Dek-D.com ใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสบการณ์ของ
ผู้ใช้ให้ดียิ่งขึ้น เรียนรู้เพิ่มเติมที่นี่
ยอมรับ

รีวิวชีวิตจริง... "ความลับ" ที่ซ่อนอยู่หลังคำว่ามหา'ลัย

ตั้งกระทู้ใหม่
ตั้งกระทู้ใหม่
                          
                                        +++++++++++++++

 
            แฮ่แฮะ !! อย่าเพิ่งตกใจกันไปกับหัวข้อกระทู้เน้อออ  >< เป็นแค่เกริ่นนำที่อยากเขียนขึ้นมาเฉยๆ ก่อนอื่น ตามมารยาทก็ ขอสวัสดีทุกท่านก่อนนะคะ ฮูเร่ๆ เสียงมาที่รัก เสียงมาหน่อยเร้ววว!!
 

            วันนี้หยุ๋มอยากมาถ่ายทอดเรื่อราวต่างๆกับเพื่อนๆและแลกเปลี่ยนประสบการณ์ที่ได้เจอตลอด 1  ปีที่มีชื่อว่า "เฟรชชี่" แปะอยู่ที่ตัว ในรั้วมหาลัยศิลปากร ว่าตลอดที่ผ่านมาเนี่ย หยุ๋มเจอและประสบกับอะไรบ้าง...!?!  และสิ่งที่เจอนั้นแตกต่างกับชีวิตมัธยมมากน้อยแค่ไหน

          บอกก่อนๆ ว่าทั้งหมดที่เจออ่ะ มันโครตดีเพราะ "ทุกสิ่ง" ล้วนเป็นสิ่งที่เราเคยผ่าน เคยเผชิญมาทั้งนั้น ในเมื่อเราผ่านมันมาแล้วอ่ะ พอถึงวันหนึ่งที่มองย้อนกลับเราจะคิดถึง โหยหาและอยากกลับไปอยู่ในจุดนั้นอีกครั้ง แต่เราก็ทำได้แต่คิดเพราะชีวิตจริงเราก็ย้อนเวลาไม่ได้หรอก ถูกมะ?

 
          สิ่งที่หยุ๋มจะเขียนต่อไปนี้ หยุ๋มเขียนขึ้นมาจากประสบการณ์ กลั่นออกมาจากจิตวิญญาณและบรรจงสร้างขึ้นมาจากหัวใจ  สิ่งที่เขียนก็เหมือนเป็นการบันทึกไดอารี่ส่วนตัวของหยุ๋ม จะต่างจากปกติก็แค่เป็นสิ่งที่อยากให้ทุกคนได้อ่านกันเจ๋ยๆ ถ้าพร้อมแล้วไปกันโล้ดด #แอบยาวหน่อยนะ 555 


                                        ________________________
                             
 สังคมม.ปลาย  vs  สังคมมหา'ลัย
                                       _________________________

 
      เอาล่ะ คำว่าสังคมนี่มันก็กว้างเนอะ มีตั้งหลายด้านแต่หยุ๋มจะพยายามเปรียบและจะพยายามกลั่นความรู้สึกเมื่อตอนอยู่ม.ปลายออกมาให้มากที่สุดนะคะ แม้ว่ามันจะนานจนเลือนๆไปหมดแล้วก็ตามเถอะ ( _ _ )

      
                                              
!... PART 1.1 เครือญาติ vs ชั่วโมงเรียน ...!
 
สังคมโรงเรียน 
     - สังคมโรงเรียนเราก็จะรู้จักกันหมดอ่ะเนอะ นี่น้องตูนั่นญาติ- ส่วนนั่นก็เพื่อนเก่าสมัยอนุบาล และบลาๆ สังคมจะเป็นแนวๆเครือญาติและความใกล้ชิดระหว่างเพื่อน ระหว่างอาจารย์และอื่นๆที่อยู่ในโรงเรียน เช่น น้องหมาประจำโรงอาหาร แมลงสาบประจำห้องเรียน นกน้อยประจำต้นไม้หรือบลาๆๆ  สิ่งเหล่านี้จะมีความสัมพันธ์ใกล้ชิดกับเรามากกว่าสังคมของมหา'ลัย


