Dek-D.com ใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสบการณ์ของ
ผู้ใช้ให้ดียิ่งขึ้น เรียนรู้เพิ่มเติมที่นี่
ยอมรับ

การ Bully ในสังคม อย่าให้พังทลาย อยากให้เข้าใจ

ตั้งกระทู้ใหม่
ตั้งกระทู้ใหม่
การถูกBully เหมือนจะไม่ใช่เรื่องใหญ่
สำหรับบุคคลที่ไม่ใช่เหยื่อ
ในหลายครั้งเหยื่อไม่สามารถอธิบายให้คนอื่นฟังได้ และพอเล่าให้คนใกล้ชิดอย่างพ่อแม่ฟัง ก็ดูเหมือนว่าท่านจะไม่เข้าใจ
ท่านบอกว่ามันเป็นเรื่องเล็กน้อย
อย่างการโดนนินทาเสียๆหายๆในทุกๆวัน
มันเป็นเรื่องธรรมดา!?กว่าจะผ่านมันไปได้
สภาพจิตใจของคนเป็นเหยื่อมันทุกข์ทรมาน
มากๆกว่าจะใช้ชีวิตในแต่ละวันให้ผ่านพ้นไปได้ หลีกเลี่ยงออกจากที่ๆไม่สบายใจจากการเลิกเรียน/เลิกงาน ธุระที่ต้องทำ
กลับมาบ้าน แล้วในวันต่อๆไปก็ต้องอดทนและทุกข์ทรมานต่อไปเรื่อยๆงั้นหรือ?
จากประสบการณ์ของเรา
เราเคยโดน bully มาไม่ต่ำกว่า 20 ครั้ง
เราเหนื่อยมากจริงๆที่ไม่สามารถเป็นตัวของตัวเองได้ เหนื่อยจนคิดจะฆ่าตัวตายนับครั้งไม่ถ้วนเพราะถูก bully
เราจำได้ดีเลยจากการโดนนินทาว่าร้าย
จากแค่คนสองคน ว่าเรานิสัยไม่ดี
เป็นอย่างงั้นอย่างงี้
ทั้งๆที่เราไม่ได้เป็นแบบที่เค้าว่า
ในครั้งแรกเราก็ไม่ได้ใส่ใจอะไร
เลยไม่ตอบโต้
แต่ไม่ทันไรก็กลายเป็นข่าวสะบัดไปไกล
จากแค่กลุ่มคนเล็กๆกลายเป็นคนจำนวนมาก
ที่รุมว่าเรา แกล้งเราจนเราร้องไห้
อย่างวิชาพละตอนที่จับมือล้อมเป็นวงกลม
ทุกคนเกี่ยงกันไม่เข้าใกล้เรา
ทำท่าทีรังเกียจ ไม่อยากจับมือกับเรา
วันนั้นทั้งวันเรารู้สึกแย่มาก
จนเรายืนแทบไม่ไหว
หลังจากนั้นเราพยายามหาข้ออ้างออกมา
เพื่อที่จะไม่ต้องเข้าใกล้พวกเขา
เพราะ ทรมาน
เราไม่เข้าใจเหมือนกันว่าจะแกล้งกันไปทำไม
ใช้คำว่าแกล้งยังนิยามความเลวร้ายได้ไม่หมดเลย อยากจะเข้าไปคุยตรงๆเหมือนกันนะ
แต่มันสายเกินไปแล้วที่จะคุยด้วย
ขนาดเราทำดีขนาดไหน
เขาก็ไม่เคยเห็นสิ่งที่ดีๆของเราเลย
เราเคยช่วยงานคนที่ bully
ในขณะที่เรายังคงเป็นประเด็นอยู่
เพราะเขามาขอร้องให้ช่วย
แต่ก็ว่าแหละ เขากลับไปแอบคุยลับหลังอีกว่า
เราอย่างงู้นอย่างงี้ ให้เสียหายอีก
เราคิดจะฆ่าตัวตาย พอมานึกอีกที
เราไม่ได้เป็นแบบที่เขาพูด เราจะไปตอบสนอง
และเป็นไปตามสิ่งที่เขาอยากให้เราจะเป็นทำไม
เก็บชีวิตเอาไว้เพื่อทำสิ่งที่อยากจะทำดีกว่า
ถ้าเกิดเขามาขอโทษ ก็จะยกโทษให้
แต่แผลในใจมันลบไม่หายหรอก

