Dek-D.com ใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสบการณ์ของ
ผู้ใช้ให้ดียิ่งขึ้น เรียนรู้เพิ่มเติมที่นี่
ยอมรับ

ตัดสินใจไม่ได้เลือกแพทย์หรือทันตะดี

ตั้งกระทู้ใหม่
ตั้งกระทู้ใหม่
เครียดมากค่ะ ชั่งน้ำหนักไม่ถูก ต่างอาชีพก็มีข้อดีข้อเสียแตกต่างกันไป ถามเพื่อนๆพี่ๆช่วยแนะนำให้หน่อยสมมติว่าเราถนัดทั้งงานหัตถการแล้วก็การจำ เลือกเรียนคณะไหนดีกว่ากันคะ

แสดงความคิดเห็น

>

17 ความคิดเห็น

hestitated 1 ส.ค. 60 เวลา 19:32 น. 1

ปล.ความเห็นประมาณว่า เลือกที่ชอบ ที่ถนัดอันนี้ทราบนะคะ อยากได้คำแนะนำ/ข้อมูลที่เป็นประโยชน์สักนิดนึงค่ะ

0
complicated 1 ส.ค. 60 เวลา 20:08 น. 2

ถ้าถนัดหัตถการ ก้ทันตะเลยต้องใช้มือล้วนๆ แต่ไม่มีโมเม้นท์ที่ชอบอะไรสักอย่างมากกว่ากันเลยหรอ

1
จขกท 2 ส.ค. 60 เวลา 11:50 น. 2-1

มันมีข้อดีข้อเสียหักล้างกันไปมาอ่ะค่ะ เลยตัดสินใจไม่ได้ ถ้าถามว่าชอบอะไรตอนนี้ก็คงทันตะมากกว่าหน่อยนึง แต่ก็อย่างว่าเลือกเรียนอะไรเอาความชอบอย่างเดียวไม่ได้หรอกค่ะอยากพิจารณาหลายๆด้านกว่านี้

0
กัลย์ 2 ส.ค. 60 เวลา 08:43 น. 3

ทันตะ ปี 1 ม.รัฐ คะแนนต่ำกว่าทันตะจุฬา ทันตะมหิดลลงมา เช่น ทัันตะ มศว ทันตะ มช.

ทันตะ มธ.ทันตะ มข.ทันตะ มอ. ทันตะ มน. ส่วนมากสมัครสอบ กสพท.ซิ่วไปแพทย์ มีเยอะแยะไป เรียกว่าเกือบทุกคน ถ้าติดก็ไปเรียนแพทย์เลย หรือไม่เรียนแพทย์ก็ได้ เพราะเป็นสิทธิของเราแล้ว จะเลือกอย่างใดก็ได้ ถ้าไม่ติดแพทย์(ส่วนมากจะไม่ติด) ก็เรียนทันตะที่เดิม ไม่มีอะไรต้องเสีย แต่พอขึ้นอยู่ทันตะปี 2 ก็ไม่สมัครสอบ กสพท.อีกแล้ว เพราะต้องลาออกก่อน เลยไม่มีใครเสี่ยง


ถ้าถามว่า แพทย์กับทันตะ คณะใดดีกว่า ถ้ามองการณ์ไกล ความเห็นส่วนตัว เห็นว่าแพทย์ดีกว่า ได้เป็นผู้อำนวยการโรงพยาบาล ยังไม่เคยเห็นทันตแพทย์เป็น ผ.อ. สังคมในโรงพยาบาล แพทย์สูงสุด รองมาก็เป็นทันตแพทย์ ถ้าเทียบกับสังคมกระบวนการยุติธรรม ผู้พิพากษาสูงสุด รองมาก็เป็นอัยการ


สรุป ต้องลองสอบ ทันตะไม่ใช่จะสอบติดแพทย์ทุกคน เอาสิทธิการเลือกให้มาเป็นของเราให้ได้ก่อนดีกว่า เมื่อเรามีสิทธิแล้ว ก็เลือกได้ตามสบายเลย เห็นทันตะที่สอบติดแพทย์ ก็เลือกแพทย์ทุกคน ยังไม่เคยเห็นคนเรียนแพทย์ สอบซิ่วใหม่ไปเรียนทันตะ ยังไม่เคยเห็น อาจจะมีก็ได้ แต่ไม่เคยเจอ


4
จขกท. 2 ส.ค. 60 เวลา 11:48 น. 3-1

ถ้าจะยึดหลักในโรงพยาบาลแน่นอนแพทย์มีระดับสูงที่สุด แต่ถึงขั้นผู้อำนวยการคิดว่าน่าจะมีโอกาสแค่ระดับโรงพยาบาลชุมชน หรือโรงพยาบาลศูนย์ตามต่างจังหวัดตอนเป็นintern

การจะกลับมาทำงานในโรงพยาบาลใหญ่ๆในกทม. หรือรพ.เอกชน โอกาสได้เป็นขั้นผู้บริหารค่อนข้างน้อยมาก อีกอย่างหนูเป็นผู้หญิงด้วยจึงไม่ได้โฟกัสกับพวกระดับการบริหารอะไรนี้อยู่แล้ว เท่าที่ทราบทันตะส่วนใหญ่จะลาออกจากระบบราชการโรงพยาบาล มาเปิดคลินิกกันเกือบหมด ถือว่าไม่เกี่ยวข้องกันอยู่แล้วใครใหญ่ใครเล็ก


สิ่งที่หนูกำลังคิดเป็นประเด็นตอนนี้คือ ทันตะค่อนข้างดีกว่าแพทย์ในทุกทางถ้าไม่คำนึงถึงลำดับขั้นบริหาร

-การเรียนสบายกว่าระดับหนึ่ง,

-การทำงานในระยะแรกหรือช่วงใช้ทุนสบายกว่ามาก และไม่ลำบากไปกว่านี้แล้ว,

-เงินเดือนรายได้ช่วงใช้ทุนพอๆกัน ต่างกันหลักพันบาท,

-ไม่จำเป็นต้องเรียนต่อเฉพาะทางมากเท่าแพทย์ ต่อก็ดีไม่ต่อก็ได้ ส่วนแพทย์ไม่ต่ออยู่ยากแล้ว,

-การทำงานไม่ต้องเจอคนจำนวนมาก ทั้งผู้ป่วย แพทย์ด้วยกันเองหรือพยาบาล เภสัช นักเทคนิก ฯลฯ มากคนมากความ มีเรื่องทะเลาะกันรายวันทั้งสงครามร้อนสงครามเย็น หากเรียนแพทย์หลีกเลี่ยงไปต่อเฉพาะทางด้านที่ไม่ต้องพบปะคนไข้ ก็ดูเป็นเบื้องหลังมากเกินไปส่วนตัวไม่ค่อยชอบค่ะ ทันตะเป็นงานเบื้องหน้า แต่คนไข้ตอบโต้ไม่ได้แน่นอน ทำงานเสร็จด้วยตัวคนเดียวมีแค่ผู้ช่วย1-2คนเท่านั้น งานออกมาส่วนใหญ่เป็นที่พอใจของคนไข้ ไม่มีการฟ้องร้อง

-ทันตะทำงานปลีกตัว ไม่ต้องง้อใคร และไม่มีใครตามง้อ สบายใจ ตารางชีวิตดีมาก(ส่วนตัวรู้สึกว่าดีติดอันดับท้อปๆของทุกสายอาชีพเลย) เดือนหนึ่งเที่ยวตปท.สองครั้ง ขณะแพทย์มีวันหยุดแต่หยุดไม่ได้ เหนือ่ยกายแล้วเหนือ่ยใจ โดนกดขี่เป็นลำดับขั้นจากรุ่นพี่ ชีวิตไม่flexibleขึ้นกับปัจจัยนู่นนี่รอบตัวเต็มไปหมด เวลางานโดนอัดเต็มที่แล้ว นอกเวลางานก็ยังต้องรับโทรศัพท์ รับปรึกษา หรือโดนตามตัวฉุกเฉิน เสียสละถือเป็นปกติ ไม่เสียสละถือเป็นคนเลว

-อย่างเท่าที่ทราบเวลาแพทย์จะต่อเฉพาะทาง แย่งกันเรียนมากๆแข่งขันกันดุเดือดคือ แพทย์ผิวหนัง และจักษุ ซึ่งเหตุผลคือไม่ต้องอยู่เวร ไม่มีฉุกเฉิน ไม่โดนตามตัว ซึ่งตรงตามหลักของทันตะ


แต่สิ่งที่กำลังกังวลและทำให้ลังเลคือ

-คณะแพทย์เหมือนเป็นcomfort zoneของหนู เพื่อนเกือบทั้งห้อง พ่อแม่ ต่างมุ่งไปทางนี้มากกว่า รวมถึงคุณกัลย์ด้วย ถ้าแหวกไปเรียนทันตะแลดูมันจะแปลกๆมั้ย? จบมาเพื่อนเค้าคุยรู้เรื่องกันเองหมดเหลือแต่เราคนเดียวงงๆอยู่

