Dek-D.com ใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสบการณ์ของ
ผู้ใช้ให้ดียิ่งขึ้น เรียนรู้เพิ่มเติมที่นี่
ยอมรับ

เส้นทางชีวิตของนักเรียนแลกเปลี่ยนประเทศฝรั่งเศส

ตั้งกระทู้ใหม่

               Bonjour ! สวัสดีค่ะ เราชื่อวาเลน อายุ16ปี เป็นนักเรียนแลกเปลี่ยนของโครงการโรตารี่ หรือRotary youth exchange D.3360 ซึ่งเราได้มีโอกาสมาแลกเปลี่ยนที่ประเทศฝรั่งเศสค่ะ ตอนแรกเหตุผลที่เราเลือกอยากจะมาแลกเปลี่ยนประเทศฝรั่งเศสนั้น เพราะเราคิดว่าประเทศฝรั่งเศสเป็นประเทศที่มีอะไรหลายๆอย่างเหมือนกันกับประเทศไทยแต่ในความเหมือนนั้น ก็มีความต่างอยู่ในตัว เราเลยอยากมาแลกเปลี่ยนเพื่อเรียนรู้วัฒนธรรมของคนที่นี้ รวมถึงการใช้ชีวิต ความคิด ทัศนคติของคนฝรั่งเศส นี้จึงเป็นเหตุผลที่เราเลือกจะมาแลกเปลี่ยนที่ประเทศฝรั่งเศสนี้ 

>>Rotary Youth Exchange Program<<

 ทางสโมสรโรตารี่จะมีโครงการดีๆมากมายซึ่งหนึ่งในนั้นก็คือโครงการเยาวชนแลกเปลี่ยน เยาวชนเหล่านี้คือลูกหลานของสมาชิกในสโมสรโรตารี่หรือโรทาเรี่ยนของแต่ละคลับ ในแต่ละปีก็จะมีการเริ่มต้นสอบเพื่อคัดหานักเรียนแลกเปลี่ยนในช่วงเดือนสิงหาคมและมีการเตรียมตัวเตรียมความพร้อมให้เด็กมากมายก่อนการมาแลกเปลี่ยนจริง ในปีของเรามีเพื่อนแลกเปลี่ยนจากภาค 3360 ด้วยกันถึง 36 คนและได้มาแลกเปลี่ยนที่ฝรั่งเศสเพียง 5 คน แต่ละคนนั้นจะได้อยู่กันคนละภาคคนละโซนของประเทศฝรั่งเศสเลย อย่างเราได้อยู่ภาค 1760 อยู่แถวๆทางตอนใต้ของประเทศฝรั่งเศส ก่อนเรามาแลกเปลี่ยนทางโครงการโรตารี่ได้มีค่ายอบรมให้แก่นักเรียนแลกเปลี่ยนเยอะมาก เพื่อเตรียมความพร้อมก่อนมาแลกเปลี่ยนจริงๆ ในค่ายก็จะมีทั้งการพบเจอเพื่อนที่ไปแลกเปลี่ยนด้วยกัน รุ่นพี่ที่ไปกันมาแล้วก็จะมาแชร์ประสบการณ์ให้ฟัง มีผู้ใหญ่คอยแนะนำสอนวิธีการแก้ปัญหาต่างๆให้ตลอด เพราะทางโรตารี่เองไม่อยากให้พวกเราต้องตกใจ ลำบาก หรืออยู่ที่นั้นได้ไม่ครบปี จึงมีการจัดเตรียมความพร้อมเยอะมาก ทั้งค่ายสอนภาษาอังกฤษเบื้องต้น ค่ายให้ละลายพฤติกรรม ค่ายอบรมความเป็นผู้นำ รวมไปถึงการจัดกิจกรรมปัจฉิมนิเทศให้เราได้มีโอกาสนำพวงมาลัยกราบขอบคุณคุณพ่อคุณแม่ของเราก่อนมาแลกเปลี่ยนอีกด้วย ส่วนข้อมูลต่างๆหากใครสนใจก็สามารถติดตามได้จากเว็บไซต์ของทางโครงการนะคะ  '' www.ye3360.com ''