คนบางคนที่โดนคนส่วนใหญ่ประนาม
เอาจริงๆนะ ไม่ใช่ทุกคนที่โดนประนาม
ว่าเป็นคนไม่ดี จะต้องเป็นคนไม่ดีเสมอไป
คุณไม่ใช่เขา คุณจะไปรู้ได้อย่างไร
ไม่ได้ตัวติดเขาตลอดเวลา
เราไม่ได้บอกว่าเราเป็นคนดี
เพียงแต่อย่าตัดสินเพราะข่าวลือ
อย่าตัดสินเพราะคุณเห็นมาแบบนั้น
มันอาจจะมีฉากบางฉากที่คุณยังไม่ได้เห็นหรือรับรู้ความจริงท้งหมดอยู่ก็ได้
พยานที่ยืนยันก็อาจเป็นพยานที่สร้างขึ้นมา
ไม่มีใครรู้ความจริง จนกว่าคุณจะได้รู้จักตัวตนที่แท้จริงของเขา
ลองเปิดใจทำความรู้จักกันหน่อย
ให้โอกาสเขาสักนิด ให้เวลาเขาหน่อย
ไม่แน่คุณอาจได้เพื่อนที่ดีที่สุดมาหนึ่งคน
เลยก็ได้
บางคนรู้ว่าการ bully มันผิด
เห็นและรับรู้มาตลอดว่าเหยื่อโดนรังแก
แต่ก็ไม่เข้าไปช่วยเหยื่อ
เพราะกลัวจะถูก bully ไปด้วย
ไม่กล้า ไม่สนใจเพราะไม่เกี่ยวกับฉัน
ได้โปรดช่วยพวกเขาเถอะ
ไม่ต้องเข้าไปช่วยตรงๆก็ได้
อย่างน้อยๆขอความช่วยเหลือจากบุคคลที่ไว้ใจได้ให้ช่วยกันดูแล และช่วยเหลือแบบเงียบๆก็ยังดี

เพราะฉะนั้นต้องระวังทุกคำพูด
ทุกการกระทำของคุณ
ถ้าเกิดไม่ได้ตั้งใจหรือสำนึกผิด
ให้รีบไปขอโทษเหยื่อซะ
ก่อนที่ทุกอย่างจะสายเกินไป
อย่าทำให้ชีวิตของคนๆนึง
ต้องพังสลายไป
เพียงเพราะคำพูดและการกระทำของคุณเอง
เราอยากให้กระทู้นี้เป็นอีกหนึ่งกระบอกเสียง
ช่วยส่งต่อเพื่อลดปัญหาการ bully ในสังคม





 

แสดงความคิดเห็น

>

3 ความคิดเห็น

Eights_cat 8 ก.พ. 61 เวลา 21:49 น. 1

เราไปโรงเรียนก็ไม่เคยถูกใครรังแกหรอกนะและที่โรงเรียนของเราไม่มีใครรังแกใครเลยแหละ แต่ถ้ามีคนแกล้งกันจริงๆในโรงเรียนเราก็คงต้องไปบอกครูแหละแต่คงไม่เข้าไปช่วยทันทีหรอกนะ(กลัวโดนลูกหลงง่ะ T T) แต่ถ้ามีคนมาแกล้งเพื่อนเราล่ะก็นะ...เราไม่สนลูกหลงละ ขอเพื่อนเรารอดเป็นอันโอเค เรายอมจ้า

