกัดตรงที่ประสบการณ์เขาน้อย และขาดความมั่นใจเราก็ต้องเสริมตรงนี้ให้เขา"
http://2g.pantip.com/cafe/book_stand/pappayonbunterng/s540615-540621.html
************************************************************************************************
- ยิ่งยศ ปัญญา
ผลงานเด่น หนุ่มทิพย์ , บ้านทรายทอง , อาญารัก , แต่ปางก่อน , ดงผู้ดี , ทองเนื้อเก้า , สุดแค้นแสนรัก , รากนครา
คำสัมภาษณ์ จากเว็บ http://www.praphansarn.com/%E0%B8%84%E0%B8%B8%E0%B8%A2%E0%B8%99%E0%B8%AD%E0%B8%81%E0%B8%A3%E0%B8%AD%E0%B8%9A/article/1476
- การเขียนบทไม่มีเทคนิค
หากมีโอกาสได้พูดคุยกับบุคคลที่เรายึดเป็น ‘ไอดอล’ หลาย ๆ คนอาจต้องการทราบเทคนิค วิธีการ หรือ ‘สูตรลัด’ ที่ทำให้คนคนนั้นประสบความสำเร็จ แต่ถ้าถามคำถามนี้กับ ยิ่งยศ ปัญญา เขาตอบกลับมาว่า “การเขียนบทละครไม่มีเทคนิค เด็ก ๆ รุ่นใหม่ที่เข้ามาทำงานเขียนบทในตอนนี้ พยายามแสวงหาเทคนิค กฎเกณฑ์ สูตรสำเร็จในการเขียนบท ซึ่งบอกเลยว่ามันไม่มี เพราะละครเป็นศาสตร์ชนิดหนึ่ง มีหลักการ และทฤษฎีของมันอยู่ประมาณหนึ่ง คุณจะต้องเอาทฤษฎีเหล่านี้ไปย่อยสลาย จึงจะมีลายเซ็นของตัวเอง มันไม่ใช่แค่ 1 + 1 = 2 เท่านั้น ถ้าเป็นอย่างนั้น ละครทุกเรื่องก็ต้องออกมาเหมือนกันหมดเลยสิ แค่เปลี่ยนชื่อตัวละคร แค่สลับอาชีพพระเอกนางเอกก็ได้ละครเรื่องใหม่แล้ว
- นักเขียนบทละครเปรียบเสมือนทัพหน้า ที่จะคอยกำหนดทิศทาง ว่าละครควรจะไปทางไหน สิ่งสำคัญคือแก่นของเรื่องนั้นชัดเจนหรือยัง ก่อนที่จะไปวางกลยุทธ์การเล่าเรื่องให้ชัดเจน คมคาย พอที่จะทำให้คนดูสนใจเรื่องเล่าของเราแล้วหรือยังต่างหาก”
- ละครในมุมมองของยิ่งยศ ปัญญา
ในปัจจุบัน มีการให้นิยามคำว่า ‘ละคร’ กันมากมาย ไม่ว่าจะเป็นจากนักวิชาการ จากผู้กำกับ จากนักแสดง แล้วนิยามว่า ‘ละคร’ จากมุมมองของนักเขียนบทเป็นอย่างไร ยิ่งยศตอบว่า “ละครก็คือเรื่องราวของคน จะใช้คำว่ามนุษย์ก็ไม่ได้ ต้องใช้คำว่าคน คนกับมนุษย์ต่างกันด้วยระดับของสติปัญญา การพัฒนาทางด้านจิตใจ สิ่งสำคัญคือการดึงความเป็นคนออกมาให้ได้ก่อน การที่ละครไม่ดี ส่วนหนึ่งก็เป็นเพราะว่าไม่สามารถดึงความเป็นคนออกมาได้ ถือเป็นอีกลักษณะของละครแย่ ๆ ในทุกวันนี้ มันเป็นลักษณะหนึ่งของ typecast คือตัวละครที่แบน มีรูปแบบอย่างเดียว เลวก็เลว-ตำบอน เลวไม่มีที่สิ้นสุด เลวตั้งแต่เกิดจนตาย ไม่เหมือนตัวละครกลมที่มีทั้งด้านดีและด้านเลว ในความเป็นคนมันมีสองด้านเสมอ”