 >>French<<

 เราได้อยู่ที่เมือง Istres เป็นเมืองเล็กๆไม่ได้ใหญ่อะไรมาก น้อยคนจะรู้จักเพราะเป็นเมืองที่เล็กๆสงบๆเงียบๆไม่ค่อยมีสถานที่ท่องเที่ยวอะไรมาก จะอยู่ติดกับเมือง AIX-Marseille ซึ่งเป็นเมืองค่อนข้างใหญ่ในโซนนี้ ที่นี้แต่ละร้านจะแยกกันอยู่แบบเป็น-เป็นส่วนเลย คือไม่ได้มีห้างใหญ่ๆเยอะๆเหมือนบ้านเราที่จะมีร้านทุกอย่างอยู่ในนั้น เขาจะแยกร้านเสื้อผ้าอยู่อีกที่หนึ่ง ร้านขายวัตถุดิบทำอาหารอยู่อีกที่หนึ่ง ร้านขายขนมปัง ขายอุปกรณ์ไฟฟ้า ขายของเล่น คือแยกกันอยู่หมดเลย จนบางทีการไปหาซื้ออะไรนี้ต้องดูจากเว็บไซต์ก่อนว่ามีอยู่ที่ร้านไหนแล้วร้านตั้งอยู่ไหน ไม่สามารถจะไปเดินๆดูก่อนแล้วค่อยตัดสินใจซื้ออย่างประเทศไทยเราได้เลย  และร้านที่นี้จะเปิดปิดเป็นเวลา แล้วทุกร้านจะหยุดทุกวันอาทิตย์ ทำให้ในช่วงวันเสาร์รถจะเยอะมากเพราะทุกครอบครัวจะไปซื้อของสำหรับทำอาหารใน1สัปดาห์ คนเลยซื้อของผ่านอินเตอร์เน็ตกันมากกว่า เพราะทั้งสะดวกและสบายกว่าเยอะ และด้วยความที่เมืองที่เราอยู่เป็นเมืองเล็กทำให้ไม่มีสัญญาติไฟจราจรมาก รถจึงไม่ค่อยติด ส่วนใหญ่แยกจะเป็นแบบวนเวียน เลยไม่ค่อยประสบปัญหาอุบัติเหตุทางการจราจรแต่อย่างใด และคนที่นี้เคร่งครัดในกฎหมายการจราจรมาก เพราะค่าปรับแพงสุดๆ รัดเข็มขัดนิรภัยตลอดเวลา แล้วรถบางทีวิ่งๆอยู่คนจะเดินข้ามถนนก็ต่อหยุดให้ด้วยนะ เพราะถ้าชนคน ที่ผิดคือรถนะไม่ใช่คน และพื้นที่ที่ประเทศนี้มีไม่มากทำให้ขนาดถนนและรถเล็กตามกันไปด้วย และใครที่คิดว่าฝรั่งเศสหิมะตกทั่วประเทศนะ ตกทุกที่จริงๆแต่แค่ไม่ทุกปีเท่านั้นเอง อย่างเมืองเราอยู่ติดกับทะเลสาบที่ใหญ่ที่สุดในฝรั่งเศสเลยทำให้มีลมแรงตลอดปีและมีแดดเลยไม่หนาวมาก ขนาดหน้าหนาวหนาวสุดก็-2องศาในตอนเช้า พอกลางวัน8-10องศา แล้วก็เจอฝนและลมบ่อยมาก ถ้าถามถึงหิมะ ล่าสุดที่ตกคือเมื่อ10ปีที่แล้ว เพราะงั้นปีนี้คงต้องภาวนาให้หิมะกลับมาตกที่เมืองนี้บ้างเผื่อจะได้มีบรรยากาศแบบในหนังบ้างไรบ้าง ตอนแรกก็แอบเฟลๆนะที่จะไม่เจอหิมะ แต่ก็ดีแล้วไม่หนาวมากจะได้ไม่เปลืองตังซื้อเสื้อผ้าใหม่ ส่วนที่ทำการสถานที่ต่างๆก็แยกกันอยู่ด้วยนะ ไม่ว่าจะธนาคาร โรงพยาบาล ที่ทำการไปรษณีย์ อยู่กันคนละที่และมีน้อยมาก อย่างโรงพยาบาลถ้าไม่หนักจริงๆเขาแทบจะไม่ไปกันเลย ส่วนใหญ่ถ้าหาหมอก็จะไปตามคลินิกเอา แล้วที่แปลกคือเขาจะไม่มีพยาบาลหรือคนไข้อะไรเยอะเหมือนเรา มีแค่คุณหมอคนเดียว เราเคยไปตรวจสุขภาพเบื้องต้นตอนจะเขียนใบสมัครเรียน หมอบอกว่าถ้าได้รับยาอะไรหมอจะเขียนใบสั่งให้ แล้วให้เราไปซื้อที่ร้านขายยาเอง ร้านขายยาเราก็ซื้อยาได้นะ แต่แค่พวกวินามินซีไรแบบนี้อ่ะ ที่เหลือต้องมีใบจากหมอ และค่ารับบริการแพงมาก จ่ายทุกอย่าง ตั้งแต่โทรนัดวัน เข้ามาหา ตรวจ เขียนใบ ออกใบรับรอง ทุกอย่างเสียเงินหมดนะ เพราะงั้นเตรียมยามาจากไทยจะถูกกว่าอีกเอามาแค่พวกยาสำคัญๆอย่างลดไข้แก้ปวดไรแบบนี้ จะได้มั่นใจว่าเราไม่แพ้ด้วย นอกจากนี้ธนาคารและตู้เอทีเอ็มไม่ได้มีเต็มบ้านเต็มเมืองเหมือนบ้านเราด้วย จะมีแค่ที่ธนาคารหรือบริเวณใกล้ๆเท่านั้น และจำนวนเงินในตู้ก็มีไม่มากด้วย ถ้าจะถอนมากๆก็ต้องไปถอนที่ธนาคาร แล้วพนักงานที่นี้ก็ไม่ได้มีเยอะเหมือนบ้านเรา มีธนาคารละคนสองคนเท่านั้นเอง เหมือนร้านอาหารบ้างร้าน คนทำอาหาร คนเสริฟ์ คนเก็บเงิน คือคนเดียวกันก็มี อย่างปั้มน้ำมัน นั่งอยู่ในรถรอน้ำมันเต็มถังนี้ไม่มีทางอ่ะ ต้องลงไปเติมเองไรเองหมด แล้วก็ขับไปจ่ายเงินที่เคาท์เตอร์จ่ายเงิน โรงหนังก็แยกนะ โรงหนังที่นี้จะไม่มีระบบการจองที่นั่ง คือใครเข้าโรงก่อนก็เลือกที่นั่งกันเองได้เลย คนที่นี้ส่วนใหญ่นิยมดูหนังกันช่วงดึกๆ สี่ทุ่มนี้คือคนจะเยอะมาก เขาจะมาดูกันหลังทานข้าวเย็น ดูหนังเสร็จก็กลับบ้านนอนเลย  ว่ากันด้วยเรื่องอาหาร ฝรั่งเศสนอกจากขนมปัง ชีส และไวน์แล้วขนมหวานก็ขึ้นชื่อไม่แพ้กัน นอกจากนั้นในแต่ละมื้ออาหารจะถูกจัดเตรียมวางไว้แต่ล่วงหน้าทุกมื้อ อย่างมื้อเช้าของคนที่นี้ จะไม่กินอะไรหนักท้อง จะทานแค่ขนมปัง นม ชา กาแฟอะไรพวกนี้ในตอนเช้า จะหนักตรงมื้อเที่ยงและมื้อเย็น ซึ่งการรับประทานอาหารที่นี้จะแบ่งไปด้วย ออเดิร์ฟคือพวกสลัดหรือของว่างขนมปังชิ้นเล็กๆ ต่อมาก็ อาหารจานหลักพวกเนื้อหรือพาสต้า พิซซ่า แล้วก็บางคนจะทานชีสกับขนมปังต่อ ต่อด้วยของหวานหรือผลไม้ และจบด้วยกาแฟหรือชา และคือเวลาเราหิวมากๆเราก็จะกินขนมปังเยอะมากๆในตอนแรก และมันก็จะเริ่มอิ่มๆตอนจานหลักจบ แล้วก็แถบจะกระอักตอนทานขนมหวาน คนที่นี้ชอบรสชาติเค็มมาก จะเติมเกลือไม่ก็ชีสตลอด และบางคนดื่มไวน์แทนน้ำเปล่าด้วยนะ แล้วคนฝรั่งเศสใช้เวลาบนโต๊ะอาหารนานมาก มื้อเที่ยงในวันหยุดนี้เริ่มตั้งแต่บ่ายโมงถึงห้าโมงเย็นก็มี และต่อมื้อดึกอีกตอนประมาณสองทุ่มถึงสี่ห้าทุ่มงี้ แล้วคือเราสงสัยมากคนที่ดื่มกาแฟปิดท้ายเขาจะนอนหลับกันยังไง แต่ก็เห็นนอนหลับกันได้ทุกคนอยู่ดี ผลไม้หลักๆก็คือพวกส้ม หรือแอปเปิ้ล ผลไม้ที่นี้จะไม่มีเยอะและหลากหลายเหมือนไทยเรานะ ส่วนใหญ่จะมาจากประเทศแอฟฟิกาใต้ด้วยเลยค่อนข้างราคาสูง ถ้าในวันปกติก็จะไม่ได้ใช้เวลาบนโต๊ะอาหารเยอะขนาดช่วงเทศกาล ก็จะลดมาเหลือแค่ชม.หรือชม.ครึ่ง แต่ถ้าในเทศกาลสำคัญละก็ เรียกได้ว่าใช้ชีวิตแบบกินกับนอนเลยก็ว่าได้ อย่างวันคริสมาตที่ผ่านมา เราทานข้าวเที่ยงตั้งแต่บ่ายสองจนถึงทุ่มและต่อข้าวเย็นต่อสี่ทุ่มถึงเที่ยงคืน พอตื่นมาก็ทานข้าวเช้าใหม่ และต่อความเที่ยงยาวๆแบบนี้อีก ใช้ชีวิตแบบนี้ประมาณหนึ่งสัปดาห์ ไม่ได้ทำอะไรเลยนอกจากกินและนอนและกินและตื่นมากินใหม่ เพราะด้วยความที่เป็นเทศกาลสำคัญทำให้ได้ไปทานอาหารร่วมกันเยอะมาก ทั้งไปบ้านเพื่อนโฮสพ่อ ไปบ้านเพื่อนโฮสแม่ ไปบ้านปู่บ้านย่าบ้านอา คือไปทานจนครบเครือญาติเลยก็ว่าได้ นี้ไม่ได้โม้นะ เป็นยังงี้จริงๆ คือความฝันที่อยากมีชีวิตแค่กินและนอนนี้เป็นจริงเลยอ่ะ แต่บอกเลยว่าไม่เวิกร์มาก มันจะรู้สึกอิ่มๆจุกๆอึดอัดตลอดเวลาอ่ะ หลังจากนั้นเราก็ไม่ทานมื้อเย็นไปเลยประมาณสามสี่วัน และด้วยความที่เหมือนจะเป็นเด็กคนเดียวของทั้งสองครอบครัว ทำให้ของขวัญวันคริสมาตเราได้เยอะมาก ทั้งโฮสตายายโฮสพ่อโฮสแม่โฮสแรกเพื่อนๆของโฮสพ่อโฮสแม่ ต่างก็เอ็นดูให้ของขวัญเราเยอะมากถือได้ว่าเราโชคดีสุดๆที่ได้รู้จักกับพวกเขาและได้มาแลกเปลี่ยนที่เมืองนี้ วัฒนธรรมการทักทายของเขาคือจะเอาแก้มชนแก้มบางภาคก็สองครั้งบ้างบางคนก็สามครั้งกันบ้าง มาใหม่ๆมันก็เขินๆดีเหมือนกัน แต่ตอนนี้เริ่มชินแล้ว บางทีเราจะเพลอตกใจไง เพราะบ้านเราผู้ชายผู้หญิงจับมือก็ไม่ได้ กอดก็ดูไม่ดี หอมแก้มจูบนี้โดนมองแรงแน่ๆ แต่ที่นี้คือเรื่องปกติ บางทีเราเห็นเพื่อนจูบกันเราเขินต้องหันหน้าหนีก็มี พอเราเล่าให้เพื่อนฟังว่าที่ไทยทำแบบนี้ไม่ได้ เขาเลยบอกตลกดีเนาะ แค่คนจะแสดงความรักต่อกันทำไมถึงบอกว่าเป็นเรื่องที่ดูไม่ดีไม่งามไปได้ แล้วยังงี้คนที่ไทยเขาแสดงความรักกันยังไงหรอ เราฟังตอนแรกเราก็อึ้งๆนะ ไม่รู้จะตอบเขายังไง พอมาลองคิด ก็จริงสังคมบ้านเรา ไม่ว่าจะเด็กหรือผู้ใหญ่การกอดจูบในที่สาธารณะเป็นเรื่องที่ไม่ควร มันไม่ใช่ว่าเป็นสิ่งที่ผิดหรอกนะ แต่แค่มันเป็นเรื่องที่เขาไม่ทำกัน หรือแม้กระทั่งแอบไปทำกันในที่ลับก็ยังไม่ควร นี้เลยเป็นอีกวัฒนธรรมและทัศนคติใหม่ๆที่เราได้จากคนที่นี้ และไม่ใช่ทุกคนนะที่จะรู้จักประเทศไทย ส่วนใหญ่พอพูดถึงเอเชียบ่อยสุดที่รู้จักก็คือจีนกับไต้หวัน ซึ่งเราจะชอบโดนถามบ่อยมาก ว่าคนไต้หวันหรอ หรือทานหมาจริงๆหรอ ทานแมวจริงๆดิ นี้คือเขาได้ยินข่าวลือกันมายังงี้จริงๆ เพราะงั้นถือว่าเป็นเรื่องปกติไปเลยที่เราจะได้ตอบคำถามพวกนี้ แต่พอเราเอารูปประเทศไทยให้ดู ไม่มีใครไม่ชอบประเทศไทยเลย เพราะเรามีทั้งภูเขาสวย ทะเลใส ผลไม้เยอะ อาหารเลิศ ชุดหรู วัฒนธรรมงดงาม พอเขาถามเราก็ถือโอกาสแนะนำหรือนำเสนอประเทศเราไปในตัวเลย จะได้มีเรื่องคุยกันด้วย