0
me.daisy 9 ก.พ. 61 เวลา 18:49 น. 2

ถ้าปัญหามันหนักหนาจริงๆ ลองปรึกษาที่บ้านขอย้ายโรงเรียนดูไหมคะ เวลาหนึ่งปีหรือสองปีสำหรับนักเรียนแล้วมันยาวนานจริงๆ ถ้าจิตใจไม่มีความสุข สมองก็ทำงานได้ไม่เต็มที่ ทำให้การเรียนมีปัญหาได้เหมือนกัน อยากให้จขกท.เปิดอกคุยกับพ่อแม่ ดูว่าจะทำอะไรได้บ้างค่ะ แสดงความรู้สึก บอกความรู้สึกออกมา ถ้ามีความคิดอยากฆ่าตัวตายด้วย ก็บอกออกไป พ่อแม่จะได้เข้าใจค่ะ ถ้าเราไม่เชื่อว่าวันที่เรามีความสุขมีได้ เราก็จะไม่ออกแรงถีบตัวเองออกมาจากหลุมที่มืดมิดค่ะ สู้ๆนะคะ

0
Ryuune_chan 14 ก.พ. 61 เวลา 00:00 น. 3

ขออนุญาตยาวนะ แต่ถ้าอ่านให้จบจะขอขอบคุณมาก

ความจริง มาคิด ๆ ดู การ "กลั่นแกล้ง" (Bully) นี่มีมานานแล้วนะ ไม่รู้เหมือนกันว่ามันผุดมาจากนรกขุมไหน แล้วเริ่มต้นที่รุ่นที่เท่าไหร่ของมนุษยชาติ

แต่ดู ๆ ไปแล้ว มันดูเหมือนเป็น "ระบบ" มากจนไม่น่าเชื่อ แถมไม่ว่าที่ไหน ๆ เชื้อชาติ ศาสนา สังคมใด ๆ มันก็คล้ายกันราวกับแปะก็อปกันมา

การกลั่นแกล้งมีหลายแบบ ตั้งแต่แบบหยอกกันเล่น ๆ ระหว่างคนสองคนหรือในกลุ่มเพื่อนเล็ก ๆ แล้วไม่ถือสาอะไรมาก ไปจนถึงรุนแรงระดับเหมือนกะเอาให้ตายให้ได้ไม่งั้นไม่สะใจผู้กระทำ เหมือนไม่เห็นอีกฝ่ายเป็นคนด้วยกันอีกแล้วยังไงยังงั้น

แต่สิ่งที่คล้ายกันคือ การกลั่นแกล้งโดยมาก อำนาจจะตกอยู่ในมือฝ่ายที่กระทำ และยิ่งในระดับทีรุนแรงขึ้น อำนาจของฝ่ายกระทำจะยิ่งดูมีมากขึ้นเรื่อย ๆ ในขณะที่ฝ่ายถูกกระทำแลดูไม่มีแม้กระทั่งอำนาจที่จะป้องกันตัวเองหรือเรียกร้องอะไรเลย

การกลั่นแกล้ง เชื่อมโยงกับ "อำนาจ" ในแง่ต่าง ๆ อย่างเหลือเชื่อ

เช่นผู้ชายกลั่นแกล้งผู้หญิง

หรือถ้าเป็นเพศเดียวกันหรือไม่เกี่ยวเรื่องเพศ คนกลุ่มใหญ่จะเป็นฝ่ายรังแกคน ๆ เดียวหรือกลุ่มเล็กกว่า

ถ้ามีเรื่องชนชั้นมาเกี่ยว ก็มักจะเป็นพวกชนชั้นสูง พ่อแม่รวยหรือมีอำนาจเป็นถึงขุนนางหรือไม่ก็เชื้อพระวงศ์ จะเป็นฝ่ายรังแกคนที่ด้อยกว่า

