Dek-D.com ใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสบการณ์ของ
ผู้ใช้ให้ดียิ่งขึ้น เรียนรู้เพิ่มเติมที่นี่
ยอมรับ

รีวิวจัดเต็ม การสอบ GAT Eng พร้อมเทคนิคการทำข้อสอบแบบละเอียดทุกพาร์ท

ตั้งกระทู้ใหม่
ตั้งกระทู้ใหม่

[รีวิวการสอบ GAT วิชาภาษาอังกฤษ]


สวัสดีครับน้องๆทุกคน ตอนนี้ก็เหลือเวลาอีกไม่กี่วันก่อนจะถึงการสอบ GAT/PAT ของ #dek61 กันแล้ว วันนี้พี่ๆทีมงานผู้เขียน WALKTHROUGH จะมารีวิวการสอบ GAT วิชาภาษาอังกฤษอย่างสั้นๆ พร้อมแนะนำเทคนิคการทำข้อสอบในแต่ละพาร์ทให้ครับ :D


การสอบ GAT วิชาภาษาอังกฤษนั้น น้องจะได้รับแจกข้อสอบหลังจากกรรมการคุมสอบเก็บข้อสอบและกระดาษคำตอบวิชา GAT เชื่อมโยงไปแล้ว โดยข้อสอบจะมีทั้งหมด 60 ข้อ คะแนนเต็ม 150 คะแนน เฉลี่ยข้อละ 2.5 คะแนน และมีเวลาทำ 90 นาที เฉลี่ยข้อละ 90 วินาทีครับ ข้อสอบจะแบ่งเป็น 4 part ใหญ่ๆ part ละ 15 ข้อ ติดตามรายละเอียดได้ใน comment เลยครับ :)


พี่ๆ WALKTHROUGH ทุกคนขออวยพรให้น้องๆโชคดีในการสอบครั้งนี้ สู้ๆครับน้องๆทุกคน :)


ติดตามข่าวสารดีๆและเทคนิคการเตรียมตัวสอบ ได้ที่

FB: Walkthrough

IG: walkthrough_simulator

line: Walkthrough (@lhw2075i)


แสดงความคิดเห็น

>

5 ความคิดเห็น

BPA254x 21 ก.พ. 61 เวลา 21:45 น. 1

1. Conversation: ลักษณะของข้อสอบพาร์ทนี้จะเป็นบทสนทนาระหว่างตัวละคร แล้วจะมีช่องว่างให้น้องเลือกประโยคหรือคำพูดที่เหมาะสมมาเติมครับ หลักการทำง่ายๆคือ น้องควรอ่านบทสนทนาให้ครอบคลุม*อย่างน้อย 2-3 ประโยค*หลังจากช่องว่างก่อนจะลงมือทำในแต่ละข้อ (อันนี้แล้วแต่คนด้วยครับ บางคนจะชอบอ่านให้จบแล้วทำทีเดียวทั้งบทสนทนา แต่พี่จะชอบทำไล่ไปทีละข้อ) การอ่านในลักษณะนี้จะทำให้น้องคาดเดาทิศทางของบทสนทนาได้ และพอจะรู้ว่าสิ่งใดควรจะถูกนำมาเติมลงในช่องว่าง เช่น ควรเติมประโยคปฏิเสธ, การแสดงความขอบคุณ หรือ คำถาม เป็นต้น หลังจากเราเดาทิศทางของการสนทนาได้แล้ว ก็ให้เรามาดูที่ตัวเลือกครับ ขอเน้นว่าให้น้องอ่านตัวเลือกให้ครบทุกตัวเลือก แล้วหาตัวเลือกที่ถูกต้องที่สุด ทั้งในแง่ของความหมาย ระดับภาษา และบริบทที่ใช้ แต่โดยส่วนมากตัวเลือกที่ถูกต้องจะมีความชัดเจนอยู่แล้วครับ ถ้าแปลบทสนทนาและตัวเลือกออกส่วนมากมักจะตอบได้สบายๆ ^^


