Dek-D.com ใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสบการณ์ของ
ผู้ใช้ให้ดียิ่งขึ้น เรียนรู้เพิ่มเติมที่นี่
ยอมรับ

(รีวิว) สอบติดแพทยศาสตร์ จุฬาฯ แบบไม่เรียนพิเศษตลอดชีวิต ~ dek62 - dek 99 ต้องอ่านค่ะ!!

ตั้งกระทู้ใหม่
ตั้งกระทู้ใหม่

สวัสดีค่ะ เราคือ dek61 ที่น้องๆตามกันมาจากทวิตเตอร์ (ใช่ คนนั้นนั่นแหละ//แล้วใครล่ะ) ยินดีที่ได้รู้จักน้า วันนี้เราจะมารีวิววิธีเตรียมตัวเพื่อสอบเข้าคณะแพทยศาสตร์ของพี่เอง ขอบอกว่าเลยว่าวิธีของพี่นั้นแปลกและชิลล์ผิดปกติจากคนอื่นๆมาก และไม่สามารถยืนยันได้100% ว่าจะได้ผลกับคนอื่นหรือไม่ ตอนแรกเลยชั่งใจว่าจะเขียนหรือไม่เขียนดี สรุปตอนนี้พี่เลือกจะเขียนเพราะอยากเป็นกำลังใจให้น้องที่ไม่ได้เรียนพิเศษหรือมีวิธีเรียนแบบชิลล์ๆ ไม่หักโหมเหมือนคนอื่น รวมถึงน้องๆที่อยากได้วิธีเรียนใหม่ๆไว้ปรับใช้กับตัวเอง และมาถึงวันนี้พี่คิดว่าหากน้องๆที่รู้ตัวว่าต้องเรียนหนัก แต่เครียดและรับไม่ไหว ถ้าได้ลองอ่านกระทู้นี้ดูน้องจะสามารถหาจุดที่เป็นตรงกลางของน้องได้แน่นอน เริ่มกันเลย

สิ่งที่น้องต้องมีก่อนสอบ และเป็นสิ่งที่ทำให้พี่มาถึงตรงนี้ได้แบบไม่เหนื่อยมาก
 

ร่างกายที่แข็งแรง ไม่ใช่ยกรถได้นะน้อง แค่ไม่เจ็บป่วยช่วงสอบพอ

ความฝันและจุดมุ่งหมาย น้องควรจะเจอมันก่อนปิดเทอมขึ้นม.6 และมันต้องอยู่บนความเป็นไปได้นะคะ

การวางแผนที่รัดกุม น้องต้องรู้ว่าคณะที่น้องจะเข้าต้องสอบอะไรบ้าง สถานการณ์การแข่งขันเป็นอย่างไร และจัดตารางชีวิตตามนั้น

ความรู้ที่เพียงพอ

กำลังใจ

วินัยในตัวเอง อันนี้ไม่มีไม่ได้จริงๆ เพราะมันเป็นสิ่งเดียวที่ทำให้พี่รู้สึกว่าตัวเองเรียนสู้คนที่เค้าเรียนหนักๆได้

อันนี้เป็นปัจจัยที่พี่มี จะได้เข้าใจธรรมชาติของพี่ก่อนอ่านเนอะ 

ปัจจัยของพี่

มีคนบอกว่าพี่หัวไวมาก เรียนรอบเดียวก็เข้าใจแล้ว อันนี้ถามเพื่อนพี่ได้ แต่….

พี่โคตรรรรรรขี้เกียจและจน สุดๆอะหาตัวจับยาก เหมือนพระเจ้าให้สมองมาแต่ไม่ให้โมติเวชั่นกับเงินมา และท่าทางพี่ไม่ค่อยสำนึกด้วย55

แต่พี่มีวินัยและเจ้าแผนการมากกกกก เป็นคนจริตแปลกๆ เวลามีกฎจะเป๊ะมาก พอไม่มีคือเหลวแหลก ไม่มีใครเรียนดีโดยไม่ทำอะไรจริงๆ

พี่เรียนโรงเรียนที่สอนยากอันดับต้นๆของประเทศมาตลอด อนุบาลสุธีธร (เด็กแข่งจะรู้จักดี) สาธิตปทุมวัน แล้วก็ เตรียมอุดม

รูทีนทั่วไปที่น้องควรทำในการเรียน

1. เตรียมตัวก่อนเรียนเสมอ ก่อนน้องๆจะเปิดเทอมน้องควรทำความเข้าใจเนื้อหาที่จะเรียนก่อน ไม่ต้องเข้าใจ 100% ก็ได้ แค่รู้ว่าความจริงเรื่องที่เราเรียนมันพูดถึงอะไร ต้องรู้อะไรบ้าง มันยากไหม ถ้ามันยาก ไม่เข้าใจจริงๆ ต้องลงเรียนพิเศษอะไรบ้าง ที่ไหนบ้าง พี่ก็มีวิธีการเตรียมตัวก่อนเรียนของพี่มานำเสนอ คืออย่างแรกพี่จะดูหลักสูตรก่อนว่าเรียนอะไรบ้าง วิชาอะไร จากนั้นถ้าไม่มีหนังสือก็ไปซื้อหนังสือพวกสรุปเนื้อหาแล้วก็แบบฝึกหัด  เสร็จแล้วพี่จะมาเปิดๆดูว่าเรื่องมันเกี่ยวกับอะไรบ้างแล้วก็จัดตารางเรียนตอนปิดเทอม โดยพี่จะเรียนจากคลิปตามยูทูป พวกออมสคูลไม่ก็พวกติวเตอร์ต่างๆที่ใจดีอัดคลิปสอนเป็นวิทยาทานให้ ปกติวิชาที่พี่จะเรียนตอนปิดเทอมก็คือวิชาที่พี่ไม่ถนัดอะแหละ ก็คือ เลข ฟิสิกส์ เคมี ตอนปิดเทอมม.4 ขึ้นม.5 หรือช่วงปิดเทอมเล็ก ที่ไม่ใช่ปิดเทอมเล็ก ม.6 พี่ก็จัดตารางเรียนเป็น 4 ชั่วโมงต่อวัน วันละวิชา ไล่ไปเรื่อยๆ ถ้าน้องกลัวจะมีบางวิชาไม่ได้เตรียมตัวก่อนเพราะเวลาไม่พอ ก็จัดเป็นวันละ 2 วิชาก็ได้ พอปิดเทอม ม.5 – ม.6 พี่ก็เพิ่มเวลาเป็น 6 ชั่วโมง ปิดเทอมเล็ก ม.6 ก็ 6 – 8 ชั่วโมง  สังเกตได้ว่าต่อวันนี่มันไม่ได้เยอะอะไรเลย ปกติแค่ 4 เอง พี่มีเวลาทำงานอดิเรกได้เยอะมากเลย พอจะสอบก็ต้องปรับให้มากขึ้น ค่อยๆปรับไปทีละนิดเดี๋ยวก็ชินไปเอง