สังคมมหา'ลัย
     - โอ๊ยย คุณคะ แค่เพื่อนในห้องอ่ะจำชื่อได้หมดนี่ก็เก่งแล้วอ่ะ คือ สังคมมหา'ลัยส่วนใหญ่ เขาก็จะมีวิชาบังคับของคณะที่ทุกคนต้องลงเรียนและมีวิชาเสรีที่เราจะเลือกลงเรียนเองได้ ของมหา'ลัยที่หยุ๋มเรียนก็จะมีวิชาบังคับของคณะให้ลงเรียนเหมือนกัน แล้วปีหนึ่งทุกคนในรุ่นก็ต้องลงเรียนใช่ไหม ถามว่าปีหนึ่งมีกี่คน? ของหยุ๋มมีเกือบๆพันคน เขาก็จะเรียงห้องหรือเซคเรียนตามรหัสนักศึกษาค่ะ ห้องหนึ่งก็ประมาณ 30-35 คน เพื่อนแค่ 30 กว่าคนนี่จำชื่อเพื่อนไม่ได้เลยเหรอ คือ จริงค่ะ มีเพื่อนไม่เยอะจริงแต่เราเจอเพื่อนแค่อาทิตย์ละครั้งไง แล้วที่คุยๆกันส่วนใหญ่ก็แค่กับคนข้างๆ      
     นอกจากเพื่อนก็รุ่นพี่ในคณะที่เราจะจำได้แค่บางคน เด่นๆเลยก็พี่รหัส พี่เทค หรือพี่ๆที่ทำกิจกรรม เช่น พี่สันทนาการที่จะมารับเราตอนเข้าคณะแรกๆ  นอกนั้นก็ไม่ค่อยได้เจอเพราะตารางสอนที่ต่างกัน 
      ตารางสอนตอนมัธยมเขาจะให้มาเลยว่าวันนี้เราเรียนกี่โมง จบคาบตอนไหน วันหนึ่งเรียนกี่วิชา แต่สังคมมหา'ลัยเราเป็นคนกำหนดตารางเรียนเองค่ะ คือ วันหนึ่งเราจะเรียนกี่วิชาก็ได้จึงเห็นกันบ่อยๆว่ามหา'ลัยเนี่ย เรียนชิวจัง มีเวลาไปเที่ยวเยอะเนอะ ไม่เห็นเรียนหนักแบบมัธยมเลย 
     แต่ค่ะแต่ ช้าก่อน ช้าก่อนนน...  เราเรียนกันไม่ไหนักก็จริง วันหนึ่งหนักสุดก็มีเรียนแค่ 3-4 วิชา แต่วิชาทั่วๆไปจะสอนประมาณ 3 ชม. นะคะ รู้ยังงี้แล้วพี่ๆนักศึกษาก็ไม่ได้เรียนกันเบาเบาเลยนะ เพราะวันหนึ่งถ้ามีเรียนแค่วิชาเดียวอย่างน้อยก็ 3 ชม. แต่มัธยมนี่เรียนตามรารางก็จริงแต่วิชาหนึ่งก็ไม่เกินหนึ่งชั่วโมง และวันหนึ่งก็เรียนมากสุดไม่เกิน 8 ชม. 
    อ่ะ ลองมาเปรียบเทียบกับมหา'ลัยดู ถึงมีเรียน 3 วิชาต่อวันแต่มัน 9 ชม. นะคะลูก ไม่เบานะพูดเลย 

    
!...PART 1.2 เข้าแถว vs หาเพื่อน...!
 
สังคมโรงเรียน
    - สังคมโรงเรียนเราจะมีเพื่อนหลากหลายมาก เจอกันบ่อยมากกก แม้ว่าเรากับเขาทั้งหลายจะอยู่กันคนละห้อง คนละสายกันก็ตาม แต่ทุกคนจะต้องมาสังสรรค์และเห็นหน้ากันทุกวันดั่งกับเป็นเงาของกันและกันที่แยกจากกันมิได้  เพราะมันจะมีอยู่หนึ่งเหตุกาณ์ที่เราๆไม่อาจจะหนีพ้นไปได้ เพราะมีผลต่อคะแนนความประพฤติและภาพลักษณ์ที่ดีในสายตาของอาจารย์ทั้งหลาย ใช่เลย หยุ๋มรู้ว่าคุณๆก็รู้ หุๆ จะเป็นอะไรละคะถ้าไม่ใช่... "การเข้าแถวตอนเช้า" ที่เวลาแต่โรงเรียนอาจต่างกันบ้างแต่เราก็คงต้องร้องเพลงชาติไม่ต่างกัน ชิมิ (ของนานาชาตินี่หยุ๋มไม่ทราบว่าต้องทำไหมนะ) 


สังคมมหา'ลัย
     - สังคมมหา'ลัยเราจะได้เพื่อนต่างคณะก็ต่อเมื่อเราไปทำความรู้จักกับเพื่อนต่างคณะด้วยตัวเอง หรือการเข้าร่วมโครงการสานสัมพันธ์กับคณะต่างๆที่คณะของเราจัดขึ้นมา บางคนก็อาจได้เพื่อนต่างคณะจากวันรับน้องรวม หรือรู้จักจากการไปสังสรรค์ด้วยกันก็ต่างๆนานา คณะในมหา'ลัยจะมีการแยกสัดส่วนที่ชัดเจนค่ะ ว่าบริเวณนี้เป็นของคณะไหน ตรงนี้เป็นของคณะไหน บางคณะก็อยู่ติดๆกันทำให้ไปทำความรู้จักกันได้ง่ายหน่อย แต่บางคณะก็อยู่ไกลมาก มากถึงขนาดต้องขึ้นตึกถึงจะเห็นตึกของเพื่อนอีกคณะก็มีค่ะ 5555  หลายๆคนรวมถึงหยุ๋มที่เข้าสังคมไม่เก่งมาก ก็แบบชุ้นเขิล ชุ้นไม่กล้างี้ก็จะได้เพื่อนต่างคณะยากนิดหน่อยค่ะ  ไม่เหมือนกับมัธยมที่เราจะเจอหน้าเพื่อนบ่อย แม้จะไม่รู้จักแต่ก็ต้องเคยเห็นหน้าตอนเดินผ่านบ้างอ่ะ ก็โรงเรียนไม่ได้ใหญ่เท่ามหา'ลัยและมีคนเยอะเท่ามหา'ลัยไงค่ะ เปอเซ็นต์ที่เราจะมีเพื่อนที่หลากหลายและพบกันบ่อยก็จะมีมากกว่าอยู่มหา'ลัย อีกอย่างมหา'ลัยก็ไม่มีการรวมตัวกันทุกเช้าตอนเข้าแถวหน้าเสาธงเหมือนมัธยมด้วย  
         



 
!...PART 1.3 ปัจฉิม vs ครูที่ปรึกษา...!
 