-ทันตะอายุการทำงานค่อนข้างสั้น ใช้สายตา คอ หลัง ไหล่ ทำให้ส่วนใหญ่retireตัวเองเร็ว สังเกตเวลาทำฟันไม่ค่อยเจอทันตแพทย์อายุเยอะๆแล้ว กลัวบั้นปลายชีวิตจะเป็นความจำเสื่อม เผลอๆซึมเศร้า เพราะตอนทำงานก็ไม่ค่อยได้พบปะผู้คนอยู่แล้ว อยู่แต่ในห้องสี่เหลี่ยม ทำงานเฉพาะในช่องปาก (และต้องยอมรับว่างานทันตกรรมค่อนข้างใช้ทักษะสกิลหัตถการมากกว่าความคิดหรือความจำต่างจากแพทย์ เลยกังวลจุดนี้มากว่าพอหยุดงานไป สมองไม่ค่อยได้ทำงานแล้ว)

-ถ้าเรียนแพทย์ก็จะได้connectionแพทย์ด้วยกัน ตอนพ่อแม่อายุเยอะขึ้นก็ได้อานิสงค์จากจุดนี้ไปด้วย รู้ว่าต้องรักษากลับใคร คนไหนเก่ง สิทธิรักษาอะไรก็ได้เยอะ

-สิ่งที่ทำให้รู้สึกว่าทันตะด้อยกว่าแพทย์อย่างคือวินิจฉัยโรคพื้นฐานไม่ได้ สั่งยาไม่ได้ ไม่ได้ซีเรียสขนาดนั้นแค่รู้สึกน้อยใจเฉยๆว่าฟังก์ชั่นน้อยจัง อารมณ์เด็กๆค่ะอย่าสนใจเลยฮ่าๆๆ

-แพทย์พอแก่หน่อยจะเริ่มสบายละ แต่ก็ผ่านช่วงหนักหน่วงมาเยอะ เลยไม่รู้ว่าคุ้มกันมั้ย


ส่วนเรื่องที่บอกว่าทันตะซิ่วไปแพทย์มี แต่ไม่มีแพทย์ซิ่วไปทันตะ หนูคิดว่าน่าจะเพราะคะแนนแพทย์สูงกว่าทันตะ ส่วนใหญ๋เวลาเลือกอันดับบางคนปิดท้ายด้วยคณะทันตะไว้คะแนนไม่ถึงแพทย์หล่นลงมาซึ่งไม่ได้ตั้งใจจะเป็นตั้งแต่แรกเลยมีบางส่วนที่ซิ่ว ส่วนคนที่คะแนนถึงแพทย์อยู่แล้วก็ไม่จำเป็นต้องซิ่วมาทันตะเพราะรู้ตัวว่าไม่ชอบงานหัตถการ งานละเอียด หากรู้ตัวว่าชอบก็เลือกทันตะทุกอันดับไปเลย คนที่ติดจึงมีความพอใจในคณะอยู่แล้วไม่มีความต้องการซิ่วไปแพทย์แต่อย่างใด ในทางกลับกันสมมติหากวันหนึ่งกระแสคะแนนทันตะสูงกว่าแพทย์ทั้งตารางเมื่อใด ย่อมมีการเกิดการซิ่วจากแพทย์ไปทันตะแน่นอน ไม่เกี่ยวว่าอันไหนดีกว่าอันไหนหรอกค่ะเอาประเด็นนี้มาเทียบไม่ได้


ส่วนเรื่องสอบติดไม่ติดนั้นเอาเป็นว่าอ่านหนังสือมาเรื่อยๆค่ะ ถ้าไม่มีอะไรผิดพลาดอย่างน้อยก็ยังได้ทันตะกลางตาราง หรือแพทย์ท้ายตาราง (หนูเรียนอยู่ตอ.ค่ะ)


ขอบคุณคุณกัลย์ที่อ่านจนจบนะคะ ได้มาพิมพ์ตอบแบบนี้ก็เหมือนได้จัดระบบความคิดตัวเองไปด้วยอีกรอบ แต่สุดท้ายก็ตัดสินใจไม่ถูกสักที



0
จขกท. 2 ส.ค. 60 เวลา 12:08 น. 3-2

ไม่แน่ใจว่าสิ่งที่หนูคิดมันถูกผิดมากแค่ไหน ไม่รู้ว่าคุณกัลย์เป็นคนในแวดวงสาธารสุขรึป่าว ยังไงเข้าใจผิดจุดไหนช่วยแก้ไขให้ด้วยนะคะ

0
rakk 3 ส.ค. 60 เวลา 19:48 น. 3-3

ขอตอบสิ่งที่น้อง กำลังกังวลและทำให้ลังเลคือ

-คณะแพทย์เหมือนเป็นcomfort zoneของหนู เพื่อนเกือบทั้งห้อง พ่อแม่ ต่างมุ่งไปทางนี้มากกว่า รวมถึงคุณกัลย์ด้วย ถ้าแหวกไปเรียนทันตะแลดูมันจะแปลกๆมั้ย? จบมาเพื่อนเค้าคุยรู้เรื่องกันเองหมดเหลือแต่เราคนเดียวงงๆอยู่ ตอบม่แปลก (แต่รู้สึกว่าน้องทำตัวเองให้มันแปลก) ถึงน้องจะมีอาชีพเดียวกันแต่ความรู้สึกนึกคิดไม่เหมือนกัน เช่น ถ้าน้องจบแล้วทำงานแล้ว แล้วนัดสังสรรกับเพื่อน(เอาเป็นว่าที่เรียนเตรียมมาด้วยกัน) เกิดมีซะส่วนใหญ่ชอบฟุตบอล แล้วมีเพื่อนคนนึงไม่ชอบและไม่รู้เรื่อง แล้วมันแปลกไม๊ และเรื่องแค่นี้ทำให้เราไม่อยากสังสรรกับเพื่อนหรือ หรือทำให้น้องไม่อยากเรียนทันตเพราะเพื่อนเๆเป็นหมอแล้วเราฟังเขาไม่รู้เรื่อง น้องคิดมากและคิดแปลกๆ

-ทันตะอายุการทำงานค่อนข้างสั้น ใช้สายตา คอ หลัง ไหล่ ทำให้ส่วนใหญ่retireตัวเองเร็ว สังเกตเวลาทำฟันไม่ค่อยเจอทันตแพทย์อายุเยอะๆแล้ว กลัวบั้นปลายชีวิตจะเป็นความจำเสื่อม เผลอๆซึมเศร้า เพราะตอนทำงานก็ไม่ค่อยได้พบปะผู้คนอยู่แล้ว อยู่แต่ในห้องสี่เหลี่ยม ทำงานเฉพาะในช่องปาก (และต้องยอมรับว่างานทันตกรรมค่อนข้างใช้ทักษะสกิลหัตถการมากกว่าความคิดหรือความจำต่างจากแพทย์ เลยกังวลจุดนี้มากว่าพอหยุดงานไป สมองไม่ค่อยได้ทำงานแล้ว)

ตอบ อันนี้ก็คิดมากไปแล้ว กลัวบั้นปลายชีวิตจะเป็นความจำเสื่อม คนแก่ความจำถดถอยเป็นเรื่องธรรมดา กินอาหารให้ครบหมู่ อาหารเสริมก็มีเยอะ ดูแลสุขภาพตั้งแต่ตอนนี้ ไม่ใช่รอตอนแก่

-ถ้าเรียนแพทย์ก็จะได้connectionแพทย์ด้วยกัน ตอนพ่อแม่อายุเยอะขึ้นก็ได้อานิสงค์จากจุดนี้ไปด้วย รู้ว่าต้องรักษากลับใคร คนไหนเก่ง สิทธิรักษาอะไรก็ได้เยอะ

ตอบ อันนี้ก็คิดมากเช่นกัน คนเราทำงาน มีเพื่อนหลากหลายอาชึพยิ่งดี น้องมีเพื่อนเป็นหมอ เพื่อนน้องจะไม่ช่วยน้องรักษาพ่อแม่เพราะน้องเป็นทันตเหรอ น้องไม่จำเป็นต้องคุยกันรู้เรื่องเพราะเป็นหมอเหมือนกันหรอก ก็แค่บอกอาการแล้วให้เพื่อนตรวจ เพื่อนรักษาไม่ได้เดี๋ยวเขาก็แนะนำหมอเก่งๆให้เอง พี่มึนกับน้องแล้วจิ

ปล ส่วนข้ออื่นยังไม่อยากตอบ แต่น้องน่าจะคิดออกว่าพี่ต้องการจะสื่อว่าอะไะ

0
?!?! 3 ส.ค. 60 เวลา 20:17 น. 3-4

จั่วหัวว่าจะขอตอบ แต่ที่จับใจความได้คือมาแซะน้องเค้า แค่นั้น คำตอบแบบนี้รู้เลยเป็นคนนอกวงการ น้ำท่วมทุ่งผักบุ้งโหรงเหรงมาก คำก็คิดมากสองคำก็คิดมาก คิดมากกับคิดรอบด้านไม่เหมือนกัน คุณน่ะสิเผลอๆคิดน้อยไปหรือเปล่า ดูหลักการแล้วตื้นเขินมากเลยระวังอายเด็กเอานะ ถ้าตอบเค้าแล้วมึนขนาดนั้นก็อย่าลำบากตัวเองเลย