ตัวอย่างหนังสือที่พี่ใช้

คณิตศาสตร์

ฟิสิกส์

เนื้อหาและโจทย์

เคมี

ชีวะ

สังคม

ภาษาอังกฤษ

Link ตัวอย่างคลิปสอนออนไลน์ที่พี่ใช้

คณิตศาสตร์

บทเรียนคณิตศาสตร์ (คลิปยาวมาก แต่สอนเข้าใจสุดๆเลย)

https://www.youtube.com/channel/UCtT60ezuvy72JBDbgKthykw

ฟิสิกส์

บทเรียน และโจทย์ต่างๆ

https://www.youtube.com/user/physicskoake

https://www.youtube.com/watch?v=kSf_962XvG0&list=PL_iRSc0r8KOot5OBXDEwkxi5KEqYBQxun

เคมี

บทเรียนเคมี

https://www.youtube.com/watch?v=ukzydIyRsuE&list=PLRTCpiAcZ3xRpXYGV0i5ydbjanb2TxAjc

เฉลยโจทย์ 9 วิชาสามัญ

https://www.youtube.com/channel/UCHoubz8LU5o4xcHw2D4wMbA

รวมหลายๆวิชา

หาคลิป สอนศาสตร์ ของทรูปลูกปัญญาดูค่ะ จะมีพี่ๆติวเตอร์ดังๆมาสอนให้เพียบเลย

2. ตั้งใจเรียนในห้อง ข้อนี้สำคัญมากๆ เพราะถ้าบวกกับข้อ 1 แล้วจะทำให้เราเข้าใจพื้นฐานแต่ละวิชาและจดจำมันได้นานขึ้น ยิ่งถ้าโรงเรียนของน้องมีการเรียนการสอนที่ยากอยู่แล้ว ยิ่งดีสำหรับการสอบเข้าแม้จะไม่ดีกับเกรดจบก็เถอะ ถามว่าตั้งใจเรียนต้องทำอย่างไร อย่างพี่ ก็แค่โฟกัสกับที่ครูสอน ไม่หลุดช่วงสำคัญ จดตามตลอด (อยากให้ลองแยกประสาท จดไปด้วยฟังเลกเชอร์ไปด้วยแล้วคาบนึงจะได้อะไรเยอะมากกก) ไม่คุยเยอะ ไม่เล่นโทรศัพท์ พยายามมี interaction กับครูตลอดเพราะมันทำให้เราตื่นตัว ไม่ง่วง เข้าร่วมกิจกรรมต่างๆที่ส่งเสริมการสอนไม่ว่ามันจะติ๊งต๊องขนาดไหน เช่นเล่นเกม เพราะมันทำให้เราจำบางอย่างฝังลึกได้อย่างไม่รู้ตัว ตรงไหนไม่เข้าใจก็ถามครูนอกรอบ ถ้าทำได้แบบนี้ เวลาอ่านทวนน้องก็ไม่ต้องอ่านหนักมาก ทั้งยังลดภาระการเรียนพิเศษได้ด้วย 

ถ้าโรงเรียนสอนง่ายมากกกก น้องจะทำอย่างไร?

น้องก็ต้องตั้งใจเหมือนกันค่ะ ถึงมันจะง่ายมากก็ตาม ให้น้องลองเอาหนังสือที่เรียนเองนั่นแหละไปใช้ประกอบการเรียนด้วย แล้วถ้าคิดว่าวิชาไหนมันไม่เพียงพอจริงๆ ค่อยหาคลิปในยูทูปดู (จริงๆพี่ว่ามันโอเคมากนะ ระดับแบบสอบเก้าวิชาได้สบายๆอะ) ถ้าไม่พอจริงๆก็นั่นแหละ หาติวเตอร์เอาจร้า

3. ทำการบ้านเองและหมั่นทบทวนเนื้อหาที่เรียนมา โดยเฉพาะการบ้านที่มีสาระ (ไม่ใช่ว่าไม่ทำการบ้านที่น้องมองว่าไม่ได้จำเป็นนะ เพราะมันเป็นหน้าที่) อย่าพยายามลอกเพื่อน เพราะมันคือโอกาสสำคัญที่จะได้ฝึกพื้นฐานตัวเองและทบทวนวิชาที่เรียนไปแต่ละวันด้วย แล้วก็อย่าลืมทวนสิ่งที่เรียนมาด้วย ซึ่งแต่ละคนก็จะมีวิธีของตัวเอง หลายๆเจ้าจะบอกให้ทำสรุป อันนี้แล้วแต่น้องเพราะพี่ไม่เคยทำสรุปเลย 5555 พี่ขี้เกียจเกินไป เอาเป็นว่าให้รู้สึกว่ามันย้ำเข้าหัวไปก็โอเคละ

 **** 4. เรียนพิเศษ ข้อนี้น้องไม่จำเป็นต้องทำถ้ามันเป็นวิชาที่โรงเรียนก็สอนไปแล้ว ละก็เรียนเองอ่านเองแล้วพอเข้าใจชนิดที่แบบเราเติมเองได้ ถึงต้องพยายามเยอะหน่อย ถ้าน้องไม่เข้าใจเลย หรือคิดว่าวิชาไหนไม่ไหวจริงๆ ก็ไปเรียนได้นะคะ การเรียนพิเศษไม่ได้ผิดเลย มันดีด้วยซ้ำนะพี่ว่า แค่ไม่ต้องลงทุกคอร์สให้หักโหมก็พอ อย่างพี่ก็ไปเรียนคอร์สความถนัดแพทย์เพื่อดูพาร์ทเชื่อมโยงที่ไม่รู้ทำไงดีเหมือนกัน (หัวข้อมันก็แอบเป็น clickbait อะแหละ พี่ขอโทษ) ปรากฎว่าการเรียนพิเศษครั้งแรกและครั้งสุดท้ายของพี่ได้ประสบการณ์ดีๆ มาเพียบเลย 

5. ทำกิจกรรมและสนุกกับชีวิต นี่ไม่ได้ล้อเล่น ตรงนี้สำคัญมาก นอกจากหากิจกรรมทำเก็บเป็นประสบการณ์และพอร์ตสวยๆ นอกควรหางานอดิเรกและใช้ชีวิตในแต่ละช่วงให้เต็มที่ เพราะในตอนที่น้องจะสอบเข้ามันจะมีความคิดแปลกๆไหลเข้ามาในหัวตลอด แบบยอดนิยมคือความคิดสไตล์ ถ้าตอนนั้นชั้นทำกิจกรรมเยอะๆก็ดี ถ้าตอนนั้นชั้นใช้เวลาให้เต็มที่กว่านี้ ไม่เครียดมาตั้งแต่ตอนนั้นก็คงดี จำไว้ว่าตอนจะสอบมันเครียดอยู่แล้วล่ะ เพราะฉะนั้นเก็บไปเครียดช่วงจะสอบดีกว่า มีความสุขกับชีวิตเสมอ ใช้ชีวิตตามไลฟ์สไตล์ตัวเอง พี่ไม่เคยรู้สึกเสียดายเวลาชีวิตตอนอยู่ม.ปลายเลย พี่ได้ทำหลายอย่างมาก ทั้งเป็นประธานชมรม จัดการแข่งขัน ออกไปแข่งนอกโรงเรียน ร้องเพลงเดี่ยว วาดรูป เป็นติ่งต่างๆ ลองทำนู่นดีนั่น ดีบ้างไม่ดีบ้างเป็นสีสันชีวิต 555 

อยากเล่าช่วงชีวิต ม.ปลายของพี่ คือ พี่อยู่เตรียมอุดม ซึ่งแค่เรียนในห้องนี่ก็ยากอยู่แล้ว สอบแต่ละทีนี่ทำลายพลังงานชีวิตมากน้องเอ๋ย เลยต้องหาอะไรทำไม่ให้เครียด แต่ด้วยธรรมชาติของพี่ที่เป็นคนจริงจังมาก แถมยังแบกรับความกดดันที่ตัวเองสร้างขึ้นเองจากการรับผิดชอบอะไรมากและความแตกต่างจากชาวบ้านที่เขาเรียนพิเศษกันหนักๆ ทำให้ช่วงม.5 พี่เครียดมาก ร้องไห้ทุกสัปดาห์ ลำบากพ่อแม่กับเพื่อนต้องคอยปลอบตลอด พี่เลยหาอะไรทำให้รู้สึกดีขึ้น จนมาเจออนิเมะที่ทำให้รู้สึกดี คือมันตลกมากและสร้างพลังบวกให้ชีวิตพี่จริงๆ หลังจากมาติ่งเรื่องนี้ พี่มีกำลังในชีวิตขึ้นจริงๆ ม.6 ที่ควรจะเครียดมาก พี่กลับรู้สึกผ่อนคลายเพราะอีเรื่องนี้แหละมีส่วนเลย 555 ก่อนเข้าห้องสอบวิชาสามัญพี่ยังเปิดหน้าพระเอกกะพระรองของเรื่องเสริมกำลังใจเลย 555 (ใครอยากรู้เรื่องอะไร มันคือเรื่องที่พระเอกผมสีเงินเกรียนๆอะ ใบ้ให้ละ) และพี่ไม่ได้ติ่งแค่นี้นะ พี่ติ่งศิลปินค่ายจอห์นนี่ส์ของญี่ปุ่นอีก 555 พ่อแม่พี่ก็เข้าใจด้วยแหละ ที่จะบอกคือ น้องควรหาสิ่งที่ทำให้สบายใจอะ ยิ่งช่วงสอบนะ มันสำคัญจริงๆ มันจะช่วยกู้ความรู้สึกน้องได้แบบไม่น่าเชื่อ ดังนั้นไม่ต้องทิ้งเรื่องติ่งไป แค่ลดเรื่องการไปตามรอย หรืออะไรที่มันหนักๆลง แบ่งเวลาติ่งหรือเวลาเล่นแล้วชีวิตจะลงตัว

ที่ต้องอธิบายเรื่องช่วงก่อนสอบนานเพราะมันจำเป็นมากน้อง คือพี่ได้บุญเก่าจากการตั้งใจเรียนเนี่ยแหละ 555 เวลาหลังเลิกนี่ขี้เกียจมากมาย

ต่อไปจะเป็นช่วงสอบนะคะ

1. จัดตารางเวลาวางแผนชีวิต น้องต้องวางแผนเป็นช่วงกว้างๆเลยล่ะว่าต่อไปนี้จะทำอะไรก่อนหลัง เดี๋ยวพี่จะกางแพลนของพี่ให้ดู

ปิดเทอมใหญ่ ม.5-6 จัดการเนื้อหา ม.6 ให้หมดก่อน ใช้เวลา 5-6 ชม. ต่อวัน

ระหว่างเทอม 1 ม.6 หาเรื่องที่ไม่ถนัดแล้วเติมช่วงเสาร์ อาทิตย์ วันธรรมดา ทบทวนบทเรียน ลงเรียนคอร์สความถนัดแพทย์ทุกวันศุกร์

ปิดเทอมเล็ก ทำข้อสอบวิชาสามัญเก่ารอบแรก และเติมจุดที่ไม่ได้ 6-7 ชม. ต่อวัน

ระหว่างเทอม 2 ม.6 หาเรื่องที่ไม่ถนัดแล้วเติมช่วงเสาร์ อาทิตย์ วันธรรมดาก็ทำการบ้าน ทบทวนบทเรียน ลงเรียนคอร์สความถนัดแพทย์ทุกวันศุกร์

ก่อนสอบแกทแพท มีเวลา 7 วัน หาโจทย์ทำ (พี่ไม่ได้ใช้แกทแพท ถ้าน้องใช้ควรเตรียมตัวทำข้อสอบตั้งแต่ปิดเทอมเล็ก) 

ก่อนสอบโอเนต มีเวลา 7 วัน ของพี่โอเนตมันง่ายก็เลยทำวิชาสามัญรอบสองไปเลย แล้วค่อยหาโจทย์โอเนตมาทำสักสองวัน

ก่อนสอบความถนัดแพทย์ มีเวลา 7 วัน ทำวิชาสามัญ 3 วัน วิชาเฉพาะ 4 วัน

ก่อนสอบวิชาสามัญ มีเวลา 8 วัน ทำวิชาสามัญเหมือนจริง

2. ลงเรียนความถนัดแพทย์ หรือวิชาเฉพาะต่างๆ จริงๆมันก็ optional นะ อันนี้โรงเรียนไม่มีสอนใช่ปะ ไปลองหาเรียนดูเพื่อความแน่ใจก็ได้ พี่เรียนของออนดีมานด์ ก็โอเคนะ แค่ของปีพี่มันออกแหวกแนวเดิมมาก คะแนนก็เลยไม่ค่อยสวยเลย ละของออนดีมานด์เค้ามีสอบจำลองด้วย ในราคาเกือบ 7000 ตอนแรกพี่ก็ตกใจนะ ไม่เคยเสียตังค์เยอะแบบนี้เลย พอมาวันนี้รู้สึกว่าคุ้มใช้ได้เลย เรียนแล้วกอย่าลืมทบทวนและทำโจทย์อย่างสม่ำเสมอนะ

3. ทำข้อสอบเก่า แหล่งหาข้อสอบเก่ามีมากมายน้อง ลองหาในเนตเอาอะ มีหมดจริงๆ มีเฉลยด้วยซ้ำ ถ้าอย่างวิชาสามัญปีพี่มี 6 ปีย้อนหลัง พี่เลยทำสามชุดแรกแบบไม่จับเวลาก่อน อีกสามชุดค่อยจับเวลาเหมือนจริง ของพี่พอทำเสร็จก็ตรวจเลย ไม่ได้ตรงไหนก็มาร์กไว้แล้วไปอ่านเพิ่ม วิชาสามัญปีนึงจะใช้เวลาประมาณ 2-3 วัน  ส่วนความถนัดแพทย์พี่ใช้วิธีเรียนพิเศษเอา แล้วก็ทำโจทย์บ่อยๆจนนิ่ง (ส่วนใหญ่ก็ใช้เวลาวันศุกร์อะ) 

ของพี่มีอีกวิธีที่จะใช้วัดผลของตัวเอง และปรับตัวให้เข้ากับธรรมชาติของการสอบ นอกจากการเอาข้อสอบเก่ามาทำ คือการสอบจำลองต่างๆ มันจะมีแหล่งสอบหลักๆที่พี่ลองสอบดูคือ

admission premium pre Tcas  

dek d pre Tcas 
mock exam ความถนัดแพทย์ 2 ครั้ง วิชาสามัญ 2 ครั้ง gat pat ของ ondemand (ไม่ต้องลงคอร์สก็สมัครสอบได้) 

