Dek-D.com ใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสบการณ์ของ
ผู้ใช้ให้ดียิ่งขึ้น เรียนรู้เพิ่มเติมที่นี่
ยอมรับ

ที่มาของ"ปลานิล"จากพระมหากรุณาธิคุณในหลวงรัชกาลที่ 9

ตั้งกระทู้ใหม่
ตั้งกระทู้ใหม่
     น้องๆ หลายๆ คน คงเคยเห็น หรือเคยทาน "ปลานิล" กันใช่ไหมคะ ปลานิล มีคุณค่าทางโภชนาการสูง ประกอบอาหารได้หลากหลาย แถมยังมีราคาถูก หาซื้อง่าย แต่น้องๆ ทราบถึงที่มากันไหมคะ ว่าปลานิลนี้ มีที่มาอย่างไร พี่แนนไปเจอบทความจาก ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.ธรณ์ ธำรงนาวาสวัสดิ์ ภาควิชาวิทยาศาสตร์ทางทะเล คณะประมง มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ อาจารย์ท่านเล่าเรื่องปลานิลได้อย่างที่พี่แนนก็ไม่เคยรู้มาก่อน ลองไปอ่านกันได้เลยค่ะ

 

 
"ทุกคนทราบว่าราชวงศ์ไทย-ญี่ปุ่นมีความสัมพันธ์เป็นพิเศษ หลายคนทราบว่าปลานิลมาจากความสัมพันธ์ดังกล่าว แต่น้อยคนทราบว่า #ก่อนปลานิลยังมีปลาบู่ #เมื่อสองกษัตริย์ชวนไปชมปลา #การทูตหยุดโลก #คือความหมายของเหลือเชื่อ
 
สมเด็จพระจักรพรรดิอะกิฮิโตะ ทรงเป็น “มีนกร” (คำนี้หมายถึงผู้เชี่ยวชาญเรื่องปลา เด็กประมง ม.เกษตรศาสตร์ เรียกตัวเองว่า “มีนกร” มาแต่ไหนแต่ไร)
 
พระองค์สนใจเรียนรู้เรื่องปลา จนจบการศึกษาจากคณะวิทยาศาสตร์ ขณะนั้นพระองค์ดำรงตำแหน่งเป็นมกุฎราชกุมาร
ความสัมพันธ์อย่างเป็นทางการระหว่างสองกษัตริย์ เริ่มจากกษัตริย์ของไทย เสด็จเยือนญี่ปุ่นในพ.ศ.2506 (27 พฤษภาคม – 3 มิถุนายน) ก่อนเชิญมกุฎราชกุมารเสด็จเยือนไทย
 
มกุฎราชกุมารจากญี่ปุ่นเสด็จเยือนไทยในเดือนธันวาคม พ.ศ.2507
 
ในครั้งนั้น สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ ได้ต้อนรับอย่างสมพระเกียรติ และจัดโปรแกรมช่วงหนึ่งให้ “ไปทอดพระเนตรปลา”
 
หากอ่านผ่านๆ คุณอาจไม่คิดอะไร แต่ถ้าพิจารณาสักนิด มกุฎราชกุมารจากญี่ปุ่น มหาอำนาจแห่งเอเชีย เสด็จมาไทยเป็นครั้งแรก เราจะชวนไปดู “ปลา” ไหมครับ ?
 
เป็นใครก็คงส่ายหน้า เป็นใครก็คงคิดไม่ถึง
 
เขามาเยือนเป็นครั้งแรก เราต้องจัดประชุมให้หนัก พูดคุยกันเรื่องการบ้านการเมือง มีงานเลี้ยงใหญ่โต ใครจะคิดถึงโปรแกรม “ไปดูปลา”
 
แต่มหากษัตริย์ไทยคิด และเป็นความคิดที่ “หลุดกรอบ” มากที่สุดเท่าที่ผมเคยเจอะเจอ
 
คนรุ่นนี้มักพูดกันถึงความคิดแปลกใหม่ เราเบื่อการยึดติด เบื่อโน่นนี่นั่น ถึงเวลานอกกรอบ
 
เคยทราบไหมครับว่าใครคือผู้ “นอกกรอบ” ที่แท้จริง และนอกกรอบมาเมื่อกว่า 50 ปีก่อน
 
คนชอบปลามาเยือน ก็ต้องพาเขาไปดูปลาสิ
 
เป็นความคิดที่ห้าวหาญจนสุดจะจินตนาการไหว เมื่อคิดว่าทั้งผู้ต้อนรับและผู้มาเยือนเป็นกษัตริย์
 
