พาพ่อแม่หลง X ญี่ปุ่น ( Osaka, Tokyo)
สวัสดีค่ะ ทุกคนน 
วันนี้เราจะมารีวิวการไปเที่ยวญี่ปุ่นด้วยตัวเอง 7วัน 6คืน ( 9-15 พ.ค. 2561) กัน
ค่ะ และนี่เป็นการเที่ยวญี่ปุ่นครั้งที่2 ของเรา แต่ว่าครั้งนี้เราไปด้วยตัวเองเป็น
ครั้งแรกเลย แบบไม่มีไกด์ค่ะ แอบตื่นเต้นอยู่เหมือนกัน แต่ก่อนอื่นต้องขอบอกก่อนว่านี่ เป็น กระทู้แรกของเราเลยจ้า เพราะฉะนั้นต้องขอโทษล่วงหน้าเลยนะ หากมีข้อผิดพลาดไปบ้างเนอะ
เหตุผลหลักในการไปเที่ยวในครั้งนี้คือ เราอยากไป Universal studio ที่อยู่ในเมือง Osaka และอยากไปช้อปปิ้งที่ย่าน Shinjugu ใน Tokyo ด้วย ที่นี้ยังไงดีล่ะอยู่กันคนละภูมิภาคเลย แต่อยากไปอ่ะ ก็ไปมันทั้งสองเมืองนั้นแหละ5555 ซึ่งในตอนแรก เราก็อยากไปกับทัวร์ค่ะ แต่หายังไงก็ไม่มีทริปที่เราอยากไปเลย แถมราคาก็สูงมากด้วย ดังนั้นจึงตัดสินใจไปเองค่ะ
เอาหละมาเริ่มออกเดินทางกันเล้ย
- DAY 1 - Donmeung to Kansai
มาถึงสนามบินดอนเมืองก่อนเลยจ้า เราไปกับสายการบิน Air asia X ขึ้นเครื่องตอนบ่าย2โมง เรามาถึงตอน 10โมง กว่าๆ พ่อเราขับรถมาเนื่องจากเป็นวันพุธ รถก็จะติดๆนิดหน่อย ด้วยที่เรา check-in online มาแล้ว ก็เลยไม่ต้องต่อแถวนานมาก( ถ้าไม่ได้ check-in online มาบอกเลยว่าต่อแถวนานมากกกก จากการสังเกตุคือมีแต่ทัวร์ไปสายการบินนี้เยอะมาก อาจจะเป็นเพราะเครื่องบินราคามันถูกอ้ะเนอะ)เขาเริ่มเปิดให้ check-in 11โมง เราก็เดินเล่นในสนามบินรอ หาอะไรกิน เดินเล่นไปเรื่อยๆ ก็ถึงเวลาที่รอคอยแล้ว พอโหลดกระเป๋าเรียบร้อยแล้ว เราก็ไปด่านตรวจคนเลยจ้า พอเรียบร้อยเราก็เดินเล่นดิวตี้ฟรี เวลาเดินเร็วจะตาย ในเลาจ์นั่งรอของสายการบินมีปลั๊กไว้ให้ซึ่งเราสามารถชาร์จแบตรอ ไว้เล่นบนเครื่องบินได้ เนื่องจากเป็นเครื่องบินราคาถูก บนเครื่องก็เลยไม่มีอุปกรณ์ไว้เล่น เหมือนสายการบินอื่น ส่วนเรื่องอาหารเราก็ต้องซื้อกินบนเครื่องเอาเอง ของเราคือซื้อข้าวกับสายการบินพร้อมกับนน.กระเป๋าไว้แล้ว พอพนักงานเดินมาเราก็ยื่นตั๋วเครื่องบินให้เขาไป เราเลือกอาหารไม่ได้ ถ้าอยากได้อะไรก็ต้องจ่ายเงินเพิ่มเอา น้ำมีอยู่ในชุดอยู่แล้ว