- ละครกับสังคม
นอกจากสร้างความบันเทิง เรียกเสียงหัวเราะและความสุขจากผู้ชมแล้ว ละครยังสามารถสะท้อนภาพความเป็นจริงของสังคม รวมไปถึงการยกระดับจิตใจของมนุษย์ได้อีกด้วย “จริง ๆ คนทำละครตระหนักในสิ่งนั้นนะ นักเขียนบทละครควรจะมี ‘แรงขับ’ ที่อยากจะบอกเล่าอะไรกับสังคม ข้อใหญ่ใจความสำคัญคือการสร้างแรงจูงใจต่อมนุษย์ให้เข้าใจเพื่อนมนุษย์ด้วย กัน เข้าใจความเป็นจริงของมนุษย์ เข้าใจสัจธรรมของชีวิต และนำมาสู่ซึ่งความเปลี่ยนแปลงในทางที่ดีขึ้น นอกจากสนุก มีสาระแล้ว ต้องนำมาซึ่งหนทางที่จะทำให้มนุษย์ยกระดับจิตใจ และนำพามาซึ่งความเปลี่ยนแปลงในโลกในทางที่ดีขึ้น เช่น เราจะตะเกียกตะกายหาเงินไปถึงไหน สุดท้ายก็ต้องตายอยู่ดี ชีวิตเราก็เท่านั้น ตายแล้วก็เอาอะไรไปไม่ได้สักอย่าง”
หลายคนมักจะบอกกันว่า ต้นเหตุของข่าวอาชญากรรม ฆาตกรรม ส่วนหนึ่งมาจากละคร ละครบางเรื่องทำให้คนดูเข้าใจว่าการข่มขืนเป็นเรื่องที่ถูก เพราะพระเอกยังข่มขืนนางเอกได้เลย ไม่เห็นผิด เรื่องนี้เขาไม่เห็นด้วยอย่างมาก “เราไม่เชื่อว่าพฤติกรรมของคน การฆาตกรรม หรือการข่มขืนนั้น จะมาจากละคร เราทำละครเพื่อให้คนดูเกิดวุฒิภาวะ มีสติปัญญาในการหาทางออกและแก้ปัญหา ทำให้ชีวิตดีขึ้น อย่างเรื่องฉากข่มขืน นักเขียนบทละครก็คิดทบทวน และไตร่ตรองดีแล้ว จึงเขียนฉากเหล่านี้ออกมา เพราะการที่พระเอกข่มขืนนางเอก ไม่ใช่แค่การตอบสนองอารมณ์ทางเพศเพียงอย่างเดียว ต้องมีแรงจูงใจที่เข้มข้นมากพอ แต่อย่างน้อยที่สุด พระเอกก็จะรับผิดชอบในสิ่งที่ทำไป และจบลงด้วยความรักเสมอ”
http://www.praphansarn.com/%E0%B8%84%E0%B8%B8%E0%B8%A2%E0%B8%99%E0%B8%AD%E0%B8%81%E0%B8%A3%E0%B8%AD%E0%B8%9A/article/1476
************************************************************************************************
https://www.facebook.com/permalink.php?story_fbid=698369486904965&id=126282040780382
https://www.facebook.com/permalink.php?story_fbid=710689165672997&id=12628204078038
2 ความคิดเห็น
รายชื่อผู้ถูกใจความเห็นนี้ คน
แจ้งลบความคิดเห็น
คุณต้องการจะลบความคิดเห็นนี้หรือไม่ ?