(แต่ในบางครั้งบริบทที่ว่ามาก็อาจจะกลับกัน เช่น เมื่อลูกคนใหญ่คนโตต้องย้ายไปอยู่กับกลุ่มเด็กสามัญชนที่มีจำนวนเยอะกว่า แล้วตกอยู่ในสภาพที่อำนาจใด ๆ ไม่อาจช่วยเหลือได้ (เช่นพ่อ- ถูกยึดอำนาจไปแล้ว ฯลฯ) ก็อาจตกเป็นฝ่ายถูกข่มเหงรังแกเสียเองก็ได้ แม้ว่าบางคนอาจจะยังไม่เคยเริ่มทำร้ายใครก่อนเลยด้วยซ้ำ)

(เช่นกัน สัญชาตญาณของมนุษย์ เมื่อถูกกระทำมาก่อน ย่อมสั่งสมความแค้นไว้ในใจ แต่หากเกิดถึงจุดพลิกผันอะไรสักอย่าง บทได้ทีจะระบายก็ระบายออกมาด้วยการรังแกคนอื่นกลับ ไม่ว่าเป้าหมายจะเป็นคนที่เคยแกล้งเค้ามาก่อน หรืออาจจะคนละคนโดยสิ้นเชิงเลยก็ตาม!!!)

และเหตุผลส่วนมากก็ฟังดูงี่เง่า เช่น เพศ สีผิว เชื้อชาติ รสนิยมการกิน การชอบอะไรสักอย่าง หรือบางทีก็ไม่เคยรู้จักกันแต่แรกด้วยซ้ำ รู้แค่เกิดอยากสะใจจะแกล้งก็ทำขึ้นมาเฉยเลย

หลายครั้งไม่ได้กลั่นแกล้งแค่การหยอกล้อ ตั้งฉายา หรือใช้กำลังทุบตี แต่เมื่อคนเราเติบโตขึ้นภายใต้วิถีนี้ มันจะเริ่มถึงขั้นฝ่ายที่กลั่นแกล้งจะพยายามมีสิทธิอำนาจและที่ยืนในสังคมให้มากกว่า โดยจะเบียดฝ่ายถูกกระทำให้ตกขอบจนอาจจะถึงขั้นไม่มีข้าวกิน หรืออาจจะถึงขั้นไล่ล่าฆ่าให้ตายเลยก็ยังได้เมื่อมีโอกาส

บางครั้งก็ไม่ได้ใช้แค่กำลังอย่างเดียว แต่เป็นการโจมตีทำลายชื่อเสียง สร้างความเกลียดชัง และหาทางให้คนอื่นที่ไม่เกี่ยวข้องมาร่วมด้วยช่วยเกลียด ไม่ว่าจะการสร้างความเข้าใจผิดในตัวบุคคลหรือกลุ่มที่มีลักษณะอย่างใดอย่างหนึ่ง (เพศ เชื้อชาติ ศาสนา สีผิว ฯลฯ) หรือบางทีถ้านึกเหตุผลไม่ออกก็อาจจะมีการใช้อำนาจที่ตัวต้นคิดมีในการข่มขู่ (อาจจะจำนวนพรรคพวก หรืออำนาจบารมี) เพื่อบีบว่าหากไม่ร่วมกลั่นแกล้งเป้าหมาย ก็จะต้องถูกเล่นงานตามไปด้วย

ยิ่งถ้าลามไปถึงระดับการเมืองหรือระดับประเทศ ของพวกนี้จะไม่ได้เบาลง แม้ภายนอกอาจจะพยายาม "ทำตัวเป็นผู้ใหญ่" ด้วยการทำเป็นเกรงใจ ทำเป็นให้เกียรติเบื้องหน้า แต่ในใจลึก ๆ นั้นอาจจะถึงขั้นต้องการ "กำจัด" อีกฝ่ายให้ได้ไม่ว่าจะต้องใช้วิธีไหนด้วยซ้ำ

ต่อไปก็เป็นกลไกที่มักจะเกิดขึ้นตามมาเมื่อการกลั่นแกล้ง ข่มเหง รังแก เหยียดหยาม เกิดขึ้น