ไม่มีใครทราบว่ามหากษัตริย์ของไทยคิดเช่นไร แต่ถ้าให้ผมวิเคราะห์ ผมคิดว่าท่านอาจคิดถึงประวัติศาสตร์ เพราะเคยมีคนทำมาก่อนหน้านั้น และทำจนสำเร็จ
 
ย้อนไปเดือนมีนาคม พ.ศ.2433 มกุฎราชกุมารแห่งรัสเซีย ตอบรับคำเชิญของรัชกาลที่ 5 ถือเป็นครั้งแรกที่ราชวงศ์ชั้นสูงจากประเทศมหาอำนาจในยุโรป เสด็จมาเยือนไทย
 
ในครั้งนั้นคือการต้อนรับอย่างยิ่งใหญ่ที่สุดเท่าที่เคยมีมา รวมถึงการ “คล้องช้างครั้งสุดท้าย” ที่ช้างป่าถูกต้อนมากว่า 300 ตัว กลายเป็นความประทับใจที่ไม่มีวันลืมของมกุฎราชกุมาร ผู้ต่อมาทรงขึ้นเป็นกษัตริย์ซาร์นิโคลัสที่ 2
และเมื่อสยามเดือดร้อนถึงขีดสุด รอบด้านล้วนตกเป็นอาณานิคม มหาอำนาจต่างชาติถึงขั้นเตรียมแบ่งประเทศเรา รัชกาลที่ 5 จำเป็นต้องเสด็จยุโรปเพื่อแสดงว่าเราเจริญแล้ว มิใช่บ้านป่าเมืองเถื่อน ประเทศเดียวที่ต้อนรับเราด้วยไมตรีจิตคือรัสเซีย
 
เมื่อภาพคิงจุฬาลงกรณ์ประทับคู่ซาร์นิโคลัสที่ 2 ถูกตีพิมพ์ในหนังสือพิมพ์ยุโรป ประเทศอื่นถึงยอมรับและต้อนรับพระองค์ จนทำให้ไทยยังคงเป็นไทยจนทุกวันนี้
 
และนั่นคือการทูตหยุดโลกที่เริ่มต้นจาก “ช้าง”
 
การทูตหยุดโลกเริ่มต้นอีกครั้ง จาก “ปลา” ที่กษัตริย์แห่งไทยพามกุฎราชกุมารแห่งญี่ปุ่นไปทอดพระเนตร
 
สถานที่คือพิพิธภัณฑ์ประมง ตั้งอยู่ในคณะประมง ม.เกษตรศาสตร์ ที่ทำงานของผม
 
บันทึกบอกไว้ มกุฎราชกุมารทรงพระสำราญมาก หยิบขวดโน้นยกขวดนี้ขึ้นมาดู (สังเกตในภาพ) รวมถึง “ปลาบู่”
 
ปลาบู่ดังกล่าวเป็นปลาบู่ที่พบในเมืองไทยเป็นครั้งแรกของโลก ตัวแรกๆ ที่ค้นพบและถูกนำมาศึกษาจนเป็นตัวอย่างต้นแบบอยู่ในพิพิธภัณฑ์แห่งนี้
 
นั่นยังไม่แปลกอะไร แต่ความสำคัญมี 2 ประการ
 
1) ปลาบู่ชนิดนี้มีชื่อว่า “ปลาบู่มหิดล” ตั้งชื่อเพื่อเทิดพระเกียรติ สมเด็จพระมหิตลาธิเบศร อดุลยเดชวิกรม พระบรมราชชนก
2) ปลาบู่ชนิดนี้ค้นพบและตั้งชื่อ โดยดร. ฮิว แมคคอร์มิค สมิธ
 
มกุฎราชกุมารแห่งญี่ปุ่นรักปลาเป็นชีวิตจิตใจ เมื่อทราบว่า ปลาบู่ถูกตั้งชื่อตามพระราชบิดาของกษัตริย์ไทย ความประทับใจย่อมก่อเกิด
 
