(รีวิว) สอบติดแพทยศาสตร์ จุฬาฯ แบบไม่เรียนพิเศษตลอดชีวิต ~ dek62 - dek 99 ต้องอ่านค่ะ!!
สวัสดีค่ะ เราคือ dek61 ที่น้องๆตามกันมาจากทวิตเตอร์ (ใช่ คนนั้นนั่นแหละ//แล้วใครล่ะ) ยินดีที่ได้รู้จักน้า วันนี้เราจะมารีวิววิธีเตรียมตัวเพื่อสอบเข้าคณะแพทยศาสตร์ของพี่เอง ขอบอกว่าเลยว่าวิธีของพี่นั้นแปลกและชิลล์ผิดปกติจากคนอื่นๆมาก และไม่สามารถยืนยันได้100% ว่าจะได้ผลกับคนอื่นหรือไม่ ตอนแรกเลยชั่งใจว่าจะเขียนหรือไม่เขียนดี สรุปตอนนี้พี่เลือกจะเขียนเพราะอยากเป็นกำลังใจให้น้องที่ไม่ได้เรียนพิเศษหรือมีวิธีเรียนแบบชิลล์ๆ ไม่หักโหมเหมือนคนอื่น รวมถึงน้องๆที่อยากได้วิธีเรียนใหม่ๆไว้ปรับใช้กับตัวเอง และมาถึงวันนี้พี่คิดว่าหากน้องๆที่รู้ตัวว่าต้องเรียนหนัก แต่เครียดและรับไม่ไหว ถ้าได้ลองอ่านกระทู้นี้ดูน้องจะสามารถหาจุดที่เป็นตรงกลางของน้องได้แน่นอน เริ่มกันเลย
สิ่งที่น้องต้องมีก่อนสอบ และเป็นสิ่งที่ทำให้พี่มาถึงตรงนี้ได้แบบไม่เหนื่อยมาก
ร่างกายที่แข็งแรง ไม่ใช่ยกรถได้นะน้อง แค่ไม่เจ็บป่วยช่วงสอบพอ
ความฝันและจุดมุ่งหมาย น้องควรจะเจอมันก่อนปิดเทอมขึ้นม.6 และมันต้องอยู่บนความเป็นไปได้นะคะ
การวางแผนที่รัดกุม น้องต้องรู้ว่าคณะที่น้องจะเข้าต้องสอบอะไรบ้าง สถานการณ์การแข่งขันเป็นอย่างไร และจัดตารางชีวิตตามนั้น
ความรู้ที่เพียงพอ
กำลังใจ
วินัยในตัวเอง อันนี้ไม่มีไม่ได้จริงๆ เพราะมันเป็นสิ่งเดียวที่ทำให้พี่รู้สึกว่าตัวเองเรียนสู้คนที่เค้าเรียนหนักๆได้
อันนี้เป็นปัจจัยที่พี่มี จะได้เข้าใจธรรมชาติของพี่ก่อนอ่านเนอะ
ปัจจัยของพี่
มีคนบอกว่าพี่หัวไวมาก เรียนรอบเดียวก็เข้าใจแล้ว อันนี้ถามเพื่อนพี่ได้ แต่….