เมื่อมีเหยื่อคนหนึ่งถูกกระทำ เมื่อถึงจุดที่รับไม่ได้

-น้อยคนนัก ที่เมื่อเห็นอีกฝ่ายทำท่าไม่พอใจแล้วจะเริ่มรู้สึกไม่ดี รู้สึกผิด อยากขอโทษ อยากขอคืนดีแล้วสัญญาว่าจะไม่ทำอีก (มันก็อาจจะมี แต่คน ๆ นั้นมักจะต้องมีพื้นฐานที่ดีมาตั้งแต่ต้นก่อน ไม่ว่าจะการเลี้ยงดูอบรมของครอบครัว หรือพื้นฐานสังคมที่อยู่ หรืออะไรก็แล้วแต่)

-คนส่วนใหญ่ เมื่อเห็นอีกฝ่ายโต้ตอบ กลับรู้สึก “สนุก” มากขึ้น (บางครั้งก็อดสงสัยไม่ได้ ว่าทำไมคนเรามักจะสนุกเวลาที่ตัวเองได้ทำอะไรสักอย่างกับคนอื่น แล้วตัวเองชอบ แต่อีกฝ่ายแสดงออกชัดเจนว่าไม่ชอบ ไม่เล่นด้วย) ทว่าต่อให้เป้าหมายบางคนพยายามอดทนไม่เล่นด้วย ไม่สนใจ -พวกนี้แทนที่จะเบื่อ กลับยิ่งรู้สึกเหมือนถูกกระตุ้น เหมือนเห็นความท้าทาย เหมือนเป็นเกมว่าจะทำยังไงให้อีกฝ่ายทนไม่ไหวและร้องไห้ออกมาให้ได้ เพื่อเอาชนะ โดยไม่ถามด้วยซ้ำว่าเขาอยากเล่นเกมนี้ด้วยไหม

*ยิ่งการกลั่นแกล้งถูกกระทำโดยคนจำนวนมากขึ้นเท่าไหร่ โอกาสที่จะเป็นแบบที่สองจะสูงกว่าอย่างมาก

หลังจากนั้น แน่นอนมนุษย์เราย่อมไม่มีใครอยากตกเป็นฝ่ายถูกกระทำฝ่ายเดียว ย่อมไม่อยากเสียเปรียบ ไม่อยากถูกย่ำยี ดังนั้นจึงต้องนำมาซึ่งความต้องการ “การเรียกร้องความเป็นธรรมแก่ตนเอง” และถ้าตัวเองจัดการเองไม่ได้ สิ่งที่ต้องการก็คือ “ความช่วยเหลือ”

แต่เป็นตลกร้ายที่สุดท้ายความดีก็มักจะแพ้ความชั่วไม่ว่าทางไหน

- แม้ว่าคนที่เหยื่อไปขอให้ช่วยเกิดใจดียื่นมือมาช่วย (เช่นพ่อแม่ ครู ผู้มีอำนาจในสังคม) อาจจะประสบผลสำเร็จในระยะต้น แต่ฝ่ายพวกเกเรนั้นส่วนมากจะไม่สำนึก ตรงกันข้าม พวกเขากลับหาเรื่องหาเหตุผลมากมายมาแก้ตัวให้ตัวเองไม่ผิด คนที่ไปฟ้องคนอื่นจนพวกตนถูกทำโทษต่างหากที่ผิด และกลายเป็นว่าพวกเขายิ่งเกลียดชัง “เป้าหมาย” มากขึ้นกว่าเดิม และยังไม่เลิกที่จะรังควานต่อไป

- และมันจะเลวร้ายยิ่งกว่า ถ้าผู้มีอำนาจที่ไปขอความช่วยเหลือ เกิด “ปฏิเสธ” หรือ “บ่ายเบี่ยง” ไม่ให้ความช่วยเหลือ สิ่งที่เหยื่อได้รับมักจะเป็น การขอให้ “อดทน” (แม้ว่าจะเคยอดทนมาก่อนแล้ว) หรือเลวร้ายที่สุดก็ถูกหาว่า “อ่อนแอ แค่นี้ก็ร้องแล้ว ต่อไปจะอยู่ยังไง จะทำอะไรได้” (เรียกว่าเหยื่อถูก “พิพากษา” ถึงอนาคตเสียเองซะงั้น) นั่นเท่ากับว่าสิ่งที่เหยื่อได้รับก็มีเพียงคำตอบที่ว่า “ตัวเองไม่มีอำนาจอะไรเลย และจะต้องอยู่ในสภาพนี้ต่อไป” มันจะเกิดเป็นปมในใจขึ้นมา