0
นศพ. 2 ส.ค. 60 เวลา 16:34 น. 5

ชื่นชม ความเห็น จขกท เป็นระบบมาก มีการแจกแจงข้อดีข้อดีข้อเสียของแต่ละอาชีพ ไม่ว่าจะเลือกอะไร เชื่อว่าน้องจะประสบผลสำเร็จแน่นอน ตอนนี้อยากให้น้อง จขกท ลองเลือกดู ว่าจะเลือกหมอเพื่อเอาสังคมเพื่อน คอนเนคชั่น หรือจะเลือกทันตะ ทำงานคนเดียว สันโดษมากกว่า (คอนเนคชั่นรักษาพ่อแม่ น้องอยู่ ตอ เชื่อว่าต้องมีเพื่อนหมอเยอะ ไม่ต้องห่วงเรื่องนี้) ถ้าถามพี่ พี่ว่าไปหมอน่าจะดีกว่า แต่ทันตะ ก็เป็นตัวเลือกที่น่าสนใจ สุดท้ายแล้ว ถ้าตัดสินใจไม่ได้จริงๆ ลองเลือกทันตะสลับกับหมอก็ไม่ได้แย่

1.หมอ ฬ/ศรร/รามา

2.ทันตะ ฬ

3.หมอ มธ/วชิระ

4.ทันตะ มศว/มธ หรือถ้าเซฟๆก็ ทันตะ มช/มข

3
จขกท 2 ส.ค. 60 เวลา 17:28 น. 5-1

ขอบคุณนะคะพี่หมอ ทำไมพี่ถึงว่าไปหมอดีกว่าอยากฟังความเห็นนิดนึงได้มั้ยคะ แหะๆ ส่วนเลือกอันดับน่าสนใจมากค่ะ อารมณ์แบบเลือกสลับไปเลยคะแนนลงตรงไหนถือว่าชีวิตลิขิตมาแล้ว5555

0
ฟองกาอาศสีฟ้า 3 ส.ค. 60 เวลา 20:10 น. 5-2

ตอนนี้เราเรียนอยู่ปี3 แล้ว จะแชร์ว่า เลือกลำดับคล้ายๆแบบนี้เลย 555555 ตัดสินใจไม่ถูกเสี่ยงดวงมันไปเลยล่ะ เราเลือก

1. หมอ รามา

2. ทันตะ ฬ

3. หมอ มศว

4. ทันตะ มธ 55555555 แล้วก็เสี่ยงดวงได้อันดับ X


เลือกที่ชอบได้ก็ดีที่สุดล่ะ เรียนแล้วแฮปปี้ ถ้าไม่รู้ หรือรับได้กับทั้ง2อย่าง ก็สุ่มดวงเอาเลย เพราะตอนที่เลือกนั้น เราคิดเหมือนเจ้าของกระทู้เลยว่า ทันตะก็ไม่มีเวรมาก ได้พักผ่อนสบายๆ กับหมอเลือกอะไรดี แต่ตอนนี้เข้ามาเรียนก็รู้สึกสนุกดีค่ะ 555555555


ปล. เรามีเพื่อนที่ซิ่วหลังจากจบหมอปี1 ไปทันตะ อีกคนไปบัญชี นะ ยืนยันได้ เขาบอกว่าเขาไม่ค่อยชอบเจอคนเยอะๆเท่าไหร่ รู้สึกไม่ใช่แนว หลังจากที่มอมีวิชาให้ไปดูว่า พี่ๆ นิสิตแพทย์ปีคลินิกเขาเรียนกันยังไง บนวอร์ดค่ะ (ส่วนเราก็ซอ่วมาจาก BBA ABAC ก่อนมาเข้าได้ 5555555)


ขอให้ จขกท ตัดสินใจได้นะคะ

0
จขกท 4 ส.ค. 60 เวลา 18:08 น. 5-3

ขอบคุณมากนะคะ เห็นพี่เรียนอยู่ปีสามแล้ว จากประสบการณ์ในคณะน่าจะพอมองเห็นภาพรวมอะไรบ้าง บอกหน่อยได้มั้ยคะว่าได้คณะแพทย์หรือทันตะ แล้วมีความเห็นยังไงบ้างค้าบอกน้องนิดนึง5555

0
MNTT 2 ส.ค. 60 เวลา 20:58 น. 6

ขอแสดงความคิดเห็นในบทบาทของนทพ.ที่ยังไม่ขึ้นคลินิกนิดหน่อยก็แล้วกันค่ะ ^^

ดูท่าทางน้องจะกังวลและเลือกยากอยู่มากเลยใช่ไหมคะระหว่างสองคณะ สำหรับทันตะพี่ขอเพิ่มจากสิ่งที่น้องคิดมาบ้างแล้วนะคะ คือเราจบไปไม่จำเป็นต้องนั่งทำฟันในห้องสี่เหลี่ยมเพียงอย่างเดียว ลองมาดูทางเลือกที่หลากหลายกันค่ะ

-เป็นอาจารย์ต่อค่ะ 5555

-ทำงานเกี่ยวกับส่งเสริมและป้องกันปัญหาสุขภาพช่องปาก ลองไปดูรายการฟันสวยฟ้าผ่าก็ได้ค่ะ นั่นคณะอาจารย์หมอ(ฟัน)ช่วยกันริเริ่มเลยน้า ภูมิใจมั๊ก!

-ทำงานกับกระทรวงหรือเน้นเป็นฝ่ายบริหารก็ได้ค่ะ (อันนี้ก็ยังไม่แน่ใจรายละเอียดเหมือนกัน)

-สาขาที่เรียนต่อก็มีหลากหลาย ทั้งอุด ฟันเทียมติดแน่นหรือถอดได้ รักษาคลองรากฟัน รักษาเด็ก จัดฟัน ผ่าตัด โรคที่เกี่ยวกับความเจ็บปวดบริเวณใบหน้า รอยโรคในช่องปาก(อย่างแผลบริเวณเนื้อเยื่ออ่อนต่างๆ) การวินิจฉัยด้วยภาพhistoจากการตัดเนื้อเยื่อ ฯลฯ

หลักๆเรายังต้องทำหัตการในช่องปากอยู่ แต่เราก็สามารถเพิ่มทางเลือกในการเอนจอยชีวิตได้ค่ะ


ส่วนเรื่องทั่วๆไปก็เป็นสิ่งที่ดึงดูดความเครียดได้ง่ายๆค่ะ 5555 เพราะเราต้องทำงานกันที่ระดับ 0.5 มิลลิเมตร หรืออาจน้อยกว่านั้น และทำในพื้นที่เล็กๆอย่างช่องปาก ในห้องสี่เหลี่ยม ทำให้เรื่องบางเรื่องคนอื่นก็ไม่เข้าใจเราเหมือนกัน แต่ยังมีเพื่อนในคณะที่ร่วมหัวจมท้ายและแชร์เรื่องขำขันที่เข้าใจกันแค่เราอยู่นะคะ :)

1
Addd 3 ส.ค. 60 เวลา 00:21 น. 7

พี่เข้าใจอารมณ์ของน้องเลยที่น้องสับสนเพราะพี่ก็สับสนเหมือนกันตอนนั้นว่าจะเลือก แพทย์หรือทันตแพทย์ดี คือพี่ชอบวิธีการเรียนแบบแพทย์ แต่ชอบวิธีการทำงานของทันตะมากกว่า เพราะพี่ไม่อยากทำงานแบบหามรุ่งหามค่ำแบบที่เคยอ่านๆเจออ่ะนะ ใกล้เวลาจะต้องเลือกอันดับแล้วก็ยังไม่รู้จะเลือกอะไรดีพี่เลยใช้วิธีเลือกแพทย์สลับกับทันตะอ่ะ แล้วก็ไปอธิษฐานว่าขอให้ติดอันที่เหมาะกับตัวเรามากที่สุดแล้วกัน ใช้คะแนนจัดสรรไปเลยว่าจะเรียนอะไรดี สุดท้ายคะแนนมันจัดสรรให้ไปติดแพทย์จุฬา ซึ่งหลังจากติดแล้วพี่ก็มาคิดได้ ว่าพี่เหมาะกับแพทย์มากกว่าทันตะจริงๆแหละ 555

1
จขกท 3 ส.ค. 60 เวลา 04:48 น. 7-1

ใช่มั้ยคะพี่ นึกว่าเป็นคนเดียวซะอีก คือทุกคนดูมุ่งตรงไปแพทย์เป้าหมายชัดเจนมาก เวลาบ่นๆเรื่องลังเลให้ใครฟังก็มีแต่คนรำคาญไม่เข้าใจเราอ่ะ555 ถามนิดนึงได้มั้ยคะที่บอกว่าสุดท้ายรู้สึกว่าตัวเองเหมาะกับแพทย์มากกว่านี่ดูตรงไหนยังไงบ้าง