พี่โคตรรรรรรขี้เกียจและจน สุดๆอะหาตัวจับยาก เหมือนพระเจ้าให้สมองมาแต่ไม่ให้โมติเวชั่นกับเงินมา และท่าทางพี่ไม่ค่อยสำนึกด้วย55
แต่พี่มีวินัยและเจ้าแผนการมากกกกก เป็นคนจริตแปลกๆ เวลามีกฎจะเป๊ะมาก พอไม่มีคือเหลวแหลก ไม่มีใครเรียนดีโดยไม่ทำอะไรจริงๆ
พี่เรียนโรงเรียนที่สอนยากอันดับต้นๆของประเทศมาตลอด อนุบาลสุธีธร (เด็กแข่งจะรู้จักดี) สาธิตปทุมวัน แล้วก็ เตรียมอุดม
รูทีนทั่วไปที่น้องควรทำในการเรียน
1. เตรียมตัวก่อนเรียนเสมอ ก่อนน้องๆจะเปิดเทอมน้องควรทำความเข้าใจเนื้อหาที่จะเรียนก่อน ไม่ต้องเข้าใจ 100% ก็ได้ แค่รู้ว่าความจริงเรื่องที่เราเรียนมันพูดถึงอะไร ต้องรู้อะไรบ้าง มันยากไหม ถ้ามันยาก ไม่เข้าใจจริงๆ ต้องลงเรียนพิเศษอะไรบ้าง ที่ไหนบ้าง พี่ก็มีวิธีการเตรียมตัวก่อนเรียนของพี่มานำเสนอ คืออย่างแรกพี่จะดูหลักสูตรก่อนว่าเรียนอะไรบ้าง วิชาอะไร จากนั้นถ้าไม่มีหนังสือก็ไปซื้อหนังสือพวกสรุปเนื้อหาแล้วก็แบบฝึกหัด เสร็จแล้วพี่จะมาเปิดๆดูว่าเรื่องมันเกี่ยวกับอะไรบ้างแล้วก็จัดตารางเรียนตอนปิดเทอม โดยพี่จะเรียนจากคลิปตามยูทูป พวกออมสคูลไม่ก็พวกติวเตอร์ต่างๆที่ใจดีอัดคลิปสอนเป็นวิทยาทานให้ ปกติวิชาที่พี่จะเรียนตอนปิดเทอมก็คือวิชาที่พี่ไม่ถนัดอะแหละ ก็คือ เลข ฟิสิกส์ เคมี ตอนปิดเทอมม.4 ขึ้นม.5 หรือช่วงปิดเทอมเล็ก ที่ไม่ใช่ปิดเทอมเล็ก ม.6 พี่ก็จัดตารางเรียนเป็น 4 ชั่วโมงต่อวัน วันละวิชา ไล่ไปเรื่อยๆ ถ้าน้องกลัวจะมีบางวิชาไม่ได้เตรียมตัวก่อนเพราะเวลาไม่พอ ก็จัดเป็นวันละ 2 วิชาก็ได้ พอปิดเทอม ม.5 – ม.6 พี่ก็เพิ่มเวลาเป็น 6 ชั่วโมง ปิดเทอมเล็ก ม.6 ก็ 6 – 8 ชั่วโมง สังเกตได้ว่าต่อวันนี่มันไม่ได้เยอะอะไรเลย ปกติแค่ 4 เอง พี่มีเวลาทำงานอดิเรกได้เยอะมากเลย พอจะสอบก็ต้องปรับให้มากขึ้น ค่อยๆปรับไปทีละนิดเดี๋ยวก็ชินไปเอง
ตัวอย่างหนังสือที่พี่ใช้
คณิตศาสตร์
ฟิสิกส์
เนื้อหาและโจทย์
เคมี
ชีวะ
สังคม
ภาษาอังกฤษ
Link ตัวอย่างคลิปสอนออนไลน์ที่พี่ใช้
คณิตศาสตร์
บทเรียนคณิตศาสตร์ (คลิปยาวมาก แต่สอนเข้าใจสุดๆเลย)
https://www.youtube.com/channel/UCtT60ezuvy72JBDbgKthykw
ฟิสิกส์
บทเรียน และโจทย์ต่างๆ
https://www.youtube.com/user/physicskoake