สังคมโรงเรียน
     - สังคมเพื่อนม.ปลาย ปฏิเสธไม่ได้ว่ามีทั้งเพื่อนที่ดีและไม่ดีสำหรับเรา แต่จะมีวันรวมญาติและคืนดีกันอีกทีตอนที่จะจากโรงเรียนไปแล้ว ก็คือ "วันปัจฉิม" วันที่พี่ๆม.3 ม.6และปวช.3 จะเป็นดาวเด่น เกิดและเป็นที่จับตามองที่สุดในงานวันนี้  ในงานวันนี้เราจะพบเจอกับน้องๆที่จะมาแสดงความยินดีกับเราผ่านช่อดอกไม้ สติกเกอร์ ลูกโป่ง พวงมาลัย การเขียนเฟรนชิปของคู่กายชาวมัธยมหรือจะเป็นการไปฉลองและสังสรรค์กันหลังจบงาน และสิ่งที่สนุกสนานและสร้างความทรงจำให้กับเราในวันปัจฉิม ไม่ใช่แค่การเสียงดนตรีในงาน ภาพบรรยากาศที่อบอุ่นเท่านั้น แต่วันนี้เรายังจะเห็น "รอยยิ้มและน้ำตา" ของพ่อและแม่คนที่สองของเรา ในวันที่เราประสบความสำเร็จไปอีกขั้นในชีวิต โดยเฉพาะคุณครูสายโหดนี่ ขอบอกๆ น้ำตาของอาจารย์นั้นช่างทำให้หัวใจบางๆแสนเปราะของหยุ๋มร้องตามและซาบซึ้งใจตามมั่กๆ เพื่อนๆที่เคยทะเลาะกันบางคนก็คืนดีกันในวันนี้ แต่ก็มีหลายๆคนที่โนสนโนแคร์ก็มีนะ แก้วร้าวจะมีประกอบใหม่งี้ ได้เหรอแกรร? 555 ก็ว่ากันไปเนอะ ประสบการณ์ใครประสบการณ์มัน

สังคมมหา'ลัย
      - สมัยมัธยมมีครูที่ปรึกษาเยี่ยงไร มหา'ลัยก็มีเยี่ยงนั้นค่ะ แต่อาจารย์จะไม่ได้ใกล้ชิดหรือสนิทอะไรกับเรามาก เพราะเราจะเจออาจาย์ที่ปรึกษาตอนปฐมนิเทศในช่วงแรกๆเท่านั้น หลังจากนั้นถ้าจะเข้าพบอาจารย์ก็จะต้องโทรไปแจ้งหรือติดต่อผ่านเฟส ผ่านไลน์บอกอาจารย์ก่อน เพราะอาจารย์ที่เป็นที่ปรึกษาส่วนใหญ่ก็จะเป็นอาจารย์ตามวิชาต่างๆนี่แหละ อาจารย์จึงไม่ค่อยมีเวลามาตามติดหรือดูแลอะไรเรามากนัก ด้วยเพราะเราโตและรับผิดชอบตัวเองได้แล้ว 
         ดังนั้น ครูที่ปรึกษาจึงไม่ค่อยได้ใกล้ชิดกับเรามากเท่าตอนอยู่มัธยม ที่สมัยมัธยมครูที่ปรึกษาจะรับรู้และจับตาดูแลพวกเราอยู่ตลอด อยู่แบบห่างและดูแลอย่างห่วงๆว่างั้นเถอะ  ดังนั้น ใครที่มีอคติที่ไม่ดีกับคุณครูหรืออาจารย์สายโหดมาก่อนนั้น ขอให้เปิดใจและมองอาจารย์ใหม่นะคะ เพราะถ้าอาจารย์ไม่หวังดีกับเราจริงๆ เขาจะมาดุ มาเหนื่อย มาตื้อมาตามให้เราเข้าเรียนและทำตัวดีๆทำไมกัน 
        บอกไว้ก่อนเนอะว่าในมหา'ลัยเนี่ย คุณครูแบบนี้นี่แรร์ไอเทมมากเลยนะเออ แล้วจะมาคิดถึงและะอยากกลับไปหาอาจารย์เหล่านั้นแบบหยุ๋มในตอนนี้ไม่ได้นะจ๊ะๆ  ตอนนี้มีโอกาสก็ทำตัวเป็นเด็กดีของอาจารย์ท่านนะลูกนะ เชื่อหยุ๋มแล้วได้ดีทุกคนนะจะบอกให้



 
!...PART 1.4 การบ้าน vs การสอบ...!
 
สังคมโรงเรียน
      - สังคมลอกการบ้านเด็กเก่ง  โอ้โห นี่เป็นเสมือนปัจจัยที่ 5 ของหยุ๋มในการใช้ชีวิตในรั้วมัธยมมาก เพราะหลายๆโรงเรียนจะมีคะแนนเก็บ 2 ส่วน คือ คะแนนสอบและคะแนนงาน ซึ่งคะแนนงานเนี่ยบางวิชาก็รวมกับการบ้าน ใช่เลย  ใช่เลยค่ะ เมื่อใดที่มีการบ้านวิชายากๆปุ๊บ มงจะไปลงที่เพื่อนที่เรียนเก่งทันที แกการบ้านเสร็จยังขอดูหน่อยสิ (จริงๆคือจะดูด้วยตาและมือจดใส่สมุดนั่นเองค่ะ 555 ) หยุ๋มทำบ่อยอยู่ // แอบสารภาพเลย ซึ่งการลอกการบ้านเนี่ยก็ไม่มีผลอะไรมากนะ เอาจริง ถ้าลอกแบบตั้งใจลอก คือ ลอกโดยการทำความเข้าใจไปด้วย อันไหนไม่เข้าใจก็ถามเพื่อน มันจะส่งผลดีต่อทั้งเราและเพื่อนที่เราลอกนะคะ เพราะเหมือนเราไปทวนให้เพื่อนเจ้าของสมุดเขาด้วย เพราะบางข้อเพื่อนอาจจะทำผิดก็ได้ เห็นมะว่าลอกการบ้านเนี่ยมีข้อดี แต่อย่าลอกเลยก็จะดีกว่าค่ะ อันนี้หยุ๋มไม่แนะนำอย่างจริงใจและจากใจจริงค่ะ แฮ่ !!