ความคิดที่ว่า เมื่อเด็กโตขึ้นเป็นผู้ใหญ่ จะเลิกนิสัยแบบนี้ไปเอง จริง ๆ เป็นความคิดที่ผิดมหันต์ เพราะทุกสิ่งทุกอย่างในตอนเด็ก คือพื้นฐานที่ผู้ใหญ่คนนึงจะกลายไปเป็นในอนาคต โดยเฉพาะอย่างยิ่ง การกระทำที่รู้สึกว่าทำแล้วไม่เสียอะไร หรือไม่ต้องรับผิดชอบ ไม่ต้องถูกลงโทษใด ๆ มันจะกลายเป็นสันดานเสียที่แก้ไขได้ยาก และยิ่งนานวันก็จะถึงขั้น “เป็นไปไม่ได้เลยที่จะแก้ไขได้” อีกแล้ว และพวกเขาจะไม่ได้แค่นับวันยิ่งกร่าง แต่ย่อมจะปลูกฝังแนวคิดแห่งการรังแกนี้ต่อไป เพื่อสร้าง “ผู้กระทำที่ยิ่งใหญ่” รุ่นต่อ ๆ ไป เพื่อย้ำว่าสิ่งที่ตัวเองทำมาตลอดไม่ได้ผิด แต่มันคือ “ความถูกต้อง” ของสังคมพวกตน

ตรงกันข้าม ผู้ถูกกระทำ ไม่ว่าจะทำดีแค่ไหน ก็ไม่สามารถช่วยให้ตัวเองรอดพ้นจากสภาพที่เป็นอยู่ได้ ไม่ว่าจะอดทนยังไง พวกนั้นก็ไม่เลิกราวี แถมยังรุนแรงขึ้นเพราะเห็นว่าการที่ตนเองไม่ตอบโต้ เท่ากับไฟเขียวให้พวกนั้นอ้างได้โดยชอบธรรม มันจะเกิดทั้งความรู้สึกเก็บกดในใจ และสิ้นหวังกับชีวิต

คนบางคนอาจถึงขั้นทนไม่ไหว ถ้าไม่ถูกทำร้ายหนักจนต้องตายไปด้วยมือพวกนั้นเสียก่อน ก็อาจจะฆ่าตัวตายก่อนที่วันนั้นจะมาถึงอยู่ดี หรือถึงต่อให้รอดไปได้ สภาพจิตใจที่เละเทะก็จะเปลี่ยนคน ๆ นั้นไปตลอดกาล โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อถึงจุดที่เติบโตขึ้น และมีอำนาจในการกระทำใด ๆ มากขึ้น

- บางคนก็แก้แค้นพวกที่เคยทำกับตนเอง หรือถ้าแก้แค้นโดยตรงไม่ได้ ก็ไปลงที่ลูกหลาน หรือคนใกล้ชิดของคนพวกนั้นแทน ทั้งที่คนพวกนั้นอาจจะไม่เคยมีส่วนร่วมในการทำร้ายตนมาก่อนเลยแท้ ๆ

- บางคนก็ยิ่งมองผิดเข้าไปใหญ่ เห็นว่าสิ่งที่ตนประสบพบเจอมากลายเป็น “เรื่องปกติ” “เป็นเรื่องเล็ก” “ใคร ๆ ก็ทำกัน” ไม่มีวันเปลี่ยนแปลง ไม่มีวันแก้ไขได้ ตัวเองที่อ่อนแอในตอนนั้นต่างหากที่ผิดเองที่อ่อนแอ สู้ไม่ได้ สมควรแล้วที่จะต้องตกเป็นเหยื่อ สุดท้ายแล้ว ก็จะกลายเป็นส่วนหนึ่งของวงจรอุบาทว์ไป