      " บางคนได้มาแลกเปลี่ยนแล้วอยู่เมืองเล็กๆเมืองไกลๆ เราบอกเลยนะ ความสุขของการเรียนรู้อ่ะ มันไม่ได้จำกัดอยู่แค่ที่เมืองใหญ่เมืองหลวงอย่างเดียวนะ มันอยู่ที่สภาพแวดล้อมและผู้คนในเมืองนั้นมากกว่า ถ้าเรามองว่ามันสวยมันก็จะสวย ถ้าเรามองว่ามันดีมันก็จะดีเอง ไม่จำเป็นต้องหรูหรา อลังกาล แค่อยู่แล้วสบายใจ แค่นั้นมันก็พอแล้วละ  " 

 

 ปล.คือเราเล่ายาวมากๆมันลงทีเดียวไม่ได้ยังไงก็ตามอ่านกันในคอมเม้นนะคะ

 ขอขอบคุณทุกท่านที่เข้ามาอ่านกระทู้ของวาเลนนะคะ ติดตามดูรูปถ่ายได้ในอินสตาแกรม แท็ก #valénenfrance แล้วพบกันใหม่นะคะ ขอบคุณค่ะ  "  

     

แสดงความคิดเห็น

>

6 ความคิดเห็น

nathrada_valen 2 ก.พ. 60 เวลา 04:17 น. 1

อ่านกันต่อนะๆ

>>Host Family<<

 ทางโครงการเยาวชนแลกเปลี่ยนโรตารี่จะมีโฮสให้เราอยู่ด้วยกัน 3 โฮส ซึ่งจะเปลี่ยนเวียนกันทุกๆ 3 เดือน และทุกโฮสจะเป็นสมาชิกของสโมสรโรตารี่อีกด้วย โฮสแรกของเราเขามีลูกชายเพียงคนเดียว ซึ่งตอนเรามาลูกชายเขาก็ไปแลกเปลี่ยนที่ไทยพอดี ทำให้เราไม่ได้มีพี่น้องโฮส โฮสพ่อกับโฮสแม่เราอยู่กันละบ้าน คือเรากับโฮสแม่จะอยู่คอนโดติดกับโรงเรียนเรา และ ที่ทำงานโฮสแม่ ส่วนโฮสพ่อจะอยู่บ้านเพราะใกล้กับทางไปที่ทำงานเขามากกว่า แต่เขาก็จะมากินข้าวพร้อมกันทุกๆวันเสาร์อาทิตย์ ด้วยความที่บ้านโฮสอยู่ใกล้กับโรงเรียนมากเราจึงต้องเดินไปโรงเรียนเองใช้เวลาไม่เกิน 2 นาทีก็ถึงแล้ว พอเลิกเรียนแล้วเราก็เดินกลับบ้าน โฮสแม่จะเลิกงานประมาณ หกโมงเย็น เราอยู่กับโฮสแรกไม่มีปัญหาอะไรเลย ด้วยความที่อยู่กับโฮสแม่กันแค่ 2 คน แล้วโฮสแม่ก็พูดภาษาอังกฤษได้ เลยมีเรื่องอะไรเราก็จะพูดคุยกันท่านให้ความรู้สึกเหมือนเราคุยกับแม่เราจริงๆเราปรึกษาท่านได้ทุกเรื่องเลยทั้งเรื่องเพื่อนเรื่องเรียนหรือปัญหาต่างๆ แล้วคนฝรั่งเศสส่วนใหญ่จะทานข้าวกันที่บ้าน ในบ้านเลยจะมีของไว้สำหรับทำอาหารอยู่เยอะมาก โฮสแม่อยากลองกินอาหารไทย เราเลยทำให้ลองทานกัน เมนูแรกที่ทำคือต้มข่าไก่ แล้วพวกท่านก็ชอบกันมาก พอหลังจากนั้นเราเลยทำอาหารไทยบ่อยมาก แทบจะทุก4วันต่อสัปดาห์เลยก็ว่าได้ เลยไม่ทันได้คิดถึงอาหารไทยเลย คนที่นี้เขาจะแบ่งเวลากันเป้ะมาก จันทร์ถึงศุกร์เรียนกับทำงานอย่างเดียวไม่ได้ไปไหนเลย แต่พอวันเสาร์อาทิตย์โฮสพ่อกับโฮสแม่ก็จะพาเราไปเที่ยวยังสถานที่ต่างๆหรือเมืองข้างๆอีกด้วย ทำให้เราได้เที่ยวได้ชมความสวยงามของเมืองที่ประเทศฝรั่งเศสเยอะแยะเลย ส่วนใหญ่ก็จะเป็นพวกตึก อาคารสถานที่สำคัญในสมัยก่อน บางคนอาจจะไม่ชอบด้วยซ้ำเพราะมันไม่ได้มีอะไรหน้าตื่นเต้นเท่าไหร่ แต่เรามองว่ามันมีความงดงามอยู่ในตัว เหมือนมีความขลังอ่ะ แล้วคนที่นี้ส่วนใหญ่จะค่อนข้างรู้ประวัติศาสตร์ดีมาก เวลาไปเที่ยวที่ไหนโฮสพ่อกับโฮสแม่จะเล่าประวัติให้ฟังได้หมดเลย จนบางทีเรายังสงสัยเลยว่าจำหมดได้ยังไง ชีวิตประจำวันกับโฮสแรกก็ไม่มีอะไรมาก เรียน ทำอาหาร ดูหนัง เข้านอน เสาร์อาทิตย์ก็ไปเที่ยว โฮสแรกจะใช้เวลาในการทานความเย็นประมาน 1-2 ชม. หลังจากนั้นถ้าไม่พูดคุยอะไรกันก็จะดูหนัง ถือว่าเป็นชีวิตเรียบๆง่ายๆดี และบ้านโฮสตากับยายก็อยู่ไม่ไกลมาก ทุกๆวันพุธท่านก็จะมารับเราที่โรงเรียนเพื่อไปทานข้าวด้วย ก็ได้ใช้เวลากับพวกท่าน คนที่นี้ไม่เหมือนที่ไทย เขาจะมีบ้านของใครของมันเองซึ่งบางทีเราก็งง อยู่ห่างกันไม่ถึงกิโลจะแยกกันอยู่ทำไม พอถามโฮสแม่ก็บอกว่าคนที่นี้รักความเป็นส่วนตัวมาก พอลูกเรียนจบก็ต้องออกไปหาที่อยู่เองเลย ส่วนผู้ใหญ่พอหมดวัยทำงานแล้วก็จะใช้ชีวิตอยู่บ้านแบบง่ายๆอ่านหนังสือดูทีวีทั้งวัน พอมีเราพวกท่านก็ดีใจเพราะบางทีพวกท่านก็ได้สอนภาษาฝรั่งเศสให้เราได้เล่าเรื่องราวในชีวิตเขาได้เล่าเรื่องประเทศเรื่องลูกหลาน พวกท่านมีความสุขที่มีคนคอยพูดคุยกับท่าน เราที่ไปใหม่ๆยังพูดฝรั่งเศสไม่ได้ก็ได้แต่เอออ่อตามๆไปรู้เรื่องบ้างไม่รู้เรื่องบ้างแต่ก็มีความสุขดี 

 

                    สำหรับโฮส2 เราย้ายมาตอนวันที่ 14 มกราคม 2560นี้เอง บ้านโฮส2ไกลจากบ้านโฮสแรกและโรงเรียน ขับรถก็ ประมาณ25นาที แต่โชคดีที่โฮสแม่จะคอยขับรถไปรับไปส่งเราที่โรงเรียนทุกวัน ทำให้เราไม่ต้องนั่งรถบัสไปเอง ที่บ้านโฮส2นี้ เขามีลูกชายวัย10ขวบอยู่ 1 คน แต่พ่อแม่ของเขาแยกทางกันไปมีครอบครัวใหม่คือ โฮสแม่เราคือแม่น้องเขาแต่โฮสพ่อเราเป็นพ่อบุญธรรม ทำให้น้องชายจะไม่ได้อยู่บ้านกับเราทุกวันจะพลัดไปอยู่บ้านพ่อน้องเขาบ้างบ้านโฮสเราบ้างสลับกัน ด้วยความที่โฮสพ่อเราทำงานวิศวกรรมและมีบริษัทก่อสร้างของตัวเองทำให้ทุกอย่างต้องเป้ะตามเวลามาก มีวางแผนชีวิตไว้ทุกวัน ว่าเวลานี้วันนี้ทำอะไรบ้าง เราเลยได้ซึมซับการวางแผนชีวิตจากเขามาด้วย อยู่บ้านนี้เราต้องตื่นเช้ากว่าเดิมประมาณครึ่งชม.เพื่อจะใช้เวลาในการขับรถไปโรงเรียน บ้านนี้บางวันก็ทานข้าวบ้านบางวันก็ทานร้านอาหาร เพราะโฮสพ่อรู้จักร้านอาหารเยอะมาก แต่โฮสพ่อและโฮสแม่บ้านนี้สูบบุหรี่ จะเรียกว่าสูบจัดก็ไม่ได้เพราะคนที่นี้เขาสูบกันเยอะและบ่อยมากจริงๆ เรียกได้ว่าไม่นอนก็สูบเรื่อยๆเลยแหละ และโฮสบ้านนี้ดื่มไวน์แทนน้ำ คือทุกมื้ออาหารจะทานร่วมกับไวน์ตลอด ที่บ้านเลยมีตู้เก็บไวน์เยอะมาก และโฮสพ่อก็รู้เรื่องไวน์เยอะมากๆ ท่านยังเคยสอนเราชิมไวน์เลยว่าแบบนี้เรียกดี แบบนี้เรียกไม่ค่อยดี แต่เราไม่ค่อยชอบดื่มเลยทำได้แค่จิบๆชิมๆให้รู้รส แต่เอาเข้าจริงๆเราก็ไม่รู้เหมือนกันว่ามันต่างกันยังไง รู้สึกขมเหมือนกันทุกขวดเลย นอกจากนี้คนฝรั่งเศสยังทานชีสกันเยอะมาก ถ้ากับอาหารเราพอทานได้แต่ถ้าทานเฉยๆนี้ไม่ไหวอ่ะ มันกลิ่นแรงมาก และมีกลิ่นเฉพาะตัวสุดๆ นอกจากชีสแล้ว ที่นี้ยังทานเนื้อกันเยอะมาก โดนเฉพาะเนื้อวัวและเนื้อแพะ และในช่วงเทศการวันคริสมาตที่นี้จะทานหอยทากกันด้วย คือตัวหอยทากมันจะไม่ค่อยอร่อยหรอกนะ แต่ซอสที่มาด้วยนี้จะอร่อยมาก สามารถช่วยดับกินคาวอะไรได้หมดเลย แต่ไม่ต้องนึกถึงหอยทากบ้านเราเลยนะ เพราะหอยทากที่นี้ทั้งตัวใหญ่และตัวเปลือกแข็งกว่าเยอะ คือเดินๆแล้วเพลอเหยียบก็ไม่เละเหมือนบ้านเราอ่ะ นอกจากนั้นที่นี้ยังมีเนื้อกระต่ายเนื้อกบอีก แต่ดีที่บ้านโฮส2ไม่กินเราเลยไม่ได้ลองทานด้วย ไม่งั้นคงมองหน้ากระต่ายไม่ติดไปอีกหลายวัน แต่อย่าลืมเราต้องลองก่อน ชอบไม่ชอบอีกเรื่องหนึ่ง แต่ต้องลองให้ได้รู้ พอไม่ชอบก็บอกเขาไปตรงๆนะ ถ้ามัวแต่เกรงใจบอกว่าโอเค ระวังจะได้กินแต่อย่างงั้น เพราะที่นี้ถ้าเราไม่ชอบ เขาก็จะไม่บังคับ แต่ถ้าบอกไม่เป็นไร แปลว่าครั้งต่อไปได้กินอีกแน่ๆ ถ้าสื่อสารกันไม่เข้าใจ ให้บอกไปเลยว่าไม่เข้าใจ ถ้ามัวแต่เกรงใจหรือคิดไปเองว่าเข้าใจมันจะก่อให้เกิดปัญหาตามหลังมาได้ ถ้าเราบอกว่าไม่เข้าใจเขาก็จะค่อยๆอธิบายใหม่ พูดซ้ำๆแต่รู้เรื่อง ดีกว่าพูดครั้งเดียวแต่หลายรอบนะ ถ้าเป็นแบบนั้นมันจะพาลให้อารมณ์เสียกันไปเองเปล่าๆ