สังคมหมา'ลัย
      ว่าด้วยเรื่องการบ้านกันบ้างดีกว่า การบ้านของมัธยมบางคนอาจจะมีการบ้านทุกวิชาเลย แต่พี่ๆหรือตัวหยุ๋มเองมีการบ้านไม่เยอะนะ ส่วนใหญ่จะเป็นรายงานหรือโปรเจ็คส์ที่ทำเป็นกลุ่มกันมากกว่า มีบ้างที่มีการบ้านตลอดในบางวิชาแต่ก็ไม่เยอะเท่าสมัยมัธยม จึงเห็นนักศึกษาหลายๆคนไปเดินห้าง ไปเที่ยวหรือไปชิวล์กัน แต่นั่นแค่ "เปลือกนอก" ผิวเผินที่มองเห็นได้ด้วยตาเปล่าเท่านั้น เพราะจริงๆแล้ว "นรกนั้นมีอยู่จริงโดยเฉพาะไฟนรกที่ชื่อว่า...."มิดเทอมและไฟนอล" ค่ะ
      
  การเก็บคะแนนมัธยมจะแบ่งเป็น 2 ส่วนแน่ชัดเลย ระหว่างสอบกับคะแนนเก็บแต่กับมหา'ลัย การประเมินผลจะขึ้นอยู่กับตัวอาจารย์ที่สอนแต่ละท่านค่ะ คือ จะมีวิธีการตัดเกรดที่แตกต่างกัน บางวิชาอาจจะมีทั้งสอบทั้งคะแนนเก็บ บางวิชามีแค่สอบมิดเทอมกับไฟนอลและ...!! บางวิชานี่สอบ 100 เปอเซ็นต์ตอนไฟนอลอย่างเดียวค่ะ บอกเลยชีวิตเรียนมหา'ลัยดูชิวก็จริง  แต่ถ้าจัดการเวลาและบริหารชีวิตไม่ดี ติดเล่น ติดเที่ยว ติดสนุกมากเกินไปก็จบชีวิตกันได้เลยนะคะ
       ดังนั้น ชีวิตมหา'ลัยสนุกได้แต่ต้องมีขอบเขต คือ รู้ว่าตัวว่าต้องทำอะไร มีหน้าที่อะไร ต้องรับผิดชอบสิ่งไหน ค่าหน่วยกิตและค่าเทอมที่จ่ายไปเราก็ต้องเรียนให้คุ้มกับที่เสียอ่ะเนอะ เพราะหยาดเหงื่อที่พ่อแม่เสียไปก็เพื่อให้เราได้เรียนกันนะคะ  
สนุกได้แต่อย่าลืมว่าเรายังมีคนข้างหลังเรารอเราอยู่นะคะ ทุกๆทั่น ทั่นน ทั่นนน


 
!...PART 1.5 กีฬาสี vs รับน้อง...!
 
สังคมโรงเรียน
       - สังคมโรงเรียน วันใดเล่าจะยิ่งใหญ่เท่า "งานกีฬาสี" ที่จะได้แต่งตัวสวยๆ เต้นปังๆ มีคลิปมีวิดีโอที่ช่างภาพของโรงเรียนคอยตามถ่ายให้เราเอาไปลงอวดชาวโซเชี่ยลว่างานโรงเรียนเราปัง ปัง ปังและยิ่งใหญ่ขนาดไหน แต่ไม่ว่าจะงานใดหยุ๋มก็เป็นได้แค่เบื้องหลัง เบื้อหลังที่คอยปรบมือร้องเพลงให้พี่ๆเขาตั้งแต่อยู่ม.1 ยันเป็นพี่สุดม.6  5555 งานกีฬาสีนี่ถือเป็นสงครามย่อมๆของหลายๆโรงเรียนมาก เพราะพี่สต๊าฟของสีต่างๆก็จะมีความลับทางการแสดงที่จะต้องเป็นความลับสุดยอดและรอประกาศความเฉิดฉายในวันงานเท่านั้น จะให้ใครเห็นหรือลอกเป็นไม่ได้  นอกจากนั้นยังมีปัญหาเรื่องสถานที่หรืออุปกรณ์ต่างๆนานา ความไม่ลงรอยของคนในสีที่มีความขัดแย้งกันเองอีก ปัญหาร้อยแปดค่ะ แต่ทุกปัญหาก็ทำให้ได้เรียนรู้กระบวนการแก้ไขปัญหาที่พบเจอทั้งนั้นอ่ะเนอะ