https://www.youtube.com/watch?v=kSf_962XvG0&list=PL_iRSc0r8KOot5OBXDEwkxi5KEqYBQxun
เคมี
บทเรียนเคมี
https://www.youtube.com/watch?v=ukzydIyRsuE&list=PLRTCpiAcZ3xRpXYGV0i5ydbjanb2TxAjc
เฉลยโจทย์ 9 วิชาสามัญ
https://www.youtube.com/channel/UCHoubz8LU5o4xcHw2D4wMbA
รวมหลายๆวิชา
หาคลิป สอนศาสตร์ ของทรูปลูกปัญญาดูค่ะ จะมีพี่ๆติวเตอร์ดังๆมาสอนให้เพียบเลย
2. ตั้งใจเรียนในห้อง ข้อนี้สำคัญมากๆ เพราะถ้าบวกกับข้อ 1 แล้วจะทำให้เราเข้าใจพื้นฐานแต่ละวิชาและจดจำมันได้นานขึ้น ยิ่งถ้าโรงเรียนของน้องมีการเรียนการสอนที่ยากอยู่แล้ว ยิ่งดีสำหรับการสอบเข้าแม้จะไม่ดีกับเกรดจบก็เถอะ ถามว่าตั้งใจเรียนต้องทำอย่างไร อย่างพี่ ก็แค่โฟกัสกับที่ครูสอน ไม่หลุดช่วงสำคัญ จดตามตลอด (อยากให้ลองแยกประสาท จดไปด้วยฟังเลกเชอร์ไปด้วยแล้วคาบนึงจะได้อะไรเยอะมากกก) ไม่คุยเยอะ ไม่เล่นโทรศัพท์ พยายามมี interaction กับครูตลอดเพราะมันทำให้เราตื่นตัว ไม่ง่วง เข้าร่วมกิจกรรมต่างๆที่ส่งเสริมการสอนไม่ว่ามันจะติ๊งต๊องขนาดไหน เช่นเล่นเกม เพราะมันทำให้เราจำบางอย่างฝังลึกได้อย่างไม่รู้ตัว ตรงไหนไม่เข้าใจก็ถามครูนอกรอบ ถ้าทำได้แบบนี้ เวลาอ่านทวนน้องก็ไม่ต้องอ่านหนักมาก ทั้งยังลดภาระการเรียนพิเศษได้ด้วย
ถ้าโรงเรียนสอนง่ายมากกกก น้องจะทำอย่างไร?
น้องก็ต้องตั้งใจเหมือนกันค่ะ ถึงมันจะง่ายมากก็ตาม ให้น้องลองเอาหนังสือที่เรียนเองนั่นแหละไปใช้ประกอบการเรียนด้วย แล้วถ้าคิดว่าวิชาไหนมันไม่เพียงพอจริงๆ ค่อยหาคลิปในยูทูปดู (จริงๆพี่ว่ามันโอเคมากนะ ระดับแบบสอบเก้าวิชาได้สบายๆอะ) ถ้าไม่พอจริงๆก็นั่นแหละ หาติวเตอร์เอาจร้า
3. ทำการบ้านเองและหมั่นทบทวนเนื้อหาที่เรียนมา โดยเฉพาะการบ้านที่มีสาระ (ไม่ใช่ว่าไม่ทำการบ้านที่น้องมองว่าไม่ได้จำเป็นนะ เพราะมันเป็นหน้าที่) อย่าพยายามลอกเพื่อน เพราะมันคือโอกาสสำคัญที่จะได้ฝึกพื้นฐานตัวเองและทบทวนวิชาที่เรียนไปแต่ละวันด้วย แล้วก็อย่าลืมทวนสิ่งที่เรียนมาด้วย ซึ่งแต่ละคนก็จะมีวิธีของตัวเอง หลายๆเจ้าจะบอกให้ทำสรุป อันนี้แล้วแต่น้องเพราะพี่ไม่เคยทำสรุปเลย 5555 พี่ขี้เกียจเกินไป เอาเป็นว่าให้รู้สึกว่ามันย้ำเข้าหัวไปก็โอเคละ