0
PtotheAtotheT 3 ส.ค. 60 เวลา 11:30 น. 8

มาๆ รุ่นน้องพี่ พี่รุ่น 76 นะ เรียนปี 2 อยู่ พี่มีความคิดเหมือนน้องเป๊ะเลย ที่น้องพิมพ์ข้อดีข้อเสียมา ก็ตรงกับที่พี่คิดเป๊ะ ตอนนี้พี่เรียนอยู่แพทย์ มีความคิดจะซิ่วไปทันตะเป็นระยะๆ ปีนี้เพิ่งเอาคะแนนปีที่แล้วยื่นรอบแอดทันตะไป แต่ไม่ได้ไปมอบตัว


อย่างแรกที่พี่จะเพิ่มไปในข้อเสียของทันตะ คือ

1. มันค่อนข้างจะเป็นธุรกิจมากๆ ถ้าน้องเปิดคลินิกเอง สิ่งที่ตามมาคือ การทำธุรกิจล้วนๆ ทั้งการตลาด กำไร ขาดทุน บริหารวัสดุทางทันตกรรม จ้างผู้ช่วย ความสะอาดร้าน บลาๆๆๆๆ ซึ่งในความคิดพี่ พี่คิดว่ามันค่อนข้างเสี่ยง และอยู่ยาก ทำเลไม่ดีนี่แทบจะจบเห่ และถ้าพูดถึงการไม่ต้องพึ่งคนอื่น พี่ว่าหมอลอยตัวกว่านะ เป็นทันตะ น้องไม่มีผู้ช่วยก็ไม่ได้ (แถมผู้ช่วยเป็นแรงงานมีฝีมือนะน้อง ไม่ใช่เอาใครมาเป็นก็ได้) ต่างกับหมอที่แค่ไปสมัครโรงพยาบาล โรงพยาบาลก็จัดการให้ทุกอย่างแล้ว (ถ้าเขารับเราเข้าทำงานอะ55555)


2. ถ้าน้องจะเป็นมือปืน ชีวิตน้องขึ้นกับการจัดการคลินิกละ จะเจ๊งไม่เจ๊ง คนไข้เยอะไหม ราคาทำฟันเท่าไร ชีวิตน้อง depend on เจ้าของคลินิกอะ แล้วถ้าน้องลองไปเช็คสถิติหมอกับหมอฟันจบใหม่ หมอฟันผลิตออกมาน้อยกว่าหมอ 3 เท่าโดยประมาณ ซึ่งพี่คิดว่าผลิตหมอฟันออกมาเยอะนะ แต่ตอนนี้กระจุกอยู่ในตัวเมืองเท่านั้นเอง


3. ทำงานในที่แคบมากกก แบบ น้องจะเห็นแต่ปากๆๆ แล้วก็อยู่กับแต่น้ำลาย เลือด ต้องดีลกับคนไข้ที่ส่วนใหญ่ก็กลัวการทำฟันอะ น้องนึกออกปะ ยางทีพี่ว่ามันก็แอบน่ารำคาญนะ ที่ เห้อ กลัวอีกละ ต้องพูดประโยคเดิมๆ แบบ ไม่ต้องกลัวนะ ไม่เจ็บนะ เหมือนไกด์ที่พานักท่องเที่ยวไปดูที่เดิมๆ อะ


4. ค่าทำฟันที่ใครคิดว่าได้เยอะ ถ้าเป็นมือปืน ต้องแบ่งกับเจ้าของคลินิกคนละครึ่งนะ แบบขูดหินปูน 900฿ น้องจะได้ 450฿ (ไม่แน่ใจว่าต้องหักต้นทุนก่อนป่าวนะ)


5. อันนี้จากที่พี่คุยกับหมอฟันมา (จบรากเทียม) เค้าบอกว่า เค้าปวดข้อมือขนาดต้องไปฉีดสเตียรอยด์อะ คือพี่ก็นึกว่าโอเค ปวด จริง แต่ก็แค่ปวดอะน้อง5555555 แต่จริงๆ คือมันปวดมาก แล้วเค้าก็บอกมห้พี่เป็นหมออะดีแล้ว น้องสาวเค้าก็ซิ่วทันตะมหิดลไปรามา ยังไปช่วย CPR คนวิ่งที่สวนลุมแล้วเป็นลมไรเงี้ย เค้าก็ดูปลื้มใจอะ


6. ทันตะต้องรักษามือเท่าชีวิตเลยน้อง น้องโดนประตูหนีบ นิ้วบาดเจ็บ หรืออะไรที่เกี่ยวกับมือ กับแขนนี่คือ น้องทำงานไม่ได้ละนะ แล้วน้องทำงานไม่ได้ นั่นหมายความว่าน้องไม่ได้เงินนะ ในขณะที่-ังสั่งยาได้ สั่งการรักษา ทำงานอะไรได้


7. เรื่องเรียนต่อ จริงอยู่ที่ 'ตอนนี้' ทันตะไม่จำเป็นต้องเรียนต่อ แต่วันหนึ่ง ชะตากรรมของทันตะก็ไม่ต่างกับหมอหรอกน้อง พอทันตะจบมาเยอะขึ้น ทุกคนก็ต้องเริ่มหาจุดเด่นชูโรงของตัวเอง ต้องเรียนต่อเหมือนๆ กันแหละ เพราะเมื่อก่อนหมอก็ยังไม่จำเป็นต้องต่อเฉพาะทางเหมือนกัน แล้วตอนนี้ล่ะเป็นไง ก็อย่างที่น้องเห็น อย่างผ่าฟันคุด พี่ก็ถามคลินิกเลยนะ ว่าหมอจบเฉพาะทางศัลย์ป่าว เพราะคนไข้มีสิทธิ์เลือก และมีความรู้มากขึ้น ช่างเลือกมากขึ้น อีกอย่าง ถ้าน้องเป็นแค่ GP น้องจะเหมือนกระโถนที่คนโยนงานมาให้ทำอะ การเรียนต่อเฉพาะทางจะทำให้เราเลือกรับงานที่อยากทำได้ เช่นอยากจัดฟัน ก็จะได้ทำแค่จัดฟัน ไม่ต้องไปอุดขูดถอนแล้ว (แต่สาขานี้เรียนต่อยากโคตร ตอนนี้ไปเรียนต่อกันที่ญี่ปุ่น อเมริกา กันเยอะแล้ว รอโควต้าแต่ละปีไม่ไหว)


สุดท้ายนะน้อง ที่พี่เลือกเรียนหมอต่อ มันไม่ใช่เหตุผลที่ดีอะไรมาก เพราะจริงๆ ข้อเสียของหมอเยอะอย่างที่น้องรู้ แต่มันก็มีความจริง ที่คนนอกอาจจะยังไม่รู้ เช่น


1.ชีวิตหมอ จริงๆ เลือกได้ว่าจะเอาแค่ไหน

จากที่พี่ดูๆ มา หมอเลือกได้นะ ว่าเราจะเหนื่อยขนาดไหน

น้องเชื่อพี่ปะ พวกพี่ๆ หมอที่บ่นว่าเหนื่อยชิบอะ จริงๆ ใช้ทุนมันไม่ได้ขนาดนั้นนะ (แต่ก็เหนื่อยอยู่) คือพี่เขารับเวรเอกชนอะ มีคนนึงไปรับเวรวันหยุด 2 วัน ได้มา 12,000อะ คือเขาบ่นว่าเหนื่อยจริง แต่มันคือสิ่งที่เขาเลือกจะเหนื่อยอะน้อง มันไม่ใช่เวรที่บังคับ (แต่เวรบังคับก็มีอยู่แล้ว แต่มันไม่ได้ทำให้เหนื่อยขนาดนั้นหรอก)


2. พี่คิดว่าพี่จะเสียใจ ถ้าพี่เลือกเรียนทันตะ แล้ววันนึงพี่ป่วยอะไรขึ้นมา พี่คิดว่ายังไงพี่ก็เสียใจอะ ที่พี่ไม่เลือกเรียนหมอ ทั้งที่พี่เลือกเรียนได้ หรือมีเรื่องนึงที่พี่ติดค้างในใจมาก ตอนพี่ม.6 แม่พี่ป่วย แล้วเข้าเอกชน ต้องผ่าตัด พี่แคลงใจอะ ว่าทำไมแม่พี่ต้องผ่า 2 รอบ พี่ไม่ชอบความโง่ในตอนนั้นอะ พี่ไม่ได้เรียนหมอ พี่ไม่รู้ว่าทำไมแม่พี่ต้องผ่า 2 รอบ แล้วที่ต้องผ่า 2 รอบมันสมเหตุสมผลไหม คือพี่จะแคลงใจน้อยลงหน่อยถ้าหมอที่รักษาแม่พี่ไม่ใส่เข็มขัด Hermes อะ5555555 ทำไมแม่พี่ต้องเจ็บ 2 รอบ ไรเงี้ย พี่ถามเหตุผลหมอ เขาก็ตอบไม่เคลียร์แล้วหัวเสียใส่อะ พี่รู้สึกอึกอัดมาก คือพี่เชื่อว่าพี่มีตรรกะพอที่ถ้าหมออธิบายเหตุผลที่จำเปผ้นได้ พี่จะยอมรับและเข้าใจเหตุผลนั้นได้อะน้อง และพี่เชื่อว่าพ่อแม่พี่ ยังไงวันนึงก็ต้องป่วย พี่จะเป็นที่พึ่งของพวกเขาในตอนนั้น