-เมื่อเห็นใครคนอื่นลุกขึ้นมาเรียกร้องความเป็นธรรม ก็จะเหมือนเห็น "ตัวเองในอดีต" ที่รู้อยู่แก่ใจว่าสุดท้ายจะประสบความล้มเหลวอย่างไร ก็จะคอยขัดขวาง ใช้ “ความเป็นจริงของตัวเอง” ยัดเยียดทำลายกำลังใจของคน ๆ นั้นแบบไม่ให้ได้ผุดได้เกิด ราวกับเอาความเก็บกดทั้งหมดมาลงที่คนนั้น

-วิธีการก็มีตั้งแต่ ปฏิเสธความช่วยเหลือ (เช่นเดียวกับที่คนอื่นเคยปฏิเสธตน) และอาจจะรุนแรงมากขึ้นตามอารมณ์ความรู้สึกส่วนตัว จนไม่ดูสภาพตัวเองเลยว่าตัวเองอาจจะเลวร้ายกว่าพวกที่เคยรังแกเมื่อก่อนไปแล้ว

-หนักเข้าก็ถึงขั้นด่าว่า “โลกสวย” เพราะเห็นว่าคนที่เรียกร้องนั้นกำลังทำในสิ่งที่เป็นไปไม่ได้ หารู้ไม่ว่าตัวเองกำลังปกป้องระบบที่ทำลายตัวเองอยู่ไปเสียงั้น

และแล้ว คนที่ถูกขัดขวางการเรียกร้องความเป็นธรรมคนนั้น ก็จะเข้าวัฐจักรเดียวกันต่อไป

คนบางคนอาจจะคอยเรียกร้องสิ่งที่ถูกต้อง เรียกร้องการอภัย การไม่จองเวร แม้จะอ้างคำพูดหรือหลักการสวยหรูอย่างไร แต่ตราบที่ไม่สามารถทำให้ผู้กลั่นแกล้งได้รู้ตัวว่าทำผิดและได้รับโทษอย่างสาสมจนไม่คิดทำผิดอีกได้ ไม่สามารถสร้างมาตรฐานสังคมที่สามารถปกป้องผู้บริสุทธิ์จากการถูกกระทำได้ ยังไงก็เปล่าประโยชน์