4. ตั้งใจเรียนในห้องเหมือนเดิม

5. ดูแลสุขภาพกายและจิตใจ แบบพี่มีตารางออกกำลังกายตั้งแต่ปิดเทอม ม.5 - ม.6 ออกให้แข็งแรง ไม่ป่วย ลากสอบได้ 1 เดือนติด พี่ออกกำลังกายในบ้านเนี่ยแหละ ขี้เกียจออกนอกบ้าน พี่ออก cardio ตามคลิปในยูทูป (พี่ต้องเอาพานไปกราบยูทูปเลยมั้ง 555 ใช้บริการเยอะมากกก) มันได้ผลมากๆ พี่ไม่เจ็บไม่ป่วยเลยตลอด ม.6 แถมน้ำหนักลงด้วย อิอิ ส่วนจิตใจก็อย่างที่บอกน้อง หาอะไรที่สบายใจ คุยกับ พ่อ แม่ พี่ น้อง ครู เพื่อน นักจิตวิทยา ฟิกเกอร์ โปสเตอร์ อะไรก็ได้ที่รู้สึกดี พี่ไม่อยากให้ช่วงเวลาม.6 ของน้องมันเป็นหายไปกับการมานั่งเครียดกับสิ่งที่ยังไม่ถึงน้า ไ่ม่ต้องกดดันตัวเองด้วยการปิดไลน์ เฟส ทวิต หรือเลิกเล่นเกมต่างๆ เพราะมันจะทำให้ข้างในร้อนรุ่มเลยล่ะ จัดเวลา อ่านเสร็จแล้วค่อยเล่น หรือเอาโทรศัพท์ไปวางไกลๆตอนอ่านหนังสือก็ได้

6. ได้เวลาสอบแล้วววววว ก่อนสอบใจเย็นๆ ถ้ารู้สึกกลัว ให้เขียนความรู้สึกตัวเองลงในกระดาษระบายมันออกมาก่อน อย่าไปฝืนบอกว่าตัวเองไม่กังวล บอกไปเลยว่า ใช่ ตอนนี้ฉันกังวลมาก แต่ฉันจะผ่านมันไปให้ได้ แล้วร่างกาย สมอง ทุกอย่างมันจะหายเกร็งเอง (แต่ก่อนพี่กลัววิชาเคมีมาก เกร็งจนสอบตก พอทำแบบนี้พี่ก็คะแนนดีขึ้น) ทำสมาธิ และเริ่มทำข้อสอบ เสร็จวิชานึงก็คือจบ แก้อะไรไม่ได้แล้ว และอย่าพยายามไปถามนู่ถามนี่เกี่ยวกับข้อสอบที่ผ่านไป อันนั้นค่อยทำหลังสอบเสร็จทั้งหมด ไม่งั้นเราจะเครียดมาก ชมนกชมไม้ไปน้อง 555 

จบแล้ววววววว

ช่วงโฆษณาผลสัมฤทธิ์ เปิดชื่อกันไปเลย 5555

สุดท้ายนี้พี่ขอฝากน้องๆว่า ถึงตารางพี่มันจะดูชิลล์แปลกๆ แต่มันไม่ได้หมายถึงว่าน้องจะกินๆนอนๆ แล้วสอบติดหมอหรือคณะในฝันต่างๆได้ น้องอ่านมาถึงตรงนี้น้องน่าจะรู้ว่าพี่ต้องใช้ความพยายามมากในการวางแผนและทำตามแผนแบบที่ไม่มีใครบังคับ พี่อ่านหนังสือและตั้งใจเรียนตลอด แต่วิธีที่พี่นำเสนอ มันเป็นแบบที่ไม่กดดัน ไม่ทำลายสุขภาพกายและจิต แต่ในขณะเดียวกันน้องต้องมีวินัยมากๆ และอย่าเอาตัวเองไปเทียบกับคนอื่นเด็ดขาด เพราะวิธีการและลิมิตคนเราไ่ม่เหมือนกัน อยากให้น้องสู้ๆ เราไม่มีทางตายจากการพยายามมากเกินไปหรอกน้อง ตอนไหนที่น้องรู้สึกว่าไม่ไหวแล้ว หาใครไม่ได้จริงๆ ยังมีพี่อยู่ข้างๆตลอด เข้มแข็งไว้และมีชีวิตอย่างมีความสุขน้า

รักน้องๆทุกคนจ้า heart

twitter : @madakolife (เด็มถามทริคต่างๆได้ ติดตามผลงานศิลปะ ร้องเพลงตั่งต่างได้ แต่ถ้าไม่อยากเป็นติ่งตามพี่อย่าฟอลเด็ดขาด พี่ขี้เกียจสร้างหลายๆแอค ถถถ)

แสดงความคิดเห็น

>

29 ความคิดเห็น

madako-san 12 มิ.ย. 61 เวลา 19:59 น. 1

ขอโทษที่พี่แก้บ่อยนะคะ ฮือวว พี่เพิ่งเคยตั้งกระทู้ นี่ครั้งแรกนะเนี่ย วู้วๆ

0
dek61 12 มิ.ย. 61 เวลา 20:45 น. 3

เพิ่มเติมให้สำหรับคนที่ไม่อยากลงคอร์สความถนัดแพทย์

อันดับแรกต้องรู้ก่อนว่าความถนัดแพทย์มี 3 part ซึ่งแต่ละ part จะมีการเตรียมตัวที่แตกต่างกัน


Part 1: จริยธรรม ช่วงปีหลังๆโดยเฉพาะปีล่าสุดออกแนวเปลี่ยนไปมากจ้า การเรียนพิเศษกับอ่านเองจึงไม่ค่อยต่างกันมาก(เพราะก็ทำไม่ได้เหมือนกัน 555) การเตรียมตัวพาร์ทนี้น้องต้องไปฝึกทำจิตใจให้เป็นคนดีซะ ละก็ใช้ความเป็นผู้ใหญ่ในการตอบ(อย่าคิดไรแบบเด็กๆ) คะแนนเฉลี่ยของพาร์ทนี้ปีนี้ก็ต่ำมาก คิดว่าปีหน้าอาจจะปรับให้ง่ายขึ้นบ้าง

Part 2 : เชาว์ปัญญา อันนี้แนะนำให้ดูพวกแบบทดสอบ IQ โดยมันจะมี 3 แบบคือ มิติสัมพันธ์ เชาว์เลขแบบง่ายๆ ละก็จับใจความ พาร์ทนี้ยากอยู่ละก็เยอะ ต้องฝึกทำให้ทันจ้า แต่พาร์ทนี้ค่อนข้างโหดร้ายเพราะคนที่ IQ น้อยต้องฝึกหนักมากๆเลยกว่าจะได้คะแนนดี


Part 3 : เชื่อมโยง มันจะคล้ายกับ GAT ไทย แต่ว่าจะมีบทความเดียว 20 คำเชื่อมโยง เวลาฝึกเริ่มฝึกจากข้อสอบ GAT ไทยก่อนก็ได้ แนะนำให้ไปดูคลิปสอนใน youtube และก็ฝึก GAT ไทยซ้ำๆจนกว่าจะได้เต็ม ละค่อยมาฝึกข้อสอบความถนัดแพทย์เก่าต่อ หรือใครคิดว่าอยากจะฝึกจากความถนัดแพทย์เลยก็ได้ แต่ต้องทำซ้ำๆจนกว่าจะได้เต็มนะ พอเต็มแล้วก็พอ ไปอ่านวิชาอื่นได้ พอใกล้ๆสอบค่อยมาลองทำดูนิดๆหน่อยๆ