3. พวกเราอะ กำลังเรียนตามหลังเทรนด์ คือเราไม่ใช่ผู้นำเทรนด์อะน้อง เราจะไม่ใช่ผู้กอบโกยประโยชน์หรือข้อดีในอาชีพนั้นๆ ให้สูงสุดได้อยู่แล้ว พี่กำลังจะบอกว่า อย่างเป็นหมอเงี้ย จริงๆ มันฮิตมานานแล้ว ตอนนี้เป็นเทรนด์ที่เป็นช่วงขาลง คือเราไม่สามารถได้รับข้อดีของหมอ เช่น รายได้ดี มีเกียรติ มีคนบอกว่าเมื่อก่อนหมอเอกชนได้มากกว่ารัฐบาล 3 เม่า แต่เดี๋ยวนี้เหลือแค่ 1 เท่าแล้ว


เช่นเดียวกันกับทันตะอะน้อง ถ้าน้องไปดูตารางคะแนน น้องจะเห็นว่าเมื่อก่อนทันตะคะแนนต่ำกว่าหมอพอสมควรเลย (อาจารย์เภสัช ฬ บอกว่า รุ่นเขาทันตะคะแนนต่ำกว่าเภสัช) ตอนนี้ที่คะแนนสูงขึ้นมาได้ แสดงว่ามันเป็นเทรนด์แล้ว และยิ่งที่ 1 แอดทันตะฬปีนี้ สละสิทธิ์หมอฬ มา แสดงว่าเริ่มมีคนจะเข้ามาแสวงหาประโยชน์ของอาชีพนี้แล้ว มีคนเล็งเห็นข้อดีของอาชีพนี้แล้ว แล้วสุดท้ายข้อดีนั้นก็จะล่มสลาย เหมือยทุกอย่างที่มันเคยบูม มันเป็นอนิจจังน้อง55555 (เหมือนตุ๊กตาบลายธ์ เหมือน black berry) (เหมือนที่มีที่ 1 แอดมิชชั่นปีนึงสละสิทธิ์แพทย์ มาเรียนคณิตศาสตร์ประกันภัย ฬ เพราะช่วงนั้นมันบูมมาก แล้วตอนนี้ตลาดนี้เป็นไงล่ะ ... หรือที่ตอนนี้วิศวะปิโตร ไม่ใช่สาขาที่อู้ฟู่อีกต่อไปแล้ว ไปถามพี่ๆ วิศวะได้)


ที่พี่พูดข้อนี้มา พี่แค่จะบอกว่า เราควรเรียนอะไรที่เราชอบอะน้อง ความมั่งคั่งในอาชีพมันไม่ใช่สิ่งที่ยั่งยืน พี่รู้ว่าพี่พูดไป น้องก็ไปเลือกที่ชอบไม่ได้อยู่ดี พี่เข้าใจ ด้วยสังคมเตรียมที่มีแต่หมอ ทันตะด้วยแล้ว พี่ผ่านมาแล้ว5555


พี่อาจจะพิมงงๆ นะน้อง ไม่ได้เรียบเรียง55555 ชีวิตพี่ก็เตรียมใจไว้แล้วแหละว่า จบไปพี่อาจจะไม่ได้เป็นหมอ มันอาจจะล้นตลาดหรืออะไรก็แล้วแต่ (ทันตะก็เช่นกัน) พี่รับได้หมด ที่ตอนนี้พี่เรียนหมอเพราะพี่อยากได้วิชาความรู้มาใช้กับชีวิตพี่ พี่ชอบความรู้หมอมากกว่าทันตะ ประมาณนี้แหละน้อง พี่ว่าสุดท้าย เราเลือกที่การอยากทำอะไรดีกว่า อยากทำฟัน อยากรักษาคน ความสบายไม่สบายมันเลือกได้ (เชื่อพี่ จากที่พี่ถามหลายๆ คนมาแล้ว ความสบายของหมอเลือกได้นะ)


สุดท้ายพี่ขอให้น้องพี่ได้เลือกสิ่งที่เหมาะที่ควรกับน้อง เป็นประโยชน์ต่อชีวิตน้อง และไม่เสียใจทีหลังที่เลือกมันนะ

8
จขกท 3 ส.ค. 60 เวลา 12:01 น. 8-1

โหขอบคุณมากนะคะพี่อุตส่าห์สละเวลาพิมพ์ยาวๆมาตอบ หนูอ่านทุกบรรทัดทุกตัวอักษร อ่านจบแล้วขนลุกเลยน้ำตาจะไหลTT เหมือนได้เห็นทางสว่างมากขึ้น ขอบคุณอีกรอบนะคะที่มาแชร์ข้อมูลให้ได้รู้อะไรมากขึ้น แต่สงสัยประเด็นข้อ3ที่บอกว่าเทรนด์ทันตะกำลังมานิดนึง คือถ้าเราเรียนในช่วงขาขึ้นพอดีก็ถือว่าดีไม่ใช่หรอคะเหมือนอย่างที่พี่บอกไว้ว่าถ้าเป็นผู้นำเทรนด์ก็จะtake advantageได้มากกว่า

0
PtotheAtotheT 3 ส.ค. 60 เวลา 18:32 น. 8-2

ประเด็นข้อ 3 คือพี่คิดว่า carrying capacity ของทันตะมันค่อนข้างน้อยอะ (เนิร์ดค่ด555) แล้วมันค่อนข้างจำเพาะอายุ เช่น จัดฟัน น้องจะได้คนไข้อายุไม่เกิน 20-25 แถมต้องเช็ครีเทนเนอร์ฟรีไปเรื่อยๆ อีก ฟันปลอมก็อาจจะ 50-60++ ทำพลาดไประดับมิล ใส่ไม่พอดี ก็ต้องแก้ สินค้าราคาแพง ความคาดหวังสูงอยู่แล้ว ฟันคุดก็มีกันคนละ 4 ซี่ ผ่าจบแล้วก็คือจบ คือสมมติมีความต้องการหมอฟัน 100 คน ตอนนี้มี 70 ไรงี้อะ คือมันเทรนด์กำลังมาก็จริง แต่ส่วนที่ยังเป็นที่ต้องการที่เพิ่มไปได้มันน้อยอะ (คือหมอฟันอาจจะมีไม่ได้เยอะจริง แต่ demand มันก็ไม่ได้เยอะเหมือนกัน ใน 1 ปีเราหาหมอฟันกันกี่ครั้ง แล้วไปทำอะไรบ้าง และ supply ก็กำลังเพิ่มด้วยอัตราเร่ง ปีที่แล้วมศวรับเพิ่ม ไม่แน่ใจตัวเลข แต่ประมาณเท่าตัวนึง น่าจะจาก 25 เป็น 50) แถมยังมีโครงการชนบทอีก คืออัตราเร่งมันมากไป แล้วเราเรียน 6 ปีกว่าจะจบ มีหมอฟันเพิ่มไปอีกกี่คน เพิ่มด้วยความชันมากซะด้วย เดี๋ยวเอกชนและมหาลัยต่างๆ ก็จะเปิดเพิ่มขึ้นเป็นการแปรผันตรงกับความฮิตของคณะ แล้วส่วนใหญ่พอจบมาก็อยากเปิดคลินิกเป็นของตัวเอง แชร์ตลาดกันเอง เกิดการแข่งขันแบบ red ocean ฟันราคากันกระจาย (เช่น จัดฟันตอนนี้ ลดแลกแจกแถมกันแหลกมาก พิมพ์ฟันฟรี x ray ฟรี รีเทนเนอร์ฟรี)

สรุปประเด็นข้อ 3 คือ เราเป็น 'เสมือน' กลุ่มนำเทรนด์ก็จริง แต่เราเหมือนอยู่ตรงกลางของคลื่น 'กลุ่มผู้นำเทรนด์' อะ แล้ว-คลื่นก่อนหน้าเรา เหมือนไปเติมจนเต็ม carrying capacity แล้วอะ (จริงๆ พี่คิดว่าเป็นกลางคลื่นค่อนไปทางหลังด้วยนะ)

และที่พี่กล่าวมาแน่นอนว่า ต้องเกิดขึ้นกับวงการหมอด้วย

พูดถึงข้อดีที่แตกต่างของหมอหน่อย คือ หมอ (ยกเว้นหมอเด็ก) จะมีคนไข้อายุหลากหลายกว่า พูดง่ายๆ ว่ามีคนไข้มากกว่า มีสาขาที่หลากหลายกว่า เป็นที่ต้องการมากกว่า ยิ่งต่อไปมี sub board อีก เช่นรักษาเฉพาะโรค หัวใจ ไต ตับ เส้นลือด สมอง ก็ยิ่งต้องการคนมาเป็นหมอเยอะ เพื่อแยกไปเป็นหมอเฉพาะทางต่างๆ