อีกประเด็นหนึ่งที่สำคัญและสามารถสังเกตได้หลังจากทำข้อสอบผ่านไปเรื่อยๆคือ ให้น้องดูความต่อเนื่องของบทสนทนาครับ เช่น เมื่อน้องทำมาถึงข้อสุดท้ายของบทสนทนานั้นแล้ว ให้ลองอ่านบทสนทนาทั้งหมดอีกรอบ (หลังจากน้องเติมตัวเลือกลงไปในช่องว่างแล้ว) เพื่อดูว่ามีส่วนไหนขัดกันเองหรือไม่ มีความลื่นไหลและสมเหตุสมผลหรือไม่ ถ้ามีครบก็สบายใจได้ แล้วไปทำข้อสอบข้อถัดๆไปได้เลยครับ :) พี่ขอเน้นว่าข้อสอบพาร์ทนี้ไม่ยาก และไม่ควรใช้เวลานานครับ

0
BPA254x 21 ก.พ. 61 เวลา 21:45 น. 2

2. Vocabulary: ในพาร์ทนี้ข้อสอบจะมีหลายรูปแบบ เช่น ให้ประโยคมา ขีดเส้นใต้คำในประโยค แล้วถามคำที่มีความหมายเหมือนหรือตรงข้ามกับคำที่ขีดเส้นใต้ *เน้นว่าให้อ่านโจทย์ดีๆนะครับว่าโจทย์ต้องการอะไร* หรือ โจทย์อาจจะให้ประโยคมาแล้วให้เราเติมคำลงในช่องว่างให้ถูกต้อง


Key หลักของ part นี้คือต้องรู้คำศัพท์ครับ แต่แค่รู้คำศัพท์ยังไม่พอ จะต้องรู้บริบทในการใช้ด้วย เช่น close, turn off แปลว่า "ปิด" ได้เหมือนกัน น้องก็ต้องรู้ด้วยครับว่าแต่ละคำจะใช้ในบริบทไหน ใช้กับคำนามอะไร เป็นต้น คำแนะนำของพี่ใน part นี้คือให้อ่านโจทย์ให้จบก่อนแล้วลงมาอ่านตัวเลือกให้ครบแล้วค่อยๆตัดตัวเลือกที่เป็นไปไม่ได้ หรือ "มั่นใจว่าผิด" ทิ้งไปครับ คำแนะนำในการท่องศัพท์คือ พวกคำศัพท์ที่ค่อนข้างเป็นทางการ โดยเฉพาะ adjective และ adverb พี่แนะนำให้ท่องคำที่เจอเยอะๆและเห็นบ่อยๆครับ จะมีโอกาสถูกเอาไปออกข้อสอบสูง ใน part นี้ใครรู้คำศัพท์เยอะจะได้เปรียบมากๆเลยครับ


**หมายเหตุ ใน part นี้จะยังไม่ค่อยเน้นในเรื่อง grammar มากนักเมื่อเทียบกับ part writing แต่น้องก็ควรแยกให้ออกว่าคำไหนทำหน้าที่อะไร เช่น good เป็น adjective ส่วน well เป็น adverb เพราะจะทำให้น้องตัดบางตัวเลือกทิ้งไปได้ครับ

0
BPA254x 21 ก.พ. 61 เวลา 21:46 น. 3

3. Reading comprehension: พาร์ทนี้พี่มีคำแนะนำเหมือนๆกับการทำข้อสอบ reading ทั่วๆไปครับ นั่นคือ ให้อ่านบทความให้จบก่อน 1 รอบ เพื่อให้รู้ว่าบทความมีเนื้อหาเกี่ยวกับอะไร ระหว่างอ่านก็พยายามจับใจความสำคัญที่บทความต้องการจะสื่อให้ได้ เพราะเป็นสิ่งที่มักถูกถามในข้อสอบ หลังจากอ่านจบรอบแรกแล้วก็ให้มาอ่านคำถามทีละข้อ แล้วค่อยๆหาคำตอบจากในบทความไปทีละข้อครับ แต่ถ้าน้องเป็นคนอ่านช้า พี่แนะนำให้เริ่มจากการอ่านคำถามทั้งหมดก่อนเพื่อดูว่าเราต้องรู้อะไรบ้าง แล้วค่อยๆหาคำตอบจากบทความครับ เพราะคำตอบบางข้อสามารถหาได้โดยตรงจากบทความเมื่อน้องอ่านถึง อย่างไรก็ตาม วิธีการของแต่ละคนอาจแตกต่างกันออกไปนะครับ