สำหรับคนที่จะอ่านเองก็ลองหาดูแนวโจทย์ได้จากหนังสือความถนัดแพทย์ทั่วไป ละก็อยากให้ลองดูพวกข้อสอบของที่เค้าทำจำลอง(พวก mock exam, dek-d pre ad) จริงๆไปลองสอบดูเลยก็ดีนะ จะได้รู้ว่าตัวเองพลาดอะไร เป็นกำลังใจให้น้องๆทุกคนนะ สู้ๆ

2
SeaMaster 16 มิ.ย. 61 เวลา 00:16 น. 3-2

น้องสาวผมเรียนจบอนุบาลสุธีธรปี 2534 ตอนนั้นผมจำได้ว่ามีการเรียนพิเศษที่โรงเรียนแทบทุกวัน ส่วนตอนใกล้จบป.6 มีการเรียนพิเศษวันเสาร์ด้วย


เห็นกระทู้บอกว่าไม่เรียนพิเศษตลอดชีวิต


ผมเลยอยากทราบว่าตอนเจ้าของกระทู้เรียนที่โรงเรียนอนุบาลสุธีธร ตอนนั้นที่โรงเรียนไม่ได้มีการสอนพิเศษหรือไม่เคยเรียนพิเศษที่โรงเรียนใช่ไหมครับ


ลูกผมปีนี้คะแนนสอบสามารถเข้าแพทย์จุฬาได้ แต่ไม่ได้เลือกแพทย์จุฬา และไม่เคยเรียนอนุบาลสุธีธร


ในโรงเรียนที่ลูกผมเรียน ถ้าบอกว่ามีคนไม่เคยเรียนพิเศษตลอดชีวิต ผมไม่เชื่อเด็ดขาด เพราะทุกคนต้องเคยเรียนพิเศษที่โรงเรียนกันทั้งนั้น

0
madako-san 14 มิ.ย. 61 เวลา 07:42 น. 4-1

ไม่ขนาดกัดก้อนเกลือกินค่ะ555 แต่ยอมรับว่าในสังคมปัจจุบันเรามีไม่เท่าคนอื่นมาก แต่มันก็ไม่ถึงขั้นลำบากในการดำรงชีวิตปกติดี ตอนนั้นมีเงินจ่ายค่าเทอมปกติและค่าเทอมอาจจะถูกกว่าปัจจุบันด้วย เราว่าค่านู่นนี่นั่นที่แพงขึ้นมาคือพวกค่าเรียนพิเศษกับค่าครองชีพปกติมากกว่าค่ะ

0
madako-san 19 มิ.ย. 61 เวลา 13:30 น. 6-1

จริงๆแล้วไอคิวมันไม่ได้ทำให้ต่างกันมากหรอกก แค่ถ้ายังไม่เข้าใจก็อ่านให้มากขึ้น อย่าง จขกท ก็มีเรื่องที่โง่มากๆๆๆๆๆๆๆ แบบเติมยังไงก็ไม่เข้าจยขี้เกียจเติม เลยปล่อยไว้อย่างงั้นเลย 555

 

ความขยัน ความพยายามสำคัญที่สุดต่างหาก สู้ๆ มีอะไรให้เราช่วยบอกได้เลยน้า

0
SeaMaster 16 มิ.ย. 61 เวลา 00:47 น. 7

น้องสาวผมเรียนจบอนุบาลสุธีธรปี 2534 ตอนนั้นผมจำได้ว่ามีการเรียนพิเศษที่โรงเรียนแทบทุกวัน ส่วนตอนใกล้จบป.6 มีการเรียนพิเศษวันเสาร์ด้วย

เห็นกระทู้บอกว่าไม่เรียนพิเศษตลอดชีวิต

ผมเลยอยากทราบว่าตอนเจ้าของกระทู้เรียนที่โรงเรียนอนุบาลสุธีธร ตอนนั้นที่โรงเรียนไม่ได้มีการสอนพิเศษหรือไม่เคยเรียนพิเศษที่โรงเรียนใช่ไหมครับ

ลูกผมปีนี้คะแนนสอบสามารถเข้าแพทย์จุฬาได้ แต่ไม่ได้เลือกแพทย์จุฬา และไม่เคยเรียนอนุบาลสุธีธร

ในโรงเรียนที่ลูกผมเรียน ถ้าบอกว่ามีคนไม่เคยเรียนพิเศษตลอดชีวิต ผมไม่เชื่อเด็ดขาด เพราะทุกคนต้องเคยเรียนพิเศษที่โรงเรียนกันทั้งนั้น

8
fonja 17 มิ.ย. 61 เวลา 06:20 น. 7-1

มายืนยันค่ะว่าคนไม่เรียนพิเศษมีจริงๆ

เป็นคนหนึ่งที่ไม่เคยเรียนพิเศษเลยค่ะ (จริงๆ มีเรียนตอนประถมแต่มันคือชั่วโมงพิเศษสำหรับทำการบ้านค่ะ แค่อยู่รอพ่อแม่มารับ (ไม่ใช่โรงเรียนที่ว่ามาด้วยค่ะ)) ตอนนี้เรียนอยู่ที่จุฬา ที่ผ่านมาอาศัยความขยันกับการวิเคราะห์จับกลุ่มเชื่อมโยงข้อมูลในห้องเรียนค่ะ บางทีตอนก่อนสอบเก็บคะแนนก็จะไม่อ่านหนังสือเพราะข้อมูลมีอยู่ในคลั่งสมองอยู่แล้ว แต่รอเรียกมาใช้ค่ะ แต่การทำโจทย์จะช่วยใส่น้ำมันหล่อลื่นให้สมอง ทำให้เรียกข้อมูลมาได้ไวกว่าไปนั่งนึกในห้องสอบค่ะ

0
SeaMaster 17 มิ.ย. 61 เวลา 09:55 น. 7-2

เรียนคณะแพทย์ใช่หรือไม่ครับ


ตอนเรียนเพื่อรอพ่อแม่มารับ ใกล้สอบปลายภาคหรือว่ากลางภาคเขาไม่ติวข้อสอบให้หรือครับ


ตอนประถม โรงเรียนไม่ได้สอนพิเศษวันเสาร์ให้หรือครับ เห็นมีหลายโรงเรียนสอนพิเศษให้เพื่อจะได้ไปเข้ามัธยมดีๆ เพื่อเป็นชื่อเสียงให้กับโรงเรียน


เห็นหลายโรงเรียนสอนพิเศษเด็ก บางทีเรืยกเด็กมาเข้าค่ายที่โรงเรียน เพื่อจะล่าเหรียญทองวิชาการ