แล้วหมอเลือก lifestyle ได้กว้างกว่า ถ้าไม่อยากเจอคน ไปเรียนพาโถ รังสี อยากเจอเด็กไปเด็ก ชอบการผ่าไม่ชอบอ่านไปศัลย์ ชอบอ่าน ชอบความเป๊ะไปอายุรกรรม ชอบแบบเถื่อนๆ ลุยๆ หน่อย เคสไม่น่าเบื่อ ไปนิติเวช ไรงี้อะ

พูดมาเหมือนพี่เชียร์หมอเลย555555 แต่ไม่ใช่นะ พี่ให้ข้อมูลเจ๋ยๆ 555555

การตัดสินใจอย่างหนึ่งของพี่เกิดขึ้นเพราะพี่นั่งคิดแบบนี้แล้วสรุปว่า เหมือนจะไม่ดีทั้งคู่555555 พี่เลยคิดว่า ถ้าสมมติพี่เรียนจบแล้วตกงาน พี่จะรู้สึกยังไง คำตอบของพี่คือ ถ้าพี่เรียนหมอ พี่ตกงาน พี่โอเค เพราะพี่อยากได้ความรู้ พี่เอาไปดูแลตัวเองและคนในครอบครัวได้ แล้วถ้าพี่เรียนทันตะล่ะ ตกงานที พี่คงไม่รู้จะทำยังไงอะ ความรู้ที่ได้มาเหมือนเอาไว้มาหาเงิน แต่ไม่มีงานทำ ก็ไม่ได้เงินอะ พี่เลยสรุปกับตัวเองได้ว่า พี่น่าจะเหมาะกับหมอมากกว่า ที่พี่มีใจให้ทันตะน่าจะเป็นแค่เรื่องเงินๆ ทองๆ ที่มัน'ดู' ได้มาสบายกว่า (แลกกับปวดมือ แขน บ่า ไหล่) พี่ก็คิดว่าไม่ได้สบายเท่าไรนะ5555555

โอเคๆ พิมพ์ยาวอีกแล้ว55555 มีอะไรถามมาต่อได้เลยนะ พี่ยินดีตอบบบ

0
Ssss 4 ส.ค. 60 เวลา 10:29 น. 8-3

แล้วอย่างถ้ามาทำงานบ้านเกิดตัวเอง ตจว.หัวเมือง ทันตแพทย์มีผลมากมั้ยครับ

0
PtotheAtotheT 4 ส.ค. 60 เวลา 15:14 น. 8-4

พี่ว่าถ้าเป็นระดับ local ก็ต้องให้คน local ตอบนะ แบบเขาจะรู้สึกได้เองว่ามันล้นหรือยัง อย่างพัทยานี่คงล้นเว่อๆ ระดับเดียวกับกทม.อะ ขอนแก่น เชียงใหม่ สงขลา มีมหาลัยผลิตป้อนอยู่แล้ว ตามหัวเมืองคงไม่ได้ต้องการหมอฟันเพิ่มอะไรเยอะแยะ อย่างจังหวัดที่พี่เคยอยู่ อยู่ภาคกลางใกล้กทม. ยังมีหมอฟันจบจากขอนแก่นมาเปิดคลินิกเลย แต่ถ้าเป็นที่ไกลๆ ยังไม่เจริญมาก ก็คงยังไม่ล้น แต่แน่นอนว่ารายได้คงไม่สวยหรู เพราะพื้นที่พวกนั้นเศรษฐกิจจะไม่ดี พวกจัดฟันไรงี้คงไม่โอเคเท่าไร ฟันปลอมก็คงไม่ทำ เพราะแพง รากเทียมยิ่งแล้วใหญ่ ยอมฟันหลออะไรแบบนี้ อย่างที่พี่บอกอะ ว่ามันคือธุรกิจ

0
จขกท 4 ส.ค. 60 เวลา 18:03 น. 8-5

ขอบคุณสำหรับคำตอบนะคะพี่ เขียนเก่งมากเลยเพลินมากๆ5555

0
ทาา 7 พ.ค. 64 เวลา 01:18 น. 8-8

ก็ไม่ได้ถูกต้องหรอกเพราะไม่ได้มาเป็นทันตะจริงๆ แค่บอกว่าการหาผู้ช่วยเป็นงานฝีมือที่อาจเป็นปัญหามันก็ผิดถนัดแล้ว แต่เพราะเป็นมุมมองของคนที่ไม่ได้ทำจะมองแบบนี้ก็ไม่แปลกหรอก

0
มะปราง 3 ส.ค. 60 เวลา 11:36 น. 9

เลือกทันตะคะ เพราะเท่าที่ทำงานมาเห็นว่าทันตะงานไม่หนักเท่าแพทย์คะ ค่าตอบแทนก็โอเค แต่จริงๆ ก็ต้องเลือกที่น้องชอบที่สุดนั่นแหละคะ มีความสุขกับการเรียนในสิ่งที่ชอบดีกว่าเนอะ

1
Dr.beam 5 ส.ค. 60 เวลา 23:23 น. 10

ให้ข้อมูลเพิ่มในฐานะเป็นแพทย์มาหลายสิบปีครับ(แอบแก่) ขอdebateข้อเสียทันตจากความเห็นข้างตันครับ คือแอบเชียร์ทันตครับ

1. หมอเลือก lifestyle ได้กว้างกว่า ถ้าไม่อยากเจอคน ไปเรียนพาโถ รังสี อยากเจอเด็กไปเด็ก ชอบการผ่าไม่ชอบอ่านไปศัลย์ ชอบอ่าน ชอบความเป๊ะไปอายุรกรรม ชอบแบบเถื่อนๆ ลุยๆ หน่อย เคสไม่น่าเบื่อ ไปนิติเวช ไรงี้อะ

โลกแห่งความเป็นจริง น้องไม่สามารถเลือกได้เพราะที่เรียนจำกัด เช่นskin cardio บางครั้งก็ต้องเรียนที่ไม่ชอบ ยกเว้นสาขาที่ไม่ฮิต

2. มันค่อนข้างจะเป็นธุรกิจมากๆ ถ้าน้องเปิดคลินิกเอง สิ่งที่ตามมาคือ การทำธุรกิจล้วนๆ ทั้งการตลาด กำไร ขาดทุน บริหารวัสดุทางทันตกรรม จ้างผู้ช่วย ความสะอาดร้าน บลาๆๆๆๆ ซึ่งในความคิดพี่ พี่คิดว่ามันค่อนข้างเสี่ยง และอยู่ยาก ทำเลไม่ดีนี่แทบจะจบเห่ และถ้าพูดถึงการไม่ต้องพึ่งคนอื่น พี่ว่าหมอลอยตัวกว่านะ เป็นทันตะ น้องไม่มีผู้ช่วยก็ไม่ได้ (แถมผู้ช่วยเป็นแรงงานมีฝีมือนะน้อง ไม่ใช่เอาใครมาเป็นก็ได้) ต่างกับหมอที่แค่ไปสมัครโรงพยาบาล โรงพยาบาลก็จัดการให้ทุกอย่างแล้ว (ถ้าเขารับเราเข้าทำงานอะ55555)

แพทย์เปิดคลินิกก็ธุรกิจ เหมือนกันครับ เสี่ยง และอยู่ยาก ทำเลไม่ดีนี่แทบจะจบเห่เหมือนกัน ส่วนมากก็อาศัยโรงพยาบาลรัฐ หากิน คือ คนไข้ตามไปจากโรงพยาบาล หรือเอาcaseมาผ่าที่รพใ โดยเฉพาะสูติกรรม ที่คุณธรรมมากก็มีความเป็นส่วนน้อย

3. ทำงานในที่แคบมากกก แบบ น้องจะเห็นแต่ปากๆๆ แล้วก็อยู่กับแต่น้ำลาย เลือด

เวลาเป็นหมอเฉาะทางก็เหมือนกันครับ เช่น หมอENT ก็ส่องแต่หู ดูแต่คอกับจมูก หมอตา ก็ดูแต่ตา

4. ชีวิตหมอ จริงๆ เลือกได้ว่าจะเอาแค่ไหนจากที่พี่ดูๆ มา หมอเลือกได้นะ ว่าเราจะเหนื่อยขนาดไหน


ทันต ก็เหมือนกันครับ ปกติก็ไม่ต้องอดหลับอดนอนอยู่แล้ว ถ้าสบาย ก็ทำ รพ. รัฐ อย่างเดียว