**** 4. เรียนพิเศษ ข้อนี้น้องไม่จำเป็นต้องทำถ้ามันเป็นวิชาที่โรงเรียนก็สอนไปแล้ว ละก็เรียนเองอ่านเองแล้วพอเข้าใจชนิดที่แบบเราเติมเองได้ ถึงต้องพยายามเยอะหน่อย ถ้าน้องไม่เข้าใจเลย หรือคิดว่าวิชาไหนไม่ไหวจริงๆ ก็ไปเรียนได้นะคะ การเรียนพิเศษไม่ได้ผิดเลย มันดีด้วยซ้ำนะพี่ว่า แค่ไม่ต้องลงทุกคอร์สให้หักโหมก็พอ อย่างพี่ก็ไปเรียนคอร์สความถนัดแพทย์เพื่อดูพาร์ทเชื่อมโยงที่ไม่รู้ทำไงดีเหมือนกัน (หัวข้อมันก็แอบเป็น clickbait อะแหละ พี่ขอโทษ) ปรากฎว่าการเรียนพิเศษครั้งแรกและครั้งสุดท้ายของพี่ได้ประสบการณ์ดีๆ มาเพียบเลย
5. ทำกิจกรรมและสนุกกับชีวิต นี่ไม่ได้ล้อเล่น ตรงนี้สำคัญมาก นอกจากหากิจกรรมทำเก็บเป็นประสบการณ์และพอร์ตสวยๆ นอกควรหางานอดิเรกและใช้ชีวิตในแต่ละช่วงให้เต็มที่ เพราะในตอนที่น้องจะสอบเข้ามันจะมีความคิดแปลกๆไหลเข้ามาในหัวตลอด แบบยอดนิยมคือความคิดสไตล์ ถ้าตอนนั้นชั้นทำกิจกรรมเยอะๆก็ดี ถ้าตอนนั้นชั้นใช้เวลาให้เต็มที่กว่านี้ ไม่เครียดมาตั้งแต่ตอนนั้นก็คงดี จำไว้ว่าตอนจะสอบมันเครียดอยู่แล้วล่ะ เพราะฉะนั้นเก็บไปเครียดช่วงจะสอบดีกว่า มีความสุขกับชีวิตเสมอ ใช้ชีวิตตามไลฟ์สไตล์ตัวเอง พี่ไม่เคยรู้สึกเสียดายเวลาชีวิตตอนอยู่ม.ปลายเลย พี่ได้ทำหลายอย่างมาก ทั้งเป็นประธานชมรม จัดการแข่งขัน ออกไปแข่งนอกโรงเรียน ร้องเพลงเดี่ยว วาดรูป เป็นติ่งต่างๆ ลองทำนู่นดีนั่น ดีบ้างไม่ดีบ้างเป็นสีสันชีวิต 555
อยากเล่าช่วงชีวิต ม.ปลายของพี่ คือ พี่อยู่เตรียมอุดม ซึ่งแค่เรียนในห้องนี่ก็ยากอยู่แล้ว สอบแต่ละทีนี่ทำลายพลังงานชีวิตมากน้องเอ๋ย เลยต้องหาอะไรทำไม่ให้เครียด แต่ด้วยธรรมชาติของพี่ที่เป็นคนจริงจังมาก แถมยังแบกรับความกดดันที่ตัวเองสร้างขึ้นเองจากการรับผิดชอบอะไรมากและความแตกต่างจากชาวบ้านที่เขาเรียนพิเศษกันหนักๆ ทำให้ช่วงม.5 พี่เครียดมาก ร้องไห้ทุกสัปดาห์ ลำบากพ่อแม่กับเพื่อนต้องคอยปลอบตลอด พี่เลยหาอะไรทำให้รู้สึกดีขึ้น จนมาเจออนิเมะที่ทำให้รู้สึกดี คือมันตลกมากและสร้างพลังบวกให้ชีวิตพี่จริงๆ หลังจากมาติ่งเรื่องนี้ พี่มีกำลังในชีวิตขึ้นจริงๆ ม.6 ที่ควรจะเครียดมาก พี่กลับรู้สึกผ่อนคลายเพราะอีเรื่องนี้แหละมีส่วนเลย 555 ก่อนเข้าห้องสอบวิชาสามัญพี่ยังเปิดหน้าพระเอกกะพระรองของเรื่องเสริมกำลังใจเลย 555 (ใครอยากรู้เรื่องอะไร