อย่าเอาความคิดเราไปตัดสินครับ ในสายของนักอนุกรมวิธาน การที่จะมีชื่อใครสักคนเป็นชื่อวิทยาศาสตร์ของสัตว์ชนิดหนึ่ง เป็นเกียรติสุดๆ และชื่อนั้นถูกบันทึกไว้ในพ.ศ.2496 นานแสนนานในครั้งที่โลกเรายังไม่ก้าวหน้าเช่นทุกวันนี้
 
การตั้งชื่อสัตว์ต้องมีที่มาที่ไป ในครั้งนั้น ดร.สมิธ ถวายชื่อให้เพราะพระบรมราชชนกทรงช่วยกิจการประมงไทยให้ตั้งต้นได้ รวมถึงพระราชทานทุนทรัพย์ส่วนพระองค์ ส่งคนไปเรียนเมืองนอกในสาขาวิชาด้านนี้ ก่อนกลับมาเป็นบรมครูสอนพวกเรารุ่นต่อมา
 
ผมยังมีข้อ 2 นั่นคือดร.สมิท ผู้เชี่ยวชาญจากอเมริกา รัชกาลที่ 6 ขอตัวมาเมื่อจัดตั้ง “กรมรักษาสัตว์น้ำ” เพื่อเป็นเจ้ากรมคนแรก เพราะคนไทยยังไม่มีความรู้ทางนี้เลย
 
ดร.สมิท ถือเป็น “ระดับเทพ” แห่งวงการมีนวิทยาในยุคนั้น ใครศึกษาเรื่องปลา ล้วนต้องรู้จักท่าน
จึงไม่น่าแปลกใจที่มกุฎราชกุมารแห่งญี่ปุ่น ทรงหยิบขวดนี้ขึ้นมาดู พร้อมอุทานว่า “นี่เป็นปลาที่ดร.สมิทเก็บหรือ ?” (มีบันทึกอ้างอิง มิใช่คิดเอาเองครับ)
 
และนั่นคือจุดเริ่มต้นของความประทับใจสุดๆ จนกลายเป็นความสนิทสนมเป็นการส่วนพระองค์
 
เมื่อได้ใจ “คนรักปลา” ต่อมาในพ.ศ.2508 พระองค์จึงขอพระราชทาน “ปลานิล” จากมกุฎราชกุมารญี่ปุ่น
 
ผมเชื่อเหลือเกินว่า พระองค์ทรงเล็งเห็นอยู่แล้ว คนไทยต้องการโปรตีนเพื่อพัฒนาร่างกายพัฒนาสมอง แต่โปรตีนจากเนื้อสัตว์อื่นใดล้วนมีราคาแพงเกินกว่าที่ชาวบ้านสามัญชนจะหากินได้ทุกวี่วัน
 
มีแต่ปลาและปลาเท่านั้น ที่ชาวบ้านจับได้กินได้ และคนไทยก็กินปลามาแต่โบราณ เพียงแต่ขาดปลาที่เลี้ยงง่ายโตวัยอยู่ได้ในทุกแหล่งน้ำ และไม่รบกวนระบบนิเวศเกินไป
 
ปลานิลอ้วน เนื้อเยอะและอร่อย ปลานิลที่มีถิ่นกำเนิดจากลุ่มแม่น้ำไนล์ จึงเป็นปลาที่น่าจะเหมาะสมที่สุด
 
ตรงนี้มีข้อสงสัย พระองค์ทราบได้อย่างไรว่าต้องเป็นปลานิล ?
 
คำตอบคือเรากำลังพูดถึงใคร ?
 
กรุณาเข้าใจว่าเรากำลังพูดถึง “มหาปราชญ์”
 
มกุฎราชกุมารถวายปลานิล 50 ตัวให้ด้วยความยินดี จากนั้นก็ตายไป 40 ตัว (ตามคำบอกเล่า) เหลือเพียง 10 ตัว พระองค์จึงรีบนำกลับมาเลี้ยงเองในวังสวนจิตรลดา
 
หากใครสงสัยคำว่า “มหาปราชญ์” ที่ผมระบุไว้ น่าจะสิ้นสงสัยตรงนี้
 
คนที่แต่งเพลงได้เกือบ 50 เพลง สร้างและเล่นเรือใบก็ได้ ทำฝนเทียมก็ได้ เลี้ยงปลาที่คนอื่นเลี้ยงไม่รอดให้รอด คนแบบนั้นควรจะเรียกว่าอะไรครับ ?
 