 

" ส่วนใหญ่นักเรียนแลกเปลี่ยนจะมีปัญหากับโฮส แต่เราโชคดีมากๆที่ไม่เคยมีปัญหากับโฮสเลย เอาจริงๆเราคิดว่าปัญหาอ่ะมันจะเกิดขึ้นได้แค่ 2 ทางคือ 1.เราทำให้มันเกิดปัญหา กับ 2.เรามองว่ามันเป็นปัญหา คือถ้าเรารู้เราถามแล้วว่าเขาไม่ชอบให้เราทำอะไรแบบไหนเราก็เลี่ยงซะ ไม่ทำมันซะ พอเราไม่ทำ ปัญหามันก็จะไม่เกิดขึ้น อย่างเขาชอบความสงบเราไปเปิดเพลงเสียงดังเขาจะมองว่ามันเป็นปัญหาก็ไม่แปลก เพราะงั้นจะทำอะไรก็คิดให้มากๆเพราะเรามาอยู่กับเขา เราก็ต้องทำตัวดีๆไม่ทำตัวให้เป็นภาระหรือบุคคลน่ารำคาญ แต่ถ้าเขาทำอะไรแล้วเรามองว่าเป็นปัญหาสำหรับเรา เราก็ลองพูดกับเขาตรงๆว่าแบบนี้เราว่ามันจะไม่โอเคกับเรา แต่ต้องมีเหตุผลดีๆนะ ไม่ใช่ก็แต่เราไม่ชอบเพราะงั้นคุณก็ต้องไม่ทำ มันเป็นไปไม่ได้ อย่าลืมเขาทำแบบนี้อยู่แบบนี้มาจะ40 50ปี อยู่ๆจะให้เปลี่ยนเพื่อเราที่มาอยู่แค่ปีเดียว มันเป็นไปไม่ได้ เราสิที่ต้องเปลี่ยนต้องปรับตัวเข้าหาเขา และเรียนรู้ที่จะใช้ชีวิตแบบเขา แล้วนำมาปรับใช้กับตัวเราให้ก่อเกิดประโยชน์ เช่นเราไม่ชอบคนสูบบุหรี่ เราก็บอกเขานะว่าเราไม่สูบและไม่ค่อยชอบกลิ่น ถ้าเขาสูบเราขออยู่ในห้องหรือนั่งที่อื่นได้มั้ย เขาก็ไม่ได้ว่าอะไร แค่นี้มันก็ไม่ได้เป็นปัญหาแล้ว แต่ถ้าเราไม่พูดเราอดทนไว้ งั้นก็ไม่ต้องนั่งอึดอัดไปเป็นปีๆเลยหรอ แทนที่จะมีแต่ความทรงจำดีๆ ก็กลายเป็นบาดแผลฝังใจแทนนะสิ "