แม้จะไม่รวย แต่ไม่ลำบากแน่นอน

ของแพทย์ น้องต้องทำงานกับแผนกอื่นมาก ถ้าเป็นคนsuperegoสูงๆ และโชคไม่ดีเจอแพทย์superegoตำ่น้องคนอื่นหรือแผนกอื่นที่มาให้น้องดูต่อ จะเหนื่องมากๆๆๆ เพราะต้องตามล้างอุจจาระ เช่น เป็นหมอเด็ก เจอสูติที่ผ่าคลอดอย่างไมาเหมาะสมด้วยเหตุผลใดๆก็ตาม แล้วเด็กเป็นทารกก่อนกำหนดมีปัญหา แล้วน้องต้องตามดูแลทั้งคืน ขณะที่คนทำกลับไปนอนสบายแล้ว


เพิ่มเติมคือ ถ้าน้องทำรพ. เอกชน จะเป็นธรกิจมากๆๆ ถ้าsuperegoสูง น้องจะอยู่ยาก บางครั้งต้องทำสิ่งที่ฝืนใจ เช่น เลี้นงคนไข้ให้นอนต่อ ทั้งๆกลับได้แล้ว เพราะต้องทำยอด หรือส่งการตรวจทางห้องปฏิบัติการที่ไม่จำเป็น หรือเจอคนไข้หนักมา แต่ไม่มีเงินต้องส่งต่อจนแย่กลางทาง ตามที่เป็นข่าว เพือนพี่หลายคน ต้องลาออกเพราะสาเหตุนี้



2
จขกท 6 ส.ค. 60 เวลา 18:03 น. 10-1

ขอบคุณสำหรับข้อมูลนะคะพี่หมอ เป็นประโยชน์มากๆค่ะ เห็นแบบนี้ยิ่งคิดหนักเลย

0
Pppppppp 8 ก.ค. 64 เวลา 06:56 น. 10-2

เห็นด้วยกับความเห็นที่ 10 ค่ะ


ส่วนตัวตอนเป็นเด็กม ปลายก็เคยคิดแบบความเห็นที่8ค่ะเลยเลือกเรียนแพทย์


ตอนนี้จบมาทำงานเป็นแพทย์ได้5ปีแล้ว และสามีเป็นทันตแพทย์ ก็เห็นด้วยกับความเห็นที่ 10 มากๆค่ะ


0
PtotheAtotheT 6 ส.ค. 60 เวลา 01:06 น. 11

ข้อที่ 1 ก็จะลบล้างกับในอนาคต ทันตะก็ต้องเรียนต่อเหมือนกัน แถมยังมีสาขาให้เลือกน้อยกว่า การแข่งขันก็ต้องสูง (แค่ตอนนี้ยังไม่เกิดเหตุการณ์นั้น แต่ในอีก 6 ปี ข้างหน้ามันต้องเกิดขึ้นแน่ โซเชียล อินเทอร์เน็ตให้ความรู้กับคนมหาศาล เดี๋ยวนี้จะจัดฟัน มีรายชื่อหมอที่ได้บอร์ดมาให้เราเช็คได้เลย)

สาขา major สู ศัลย์ med เด็ก ยังมีพื้นที่ค่ะ ที่เข้ายากจริงๆ คือ eye skin ถ้าสมัยนี้ที่มาแรงโดดเด่นคือ รังสี ส่วนสูนี่แทบจะเชิญไปเรียน


ข้อที่ 2 ลองมองดูตัวเราว่า ถ้าปวดท้องเราเลือกไปไหน คลินิกหรือรพ. แล้วถ้าปวดฟันล่ะ เราเลือกไปที่ไหน คลินิกหรือรพ. คือหมอทำคลินิกมันไม่ค่อยรุ่งอยู่แล้วอะค่ะ555555 คลินิกที่รุ่งๆ คือต่างจังหวัด พูดถูกมั้ยคะ?


ข้อที่ 3 ข้อนี้ไม่เถียงค่ะ แต่ถ้าเราไม่ชอบทำงานในที่แคบ เราเป็นหมอก็เลือกสาขาอื่นได้ แต่หมอฟันเลือกไม่ได้


ที่เพิ่มเติมมา ทันตะก็เช่นกันค่ะ ต้องทำยอด เพราะมีเงินประกันที่คลินิกให้เป็น base เอาไว้ ทำไม่เกินประกันคลินิกก็เจ๊งค่ะ แถมเงินประกันที่ให้นี่หัก 50% แล้วนะคะ ส่วนใหญ่ประกัน 3000 บาท/วัน หมายความว่าใน 1 วัน หมอฟันต้องสร้างมูลค่ามากกว่า 6000 บาทให้กับคลินิก ข้อนี้คิดว่ากดดันพอกันค่ะ


เพิ่มเติมให้น้องจขกท.อีก พี่เพิ่งนึกข้อนี้ออก

หมอฟันส่วนใหญ่จะลงเวลาทำงานเป็นวันๆ ค่ะ เช่น ทุกวันศุกร์ วันอื่นๆ ก็จะทำคลินิกอื่น แล้วถามจริง น้องจะไปหาคลินิกที่ไหนมาตั้งมากมายให้ครบ 7 วันได้ แล้วแต่ละที่ก็คงไม่ได้อยู่แถวบ้านเราไปหมด ถูกป่ะคะ ต้องเดินทางไปต่างที่ทุกๆ วัน สมมติทำให้คลินิกแบรนด์นึง มีหลายสาขา น้องก็ต้องวนสาขาให้เค้า


ถ้าพูดกันตรงๆ พี่ว่าเป็นหมอฟัน ต้องเทียบกับหมอที่ทำคลินิกความงามอ่ะ ถึงจะสมเหตุสมผล

เป็นธุรกิจ ไม่ต้องอยู่เวร ทำงานสาย 10-11 โมง เลิกงาน 1-2 ทุ่ม ทำหลายสาขา จบแค่ GP ยังได้อยู่ในสมัยนี้ เงินดี แต่ไม่มั่นคง อายุเยอะๆ มักโดนบีบให้ออก (หมอฟันจะเป็นปัญหาสุขภาพที่ทำให้ต้องออกแทน) มีเงินประกันให้ บลาๆๆๆ

เห็นความเหมือนกันมั้ย555555


ถ้าน้องจขกท ยังมาอ่านอยู่ พี่ก็ยังยืนยันความเชื่อเดิมนะ ว่าหมอเลือกได้ จะเอาหนักเอาเบาแค่ไหน

7
PtheAtotheT 6 ส.ค. 60 เวลา 01:10 น. 11-1

พี่พูดตรงๆ นะ มันก็ไม่ใช่ตรรกะที่ดีเท่าไร และไม่รู้ว่าจะมีใครมาดรามงดราม่าอะไรกับความเห็นพี่มั้ย

เอาเป็นว่า พี่แค่มาแชร์ข้อมูลที่พี่เก็บๆ มาละกัน

อยู่เตรียม พ่อแม่เพื่อนๆ เป็นหมอกันเยอะ น้องก็รู้ถูกมั้ย

พี่สังเกตว่า 'ส่วนใหญ่' หมอที่ทำรพ.รัฐกับสายวิจัยมักจะไม่อยากให้ลูกเป็นหมอ

ส่วนหมอที่ทำเอกชนมักจะเชียร์ให้ลูกเป็นหมอ


น้องคงเข้าใจที่พี่ต้องการจะสื่อนะ :)

0
จขกท 6 ส.ค. 60 เวลา 18:17 น. 11-2

ยังตามอ่านอยู่ค่า เชื่อแล้วว่าพี่น่าจะทำงานหนักสืบข้อมูลมาหนักมากๆ ถึงขนาดยื่นแอดไปแล้วแต่ก็ตัดสินใจทางเดิม ขอบคุณสำหรับข้อมูลเพิ่มเติมนะคะ


แต่ประเด็นของค่าประกันของทันตแพทย์มือปืนหรือแพทย์คลินิกสกิน หนูเคยหาข้อมูลมารู้สึกว่าค่าประกันนั้นคือได้แน่นอน เป็นจำนวนเงินขั้นต่ำไม่จำเป็นต้องทำยอด หรือก็คือรายได้ต่ำสุดของเราในวันนั้นๆ (เช่นกรณีไม่มีคนไข้เลย หรือรายรับจากคนไข้หลังจากหัก50%ต่ำกว่าค่าประกัน) เช่นค่าประกันต่อวัน3000บาท วันนั้นมีคนไข้มาแค่4คน คนละ1000 ตามเกณฑ์ถ้าหักรายรับแล้วเราจะได้ค่าคอม2000บาทซึ่งยังต่ำกว่าค่าประกัน เราจะได้เพิ่มอีก1000บาทไปฟรีๆค่ะ


ขอถามนิดนึงสมมติว่าพี่เรียนอยู่คณะทันตะ แล้วยื่นคะแนนใหม่ติดแพทย์แทน พี่จะตัดสินใจซิ่วมั้ยคะ

0
PtotheAtotheT 10 ส.ค. 60 เวลา 22:24 น. 11-3

เรื่องเงินประกันน้องเข้าใจถูกแล้วว คือพี่แค่อยากชี้แจงว่า ที่บอกว่าหมอต้องทำยอด มีความกดดัน (GP หมอเอกชน เงินประกันประมาณ 120,000 บาท/เดือน) ทันตะก็เหมือนกัน มีประกันวันละ 3000 บาท