สังคมมหา'ลัย
       - ถ้างานกีฬาสีถือว่าเป็นทอปฟอร์มในเกียรติประวัติของชีวิตมัธยมแล้ว งาน "รับน้อง" ก็ถือเป็นงานช้างผสมยักษ์ยิ่งใหญ่แห่งการเป็นปี 1 อย่างเสียไม่ได้ "รับน้อง" งานรับน้องนี่ถือเป็นอะไรที่หยุ๋มรอคอยมากที่สุดเลยล่ะ แต่พอได้มาสัมผัสด้วยตัวเองจริงๆแล้วมันกับไม่เหมือนที่คิด ที่จินตนาการเอาไว้แต่ก็ไม่เชิงแตกต่างไปจนหมดอ่ะนะ คือ ไงอ่ะ คืองี้ละกัน 
          ขออธิบายอย่างง่ายๆ สำหรับม.ของหยุ๋มเอง เขาก็จะมีการแสดง
ในวันรวมน้องรวมอยู่ เป็นการโชว์ของของแต่ละคณะนั่นเอง แต่ละคณะก็จะมีการแสดงที่สื่อถึงเอกลักษณ์ประจำคณะของตัวเองออกมา อย่างเช่น อักษรศาสตร์ก็จะสวยๆอลังๆหน่อย จิตรกรรมก็จะสร้างสร้างแปลกใหม่ไม่ซ้ำใคร เภสัชก็จะโก้ๆหรู เรียบง่ายแต่สวยงาม วิทยาศาสตร์ก็จะแนวๆ เป็นตัวของตัวเองอย่างชัดเจน ในขณะที่อีกหลายๆคณะก็จะพรีเซ้นต์ความเป็นตัวเองในรูปแบบของตัวเอง จึงทำให้โชว์แต่ละโชว์ออกมาน่าประทับใจและเห็นถึงความตั้งใจและสามัคคีของพี่ๆน้องๆแต่ละคณะที่ตั้งใจ เตรียมตัว ซ้อมและทำอุปกรณต่างๆขึ้นมา ซึ่งส่วนใหญ่เนี่ยจะทำด้วยมือทั้งนั้น              โอ้มายกอดด...!! (อยากเห็นภาพไปดูในยูทูปกันได้นะคะ ขายของๆ 555)
         ความต่างกับมัธยมเหรอ ก็ไม่ต่างกันมากนะคะ เพียงแต่มัธยมทุกอย่างจะต้องอลังนิสนุง สวยงาม สมบูรณ์แบบประมาณนั้น นึกภาพกันออกไหมอ่ะ ออกสิ เพราะทุกคนต้องเคยผ่านมาแล้วใช่ไหมคะ 555 แต่กับมหา'ลัยเราเหมือนมาแสดงตัวตนกันมากกว่า แต่ละโชว์อาจไม่สมบูณ์แบบหรือสวยงามที่สุดแต่ความสมบูรณ์ที่สุด คือ ความแตกต่างของแต่ละคณะน่ะลงตัวและหลอมรวมกันเป็นคำว่า
 "ศิลปากร" ได้อย่างน่าประทับใจหยุ๋มมากๆ // ใช่ค่ะ หยุ๋มอวย 555  
     
  


 
!...PART 1.6 อิสระ vs หน้าที่...!
 
สังคมโรงเรียน
        - สังคมโรงเรียนนี่เราจะยังทำอะไรมากไม่ได้ คือ จะทำอะไรที่ใหญ่โตเกินอายุไม่ได้ เพราะเรายังถือว่าเป็นเยาวชนอยู่ ยังไม่สามารถตัดสินหรือกระทำการบางอย่างได้ในทางกฎหมายที่ระบุเอาไว้ว่า จะสามารถตัดสินใจและกระทำสิ่งต่างๆได้ก็ต่อเมื่อบรรลุนิติภาวะอายุ 20 ปีบริบูรณ์ onlyๆ แต่ก็มีหลายคนแหกกฎล่ะ กฎนั้นมีไว้แหกแต่อยู่มัธยมแล้ว ถือว่าก็โตและมีความคิดกันแล้วนะคะ ดังนั้น จะทำอะไรก็รู้กันอยู่แล้วว่าสิ่งไหนดีหรือไม่ดี อะไรควรทำหรือไม่ควรทำ        ค่ะ ดังนั้นตรงเนี่ย เลยทำให้เราขาดอิสรภาพไปบ้าง เพราะต้องอยู่ในกรอบพอสมควร

สังคมมหา'ลัย
      "ชีวิตเป็นของเราใช้ซะ" จ๊ะ ถูกค่ะ แต่ต้องใช้ในทางที่ถูก ที่ควร ที่เหมาะสมนะคะ มาอยู่มหา'ลัยเราก็จะกลายเป็นผู้ใหญ่อย่างเต็มตัว มีสิทธิ มีเสรีภาพในการกระทำสิ่งต่างๆได้อย่างเสรีไม่ต้องขึ้นอยู่กับผู้ปกครองหรือให้ครอบครัวช่วยตัดสินใจแล้ว  เราจะไม่ผิดถ้าเราไปผับ ไปกินเหล้า สูบบุหรี่หรือแอบหนีเที่ยว เพราะเรา "โต"แล้วนั่นเอง ชีวิตมหา'ลัยน่ากลัวตรงอิสระนี่แหละค่ะ เพราะบางคนใช้มันในรูปแบบที่ผิดที่ผิดทางไปหน่อย กว่าจะรู้ตัวก็อาจจะสายไปแล้ว ชีวิตในวัยมหา'ลัยจึงควรใช้ทั้งทางการเรียน การเล่นและกิจกรรมค่ะ ให้สมดุลกันทุกด้าน อย่ามัวแต่เรียนจนขาดสีสีนในชีวิต แต่ก็อย่าเล่นจนขาดความรับผิดชอบต่อหน้าที่และอย่าทำกิจกรรมจนลืมให้ความสำคัญกับการเรียน 
       สิ่งที่แตกต่างจากมัธยม คือ 
"ความคาดหวัง" จากครอบครัว จากสังคมและจากบุคคลที่มองดูเรา เพราะเราสวมหัวโขนการเป็น "นักศึกษา" อยู่ เป็นนักศึกษาที่โตกว่านักเรียน เพราะต้องมีความรับผิดชอบ มีหน้าที่และได้รับความคาดหวังมากกว่ามัธยมมาก ดังนั้น ชีวิตมหา'ลัยมีอยู่แค่ 4 ปี  จึงควรใช้ให้มีค่าและมีความสุขที่สุดค่ะ เพราะถ้าวันเวลาผ่านไปแล้ว เราจะได้ไม่มาเสียดายภายหลัง



 
!...PART 1.7 เดินทาง vs โฮมซิก...!
 
