คนดลใจ : เรื่องราวของ ลุกวิก ฟาน บีโทเฟ่น อัจฉริยะนักดนตรี
ตั้งกระทู้ใหม่
(เครดิตภาพ:http://www.clipmass.com)
ลุกวิก ฟาน บีโทเฟ่น เกิดที่กรุงบอนน์ ประเทศเยอรมณี ปี ค.ศ.1770 (เครดิตภาพ:https://sites.google.com)
เขาประสบความสำเร็จอย่างมากในฐานะนักเปียโนในวัย30ปี เขาจึงหันมาเป็นผู้ประพันธ์เพลงแทน โดยที่ไม่สนเลยว่าจะโดนใครด่าว่าเพลงของเขานั้นไร้แบบแผนและเป็นอันตรายต่อศิลปะทางดนตรีจนกระทั่งอายุ31ปี หูของเขาเริ่มผิดปรกติ มีอาการอื้อและเจ็บปวด สุดท้ายก็ไม่สามารถได้ยินเสียงใดๆได้อีก ไม่ว่าจะเป็นเสียงของโน๊ตตัวไหนจากเครื่องดนตรีชนิดใดก็ล้วนเป็นเสียงที่เงียบงัน
ในตอนแรกเขาท้อแท้และสิ้นหวังจนคิดจะฆ่าตัวตาย เพราะคิดว่านักดนตรีที่ไม่อาจได้ยินเสียงดนตรีก็ไม่ควรมีชีวิตอยู่ต่อไป แต่สุดท้ายเขาก็คิดได้(ว่ายังมีลูกมีเมียต้องดูแล แค่ก ผิดคิวๆ)และหันมาสู้อีกครั้งแม้ว่าการสูญเสียการได้ยินจะเป็นเรื่องที่เลวร้ายที่สุดสำหรับชีวิตนักดนตรี
"เราจะไม่ยอมสยบให้กับความเคราะห์ร้ายเป็นอันขาด จะปล่อยให้ความพิการดึงเราให้ตกต่ำไม่ได้"นั่นคือสิ่งที่เขาเตือนตัวเองเสมอ
(เครดิตภาพ:https://www.youtube.com/watch?v=TMkwESfQFjM)
แม้หูของเขาจะฟังเสียงดนตรีไม่ได้แต่เขาก็สามารถฟังได้ด้วยฌาณของนักดนตรี และถ่ายทอดทุกสิ่งที่เขาประสบเป็นเสียงดนตรี เขาใช้ความอดทนและพยายามอย่างมากจนสามารถสร้างผลงานชิ้นเยื่ยมให้กับโลกแห่งเสียงเพลง และประพันธ์เพลงไปเรื่อยๆจนถึงวันที่เสียชีวิตเบื้องหลังจุดเริ่มต้นเส้นทางนักดนตรีของบีโทเฟ่น
ที่บีโทเฟ่นเริ่มเล่นดนตรีตั้งแต่เด็กๆเพราะว่าคุณพ่อของเขาอยากให้ลูกของตัวเองเป็นนักดนตรีอัจฉริยะเหมือนโมสาร์ท เลยบังคับ ย้ำว่าบังคับ บีโทเฟ่น
อย่างเข้มงวด เช่น ขังไว้ในห้องกัเปียโนเเม่มเลย(เถื่อนมาก) ห้ามให้เล่นกับน้องๆและถ้าเล่นดนตรผิดก็จะถูกทำโทษ(สงสัยพ่อของบีโธเฟ่นจะไม่รู้จักคำว่า ผิดเป็นครู)
กำลังใจที่ทำให้บีโทเฟ่นสู้ต่อไป
หลังจากที่โดนพ่อกดดันอย่างหนัก บีโทเฟ่นของเราก็เกิดความท้อแท้บ้าง แต่เมื่อคิดถึงเเม่ของตนที่ป่วยอยู่ เขาเลยทุ่มเทฝึกเรียนดนตรีจนมีชื่อเสียง
ที่มาของการเป็นคีตกวีเอกคนหนึ่งของโลก
บีโทเฟ่นเคยถูกกลั่นแกล้งจากผู้ไม่ประสงค์ดีจนครั้งหนึ่งต้องย้ายไปอยู่ที่อื่น แต่เพราะเขาเป็นคนมีความสามารถทางด้านดนตรีอย่างแท้จริง จึงมีคนที่ชื่นชมและสนับสนุนทางการเงิน แลกกับสัญญาว่าบีโทเฟ่นต้องไปอยู่ที่เวียนนา นั่นเเหละคือที่มาของคีตกวีเอก
ทั้งนี้ทั้งนั้น จขกท ก็ขอฝากไว้นะคะ ทุกครั้งที่ได้ยินเสียงดนตรี จงดีใจที่ยังโชคดีได้ฟังเพลงเพราะๆ และได้ส่งต่อความสุขผ่านเพลงนั้นให้ผู้อื่นฟัง แล้วก็โปรดอย่าลืมว่า อัจฉริยะผู้หนึ่งซึ่งมีผลงานอมตะ ไม่อาจได้ยินเสียงดนตรีที่เขาประพันธ์ด้วยซ้ำ แต่เขาก็ยังตั้งใจสร้างสรรค์งานดีๆ เพื่อให้เป็นสมบัติของโลกสืบไป^----^
ที่มา:หนังสือคนดลใจ
ถ้าชอบก็ช่่วยคอมเมนต์บอกกันด้วยนะคะ เราจะได้มีกำลังใจทำงานต่อไป
แสดงความคิดเห็น