0
nathrada_valen 2 ก.พ. 60 เวลา 04:18 น. 2

ยังมีอีกๆ

>>School<<
โรงเรียนที่นี้จะแยกกันอย่างเป็นระบบ คือโรงเรียนสำหรับเด็กประถมอยู่อีกที่หนึ่ง อนุบาลอีกที่ ม.ต้น ม.ปลายก็แยกกัน แต่ก็จะอยู่บริเวณไม่ได้ไกลกันมากเท่าไหร่ ใครบอกเรียนที่นี้แล้วสบาย บอกเลยว่าสบายกว่าไทยก็จริงแต่มันก็ไม่ได้ดีกว่ากันเลยนะ ในแต่ห้องจะมีนักเรียนประมาณ30-40คน จะมีห้องศิลป์ภาษา วิทย์คณิต ศิลป์สังคมไรประมาณนี้แล้วแต่แต่ละโรงเรียน เราอยู่โรงเรียนวิทยาศาสตร์มา ทางสโมสรโรตารี่ที่นี้เลยให้เราอยู่ห้องวิทย์ อยู่ประมาณชั้นม.5ของไทยนี้แหละ ตารางเรียนเลยมีแค่วิชาวิทย์คณิต ภาษาฝรั่งเศส ภาษา อังกฤส ประวัติศาสตร์ และพละ เริ่มเรียนในแต่ละวันก็8โมงเช้าบ้าง 9 โมงเช้าบ้าง เลิกก็บ่ายสามสี่โมงนี้แหละ แต่บ้างห้องในโรงเรียนที่เลิกห้าหกโมงเย็นก็มี บางห้องมีเรียนเช้าวันเสาร์ด้วยอีกนะ ส่วนใหญ่จะเรียนหนักในม.ต้น คือจะมีเรียนดนตรีศิลปะอะไรหมดเลย แต่พอม.ปลายเขาก็จะแยกว่าใครอยากเรียนสายไหนก็เลือกเรียนสายนั้น ที่นี้จะไม่มีการสอบเหมือนของไทยคือ สมัครเข้าโรงเรียนถ้าคนยังไม่เต็มก็เรียนได้แล้วก็ไม่จ่ายค่าเทอมด้วยหรือจ่ายน้อยมาก เพราะกฎหมายที่นี้บังคับให้เรียนจนถึงอายุ15ปีทุกคน บางคนก็ไม่เรียนม.ปลายก็มีนะ จบม.ต้นก็หางานทำเลยก็ได้ แล้วแต่คน บางคนก็เรียนต่อมหาลัย บางคนก็ไม่เรียน แล้วเนื้อหาที่นี้ก็ไม่ได้ต่างกันเลย อย่างเราเรียนโรงเรียนจุฬาภรณราชวิทยาลัย เชียงรายมา ว่าวิทยาศาสตร์ยากแล้วนะ ที่นี้ก็ไม่ต่างกันเลย เนื้อหาที่นี้จะเห็นได้ชัดๆคือวิชาคณิต เขาจะเรียนทุกเรื่องของม.ปลายเหมือนบ้านเรา แต่ไม่แยกแต่ละเรื่องเรียนคนละชั้นกัน นี้เรียนทุกเรื่องทุกปี แต่เรียนเรื่องละนิดละหน่อย บางเรื่องที่เราเรียนจากไทยมาก็ง่ายหน่อยพอเข้าใจ บางเรื่องที่ยังไม่ทันได้เรียนพอมาเรียนที่นี้ก็แอบมึนๆเหมือนกัน แค่ภาษาก็ไม่ค่อยจะเข้าใจแล้วเจอโจทย์ไปอีกเอาซะไปไม่เป็นเลย แล้วที่นี้เรียนจบปุ๊บสอบเก็บคะแนนปั๊บ ไม่มีสอบกลางภาคปลายภาคเหมือนบ้านเรา ครูจะค่อยๆเก็บคะแนนจากการบ้านจากคะแนนสอบไปเรื่อยๆ และทุกๆ3เดือนจะมีจดหมายส่งถึงทางบ้านว่าเราอยู่ในโรงเรียนแต่ละวิชาเป็นยังไงบ้าง จะไม่มีบอกคะแนนหรือเกรดไรนะ แค่พวกพฤติกรรมไรประมาณนี้ และที่นี้จะมีสมุดพกที่ต้องพกตลอดเวลา เพราะใช้เข้าออกโรงเรียนมีใบลาหยุดลาป่วยในเล่มด้วย ส่วนปิดเทอมที่นี้จะเหมือน เรียนสองเดือนหยุดสองอาทิตย์แบบนี้เลย เพราะเขาหยุดวันเทศกาลต่างๆซึ่งแต่ละปีปฏิทินวันหยุดจะต่างกัน จะเป็น 3 โซน อย่างเมืองที่เราอยู่จะอยู่ในโซนB ส่วนครู ครูที่นี้จะไม่เหมือนไทยที่จะชวนคุยหรือทำบรรยากาศให้มันสบายๆ ที่นี้คือถึงเวลาเรียนเรียนอย่างเดียว แล้วเราชอบได้ยินใช่มั้ยว่านักเรียนที่กล้าถามอาจารย์ กัน ใช่ เขาถามทุกอย่างที่เขาสงสัยจริงๆขนาด 3-5 ทำไมได้ -2 เขายังถามกันเลย ถ้าเป็นอย่างเราเราก็จะแบบแอบไปถามเพื่อนทีหลังหรือไม่ก็ปล่อยๆให้ไม่เข้าใจแบบนั้นต่อไป แต่ที่นี้ไม่ ไม่เข้าใจก็เอาจนกว่าจะเข้าใจนั้นแหละ และเพื่อนในห้องก็ไม่มีหัวเราะหรืออะไร เพราะทุกคนมีสิทธิที่จะไม่รู้ มีสิทธิที่จะไม่เข้าใจ และมีสิทธิที่จะถาม เพราะงั้นเราก็ต้องใช้สิทธิของเราให้คุ้ม แต่พอหมดเวลาปุ๊บเลิกสอน จบคลาสทั้งที คือบางทีเราเก็บของไม่ทันอ่ะ คือกริ้งยังไม่ทันหยุดดังเพื่อนออกห้องไปหมดเเล้ว คือทุกคนมีความไวแสงมาก ไม่รู้จะรีบไปไหน แล้วที่นี้คือไม่มีห้องประจำ วิชาไหนครูคนไหนจะมีห้องบอกระบุไว้ในตารางเรียนก็ต้องเดินเปลี่ยนห้องที่เรียนทุกคาบ มีเวลาเดินประมาณ5นาทีก่อนเข้าเรียน และมีช่วงพักประมาณ15นาทีตอนสิบโมงกับบ่ายสาม และนักเรียนในแต่ละโรงเรียนเยอะมาก เดินเบียดกันสุดๆ ยิ่งตอนพักเที่ยงนะ แทบจะวิ่งกันต่อแถวเข้าโรงอาหารเลยก็ว่าได้ เพราะคนเยอะและแถวยาวสุดๆ โชคดีที่อยู่กับโฮสแรกเรากลับมากินข้าวเที่ยงที่บ้านเลยไม่มีปัญหาอะไร แต่พออยู่กับโฮสสองบ้านไกลและมีเวลาพักแค่ประมาณ1ชม.30นาทีแค่ขับรถไปกลับก็จะไม่ทันอยู่แล้วเลยได้ทานข้าวเที่ยงที่โรงเรียน และเหมือนเดิมไม่ว่าประเทศไหนๆอาหารที่โรงอาหารก็ไม่เคยถูกใจใครสักที เพื่อนเราจะชอบบ่นตลอดว่าอาหารไม่อร่อยอย่างงั้นอย่างงี้ และด้วยความที่ไม่เคยทานอาหารฝรั่งเศสมาก่อน เพราะงั้นเราไม่รู้หรอกว่าอันไหนเรียกอร่อยไม่อร่อยของเขา เรากินได้ก็กินไปแค่นั้นแหละ และวัยรุ่นที่นี้สูบบุหรี่กันบ่อยมาก เรียกได้ว่าทุกเวลาพักก็จะต้องสูบละ บางทีเดินจากโรงยิมมาโรงเรียนก็สูบตามทาง พอมาถึงหน้าโรงเรียนก็สูบอีก ดีนะโรงเรียนมีกฎห้ามสูบในโรงเรียน เลยเดินออกมาสูบกันหน้าโรงเรียนแทน แล้วนักเรียนที่นี้ส่วนใหญ่บ้านไกลหน่อยก็จะนั่งรถบัสกลับ อย่างเพื่อนเราบ้านอยู่เมืองข้างๆก็ต้องนั่งรถไปกลับทุกวัน รถที่นี้ก็จะมาเป็นเวลา เลิกเรียนก็ไปรอที่ป้ายรถบัสแล้วก็ขึ้นรถกลับบ้าน โรงเรียนที่นี้ไม่ได้มีทุกเมืองนะเพราะงั้นใครบ้านอยู่เมืองใกล้ๆโรงเรียนเมืองไหนก็ต้องมานั่งรถมาเรียนกัน บางคนนั่งรถเป็นชม.กันก็มี บางคนใกล้ก็เดินเอา หรือใครมีรถจักรยานหรือจักยานยนต์ก็ขี่กันมา แล้วที่นี้ครูคือผู้สอน คนดูแลนักเรียนควบคุมนักเรียนก็เป็นอีกฝ่ายหนึ่ง คือแต่ละคนจะมีหน้าที่เป็นของตัวเอง ส่วนเรื่องเพื่อนเราโชคดีที่ตั้งแต่วันแรกที่มาโรงเรียนก็มีเพื่อนเข้ามาทักมาทำความรู้จักและก็คอยดูแลตลอด ทั้งบอกห้องบอกทางจนชวนมาอยู่ด้วยกัน ตอนนี้ก็เรียกว่าตัวติดกันเลยแหละ เรามีเพื่อนสนิทอยู่ 3 คนเป็นผู้หญิงมีแฟนไปแล้ว2 คน แฟนก็ผู้ชายในห้องนี้แหละ ทำให้เรากับเพื่อนอีกคนตัวติดกันตลอดเวลา ทั้งเวลาพักกินข้าวหรือไปไหนก็จะไปกัน2คนเพราะอีก2คนนั้นส่วนใหญ่จะอยู่กับแฟน เราโชคดีมากๆที่ได้เจอเพื่อนที่ดี เพื่อนเราดูแลเราดีมาก คอยหาคู่ให้ตอนคาบกีฬา โทรถามตลอดว่าอยู่ไหนมาถูกทางหรือเปล่า บางทีวันไหนครูยกเลิกคลาสแล้วเพื่อนคนอื่นก็กลับบ้านกันเพราะมันนานกว่าจะคาบต่อไป แต่เรากลับไม่ได้เพราะโฮสสองไม่ว่างมารับ เพื่อนเราก็จะอยู่รอกับเราไม่กลับบ้าน เพราะเป็นห่วงไม่อยากทิ้งเราอยู่คนเดียว เรียกได้ว่าเป็นเพื่อนที่เรารักมากๆคนหนึ่งเลยเพราะรู้จักกันก็ไม่นานสนิทกันก็ไม่มากแต่เขาก็ไม่เคยทิ้งเราไปไหนเลยคอยปกป้องดูแลเราตลอด และจำข้อมูลอะไรเราได้เยอะด้วย อย่างใครถามไรเราแล้วเรายังฟังไม่รู้เรื่องเพื่อนก็ตอบแทนให้ได้หมดเลย ทำให้เพื่อนๆในห้องคอยเทคแคร์เราตามไปด้วย เพื่อนๆในห้องทุกคนก็ดีน่ารักมาก วันไหนเพื่อนสนิทเราไม่ได้มาโรงเรียน เพื่อนในห้องก็จะมาอยู่ใกล้ๆข้างๆมาพาไปห้องไปนู้นไปนี้ด้วยแทน ครูที่นี้ก็รู้ว่าเราเป็นนักเรียนแลกเปลี่ยนก็ใจดีมาก ไม่ให้การบ้านเราและไม่ให้เราสอบด้วย เพราะเราไม่เข้าใจภาษาฝรั่งเศส บางทีเพื่อนสอบกันครูยังมานั่งคุยเล่นกับเรารอ เราคิดว่าเราโชคดีมากๆที่ไม่มีปัญหาเรื่องเพื่อนและที่โรงเรียนเพราะถ้ามีปัญหามันจะเป็นอะไรที่แก้ไขยากมากๆแน่ๆ