สังคมโรงเรียน
      - สังคมโรงเรียนการเดินทางก็มีไม่กี่รูปแบบหรอกว่าไหมคะ ก็มีนั่งรถประจำจะรายวัน/ราวเดือนก็ว่ากันไป บ้างก็มีรถจากที่บ้านมาส่ง มีพ่อมีแม่มารับ บางคนก็มีรถขี่มาเรียน โก้หน่อยก็มีรถหรูคันโตๆขับมาเรียนหรือใครบ้านใกล้ก็เดินหรือปั่นจักมาเรียนก็มี ซึ่งมันมีหลายรูปแบบมาก    แล้วแต่ความสะดวกของแต่ละคนเลย ถ้ามีที่บ้านมารับหรือนั่งรถประจำไปเรียนเนี่ยก็จะปลอดภัยหน่อย ไม่ต้องระวังอะไรมากเท่ากับคนที่ขี่และขับรถมาเรียนเอง แต่ชีวิตไม่ประมาทดีที่สุดแล้วค่ะ เพราะเราไม่รู้ว่า วันหนึ่งเราจะถูกเขาชนหรือเราจะชนเขา ดังนั้น ใช้ชีวิตด้วยสติถือว่าเป็น       the best choice ที่สุดค่ะ

สังคมมหา'ลัย
     - อยู่มหา'ลัยดีหน่อยก็มีรถส่วนตัวให้คอยขับ คอยขี่ไปไหนได้สะดวกๆ และถึงไม่มีรถประจำคอยส่ง แต่เราก็มี "รถราง" ให้บริการฟรี ทุกวันนะคะ 555 อยู่มหา'ลัยเราจะไม่มีพ่อแม่คอยมารับ-ส่งอีกแล้ว บางคนที่เคยชินการการมีพ่อแม่คอยรับ-ส่งก็จะต้องปรับตัวใหม่กับรูปแบบชีวิตใหม่ที่ต้องเจอ จนบางคนอาจเกิดโรคโฮมซิก คิดถึงบ้านและอยู่ไม่ได้เลยก็มี โฮมซิกอาจไม่ใช่แค่การไม่มีพ่อแม่มารับมาส่ง แต่หยุ๋มหมายถึง ขาดทุกอย่างที่พ่อแม่เคยทำให้ ทั้งรีดผ้าให้ ซักผ้าให้ ทำกับข้าวให้กิน หรือการใช้เวลาครอบครัวร่วมกัน 
     เมื่อจากบ้านมาอยู่ไกลแล้ว 
ไม่ใช่แค่เราที่เป็นโฮมซิก แต่คนในครอบครัวก็เป็นโรคคิดถึงเราๆเหมือนกันแหละ แม้ว่าเขาจะไม่ค่อยพูดก็เหอะ เชื่อหยุ๋มสิ หยุ๋มรู้ หยุ๋มเห็น ดังนั้น เมื่อกลับบ้านครั้งใดจงกินกับข้าวฝีมือคนที่บ้านทำให้หมดนะคะ เพราะเขาจะได้มีความสุขที่เห็นเรากินอิ่มและอร่อยกับกับข้าวที่เขาตั้งใจทำ ตั้งใจไปซื้อของมาทำไว้รอเราที่นานๆจะกลับบ้านที  อ้อ แล้วอย่าโทรไปรายงานตัวกับคนที่บ้านบ้างนะคะ กรู๊ววว


 
!...PART 1.8 การกิน vs การเงิน...!
 
สังคมโรงเรียน
      -  อ่ะ พูดเรื่องเดินทางไปแล้วจะขาดเรื่องนี้ได้อย่างไร ในเมื่อกองทัพต้องเดินด้วยท้องฉันใด โรงอาหารและอาหารแต่ละมื้อก็สำคัญฉันนั้น กับข้าวแต่ละมื้อ สมัยมัธยมก็ไม่มีทางเลือกอะไรมากมายเพราะมีแค่ 2 ที่ที่เราจะหาซื้อมาประทังชีวิตได้ คือ โรงอาหารและสหกรณ์ แต่แอบได้ยินคนตะโกนมาเมื้อกี้ว่า ผมเคยแอบสั่งจากร้านข้างรั้วโรงเรียนบ่อยๆ ค่ะ อันนั้นหยุ๋มก็ทำบ้าง     บ้างแบบ usaully นะคะ ไม่ใช่ often หรือ sometimes 55 แต่อย่าทำเลยดีกว่าเนอะ โรงเรียนเขาก็มีสิ่งดีๆให้เราแล้ว  