0
PtotheAtotheT 10 ส.ค. 60 เวลา 22:29 น. 11-4

เพิ่งเห็นละเอียดๆ ว่า น้องคิดว่าไม่ต้องทำยอด


คือถ้าเป็นคลินิกความงาม หมอต้องขายคอร์สนะ ตื๊อลูกค้า คือการทำยอดโดยตรงเลย


ถ้าเป็นคลินิกทำฟัน ถ้าสร้างมูลค่าได้ไม่ถึงเงินประกัน สมมติน้องเป็นเจ้าของคลินิกน้องจะทำยังไง ถ้าเป็นพี่ พี่จะลดจำนวน GP ในคลินิกลง แล้วจัดคิวคนไข้มาให้หมอ GP ที่เหลืออยู่ พี่จะได้ไม่ขาดทุนเงินประกันไปทุกวันๆ มันคือการทำบอดแบบอ้อมๆ หรืออีกทางนึง พี่จะลดเงินประกันให้ GP ลง

0
PtotheAtotheT 10 ส.ค. 60 เวลา 22:51 น. 11-5

คำถามสุดท้ายตอบยากจัง55555 อืมมม พี่จะบอกว่า บางครั้ง ถ้าไม่ได้อยู่ในสถานการณ์นั้นจริง คำตอบก็จะเป็นแบบหนึ่ง พอไปอยู่ตรงนั้นจริงๆ คำตอบก็อาจจะไม่ใช่คำตอบเดิม ถ้าให้พี่ตอบตอนนี้ แบบมีเรื่องสมมติขึ้นมา อย่างแรกพี่ขอสติแตกก่อน555555 ถ้าถามคำถามพี่ตอนเพิ่งประกาศผลใหม่ๆ หรือตอนพี่ปี 1 พี่คงเลือกทันตะนะ แต่ ณ ตอนนี้ พี่โอเคกับหมอมากๆ พี่รู้สึกว่า พี่เรียนปี 2 พี่ยังรู้อะไรเยอะขนาดนี้ ได้เรียนระบบนู่นนี่แล้วโยงไปกับการเกิดโรค พี่จะได้เรียนฟามาโค เกี่ยวกับยา การใช้ยา พี่จะใช้ยาถูก คนในครอบครัวพี่ได้อานิสงส์ พี่เรียนจบ พี่จะมีเครือข่ายหมอมากมาย ทั้งอาจารย์ เพื่อน รุ่นพี่ คุยกับหมอๆ ทั้งหลายรู้เรื่อง ขนาดตอนนี้เกี่ยวกับอาการป่วยของแม่พี่ พี่ยังได้ใช้ประโยชน์แล้ว ต่อไปพี่คงอุ่นใจกับการมีความรู้ พี่มีเพื่อนที่พ่อเป็นหมอ เพื่อนพี่กับพี่เป็นรูมเมทกัน แล้วมีคนไข้พ่อเพื่อนอยู่คอนโดเดียวกัน พอเขารู้ว่ามาอยู่ที่นี่ เวลาเขาทำกับข้าว เขาก็จะโทรเรียกให้ไปกินด้วยกัน ซื้อขนมมาฝากบ่อยมาก เขาบอกว่าพ่อเพื่อนพี่มีบุญคุณกับเขามาก พี่ไม่ได้เห็นแก่ของหรืออะไรแบบนั้นนะ เพราะส่วนใหญ่พี่ก็ไม่ได้ไปกินด้วยตามคำชวน555555 แต่พี่รู้สึกว่า นี่คือการเป็นคนมีคุณค่าอะ เกิดมามีประโยชน์อะ (พี่ไม่ปฏิเสธว่าหมอฟันก็ช่วยคน แต่ลองถามตัวเองดู ว่าเรารู้สึกว่า 'การช่วยของหมอฟัน' กับ 'การช่วยของหมอ' มันต่างกันตรงไหน พี่ไม่อยากพูดลงตรงนี้55555) พี่ก็จัดฟันอะ คลุกคลีกับหมอฟันมาพอควรเหมือนกัน นั่นแหละ

สรุปคือ พี่เลือกหมอ แต่ไม่ซิ่วนะ จะเลือกตั้งแต่แรก555555

ปล. ลอง search ดูรูปหมอฟันตอนทำฟันนะ พี่รู้สึกว่ามันเป็นท่านั่งที่ทรมานมาก555555

0
PtotheAtotheT 10 ส.ค. 60 เวลา 22:52 น. 11-6

พี่ตอบอาจจะไม่เห็นในมุมการข่วยคนไข้นะ เพราะพี่ยังไม่ได้อยู่ชั้นคลินิกอะ ไม่อยากพูดถึงส่วนนั้น เพราะมันจะไม่อิน55555

0
PtotheAtotheT 10 ส.ค. 60 เวลา 22:59 น. 11-7

คลินิกที่พี่จัดฟัน ที่สยาม

มี GP ลงแค่วันอังคาร พุธ ศุกร์

วันละ 1 คน


เท่ากับคลินิกนี้ใช้ GP 3 คน

วันอื่นๆใช้ specialist ลง วันละ 1 คน คนละสาขาด้วย

0
Nida_A 13 ส.ค. 60 เวลา 23:19 น. 12

อ่านความเห็นของบางท่านแล้วค่อนข้างbiasพอสมควร เป็นการให้ opinion มากกว่า fact


เข้าใจจุดประสงค์และความหวังดีของเจ้าของความคิดเห็น แต่อย่าลืมว่านี่เป็นบอร์ดเป็นสื่อสาธารณะ มีคนเข้ามาอ่านจำนวนไม่น้อย บุคคลที่3ที่4 บางทีเขียนเพลินจนกลายเป็นการโจมตีวิชาชีพอีกฝ่ายไม่รู้ตัว เสียงต่อการเข้าใจผิดวงกว้าง อยากให้discussกันด้วยความเป็นกลางและขอให้มั่นใจในข้อมูลที่ได้มาก่อนจะinform ไม่ใช่ใช้แค่ความรู้สึกหรือมุมมองภายนอกมาถกประเด็น

0
A. Ph 16 ส.ค. 60 เวลา 20:21 น. 13

ขอให้เจ้าของกระทู้พบสิ่งที่ตัวเองอยากเป็นได้ในเวลาอันใกล้นี้นะคะ


เป็นกำลังใจให้นะคะ ._. v สู้ ๆ

0
เรียนต่อต่างประเทศตามใจคุณ 20 ม.ค. 63 เวลา 13:16 น. 15

ถ้าสนใจมาเรียนแพทย์ที่ประเทศมาเลเซียที่ SEGi University ติดต่อเข้ามาได้ที่ haveityourway.studyabroad@gmail.com ได้เลยนะคะ มี นร ไทยมาเรียนที่นี่หลายคนอยู่เหมือนกันค่ะ เรื่องภาษาไม่ต้องเก่งขั้นเทพก็มาได้ค่ะ IELTS รับที่ 5.5 ค่ะ มี นศพ ที่นี่มาทีแรก ภาษาไม่แข็งมาก ตอนนี้เนื่องจากได้ใช้ทุกวัน ปี 2 แล้วฟังออกพูดได้ค่ะ หากไม่มีผลภาษา หรืออยู่ ม. 5 มาเรียน Foundation ก่อน 1 ปีได้ค่ะ เกรดต้องได้ 3.00 ขึ้นไป เอาจริงๆก็ได้รับรองว่าจะได้เข้าแพทย์แน่นอนค่ะ มหาวิทยาลัยเซกิ ได้รับการรับรองจากแพทยสภาไทยแล้วนะคะ เรียน 5 ปี การเรียนการสอนเป็นภาษาอังกฤษค่ะ ก่อนอื่นทางเราต้องประเมินผลการเรียนก่อนนะคะ

ค่าเทอมก็พอฟังค่ะไม่แพงมากเว่อร์เหมือนอังกฤษ ออสเตรเลีย นิวซีแลนด์ อเมริกา ยุโรปบางประเทศ ตามพวกเกาะต่างๆ

ทางเรารับทำเรื่องให้ทั้งหมดค่ะ หรือถ้าอยากทำเองในบางส่วนเราก็สามารถทำให้ได้ค่ะ ราคาค่าบริการก็จะถูกลงด้วยค่ะ

0
ผ่านมาอยากทราบ 2 เม.ย. 64 เวลา 11:18 น. 16

อ่านแล้วกระทู้นี้ให้ความคิดหลายด้านมากเลยค่ะ ...อยากทราบว่าสุดท้ายแล้ว จขกท. ได้เข้าเรียนที่ไหนคะ .. ถ้ายังได้เข้ามาอ่าน ช่วยรบกวนตอบให้หน่อยนะคะ

0
popopopotato 15 พ.ย. 65 เวลา 22:22 น. 17

ผ่านมาห้าปีแล้ว เจ้าของกระทู้คงใกล้จะเรียนจบแล้วมั้ง ได้โปรดกลับมาเผยแผ่บุญให้กับรุ่นน้องต่อไปค่ะ รอนะคะะะ รอรอรอรอ

0