 

" เพื่อนนักเรียนแลกเปลี่ยนที่มาภาค1760เหมือนกัน เขามาจากประเทศชิลี ทั้งๆที่เขาพูดภาษาสเปนก็ได้ อังกฤษก็เยี่ยม แต่กลับหาเพื่อนไม่ได้เลย เขาทั้งเข้าหาทั้งเสนอช่วยทำการบ้านวิชาภาษา แต่ก็ยังไม่มีเพื่อนเลย เราเลยแนะนำให้เขาลองถอยๆห่างดู คือถ้าเรารุกมากๆเขาก็จะรำคาญไงสู้เราหยุดยืนอยู่นิ่งๆทำตัวให้ดูมีค่าให้เขาเข้ามาหาเองบ้างไม่ดีกว่าหรอ พอหลังจากนั้นเขาก็เลยเริ่มมีเพื่อนเข้ามาคุยด้วย มาให้ช่วยทำการบ้านบ้าง ตอนนี้เลยเริ่มมีเพื่อนบ้าง มันอาจจะยากมากนะสำหรับบางคนที่ไม่เคยเข้าหาใครก่อนอ่ะ แต่เราต้องลอง ถ้าเข้าหาไม่ได้ ก็ลองถอยดู ถ้ายังไม่ได้อีก ก็ลองหาเพื่อนกลุ่มใหม่ๆอะไรดู แวบแรกไปเห็นก็ค่อยๆสแกนค่อยๆดูว่าใครที่เราพอจะเป็นมิตรได้บ้าง แล้วเราค่อยเข้าไปทักไปแนะนำตัวเองไปทำความรู้จัก แรกๆมันก็ยากลำบากทั้งนั้นแหละ แต่หลังจากนั้นมันจะดีเอง "

 

0
nathrada_valen 2 ก.พ. 60 เวลา 04:19 น. 3

ยังไม่จบนะๆ

>>Basketball & Dance<<

  เนื่องจากเยาวชนที่นี้ไม่มีการเรียนพิเศษเลยทำให้มีเวลาว่างหลังเลิกเรียนเยอะมาก จึงมีการตั้งชมรมไรขึ้นมาเยอะมาก ทั้งของในโรงเรียนเองหรือของแต่ละเมืองของแต่ละหมู่บ้าน และทุกๆกีฬาจะมีโค้ชหรือครูฝึกสอนให้ อย่างเราได้มีโอกาสอยู่ชมรมบาสเพราะโฮสพ่อโฮสสามเราเป็นโค้ช และโฮสน้องสาวเราก็อยู่ชมรมนี้เราเลยได้มาเล่น ชมรมที่นี้เขาเล่นกันทุกเพศทุกวัยจริงๆตั้งแต่เด็ก5-6ขวบจนถึงผู้ใหญ่วัน50-60ก็ยังมาเล่นออกกำลังกายกัน และเขาจะมีการจัดตารางเวลากันอย่างดีเพื่อให้ทุกๆคนได้มีโอกาสใช้สถานที่และอุปกรณ์กันอย่างเท่าเทียม นอกจากนั้น เขาเล่นกันแบบจริงจังเลยนะ ไม่ใช่เล่นๆสนุกๆอย่างเดียว สอนการเล่นให้ถูกต้อง เทคนิคการเล่น รวมไปถึงฟอร์มทีมไรแบบนี้ก็มี บางทีก็มีการแข่งขันระหว่างเมืองบ้างเพื่อให้เด็กๆรู้จักการพัฒนาฝืมือ เราเลยรู้เลยว่าทำไมนักกีฬาที่นี้สุดยอดกัน เพราะเขาเล่นกันแบบจริงจังทุกอย่างเลย แล้วส่วนใหญ่จะมีน้อยคนมากที่เล่นกีฬาสองหรือสามอย่างไปพร้อมๆกัน เพราะแค่อย่างเดียวก็ฝึกโหดกันจะตายแล้ว บางคนไม่มีเวลาเข้าคลับเพราะกว่าจะทำงานเสร็จก็ดึกแล้ว เขาก็จะใส่เสื้อสะท้อนแสงติดไฟฉายและวิ่งบริเวณรอบบ้านเอา คือช่วงเวลาสองทุ่มถึงสี่ทุ่มนี้เขายังเล่นกีฬากันอยู่เลย อย่างเราเล่นบาส ตอนทุ่มครึ่งถึงสามทุ่มครึ่งแบบนี้ เล่นเสร็จก็กลับไปกินข้าวตอนสี่ทุ่ม เพราะงั้นน้ำหนักอย่าถาม ไม่มีผอมแน่นอน  นอกจากนี้ ถ้าเป็นที่ไทยคนสูงอายุหน่อยไม่เข้าฟิตเนตก็จะเต้นแอโรบิตกัน แต่ที่นี้ บางทีเรายังเห็นไปโหนบาร์ตีลังกายิมนาสติกอยู่เลย เขาแข็งแรงกันมากจริงๆ เราได้เรียนเต้นฮิปฮอปกับแจ๊ส ตอนฮิปฮอปครูเขาจะสอนแบบ ให้เรามีสไตล์การเต้นของตัวเอง เขาแค่จะบอกเทคนิคว่าควรทำมือแบบนี้เท้าแบบนี้ เต้นแบบนี้คือฮิปฮอป แบบนี้คือบีบอย พอสอนเสร็จเขาก็จะให้เราคิดออกแบบท่าเต้นของเราเอง ไม่มีเต้นให้ดูและเต้นตาม มันก็สนุกดีนะ เต้นอะไรก็ได้ ไม่มีใครว่า สนุกกับมันได้อย่างเต็มที่ ตอนเรียนแจ๊สมีรุ่นเราน้อยมาก แค่ 5 คนเองที่เหลือรุ่นแม่ๆเราทั้งนั้นเลย เราเลยรู้ว่าผู้ใหญ่ผู้หญิงที่นี้ชอบเต้นกันมากๆ บางคนก็เต้นเพื่อออกกำลังกาย บางคนก็เต้นเพราะชอบตั้งแต่เด็ก เลยกลายเป็นบรรยากาศที่อบอุ่นและทุกคนสนุกไปกับการได้เต้นจริงๆ 