นั่งเครื่องบินมาประมาณ 5ชม.กว่าๆ ก็ถึงสนามบิน kansai,Japan เวลาประมาน 4ทุ่ม ต้องขึ้นรถไฟมาค่ะ คือเราไม่ได้ศึกษาไปว่าจะต้องนั่งรถไฟด้วย เราก็เดินตามๆเขามาค่ะ5555 นั่งมาสุดสายเลยนะก็จะถึงด่านตรวจคนเข้าเมือง ต้องผ่านด่านคนเข้าเมือง คนเยอะมากกกกกก ทั้งๆไทย จีน เกาหลี ญี่ปุ่น มาเล ฟิลิปปิน และ ยุโรป อย่างกับต่อแถวเข้าเครื่องเล่นใน disneyland เลย แต่พนักงานที่นี่เขาดีค่ะ พยายามจัดระเบียบแล้วก็มีหลายช่องมากๆ สำหรับคนไทยเขามีเป็นภาษาไทยเขียนไว้ด้วยค่ะ ว่าเราต้องทำยังไงบ้าง กว่าจะเข้ามาได้ ก็ปาไปประมาน 5ทุ่มกว่าๆแล้วจ้า เราก็เดินออกมา เอากระเป๋า คืนนี้เรานอนที่สนามบิน เนื่องจากมันดึกแล้วเรากลัวรถไฟหมดค่ะ เรามุ่งตรงไปที่ waiting area ซึ่งเราต้องขึ้นบันไดเลื่อนไป แล้วออกทาง Terminal 1-2 เดินตรงไปเลื่อยๆ จะเป็น Aero plaza ค่ะ ก็เดินตรงไปเรื่อยๆต่อจะอยู่ตรงข้ามกับ Burger kingค่ะ ที่นี่เราสามารถเลือกที่นอนที่นั่งที่วางของตามสบายค่ะ แต่อย่าไปรบกวนคนอื่นมากหรือทำเสียงดังค่ะ เพราะเขานอนกันเนอะ สำหรับผ้าห่มที่นี่ก็ฟรีค่ะ แค่ไปลงชื่อเรากับสายการบินที่เรามาเท่านั้นเองค่ะ แต่ต้องเอาไปคืนให้ตรงเวลาด้วยนะ วันแรกเราไม่ได้อาบน้ำค่ะ 55555 แค่ล้างหน้าแปรงฟันก็พอและ (ไม่ไดสกปรกเลยจริงๆ) แต่สำหรับคนที่อยากอาบน้ำ ก็มีที่ให้อาบนะ แต่ต้องเสียเงินหน่อยค่ะ 500เยน (สามารถหาข้อมูลเพิ่มจากอากู๋เลยจ้า) นอนได้เต็มที่เลยนะคะ กรนได้ไม่มีคนว่าแน่นอน5555 เขาเข้าใจกันค่ะ ไม่ต้องกลัวของหายหรืออันตรายเลย มีเจ้าหน้าที่คอยเดินตรวจตลอด แถมยังมีกล้องวงจรปิดด้วย อาจจะนอนไม่ค่อยสบายแต่ก็พอได้ค่ะ
มาต่อกันเลยจ้า เราตื่นขึ้นมาตกใจมาก นึกว่าสายแล้ว คือแดดออกแบบจ้ามาก พอดูนาฬิกาพึ่งตี 4ครึ่งเอง ที่นี่คือแดดออกเร็วมากๆ ตี5นี่แดดออกเหมือน8โมงแล้ว(พูดจริงๆนะ) อากาศหนาวค่ะ ประมาณ 10 กว่าองศา เราก็ล้างหน้า แปรงฟัน จัดการตัวเองให้พร้อม แล้วก็ออกเดินทางด้วยรถไฟเที่ยวกัน เราต้องไปแลกพาสที่เราซื้อมาจากไทยของบริษัท H.I.S ก่อนอ่ะ ซึ่งเขาเปิด 05:30 ควรมาก่อนเวลานะคะ เพราะนักท่องเที่ยวที่มาใช้บริการที่นี่ก็เยอะเหมือนกัน ถ้ามาช้ารอนานแน่ๆ JR office ticket นี่ก็อยู่ตรงที่เรานอนไม่ไกลมากค่ะ แค่เดินออกมาจาก Aero plaza ก็เจอแล้ว เราใช้พาส Kansai Area pass ราคา 2,200 เยน ก็ประมาณ 630 บาท หน้าตาก็จะประมาณนี้
การแลกก็คือใช้แค่ พาสปอร์ตเราทุกคนค่ะ พอแลกเสร็จแล้วก็จะได้บัตรมาค่ะ สามารถใช้บัตรผ่านตู้อัตโนมัติได้เลย แล้วก็ลงไปขึ้นรถไฟสาย Haruka เพื่อจะไป kyotoค่ะ (เราใช้ เว็บ Hyperdia ในการดูว่าต้องเดินทางยังไง http://www.hyperdia.com/en/ ) นั่งนานหน่อยเพราะมันไกลนะ