มัธยมก็เห็นหลายโรงเรียนจ้างติวเตอร์ข้างนอกมาสอนเด็กในโรงเรียนนะครับ


หลายโรงเรียนมัธยมก็เรียกเด็กมาเรียนวันเสาร์นะครับ


เคยเข้าค่ายวิชาการไหมครับ หลายโรงเรียนสนับสนุนให้เด็กไปเข้าค่ายวิชาการนะครับ

0
fonja 17 มิ.ย. 61 เวลา 21:46 น. 7-3

ไม่มีติวอะไรทั้งสิ้นเลยค่ะ เป็นการเรียนเพื่อต่อเวลารอพ่อแม่มารับจริงๆ เป็นโรงเรียนประถมแถวบ้านที่ไม่ได้มีชื่ออะไรน่ะค่ะ การสนับสนุนทางการศึกษาเลยอาจจะไม่ได้ดีพอ ส่วนเรื่องค่ายวิชาการส่วนตัวเคยมีโอกาสได้แค่ตอนม.ต้นค่ะ เพราะสมัยนั้นเรียนห้องเรียน gifted วิทยาศาสตร์ โรงเรียนจะมีจัดค่ายให้ปีละครั้ง (3 ปีในม.ต้น) กับค่ายครึ่งวันอีกเทอมละหนหรือปีละหนไม่แน่ใจ เป็นค่ายวิชาการเหมือนกันค่ะ แต่พอขึ้นม.ปลายมาก็ไม่ได้เรียนแล้วค่ะ รู้สึกว่าเปลืองงบผู้กครองไปหน่อย


คิดว่าขึ้นอยู่กับตัวเด็กด้วยค่ะ หนูเองก็มีช่วงที่เบื่อการเรียน ดื้อ ไม่ไหวอยู่เหมือนกัน เพิ่งมาจริงจังกับการเรียนจริงๆ ก็ตอนม.ปลาย อาศัยความรู้เดิม+ปรับพื้นฐานตัวเองให้แน่นก่อน จะเหนื่อยหน่อยเพราะต้องเอาของเก่ากับของใหม่ไปพร้อมกัน ถ้าเด็กพื้นฐานดีแต่แรก(ได้รับการสนับสนุนทางการศึกษาตั้งแต่เนิ่นๆ )ก็จะไม่เหนื่อยแบบนี้ค่ะ สำคัยคือต้องวิเคราะห์ข้อมูลเป็น จัดกลุ่มข้อมูลได้ ฝึกทำแบบฝึกหัดหรือฝึกตั้งคำถามในประเด็นยิบย่อยบ้าง ฝึกการคิดในแง่ว่า "ทำไม" หรือ "ถ้า" บ่อยๆ จะทำให้ข้อมูลถูกดึงมาใช่ได้ง่ายขึ้นค่ะ ตัวหนูเองไม่ได้ต้องการจะอวดความรู้หรือบอกว่าเป็นคนฉลาด แต่จะบอกว่ามันขึ้นอยุ่กับตัวเด็กจริงๆ ว่ารับไหวไหมและต้องการจะรับไหม ส่วนตัวมีแนวคิดว่ายิ่งรู้มากก็ยิ่งดี แถมรู้สึกสนุกกับการคิดวิเคราะห์ด้วยก็เลยชอบการเรียนค่ะ


ปล.ต้องขอโทษด้วยนะคะถ้าทำให้เข้าใจผิดหรือคาดหวัง แต่หนูไม่ได้เรียนแพทย์ค่ะ ตอนที่ตัดสินใจเลือกคณะกลัวว่าถ้าเลือกแพทย์จะเป็นการลดโอกาสที่จะเรียนรู้ของตัวเอง (เพราะในหัวจะมีแต่ข้อมูลทางสายนี้ แค่แพทย์ก็หนักแล้วจะเก็บความรู้สายอื่นคงยากน่ะค่ะ) อีกอย่างคือไม่ชอบอาชีพทางนี้ด้วย ที่เลือกเรียนในระดับป.ตรีก็เลือกที่จบมาพอมีงานทำเป็นหลัก เพื่อหารายได้ไว้เรียนต่อทางด้านที่อยากเรียนน่ะค่ะ แต่สายแพทย์คงไม่เหมาะจริงๆ

0
SeaMaster 17 มิ.ย. 61 เวลา 23:05 น. 7-4

ขอบคุณ คุณ fonja สำหรับคำตอบครับ


สำหรับเจ้าของกระทู้ ช่วยมาตอบหน่อยได้ไหมครับ ขอบคุณล่วงหน้าครับ

0
madako-san 19 มิ.ย. 61 เวลา 13:25 น. 7-5

ต้องขอโทษคุณ sea master ด้วยนะคะที่มาตอบช้า คือ จขกท เพิ่งกลับมาจากค่ายเฟรชชี่หมอค่ะ ไม่ค่อยได้ใช้โทรศัพท์ในค่าย และขอบคุณคุณ fonja ที่ช่วยตอบแทน จขกท นะคะ


เรียนพิเศษที่หนูหมายถึงคือการเรียนพิเศษข้างนอกโรงเรียน แบบไปเรียนกับติวเตอร์ข้างนอกแบบนี้มากกว่าค่ะ


คือตอนจขกทเรียนที่สุธีธร โรงเรียนก็มีการสอนพิเศษวันเสาร์ภายในโรงเรียนค่ะ แต่ หนูไม่ได้เรียนเพราะเดินทางลำบาก ส่วนการจัดติวสำหรับการสอบเข้า อันนั้นหนูไม่นับเพราะไม่ต้องจ่ายเงินค่าเรียนเลย และคุณครูก็เอาโจทย์ต่างๆมาสอนให้ในเวลาเรียนเลยด้วย ทุกคนได้เรียนเหมือนกัน และถ้าคุณ sea master สงสัยเรื่องการติวแข่งขันต่างๆ คือในแต่ละโรงเรียนที่ จขกท เรียน จะมีการติวพิเศษสำหรับแข่งขัน ซึ่งอย่างในอนุบาลสุธีธร จขกท ก็เป็นตัวแทนแข่งขันวิทยาศาสตร์เพราะคุณครูท่านเมตตาให้หนูได้เพิ่มเติมความรู้แบบฟรีๆ ซึ่งมันก็เป็นผลสืบเนื่องมาจากการที่นักเรียนตั้งใจเรียน ทบทวน และทำคะแนนออกมากได้ดีในวิชาวิทยาศาสตร์ค่ะ เรื่องค่ายวิชาการหนูมองว่าไม่ได้เกี่ยวอะไรกับการเรียนพิเศษนะคะ ค่ายคือการเสริมประสบการณ์ด้านต่างๆ ในเชิงปฏิบัติ ซึ่งแตกต่างจากการเรียนพิเศษ เพื่อติวสอบมาก ตอนที่หนูเข้าค่ายวิชาการ ก็เข้ามาจากการไปแข่งนี่แหละค่ะ ส่วนค่ายที่สมัครเองแบบ สอวน หนูก็ไม่ได้เข้า ไม่ใช่เพราะไม่ดีนะคะ แต่หนูอยากใช้เวลาปิดเทอมไปกับงานอดิเรกมากกว่า สรุปคือสิ่งที่คุณ sea master กล่าวมานั้น เป็นสิ่งที่ไม่จำเป็นต้องเสียเงินเพิ่มเติมเพื่อเข้าร่วมเลยค่ะ จะเสียก็แบบค่ากินอยู่ในค่ายนิดหน่อย และที่สำคัญ หนูไม่เคยคิดว่าการเรียนพิเศษเป็นเรื่องที่ผิด แต่หนูไม่ชอบแนวคิดที่เรียนพิเศษไปทุกที่แบบไม่จำเป็น เรียนซ้ำไปซ้ำมา เรียนจนเกินแรงตัวเอง ไม่มีเวลาส่วนตัวหรือทบทวนสิ่งที่เรียน