สังคมมหา'ลัย
     - ถ้าพูดถึงเรื่องกินนี่บอกเลย ว่าที่กินมีไม่จำกัดค่ะ ไม่จำกัดแค่ในมหา'ลัยอ่ะ 555 เพราะที่กินมีเยอะมว๊ากกก มากถึงมากที่สุดอ่ะ มีทุกรูปแบบให้เลือกกันเลยทีเดียว จะกินจากในโรงอาหารของม.ก็ได้  จะออกไปกินร้านรอบๆม.ก็ได้ จะนั่งรถไปกินที่ห้างใกล้ๆก็ยังได้อีก จะทำกินกินเองก็ไม่มีใครว่า และไม่ว่าจะเป็นอาหารชนิดไหน ชาติใดเราก็จะได้กินตามใจปรารถนาค่ะ ไม่มีจำเจหรือจำกัดแบบมัธยมแน่นวลลล  ไม่มีใครมาว่าด้วยถ้าเราจะสั่งของกินจะร้านที่อยู่ติดกับกำแพง ม. 555 
         เงินที่มีในกระเป่าจึงไม่ต้องสงสัยเลยค่ะว่าหายวับไปกับสิ่งใด ยิ่งตอนที่มีตลาดนัดในม.นี่ บอกเลยร้อยเดียวเข้าร้านแรกก็หมดแล้วค่ะ 
"สติและการยับยั้งช่างใจ" จึงน่าจะจำเป็นในการใช้เงิน ที่บางคนอาจจะได้เป็นรายเดือนจากทางบ้าน  บางคนก็เลยจะรวยๆหน่อยในช่วงต้นเดือน ส่วนกลางเดือนก็เริ่มดรอปการกินลงมา ส่วนปลายเดือนก็ต้องพึ่งมาม่าเป็นประจำค่ะ แลดูเหมือนวงจรชีวิตวัยทำงานนะคะ 555 เมื่อทางเลือกมีเยอะ เราเลยต้องเลือกสรรสิ่งดีๆให้กับตัว กินของดีและใช้เงินอย่างคุ้มค่านะคะ // แม้ว่าหยุ๋มจะแอบเกเรจนคุมตัวเองในการใช้เงินไม่ได้บ่อยๆ      แต่หยุ๋มก็ยังพยายามนะคะเพราะเบื่อเหลือเกินกับน้องมาม่า เมนูคู่ใจ


                               +++++++++++++++++++++++                                         

            ทั้งหมดนี่ ก็เป็นความแตกต่างที่หยุ๋มได้เจอในช่วงชีวิตของวัยมัธยมและมหา'ลัย     บางอย่างก็เหมือนกัน บางอย่างก็ต่างกันไปค่ะ อยากที่บอกๆไปตอนต้นว่ามหา'ลัยเนี่ยเป็นอะไรที่ลึกลับกับชีวิตมากๆ เพราะเป็นสถานที่ให้การศึกษาที่สร้างเรื่องราวในชีวิตให้กับแต่ละคนมากมายเลย  หยุ๋มเองก็ท้อกับการเรียนที่ยาก เข้มข้นและจริงจังขึ้น เพราะไม่มีการกำหนดตายตัวว่าได้ 80 คือได้เกรด 4 แล้วนะ มหา'ลัยต้องมีการพัฒนาและแข่งขันกับคนอื่นอยู่ตลอดเวลา อ่อนแอก็แพ้ไป คุณจะได้พบเมื่อเข้ามาใช้ชีวิตในรั้วมหา'ลัยค่ะ หยุ๋มคอนเมมฟิร์มม

     

    ปริญญาไม่ใช่ทุกอย่างในชีวิตของคนเรา อย่าวัดค่าใครด้วยใบปริญญา อย่าดูถูกใครเพียงเพราะว่าเขาจบมาจากสถาบันที่ไม่ได้มีชื่อเสียงที่โด่งดัง 

 
         ท้ายนี้...หยุ๋มขอเป็นกำลังใจให้กับน้องๆทุกคนที่ "กำลังวิ่งตามความฝัน" ของตัวเองกันอยู่นะคะ ท้อได้แต่อย่าถอยเนอะ  เมื่อเข้าไปเป็นนิสิตนักศึกษาของรั้วสถาบันต่างๆได้แล้ว ก็ตั้งใจเรียนและใช้ชีวิตให้คุ้มค่า จบออกมาก็มาสร้างความสุขให้กับตัวเอง ครอบครัวและสังคมด้วยนะ 555 //  ทัดผมแบบพี่เดียว  master chef


       ใครที่มีความเห็นอะไรก็มาคุย มาเม้นต์กันได้นะคะ อยากอ่านประสบการณ์ของทุกคนเลย อยากอ่านประสบการณ์ของทุกคนเลย ชีวิตมัธยมหยุ๋มไม่ค่อยมีเรื่องน่าตื่นเต้นและระทึกขวัญช่วนติดตามเท่าไหร่   พอดีเป็นสาวหวาน เรียบร้อยดั่งผ้าพับไว้น่ะค่ะ 555 


มาเล่าสู่กันฟังบ้างนะคะ แอบรอเรื่องเธอๆอยู่นะจ๊ะ บอกให้รู้ไว้เลย หยุ๋มเองคนจริง 2018


 

แสดงความคิดเห็น

>

5 ความคิดเห็น

PPlayyyyy 26 พ.ค. 61 เวลา 15:42 น. 1

ตอนนี้หนูอยู่มอสี่ อยากเรียนหมอค่ะ แต่เรียน รร ในตำบลเอง บ้านไม่ได้รวย เรียนก็อยู่ในระดับดี หนูเลยพยายามดันตัวเองให้ขยันๆ อดทน ไม่ท้อกับอุปสรรค เขาบอว่าเรียนหมอมันยากหนูเลยพยายามทำให้ตัวเองมีวินัย ขยันอดทน ต่างๆนาๆ สุดท้าย ช่วยให้กำลังใจหนูด้วยนะค่าาาาาาาาาาาา

1
Athena9268 26 พ.ค. 61 เวลา 20:40 น. 2

ตอนนี้เรากำลังจะขึ้นปี 3 บอกเลยว่า หลายอย่างคล้ายกันมากกกกกกกกก ชีวิตมหาลัยไม่ง่ายเลย 55555(หัวเราะทั้งน้ำตา) มันทำให้เราหวนคิดถึงชีวิตมัธยมมากกกก โดยเฉพาะเพื่อน https://www0.dek-d.com/assets/article/images/sticker/bb-03.png

