Dek-D.com ใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสบการณ์ของ
ผู้ใช้ให้ดียิ่งขึ้น เรียนรู้เพิ่มเติมที่นี่
ยอมรับ

อย่าพยายามหาข้ออ้างให้ตัวเองสามารถขี้เกียจได้โดยชอบธรรม

ตั้งกระทู้ใหม่
ตั้งกระทู้ใหม่
กระทู้นี้ผมเอาเนื้อหามาจากกระทู้ของผมที่เคยลงในอีกเว็บหนึ่งมาแล้ว

คนเรียนไม่เก่งหลายคนมักจะชอบให้กำลังใจตัวเองว่า เรียนเก่ง เกรดดีไปก็เท่านั้น สู้มาดูกันตอนทำงานดีกว่า ว่าใครจะเงินเดือนเยอะ หรือประสบความสำเร็จมากกว่ากัน ได้ยินคำนี้ทีไร ผมซึ่งเป็นคนเรียนเก่งก็มักจะสะอึกทุกครั้ง เพราะผมเรียนเก่งก็จริง แต่ในหลาย ๆ เรื่อง อาจจะเป็นเรื่องทั่วไปในสังคม ผมออกจะด้อยกว่าคนที่เรียนไม่เก่งด้วยซ้ำ

จริง ๆ ผมก็ไม่อาจพูดได้เต็มปากหรอกว่าผมเรียนเก่ง วิชาที่ผมตก ทำไม่ได้ก็มีเหมือนกัน เช่น คณิตศาสตร์ วิทยาศาสตร์ อะไรก็ตามที่มันเป็นตัวเลขนี่ผมไม่เอาเลยจริง ๆ เพียงแต่ว่าวิชาพวกนั้นมันเป็นวิชาส่วนน้อยในสาขาที่ผมเรียนมา และวิชาเอกซึ่งเป็นวิชาส่วนใหญ่มันก็ดันมีเยอะ แถมผมก็ค่อนข้างที่จะทำคะแนนในวิชาเอกได้ดี เกรดมันเลยถูกฉุดขึ้นไป ก็เลยกลายเป็นว่าผมเรียนเก่ง แต่ถ้าผมเก่งจริง วิชาอื่นผมก็ต้องเป๊ะด้วย และเกรดก็ต้องสูงกว่านี้ แต่นี่มันไม่ใช่

ในช่วงมหาวิทยาลัย ผมได้เจอเพื่อนในกลุ่มที่เรียนไม่เก่งหลายคน ซึ่งบางคนเขาก็ยอมรับในจุดนั้นและพยายามผลักดันตัวเองให้ดีขึ้น ทั้งพยายามอ่านหนังสือทบทวนบทเรียนให้มันมากขึ้น บางคนก็ได้ผล บางคนก็ไม่ได้ผลก็ว่ากันไป แต่ก็ขอชมเชยกับคนที่ไม่เก่งแต่ขยัน

แต่ก็จะมีอีกกลุ่มที่เรียนไม่เก่ง ไม่พยายาม แถมยังหาข้ออ้างมาทำให้ตัวเองสามารถขี้เกียจได้โดยชอบธรรม ทำให้ผมนึกถึงเพื่อนคนหนึ่งที่ตอนเรียนเขาเรียนไม่เก่งนัก เกือบจะเรียนไม่รอดใน 4 ปี แต่งานที่เขาทำมันได้เงินมหาศาล เป็นงานที่ต้องใช้ความสวยความงาม ทำให้วันหนึ่งเขาได้กล่าวว่าไม่ต้องไปวัดเกรดกันตอนเรียนหรอก มาวัดเรื่องเงินกันตอนทำงานดีกว่า ที่มันน่าเจ็บปวดคือมีคนเห็นด้วยกับความคิดนี้มากมาย

มันก็ถูกของเขาที่ว่าเกรดตอนเรียนมันอาจไม่สำคัญนักเมื่อมีงานทำแล้ว แต่อย่างที่ผมกล่าวไปข้างต้นว่างานของเขามันเป็นอาชีพที่ใช้ความสวยความงาม ในวันนี้ วันที่ยังสาว ยังอายุน้อยมันก็อาจจะทำได้อยู่ แต่เวลาผ่านไปเมื่อสังขารเริ่มเปลี่ยนไป มีคลื่นลูกใหม่เข้ามา เขาจะยังยืนอยู่ในอาชีพนี้ได้ไหม? ถ้าถึงวันที่เขาไม่สามารถทำงานนี้ได้แล้ว เขาจะทำอะไร? เพราะเกรดหรือการเรียนก็ไม่ได้สวยงามนัก

อีกตัวอย่างสุดคลาสสิคคือการชอบยกเอามหาเศรษฐีดัง ๆ ของโลกที่ทุกวันนี้ประสบความสำเร็จร่ำรวยมหาศาล เช่น บิลล์ เกตส์,สตีฟ จ็อบส์,มาร์ค ซัคเกอร์เบิร์ก ขึ้นมา ซึ่งมหาเศรษฐีเหล่านั้นเรียนไม่จบ ทำให้คนเรียนไม่เก่งหลายคนได้ใจว่าไม่ต้องเรียนเก่ง ไม่ต้องตั้งใจเรียนก็ได้ เดี๋ยวก็รวย ประสบความสำเร็จเหมือนเขาเหล่านั้นเองแหละ

แต่ลองนึกดู ลองถามตัวเองดูว่าตัวเองมีความสามารถเท่าเขารึเปล่า มีความรู้ที่มันเฉพาะทางเท่าเขารึเปล่า (จุดนี้ทำให้นึกถึงคำที่คนเคยพูดว่าจริง ๆ แล้ว คนเหล่านั้นเขาเก่งเกินกว่าที่จะเรียนต่างหาก ไม่ใช่เรียนไม่เก่ง เหมือนกับความรู้ในโรงเรียนมันไม่ตอบสนองความอยากรู้ของเขา เขาจึงต้องออกมาแสวงหาเอง)

ที่สำคัญคือ มี “ความขยัน” เท่าเขารึเปล่า ถ้าตัวเองมีครบทุกอย่างที่กล่าวมาแล้วก็ลุยเลยอย่าได้ช้า ทำให้มันประสบความสำเร็จให้จงได้ แต่ถ้าไม่มีอะไรที่ว่าตามนั้นเลยก็หยุดความคิดนั้นไว้แล้วขยันและตั้งใจเรียนต่อไปเถอะ

เกรดอาจจะไม่ใช่ทุกสิ่งทุกอย่าง อาจจะไม่ใช่ตัวตัดสินชีวิตทั้งชีวิต ถึงเกรดไม่ดีก็ไม่ได้หมายความว่าชีวิตจะแย่ แต่มันก็เป็นเหมือนทุนสำรอง ในยามที่ทำงานที่ยังไม่จำเป็นต้องใช้เกรดมันก็ยังไม่เป็นไร แต่ถ้าวันหนึ่งที่ทำงานที่ไม่ต้องใช้เกรดไม่ได้แล้ว จะทำอย่างไร หากมีเกรดหรือความรู้เป็นทุนสำรอง ก็ยังพอที่จะพาชีวิตให้ก้าวต่อไปได้

แสดงความคิดเห็น

>

1 ความคิดเห็น