และอย่าลืมว่าท่านเป็นกษัตริย์ มีภารกิจมากมายมหาศาล
 
มหาปราชญ์จึงเป็นคำที่ถูกต้องทุกประการ ไม่ได้มีการยอยศให้เกินเหตุ
 
หนึ่งปีผ่านไป พระองค์ตั้งชื่อ “ปลานิล” ให้เชื่อมโยงกับชื่ออังกฤษ (Nilotica – ปลาแม่น้ำไนล์) ก่อนพระราชทานให้กรมประมง 10,000 ตัว เพื่อแจกจ่ายให้ประชาชนเลี้ยง
 
ขอบอกวันที่สักนิด มกุฎราชกุมารถวายปลานิล 50 ตัวในวันที่ 25 มีนาคม 2508
 
พระองค์มีปลาเหลือ 10 ตัว เลี้ยงและขยายพันธุ์ พระราชทานให้กรมประมง 10,000 ตัว ในวันที่ 17 มีนาคม 2509

 

ภาพจาก www.siamtilapia.com
 
ในเวลาไม่ถึง 1 ปี ปลา 10 ตัวกลายเป็น 10,000 ตัว (ยังไม่รวมที่พระองค์เก็บไว้) ผมไม่ทราบจะอธิบายเช่นไร ? มีอิทธิฤทธิ์ บุญบารมี ?
 
แต่มีคำบอกเล่าว่า พระองค์ไม่ทรงเสวยปลานิล ด้วยเหตุผลง่ายๆ “เลี้ยงมาเหมือนลูก จะไปกินลงได้อย่างไร” (ถ้อยคำจากคำบอกเล่า)
 
บุญบารมีคงมีจุดเริ่มมาจาก “เลี้ยงมาเหมือนลูก”
 
ทรงทุ่มเทฟูมฟัก เหมือนเศรษฐีดูแลเอาใจใส่ปลาราคาแพง เพื่อเลี้ยงไว้ประดับบารมี
 
เผอิญพระองค์ฟูมฟักปลานิล ไม่ใช่เพราะสวยดีประดับบารมีได้ แต่เพราะปลานิลคือปลาที่พระองค์ตั้งใจไว้ว่าจะเป็นทางออกให้ประชาชนชาวสยาม
 
เวลาผ่านมา 50 ปี ผมไม่ต้องหาตัวเลขใดๆ มายืนยันว่าพระองค์ประสบความสำเร็จ ขอเพียงคุณเดินไปตามตลาด คุณเห็นปลานิลย่างปลานิลทอดบนตะแกรงบ้างไหม ?
 
มีปลาใดราคาถูกเท่านี้ มีเนื้อมากเท่านี้ และทุกคนกินได้กินดี ดังเช่นปลานิล
 

รูปจาก http://www.biogang.net/
 
ผมเพิ่มตัวเลขให้เพื่อความชัดเจน ปัจจุบัน เมืองไทยผลิตปลานิลได้ปีละ 220,000 ตัน จากฟาร์ม 300,000 แห่ง สร้างงานให้ผู้คนเรือนล้าน
 
ประเทศไทยยังส่งออกปลานิลไปทั่วโลก สร้างรายได้มหาศาล จนเป็นปลาส่งออกลำดับต้นๆ ของเมืองไทย
นำทุกอย่างกลับมาคิดใหม่
 
2506 เสด็จเยือนญี่ปุ่น
2507 มกุฎราชกุมารเสด็จมา พาไปดูปลาบู่
2508 ขอปลานิลมาเลี้ยง 50 ตัว
2509 พระราชทานปลา 10,000 ตัวให้กรมประมง
2559 ปลามากกว่า 220,000 ตันต่อปี สร้างงานให้คนนับล้าน เป็นโปรตีนราคาถูกและดีที่สุดของประเทศนี้

ผมพูดถึง “การทูตหยุดโลก” มาหลายครั้ง แต่ยังไม่อธิบายความหมายให้ชัดเจน
 
ตอนนี้ถึงเวลาแล้ว
การทูตหยุดโลก = ปลาบู่ = ปลานิล = คนไทยมีกิน = คนมีงานทำ
เป็นสมการแสนง่าย แต่ใคร่ขอถามว่า แล้วใครจะคิดได้ ?