ก็ในเมื่อ พวกคนข้างต้น ไม่ว่าจะผู้ถูกกระทำที่มีอำนาจมากขึ้นจนไม่ต้องรับผิดชอบอะไร และเหยื่อถูกกระทำที่สิ้นหวังจนปฏิเสธการเปลี่ยนแปลงแก้ไขทุกอย่างไปแล้ว ต่างก็เพิ่มจำนวนมากขึ้นและร่วมกันสร้าง “เครือข่าย” แห่งการกดขี่รังแกจนสมบูรณ์แบบและฝังรากลึกไปเรียบร้อยแล้ว ว่าด้วยการคิด "ถ้าเราไม่ได้เป็นอย่างที่เขาว่า จะเดือดร้อนทำไม" มันคงจะเป็นแนวคิดนึงที่เข้าท่า แต่จริง ๆ มันได้ผลก็ต่อเมื่อคน ๆ นึงสามารถ "ตัดขาด" ทุกอย่างจากสังคมทั่วไป แล้วสามารถปลีกตัวไปใช้ชีวิตเพียงคนเดียวไม่ต้องยุ่งเกี่ยวกับใครนอกจากคนที่รักและเข้าใจในตัวเราและไม่ทำร้ายเราเท่านั้น แต่ตราบที่มนุษย์ยังต้องเป็น "สัตว์สังคม" เรื่องนั้นก็ถือว่า "เป็นไปไม่ได้" (เอาจริง ๆ น่าสงสัยนะครับ คนที่สอนแนวคิดนี้แต่แรก อาจจะเป็นพวกฤาษีที่ปลีกตัวไปอยู่ป่า ไม่ยุ่งกับใครอยู่แล้วรึเปล่า ตัวเองเลยกล้าพูดกล้าสอนได้หน้าตาเฉย ทั้งที่หลาย ๆ คนทำอย่างตัวเองไม่ได้เพราะมีหลายอย่างเหนี่ยวรั้งอยู่แท้ ๆ ไม่งั้นคงให้เด็กประถมหนีไปเข้าป่ากันหมดแล้ว จะมีไปทำไมครับโรงเรียน) เอาจริง ๆ เลย คือ คำนินทาว่าร้าย กล่าวหาให้คนเข้าใจผิด อะไรพวกนี้เนี่ย ในแง่นึง มันได้สร้าง "อิมเมจตัวตน" ของคน ๆ นึงที่ตกเป็นเป้าหมาย ให้กลายเป็นภาพติดของอีกหลาย ๆ คนไปแล้ว ธรรมชาติของมนุษย์ มักจะตีความคนอื่นหรือสิ่งใดก็ตามโดยเน้นไม่ขาวก็ดำเอาไว้ก่อน คล้าย ๆ กับภาพสองมิติบนกระดาษ ที่ระบุคำว่า "ดี" หรือ "เลว" ไปแล้วตรงนั้น น้อยคนนักที่จะเข้ามาปฏิสัมพันธ์จริงจังก่อนจะตัดสินใครสักคนจากหลาย ๆ แง่มุมเพราะมันยุ่งยากกว่า กระนั้นแนวคิด "ขาวดำ" ก็มักจะติดตรึงเป็นพื้นฐานในความรู้สึกไปก่อน นั่นเป็นเหตุว่าแม้คนสองคนจะกระทำสิ่งเดียวกัน ผลออกมาเหมือนกัน แต่ความรู้สึกพื้นฐานตรงนั้นก็สร้างความแตกต่างได้ เราสรุปความหมายนั้นด้วยคำสั้น ๆ ว่า "อคติ" ครับ และตราบที่คนเรายังต้องข้องแวะกับคนหลายคน ต้องพบปะ มีการทำกิจกรรม หรือมีส่วนร่วมกับคนอื่น ๆ การที่ภาพลักษณ์ในแง่ลบของเรา(ที่อาจจะเป็นแค่มุมมองด้านเดียว หรืออาจจะไม่มีความจริงอยู่เลยก็ได้) มันกลายเป็น "ความจริง" ในสายตาคนจำนวนมากไปแล้ว ย่อมเกิดปัญหาขึ้นแน่นอน บางครั้งคนเราก็ฆ่ากันง่าย ๆ เพียงเพราะ "อคติ" ที่มีจำนวนมากเกินไปนี่แหละครับ ถามว่า คนที่ตั้งต้นในการใส่ไฟ ให้เกิด "อคติ" นั้นขึ้นมา ต้องรับผิดชอบอะไรไหม และจะมีคนสักกี่คนในกลุ่มคนมากมายที่พร้อมจะเปลี่ยนความคิดและพูดคำว่า "ขอโทษ" ขึ้นมา หรือต่อให้มีอยู่บ้างนิดหน่อย มันจะเพียงพอที่จะเยียวยา "ความเสียหาย" ที่คน ๆ นึงได้รับไปแล้วหรือเปล่า? น่าคิดนะครับ ปล.ถ้าถามว่าทำไมต้องยาวขนาดนี้ ผมคงต้องถามกลับว่า "คิดว่าของพวกนี้มันง่ายขนาดพูดสามบรรทัดแล้วคนเข้าใจลึกซึ้งทั้งหมดทันทีเหรอครับ ถ้าเป็นงั้นจริง ทำไมทุกวันนี้เรายังทำแต่เรื่องพรรค์นี้กันอยู่ล่ะ?"

0