Key หลักของพาร์ทนี้คือน้องต้องจับใจความและแปลบทความให้ออกครับ ไม่จำเป็นต้องแปลออกทุกคำก็ได้แต่ต้องอ่านรู้เรื่อง มีน้องๆถามเข้ามาหลายคนว่าทำยังไงให้อ่านภาษาอังกฤษเก่งๆ คำตอบของพี่คือต้องอ่านเยอะๆครับ อาจจะเริ่มจากบทความง่ายๆตามเว็บไซต์ ถ้าอ่านคล่องขึ้นมาหน่อยก็อาจจะลองอ่านข่าว CNN, BBC และพยายาม search หาคำแปลของคำศัพท์ที่ไม่รู้ไปด้วย น้องจะได้ทั้ง reading skill และ vocabulary skill ครับ นอกจากนี้ยังได้ความ"คุ้นเคย"ในภาษา ซึ่งช่วยอย่างมากเวลาทำข้อสอบ writing (cloze test) ครับ

0
BPA254x 21 ก.พ. 61 เวลา 21:47 น. 4

4. Writing: ข้อสอบพาร์ทนี้จะมีทั้ง error identification, Cloze test และ paragraph writing พี่มีคำแนะนำในการทำข้อสอบแต่ละส่วน ดังนี้ครับ


Error identification: ตรงนี้น้องต้องแม่นทั้ง grammar และความหมายของคำ รวมทั้งการใช้งานครับ โดยจุดที่มักเอามาออกข้อสอบคือหน้าที่ของคำในการเป็น noun, verb, adjective, adverb etc. เช่น คำว่า succeed - success - successful เป็นต้น อีกจุดที่มักจะเล่นคือ subject - verb agreement ครับ เช่น everyone ต้องใช้กับกริยาเอกพจน์หรือพหูพจน์, พวก either....or และ neither....nor เป็นต้น การแม่นหน้าที่ของคำ บางครั้งจะสามารถทำให้เราหา error ได้อย่างง่ายดายเลยล่ะครับ


Cloze test: ตรงนี้ต้องแม่น grammar ครับ คำแนะนำคือให้อ่านให้ดีว่าคำที่ต้องเติมต้องทำหน้าที่อะไร ถ้าเป็น verb ต้องอยู่ใน tense ไหน (สังเกตจากประโยคอื่นๆใน paragraph ที่ต้องมี tense เดียวกัน) และต้องรู้พวก phrasal verb เยอะๆครับ เช่น give in, give up etc. เพราะเป็นสิ่งที่ข้อสอบมักจะเอามาเล่น ขอเน้นอีกครั้งครับว่าการอ่านภาษาอังกฤษบ่อยๆจะทำให้น้องมี "sense" ในการทำข้อสอบส่วนนี้มากขึ้น


Writing Paragraph: ตรงนี้ key สำคัญคือการแปลความหมายของทั้ง paragraph ให้ออกและหาใจความสำคัญให้เจอ เพราะจะทำให้น้องรู้ว่าประโยคใดไม่เข้าพวก ประโยคใดสมควรเป็นใจความสำคัญ หัวข้อเรื่องควรเป็นอะไร เป็นต้น


ข้อสอบ GAT วิชาภาษาอังกฤษนั้นไม่ยากครับ (พี่คิดว่าง่ายกว่าวิชาสามัญ) พี่เชื่อว่าถ้าน้องๆวางแผนดีๆ แบ่งเวลาในห้องสอบดีๆ จะสามารถทำข้อสอบได้อย่างสบายแน่นอนครับ พี่เน้นย้ำเสมอว่าควรเผื่อเวลาประมาณ 5 นาทีสุดท้ายในห้องสอบในการตรวจทานความเรียบร้อยว่าฝนครบทุกข้อหรือยัง และถ้ามีข้อไหนไม่มั่นใจให้ตอบไปก่อน ทำเครื่องหมายทิ้งไว้ ถ้ามีเวลาค่อยกลับมาคิด ไม่ควรเว้นช่องว่างอย่างเด็ดขาด เพราะจะทำให้น้องเสียคะแนนไปฟรีๆนะครับ

0