พอถึงสถานีเกียวโตแล้วเราก็เอากระเป๋าไปฝากก่อนเลย ซึ่งเราก็จองที่ฝากกระเป๋าผ่าน ecbo cloak https://cloak.ecbo.io/en จะเป็นเว็บที่ฝากกระเป๋าค่ะ ซึ่งเราสามารถเลือกที่ฝากได้หลายที่มากๆ ราคาก็ประมาณใบละ 700เยนค่ะ สำหรับกระเป๋าเดินทางใบใหญ่ จากนั้นเราก็ไปซื้อพาส Kyoto city Bus & Kyoto Bus One Day Pass จะสามารถนั่งรถบัสได้ทุกสายในKyoto 1 วันค่ะ ซึ่งสามารถซื้อได้ตรงหน้า สถานีรถไฟ JR เลย
เพราะเราต้องใช้รถบัส ในการเดินทางเพื่อไปวัดน้ำใสหรือวัด Kiyomizudera ค่าเข้า 400เยน
| จากสถานนีเกียวโต ไปขึ้นรถบัส โซน D1 นั่งรถ สาย100 ลงป้าย KIYOMIZU MICHI จากนั้น เดินข้ามถนน ไปทางขวาผ่านป้ายรถเมล์ แล้วมีซอยเลี้ยวซ้าย |
ตอนออกมาจะผ่านย่าน HIGASHIYAMA มีของกินและของที่ระลึกเพียบค่ะ เราทั้งเดินซื้อเดินชิม ส่วนใหญ่จะเป็นของกินอ่ะนะอิอิ
แถวป้ายรถเมย์มีร้านขายทาโกยากิด้วย อร่อยมาก ร้อนๆเลย ลูกใหญ่สุดๆ
จากวัดน้ำใสกลับไปสถานีเกียวโตต่ออีกรอบ แล้วก็นั่งรถสาย 205 โซน B3 ไปวัดทองหรือวัด Kinkakuji ค่าเข้า 400เยน (ตอนที่เราไปเราขึ้นผิดโซนค่ะ ไปขึ้น B2 แต่เป็นสาย 205 เหมือนกันแต่จะไปไม่ถึง เรานี่ใจเต้นเลย กลัวหลง พยายามคิดว่าจะไปยังไงต่อดี ไม่กล้าหลับเลยแหละ สุดท้ายคือเราต้องลงป้ายที่คิดว่าใกล้ที่สุดแล้วรอรถใหม่ค่ะ ทีนี้ดูดีๆเลยว่าไปวัด Kinkakujiมั้ย) ต้องลงป้าย Kinkakuji Michi วัดนี้เป็นวัดต้นแบบของวัดในการ์ตูนเรื่องอิคคิวซัง การ์ตูนที่ดูกันตอนเด็กๆไง จำกันได้มั้ยเอ่ย
นักเรียนเยอะเช่นเคยค่ะ เหมือนจะเจอเด็กกลุ่มเดิมจากวัดน้ำใสด้วย
เรานั่งรถบัสสาย 101 กลับมาที่สถานีเกียวโตอีกรอบค่ะ เพื่อนั่งรถไฟJRไปศาลเจ้าจิ้งจอกหรือ Fishimi Inari ลงสถานี Inari ก็จะถึงศาลเจ้าเลย เข้าฟรีจ้า
ต่อกันด้วย นั่งรถไฟกลับไปสถานีเกียวโต ไปรับกระเป๋าคืนและนั่งรถไฟไปที่พักกันเล้ย เรานั่งรถ 2 ต่อจากสถานีเกียวโตไปที่พักค่ะ ที่พักเราอยู่ไม่ไกลจาก Universal studio นัก เรียกได้ว่าเดินแค่ 5นาที ถึงค่ะ ชื่อโรงแรม Hotel Keihan Universal Tower เราจองผ่าน expedia ค่ะ ได้ตามรูปที่โชว์บนเว็บไซต์เลย โรงแรมสะอาด