แล้วใครจะคิดได้เมื่อกว่า 50 ปีก่อน แล้วใครจะมองการณ์ไกลขนาดนั้น
 
สมัยผมเป็นสปช. เราช่วยกันทำยุทธศาสตร์แห่งชาติ 20 ปี แค่นั้นยังปวดหัวแทบตาย

บางคนพูดว่าจะคิดไปได้ยังไงไกลขนาดนั้น บางคนบอกว่าสิงคโปร์มาเลเซียเขาทำหมดแล้ว เขาก้าวหน้าไปไกลกว่าเราตั้งนาน

20 ปี ? ก้าวไกลไปกว่าเราตั้งนาน ?
50 ปี ปลาบู่ ปลานิล คน 66 ล้าน คิดคนเดียว ทำจนจบ

ยังไม่พูดถึงความสัมพันธ์อันแนบแน่นของสองประเทศ ไม่พูดถึงปรากฏการณ์ที่ไม่มีมาก่อน เมื่อองค์จักรพรรดิญี่ปุ่น “ไว้ทุกข์” ให้พระสหายผู้สนิทสนมกว่า 50 ปี
ไว้ทุกข์ให้กับ “บุรุษผู้ประสบความสำเร็จสูงสุดในเรื่องปลา”
ไม่ใช่ค้นพบปลาสายพันธุ์ใหม่ ไม่ใช่เชี่ยวชาญเก่งกาจในวิทยาศาสตร์เรื่องปลา
แต่ทำให้ปลา 10 ตัวกลายเป็น 220,000 ตันต่อปี
ทำให้ “ปลา” กับ “คน” มาเชื่อมต่อกันอย่างสุดที่ใครจะเปรียบได้
 

รูปจาก 
Ourking.in.th

ผมไม่ตั้งใจเขียนบทความนี้ให้คุณร้องไห้ เพราะผมเขียนไม่ไหวแล้ว บทความ “โลกร้อน” ทำเอาผมเกือบตาย
ผมตั้งใจจะสื่อให้ชัดเจนว่า ทำไมผมถึง “กราบ” ?
ผมไม่เคยกราบเพราะเขาบอกให้กราบ ไม่เคยกราบเพราะเขาสอนให้กราบ
ไม่เคยกราบเพราะคนอื่นเขากราบกัน ผมไม่กราบอิทธิฤทธิ์ปาฏิหาริย์
ผมกราบ “ความจริง” เท่านั้น
ผมกราบสยบแทบเท้า กราบด้วยหัวจิตหัวใจ
กราบเพราะผมเห็นประจักษ์
กราบแทบเท้าพระองค์ท่าน
คำว่า “เหลือเชื่อ” ถูกใช้กันจนเกร่อ
แต่สำหรับผมแล้ว อย่างนี้สิถึงเป็น “เหลือเชื่อ”
คิดได้ไง...ทำได้ไง...เหลือเชื่อ

จึงทรุดกายกราบซบหน้าแนบดินด้วยความอาลัย
บุรุษผู้สร้างสิ่งที่ไม่สามารถแม้แต่จะจินตนาการได้
อย่างนี้สิมันถึงต้องกราบ อย่างนี้สิมันถึงต้องร้องไห้
ร้องให้ใจสลาย...
ร้องเพราะยิ่งค้นยิ่งเขียน จึงยิ่งรู้ว่า เราสูญเสียมากเกินไป
มันมากเกินไปจริงๆ !
หมายเหตุ - ผมไม่เคยก้าวล่วงความคิดส่วนตัวของใคร จะคิดอย่างไรกับพระองค์ท่านเป็นสิทธิของคุณ
ว่าแต่...คุณเคยกินปลานิลไหมครับ ?
.....
ที่มาจาก Facebook : Thon Thamrongnawasawat 
https://www.facebook.com/thon.thamrongnawasawat/posts/1493863680628830
 

แสดงความคิดเห็น

>

1 ความคิดเห็น

นุชนาถ 22 ต.ค. 59 เวลา 08:24 น. 1

ชอบทานปบานิลมากค่ะ
อ่านแล้วอึ้งทึ่งในพระอัจริยะของสมเด็จพระปรมินทร์ มหาภูมิพลอดุลยเดช มหิตลาธิเบศน์ รามาธิบดี จักรีนฤบดินทร์ สยามมินทราธิราช บรมนาถบพิตร มากๆเลยค่ะ ลูกจะขอเดินตามรอยเท้าพ่อในความพอเพียงและทานปลานิลทุกวันค่ะ

0