หนูแค่ต้องการจะบอกว่า มีคนอีกมากที่ไม่ได้เรียนพิเศษ หนูอยากให้ผู้อ่านทุกท่านลองเปิดใจดูว่าในโลกยังมีวิธีการเรียนอีกหลายแบบ ซึ่งไม่มีวิธีการที่ตายตัวหรือถูกผิดหรอกค่ะ หนูอยากจะเป็นกำลังใจให้เพื่อนๆที่มีวิธีการเรียนแบบที่แปลก ไม่แมส ให้ก้าวต่อไปในจุดที่เราโอเคโดยไม่เสียความมั่นใจ


ส่วน คุณ fonja นี่คล้ายๆเราเลยนะคะ 5555 ชื่นชมมากๆเลยที่ชอบศึกษาหาความรู้ด้านอื่นๆอยู่เสมอ จขกท จะเอาใจช่วยให้ผ่านมหาวิทยาลัยไปได้อย่างสวยงามนะคะ


สุดท้ายขอขอบคุณทั้งสองท่านที่ให้ความสนใจในกระทู้ของ จขกท นะคะ หวังว่ากระทู้เล็กๆนี้จะเป็นประโยชน์แก่ทุกท่านไม่มากก็น้อยค่า

0
SeaMaster 19 มิ.ย. 61 เวลา 20:50 น. 7-6

ขอบคุณมากครับสำหรับคำตอบ


ผมเห็นพาดหัวกระทู้ และยิ่งอ่านในรายละเอียดเนื้อเรื่องแล้ว บวกกับรู้จักโรงเรียนอนุบาลสุธีธรดี จึงอดจะตั้งคำถามไม่ได้


ผมทราบอยู่แล้วว่ามันต้องมีอะไรพิเศษอยู่ และทราบอยู่แล้วว่าคำตอบจะออกมาอย่างไร


นิยามคำว่าเรียนพิเศษของผมอาจจะแตกต่าง ซึ่งผมเห็นว่านอกเหนือจากการเรียนชั่วโมงเรียนปกติ หรือสอนหนังสือมากกว่าที่โรงเรียนทั่วไปทำกัน เป็นการเรียนพิเศษ รวมทั้งการเรียนในห้องเรียนวิชาการพิเศษ เช่น ห้องเรียน Gifted หรือเรียนโรงเรียนจุดประสงค์ที่จัดตั้งขึ้นมาพิเศษทางด้านวิชาการ การเข้าค่ายวิชาการ รวมทั้งเรียนวิชาการในชั่วโมงเรียนปกติแต่ผู้สอนไม่ใช่บุคลากรของโรงเรียน เข่นจ้างอาจารย์พิเศษหรือติวเตอร์หรืออาจารย์มหาวิทยาลัยมาสอน


อาจจะคนอื่นที่เห็นต่าง คำว่าพิเศษ ผมมองข้อเท็จจริงจากการปฏิบัติที่พิเศษครับ


0
madako-san 20 มิ.ย. 61 เวลา 12:08 น. 7-7

ขออนุญาตอธิบายเพื่อความเข้าใจที่ถูกต้องนะคะ คือโรงเรียนอนุบาลสุธีธรไม่มีการจ้างครูข้างนอกเข้ามาสอน ทั้งหมดเป็นความสามารถของครูในโรงเรียนทั้งนั้นและเรียนในเวลาค่ะ ส่วนที่ไม่ได้เรียนในเวลาก็เพราะต้องสอบแข่งขันค่ะ ซึ่งทุกคนก็สามารถเรียนได้โดยไม่ใช้เงิน ยังไง จขกท จะขอยืนยันว่า โรงเรียนอนุบาลสุธีธรเป็นโรงเรียนที่ดีและใส่ใจนักเรียนทุกๆคนโดยแทบไม่พึ่งพาทรัพยากรจากภายนอกเลย 


จากกระทู้หนูอาจจะดูไร้สาระจนทำให้ไม่เชื่อใช่ไหมคะว่าเป็นคนที่เรียนแต่ในห้อง 5555 พอเรียนในห้องได้ดีครูก็เมตตาให้สิทธิ์ติวไปแข่งขัน ทั้งหมดมันเกิดจากการเรียนแค่ในห้องและทบทวน ถึงคุณไม่เคยต้องจ่ายเงินเพิ่มหรือไปเรียนนนอกเวลามาก่อนคุณก็มีสิทธิ์ต่อยอดได้ หนูไม่มีเจตนาหรือความลับอะไรแอบแฝงอยู่จริงๆค่ะ หนูไม่ได้หวังว่ามีใครมาเข้าใจด้วย เพราะมีคนแบบหนูน้อยจริงๆ (ไปบอกกับใครเขาก็หาว่าโกหกอยู่แล้วค่ะ 555) แต่หนูเชื่อว่าถ้าเพื่อนๆหรือรุ่นน้องมีความพยายามและนำวิธีของหนูไปปรับใช้ ไม่ว่าจะอยู่โรงเรียนอะไร มีปัจจัยต่างกันอย่างไร หรืออาจต้องเรียนพิเศษหรือเข้าโครงการพิเศษต่างๆอย่างที่คุณว่าเพราะปัจจัยของคนเรามันไม่เหมือนกัน หนูเชื่อว่าทุกคนจะมีอนาคตที่สวยงามอย่างที่ตั้งใจแน่ๆ

0
SeaMaster 20 มิ.ย. 61 เวลา 12:26 น. 7-8

นิยามคำว่า พิเศษ และ เรียนพิเศษ ผมกล่าวโดยรวม ไม่เฉพาะเจาะจงไปที่โรงเรียนใดโรงเรียนหนึ่ง


ใครจะเห็นด้วยหรือไม่ ขึ้นอยู่ที่วิจารณญาณของแต่ละบุคคลครับ


การปฏิบัติใดก็ตาม ที่มากเกินกว่าปกติที่ทั่วไปพึงปฏิบัติ ผมถือว่าเป็นพิเศษครับ เช่นการเรียนใดที่มากกว่าการเรียนปกติ ถือว่าเป็นการเรียนพิเศษ

เรื่องจะฟรีหรือเสียเงิน ผมไม่ได้มองเป็นประเด็นครับ

0
chomerlatix 16 มิ.ย. 61 เวลา 14:06 น. 8

ชอบๆนี่ก็ไม่เรียนพิเศษเหมือนกันอ่านเอง แต่ที่ต่างกับเธอคือยังไม่ติด 55555555

1
madako-san 19 มิ.ย. 61 เวลา 13:27 น. 9-1

น้องลองหาเรื่อง กินทามะ gintama ดูค่ะ ถึงมันจะทะลึ่งแต่มันดีจริงๆ โครงเรื่องมันน่ารัก อบอุ่นใจ เสริมกำลังใจมากเลย ระวังจะติดโงหัวไม่ขึ้นน้า แหะๆ

0
Asoon777 7 ส.ค. 61 เวลา 00:37 น. 9-2

ว่าแล้ววว พระเอกหัวเงินนิสัยเกรียนๆ

FCคุณกินเหมือนกัน อิอิ

0
madako-san 19 ก.ย. 61 เวลา 17:55 น. 9-3

กริส มาคุยกันได้น้าา เรื่องนี่ถนัดกว่าเรียนอีก // เดี๋ยวนะ...