(แอบเม้าท์หน่อยเนอะ คือเรานั่งรถไฟต่อแรกจากเกียวโตมาประมาณ 40กว่านาทีค่ะ จากนั้นก็ขึ้นรถต่อที่สองไป เนื่องจากที่ตาม hyperdia คือมันขึ้นชานชะลาเลขเดียวกัน และเวลาตรงกัน พอลงจากรถไฟแรกมา ก็รีบวิ่งไปขึ้นรถต่อเลย โดยที่เราไม่ได้ดูป้ายรถว่ามันไปที่ไหน เราเปิด google mapดู เพราะหลังจากที่ลงต่อที่สองแล้วต้องเดินต่อไปโรงแรม ตอนแรกที่เราเปิดดูคือเราห่างจาก โรงแรมแค่3นาที นั่งไปสักพัก เอ....ทำไมเริ่มห่างไป 15นาที 30นาที เราเลยลองถามพนักงานรถไฟดู สรุปคือ...นั่งรถผิดฝั่งไปดิ แล้วสายที่นั่งคือด่วนพิเศษ มันเลยเลยมาไกลสุดๆไปเลยจ้า ต้องนั่งรถกลับไปสถานีเดิมประมาณ 1 ชม. ทีนี้ขึ้นถูกฝั่งแล้วเย้ๆๆๆๆ แค่ 3นาทีก็ถึง) ถึงสักที เดินมานิดนึงได้เข้าที่พักแล้ววว เหนื่อยมาทั้งวันเลย
และนี่คือวิวจากห้องพักเรา (ไม่ได้ถ่ายในห้องมา คือมันดีงามมาก)
แต่ยังจ้ะ!!! ยังไม่จบสำหรับวันนี้นะ
หลังจากที่พักไปสักนิดนึงแล้ว ก็นั่งรถไฟใต้ดิน ไป Shinsaibashi (เราไม่มีพาสรถไฟใต้ดินเลยต้องซื้อผ่านตู้เอา นี่เราก็เตรียมข้อมูลมาเลยว่าต้องกดยังไงบ้าง พอไปกดจริงๆ งานเข้าล่ะ ลืมทุกอย่าง งงมากๆ แต่โชคดีค่ะ มีคนญี่ปุ่นใจดีมาสอนวิธีกดให้ ถ้าไม่อย่างนั้นไม่ต้องไปไหนกันแล้ว ยืนงงไปดิ555 วิธีก็คือ เราต้องเช็คราคาก่อนค่ะ ว่าสถานีที่เราไปลงราคาเท่าไหร่ แล้วก็เลือกจำนวนคน ได้ทีละ2คน จากนั้นใส่เงินลงไป ตั๋วก็จะออกมา ถ้าเราจำไม่ผิดนะ แหะๆ ตอนนั้นคือเด๋อมาก) และเดินไปเรื่อยๆจนถึง ย่าน Namba ต่อกันเลย
คือหิวมากๆ นี่คือหน้าร้านที่เรากิน อาหารอร่อยยย ชูชิคำโตตตตมาก กินอิ่ม เดินเล่นหนำใจแล้วก็กลับที่พักไปเอาแรงกันต่อดีกว่า
ขอเริ่มตอนใหม่เลยแล้วกันนะ จะได้ไม่เยอะจนเกินไป
ถ้าใครมีคำถามหรือติชมอะไรก็คอมเม้นมาเลยจ้า
ตอนต่อจ้า>>>
https://www.dekd.com/board/view/3851827/
4 ความคิดเห็น
รอตอนต่อค่า เราก็เคยไปโอซาก้ากับโตเกียวมาเหมือนกัน อ่านแล้วอยากกลับไปอีก
ใช่ๆ เราก็อยากไปอีก ยังไม่อยากกลับเลย
พาพ่อแม่หลงX ญี่ปุ่น.....
ชื่อกระทู้ทำเราคิดลึกเกินปายยยยยยยยยยยยยยยยยย
ไม่นะอย่าคิดดดดด555555
ไไม่ได้แล้วค่ะกู่ไม่กลับแล้วววววว>\\\<
อยากไปบ้างจางงง TwT
ต้องเก็บเงินอีกกี่บาทเหรอ~ หือ
ได้ไปอยู่แล้วววว สู้ๆจ้า
พอจะทราบมั้ยคะ ว่า ecbo cloak ไปจ่ายที่ร้านได้เลยหรือเปล่า? หรือ ว่าต้องจ่ายผ่านเว็บเท่านั้น ;)))) *ขอบคุณล่วงหน้าค่ะ
น่าจะต้องจ่ายผ่านเว็บเท่านั้นจ้า เพราะเราเห็นนักท่องเที่ยวจะไปฝากกระเป๋า พนักงานก็ให้จองและจ่ายเงินในเว็บก่อนจ้า สามารถเลื่อนเวลาหรือว่ายกเลิกการจองได้ก่อนวันจอง1วันค่ะ
ขอบคุณมากนะคะ จะพาครอบครัวไปหลงเหมือนกัน 55555555 ^.~
รายชื่อผู้ถูกใจความเห็นนี้ คน
แจ้งลบความคิดเห็น
คุณต้องการจะลบความคิดเห็นนี้หรือไม่ ?