 " เราต้องลองหากิจกรรมอะไรทำ เพราะมันจะช่วยให้เราได้เพื่อนใหม่ ได้รู้จักคนเยอะมากขึ้น และได้เจอคนที่ชอบอะไรเหมือนๆกันกับเรา "

0
nathrada_valen 2 ก.พ. 60 เวลา 04:20 น. 4

 อันนี้มีรูปให้ดูด้วยๆ

>>YE 1760<<

 อย่างที่บอกเราเป็นเยาวชนแลกเปลี่ยนของโครงการโรตารี่ เลยได้มีโอกาสเจอเพื่อนแลกเปลี่ยนเหมือนกันที่มาจากหลายๆประเทศอย่างภาค 1760 ที่ฝรั่งเศสมีทั้งหมด 18 คน มาจากอเมริกา 5 คน ไต้หวัน 5 คน บราซิล 2 คน เกาหลี 2 คน และเม็กซิโก ญี่ปุ่น ชิลี ไทย อย่างละ 1 คน และพวกเราจะรักกันมากๆ เพราะรู้สึกว่าได้มาเจอเพื่อนที่อยู่ในอารมณ์เดียวกันกับเรา คิดถึงบ้าน มีปัญหาอะไรก็สามารถแชร์เล่าให้ฟังกันได้ทุกเรื่อง นอกจากนี้ภาคเราก็มีการจัดกิจกรรมเยอะมาก ทั้งพาพวกเราไปเที่ยวประเทศอิตาลี จัดปาร์ตี้วันฮัลโลวีน จัดทริปไปเล่นสกี ไปนั่งรถลาก และนอกจากนั้น ทางโครงการโรตารี่ยังมีทริปใหญ่ในช่วงวันหยุดถึง 2 ทริป คือเที่ยวประเทศฝรั่งเศสในสถานที่สำคัญต่างๆ รวมไปถึงไปประเทศสเปน และอีกทริปคือทริปยุโรป คือในทริปจะได้ไปเที่ยวสถานที่ท่องเที่ยวสำคัญในประเทศต่างๆในทวีปยุโรปหลายประเทศเลย อันนี้เรายังไม่ได้ไปจะไปช่วงเดือนกุมภาพันธ์และเมษายน ยังไงเดียวเราจะถ่ายรูปและมาเล่าให้ฟังอีกทีนะว่าเราพบเจออะไรมาบ้าง ที่สำคัญเลยเราจะได้เจอพวกรุ่นพี่ที่ไปแลกเปลี่ยนกันมาแล้ว เขาจะคอยแนะนำให้คำปรึกษาเราตลอดว่าคนที่นี้เป็นยังไงแตกต่างจากบ้านเรายังไง เราต้องทำตัวยังไงแก้ปัญหายังไง เขาจะไม่ปล่อยให้เราต้องทนทุกข์อยู่คนเดียว

0
nathrada_valen 2 ก.พ. 60 เวลา 04:22 น. 5

 สุดท้ายแล้ว

           ตอนนี้เราก็มาแลกเปลี่ยนได้จะ 6 เดือนแล้ว ถือว่าผ่านมาครึ่งทางแล้ว แค่ครึ่งทางเราก็ได้เรียนรู้อะไรหลายๆอย่างตั้งมากมาย ต้องขอขอบคุณสโมสรโรตารี่ที่ได้มีโครงการดีๆแบบนี้ และให้โอกาสเราได้มา นอกจากนั้นต้องขอบคุณคุณป้าคุณลุงพี่ๆทั้งหลายที่คอยแนะนำอบรมสั่งสอนเตรียมความพร้อมและคอยให้คำปรึกษาเสมอ รวมไปถึงเพื่อนนักเรียนแลกเปลี่ยนที่คอยช่วยกันรับฟังปัญหา หาทางแก้ไขและก้าวผ่านมันไปพร้อมๆกัน อีกทั้งโฮส ครู และเพื่อนๆที่นี้ ที่คอยดูแลเรามาตลอด เราไม่เคยรู้สึกเสียใจเลยที่เลือกมาที่นี้ ที่นี้ให้ทั้งความรู้ ประสบการณ์ ข้อคิด และมุมมองใหม่ๆ เรามีความสุขมากและดีใจที่เราได้มีโอกาสมาเป็นนักเรียนแลกเปลี่ยนของประเทศฝรั่งเศสภาค1760นี้ และสุดท้ายเราต้องขอขอบคุณคุณพ่อคุณแม่น้องๆน้าๆและครูทุกๆคน ที่คอยเป็นกำลังใจ ให้คำแนะนำ คอยรับฟังเรื่องราว ปัญหา ช่วยหาวิธีการแก้ไขและสนับสนุนเราเสมอมา หวังว่ากระทู้นี้จะมีส่วนช่วยสำหรับใครที่กำลังคิดว่าอยากมาแลกเปลี่ยนแต่ไม่รู้จะเลือกประเทศไหนดี กระทู้นี้เราเขียนเพื่ออยากให้น้องๆหรือเพื่อนๆรุ่นหลัง ได้รู้ว่าถ้ามาแลกเปลี่ยนที่นี้ จะเจอกับอะไรบ้าง จะได้เตรียมความพร้อมกันมาก่อน แต่ไม่ว่าจะยังไง เราทุกคนก็ต่างมีเส้นทางชีวิตเป็นของตัวเอง ไม่ว่าทางที่เราจะเจอจะมีสิ่งที่ดีหรือร้าย ไม่ว่าทางจะลำบากมากมายขนาดไหน หรือจะมีเส้นทางให้เราผ่านไปต่อได้หรือไม่ เราก็ต้องเรียนรู้และเดินทางด้วยตัวของเราเอง ขอขอบคุณทุกท่านที่เข้ามาอ่านกระทู้ของวาเลนนะคะ ติดตามดูรูปถ่ายได้ในอินสตาแกรม แท็ก #valénenfrance แล้วพบกันใหม่นะคะ ขอบคุณค่ะ
  

 

0