0
mteureaka 1 ส.ค. 61 เวลา 21:51 น. 11

พี่คะ คือหนูอยู่ ตอ ม.5 เครียดมากๆ พึ่งสอบซัมไป พอมาอ่านกระทู้พี่แล้วมีกำลังใจขึ้นมากๆค่ะ ม.5 คือเครียดมากๆจนบางทีก็คิดว่าจะทำได้มั้ยสอบเข้า มหาลัยเนี่ย แต่พอมาอ่านกระทู้พี่ละรู้สึกอยากลองพยายามดูใหม่ ขอบคุณมากเลยนะคะ

1
madako-san 5 ส.ค. 61 เวลา 12:08 น. 11-1

สู้ๆน้า อย่าไปหมดหวัง ถ้าเราพยายามเราทำได้อยู่แล้ว สอบซัมม. 5 เทอม 1 ตอนพี่ พี่ก็ช็อกเหมือนกันค่ะ เป็นช่วงที่ท้อเลย แต่ความจริงพอย้อนกลับมาคิดดูคือ มันยากจริงๆ 555 ถ้าน้องเรียนเข้าใจแล้วก็ทบทวนมัน ก็ทำข้อสอบมหาลัยได้ละค่ะ

0
Sora 4 ส.ค. 61 เวลา 19:44 น. 12

ช่วยชี้ทางสว่าง สังคม กับ อังกฤษ หน่อยครับ สังคมแตะเลข8 นี่เก่งมากๆๆเลยครับ ไม่รู้จะจัดการกับวิชานี้ยังไงดี อังกฤษด้วยนะครับ

ขอบคุณครับ

0
38498 9 ต.ค. 61 เวลา 18:12 น. 15

จขกท.เก่งจังเลยค้า

มีเรื่องจะถามมม คือเวลาเราทำโจทย์ไม่ได้ทั้งๆที่เรียนมาเเล้ว จขกท มีวิธีจัดการยังไงคะ เราท้อมากเลย ขนาดทวนเเล้วนะ

0
YaYee 💫 3 ธ.ค. 61 เวลา 23:59 น. 16

พี่คะ ตอนนี้เวลาที่อ่านหนังสือเหลือไม่มากแล้วแต่หนูพื้นฐานยังไม่ดีเลย เคยไม่รู้ว่าสูตรนี้ใช้ยังไง เหมือนที่เรียนมาเท่า 0 หนูควรเริ่มยังไงดี เครียดสุดๆเลย จะเริ่มทำโจทย์ก็ไม่ได้ เนื้อหายังไม่แน่นพอ

0
ลุงแก่ๆ 31 ธ.ค. 61 เวลา 00:04 น. 17

เด็กเตรียมฯติดแพทย์เรื่องปกติครับ ก็ขอชื่นชม แต่โดยส่วนตัวรู้สึกจะภูมิใจกับน้องๆที่ไม่ได้เรียนเตรียมมากกว่าครับ

0
น้องๆควรอ่านเมนต์นี้ 17 ม.ค. 62 เวลา 23:58 น. 18

อัพเดตสำหรับคนที่มาอ่านกระทู้นี้หลังจากปี 62 นะครับ วิชาคณิตที่ จขกท.ได้มาโพสต์แนะนำ นับตั้งแต่ปี62เป็นต้นไปดูฟรีไม่ได้แล้วครับ เว้นแต่ว่าจะไปสั่งซื้อเอกสารจากทาง คณิต อ.เอ๋ ครับ เนื้อหากระทู้แนะแนวไว้ดีมากเลยแต่เสียดายที่มันแนะแนวให้กับรุ่นน้องไม่ได้แบบคงทนถาวรครับ

-ถ้าใครเข้าใจภาษาอังกฤษ สามารถฟัง เขียน อ่านอังกฤษรู้เรื่องแนะนำลองKhan Academyครับ มีเนื้อหาครบนะ ปัจจุบันมีซับไทยแล้วด้วย ข้อเสียก็แค่ตัวเว็บมันออกแบบหลักสูตรมาให้เด็กฝั่งเมกาเรียน คนที่เข้ามาแรกๆเลยงงครับ แต่ว่าถ้าลองเปิดเนื้อหาเทียบกับหลักสูตรไทยดูแล้วลองเรียนไล่ลำดับเองจะโอเคขึ้น เพราะการเรียนกับKhan Academyเค้าเน้นให้มีพื้นฐานในเนื้อหาคณิตส่วนนั้นให้แน่นๆก่อนแล้วค่อยไต่ระดับครับ เนื้อหาที่เราเข้าใจแล้วก็ปล่อยได้ แต่ส่วนไหนที่ยังงงๆก็ควรไปลองค้นอากู๋เพิ่มเติมดูก็ได้ครับ

-แนะนำเว็บ rath center http://www.rathcenter.com/ เพราะเค้ามีแบบฝึกหัดย้อนหลังของปีก่อนๆและเรียงแบบฝึกหัดตามเนื้อหาไล่จากง่ายไปยากด้วย เหมาะกับการฝึกฝนครับ

-ส่วนในกรณีเรียนเองละเจอโจทย์แต่ถามใครก็ไม่ได้ ถามอากู๋แล้วก็ไม่เจอ แนะนำกลุ่ม"คณิตมัธยมปลาย"ครับ กลุ่มนี้มีเซียนคณิตฯเพียบ โจทย์ข้อไหนได้คำตอบยังไง ตีโจทย์ไม่แตก ลองไปขอคำปรึกษาได้ครับ


0
Nabea 12 ก.พ. 62 เวลา 23:50 น. 19

ถ้าน้องไม่ได้อยู่ รร.ชั้นแนวหน้าของประเทศ หรือได้เกรดไม่ได้สูงกว่า 3.7 ขอแนะนำนะครับว่าอย่าเสี่ยงอ่านหนังสือเองโดยไม่ได้เรียนกวดวิชาอย่างเด็ดขาด เพราะน้องจะเสียเวลามาก และไม่ได้เทคนิคการทำโจทย์ให้ไวจะทำให้น้องเสียเปรียบในการสอบ ขนาดเด็กเตรียมอย่างเราๆยังต้องเรียนพิเศษเพิ่มเติมเลย มีส่วนน้อยที่ไม่ต้องเรียนกวดวิชาแล้วติดแพทย์ จะเป็นพวกห้อง คิง ควีน หรือลำดับต้นๆของห้องคละ อะไรประมาณนี้ ทางที่ดีหาที่เรียนให่้เหมาะสมกับตัวเองจะดีกว่า เพื่อให้ได้ความชำนาญและความมั่นใจในการสอบ

0

ความคิดเห็นนี้ถูกลบ

ถูกลบโดยเจ้าของความเห็น