0
Do Siripon 27 พ.ค. 61 เวลา 19:51 น. 3

สวัสดีคะ ตอนนี้หนูอยู่ม.6แล้วคะ อยู่ในช่วงการตัดสินใจอนาคตของตัวเอง บอกเลยคะหนูกลุ้มมากกก ตอนนี้หนูเรียนอยู่สายศิลป์-จีนคะ อยากเข้าศิลปศาสตร์ เอกญี่ปุ่น มธ.คะ เห็นเค้าบอกรับไม่มีพื้นฐาน หนูหวังว่าจะทำได้สำเร็จ

จากที่พี่เล่ามาน่าสนใจจังเลยชีวิตมหาลัย ชีวิตที่มาพร้อมกับภาระมากมาย มันเป็นสังคมที่แตกต่างจากที่หนูอยู่มากเลยนะคะ แตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง แต่ก็คงสนุกไม่น้อยใช่รึป่าวคะ หว๋า!อยากไปสัมผัสกับมันจังเลย แต่ก็คงต้องผ่านการสอบก่อนละเนอะ หนูจะสู้คะ

ขอขอบคุณพี่มากนะคะที่มาเล่าประสบการณ์ดีๆให้ฟัง หนูรู้สึกดีขึ้นเยอะเลย

1
Nirun Kramer 28 พ.ค. 61 เวลา 02:33 น. 3-1

ขออนุญาตนะคะ เราขอถามนิสนึง ตั้งใจจะเรียนเอกญป.นี่เคยเรียนพื้นฐานปุ่นมาบ้างมั้ยอ่าคะ คือไม่ได้ถามเชิงหาเรื่องหรืออะไร โอ๊ยใช้คำไม่ถูกแล้ว 55 เราเป็นห่วงค่ะ คือถ้ามีพื้นฐานจีนมา การเรียนคันจิญป.ไม่น่ายากมากเท่าไหร่ แต่ถ้าไม่เคยเรียนแกรมม่าญป.มาก่อนแล้วจะไปเรียนในระดับมหาลัยเลย (แถมถ้าเกณฑ์บอกว่าต้องมีพื้นฐาน = ต้องเคยเรียนญป.ตอนม.ปลาย ไม่ใช่เหรอคะ...?) เราว่ามันหนักมากเลยนะคะ เพราะแกรมม่าญป.นี่จัดว่ายาก เต็มไปด้วยกฏเยอะแยะมากมายเลยทีเดียว ด้วยความเป็นห่วงจากคนที่เรียนศิลป์ญป.จบม.ปลายแล้วปฏิญาณว่าจะไม่ข้องเกี่ยวกับมันอีกชั่วชีวิตค่ะ 555555555555

0
Nirun Kramer 28 พ.ค. 61 เวลา 02:28 น. 4

สวัสดีค่ะรุ่นพี่ ขอเรียกอย่างนี้เลยแล้วกันนะคะ เพราะหนูเป็น dek61 ที่ติดอักษรศาสตร์ ศิลปากรแล้วค่ะ หนูค่อนข้างกังวลเรื่องสังคมในระดับหนึ่งเลยค่ะ หนูอยากมีเพื่อนเยอะ ๆ รู้จักคนเยอะ ๆ นะคะ แต่ทักษะในการเข้าสังคมและความกล้าในการคุยกับคนแปลกหน้าของหนูต่ำมากถึงมากที่สุดเลยค่ะ... ขนาดเพื่อนที่มีอยู่ตอนม.ปลายยังไม่มีใครที่หนูทักก่อนเลยสักคน ชิน+ชอบอยู่คนเดียวจนพอต้องเข้าสังคมกับคนอื่นนี่หนูไปไม่เป็นแล้วค่ะ...Orz แถมนี่เครียดล่วงหน้าแล้วค่ะเพราะอยู่เอกรวม กลัวไม่ได้เอกอิ้งที่อยากได้ แต่ตั้งใจไว้แล้วว่าถ้าพลาดก็คงยอมจบช้าเพื่อจะเอาเอกนี้ให้ได้ค่ะ 55 ยังไงหนูก็ขอฝากเนื้อฝากตัวเป็นรุ่นน้องของพี่ด้วยนะคะ ^___^

4
YoWayo 29 พ.ค. 61 เวลา 10:54 น. 4-1

เธอๆ เรียกเเบบนี้ได้มั้ย5555เราไม่รู้ชื่อเธออะ เราชื่อวาโยนะ เราก็คิดจะเข้าอักษร ศิลปากรเหมือนกันตอนนี้รอรอบ4อยู่ เเต่ไม่รู้ว่าจะติดมั้ย55555นี่ก็เครียดมากกก เราอยากจะเข้าเอกญี่ปุ่น คิดไว้เหมือนกันว่าถ้าไม่ได้ก็คิดจะจบช้าอะ เราก็กังวลเรื่องสังคมอยู่นิดหน่อยเหมือนกัน ถ้าเราติดคงจะได้เจอกันนะ https://www0.dek-d.com/assets/article/images/sticker/yy-01.png

0
Nirun Kramer 31 พ.ค. 61 เวลา 20:28 น. 4-2

เราชื่อบีมนะ หวังว่าจะได้เจอกันที่มหาลัยนะ แล้วมาเป็นเพื่อนกันนะ :)

0
Nirun Kramer 11 ก.ค. 63 เวลา 06:02 น. 4-4

จริง ๆ คือลืมไปแล้ว 555555 เราไม่เคยเจอคนที่ชื่อวาโยนะคะ 55

0
Dreamiize 1 ส.ค. 62 เวลา 06:41 น. 5

พี่เรียนคณะอะไรเหรอครับ ผมก็อยากเข้าศิลปากรเหมือนกัน ว่าตะไป ทับแก้ววิชาการปีนี้ด้วย อยากมีรุ่นพี่พาทัวร์ครับ5555

0