มันคือเรื่องที่พระเอกผมสีเงินเกรียนๆอะ ใบ้ให้ละ) และพี่ไม่ได้ติ่งแค่นี้นะ พี่ติ่งศิลปินค่ายจอห์นนี่ส์ของญี่ปุ่นอีก 555 พ่อแม่พี่ก็เข้าใจด้วยแหละ ที่จะบอกคือ น้องควรหาสิ่งที่ทำให้สบายใจอะ ยิ่งช่วงสอบนะ มันสำคัญจริงๆ มันจะช่วยกู้ความรู้สึกน้องได้แบบไม่น่าเชื่อ ดังนั้นไม่ต้องทิ้งเรื่องติ่งไป แค่ลดเรื่องการไปตามรอย หรืออะไรที่มันหนักๆลง แบ่งเวลาติ่งหรือเวลาเล่นแล้วชีวิตจะลงตัว
ที่ต้องอธิบายเรื่องช่วงก่อนสอบนานเพราะมันจำเป็นมากน้อง คือพี่ได้บุญเก่าจากการตั้งใจเรียนเนี่ยแหละ 555 เวลาหลังเลิกนี่ขี้เกียจมากมาย
ต่อไปจะเป็นช่วงสอบนะคะ
1. จัดตารางเวลาวางแผนชีวิต น้องต้องวางแผนเป็นช่วงกว้างๆเลยล่ะว่าต่อไปนี้จะทำอะไรก่อนหลัง เดี๋ยวพี่จะกางแพลนของพี่ให้ดู
ปิดเทอมใหญ่ ม.5-6 จัดการเนื้อหา ม.6 ให้หมดก่อน ใช้เวลา 5-6 ชม. ต่อวัน
ระหว่างเทอม 1 ม.6 หาเรื่องที่ไม่ถนัดแล้วเติมช่วงเสาร์ อาทิตย์ วันธรรมดา ทบทวนบทเรียน ลงเรียนคอร์สความถนัดแพทย์ทุกวันศุกร์
ปิดเทอมเล็ก ทำข้อสอบวิชาสามัญเก่ารอบแรก และเติมจุดที่ไม่ได้ 6-7 ชม. ต่อวัน
ระหว่างเทอม 2 ม.6 หาเรื่องที่ไม่ถนัดแล้วเติมช่วงเสาร์ อาทิตย์ วันธรรมดาก็ทำการบ้าน ทบทวนบทเรียน ลงเรียนคอร์สความถนัดแพทย์ทุกวันศุกร์
ก่อนสอบแกทแพท มีเวลา 7 วัน หาโจทย์ทำ (พี่ไม่ได้ใช้แกทแพท ถ้าน้องใช้ควรเตรียมตัวทำข้อสอบตั้งแต่ปิดเทอมเล็ก)
ก่อนสอบโอเนต มีเวลา 7 วัน ของพี่โอเนตมันง่ายก็เลยทำวิชาสามัญรอบสองไปเลย แล้วค่อยหาโจทย์โอเนตมาทำสักสองวัน
ก่อนสอบความถนัดแพทย์ มีเวลา 7 วัน ทำวิชาสามัญ 3 วัน วิชาเฉพาะ 4 วัน
ก่อนสอบวิชาสามัญ มีเวลา 8 วัน ทำวิชาสามัญเหมือนจริง
2. ลงเรียนความถนัดแพทย์ หรือวิชาเฉพาะต่างๆ จริงๆมันก็ optional นะ อันนี้โรงเรียนไม่มีสอนใช่ปะ ไปลองหาเรียนดูเพื่อความแน่ใจก็ได้ พี่เรียนของออนดีมานด์ ก็โอเคนะ แค่ของปีพี่มันออกแหวกแนวเดิมมาก คะแนนก็เลยไม่ค่อยสวยเลย ละของออนดีมานด์เค้ามีสอบจำลองด้วย ในราคาเกือบ 7000 ตอนแรกพี่ก็ตกใจนะ ไม่เคยเสียตังค์เยอะแบบนี้เลย พอมาวันนี้รู้สึกว่าคุ้มใช้ได้เลย เรียนแล้วกอย่าลืมทบทวนและทำโจทย์อย่างสม่ำเสมอนะ
3. ทำข้อสอบเก่า แหล่งหาข้อสอบเก่ามีมากมายน้อง ลองหาในเนตเอาอะ มีหมดจริงๆ มีเฉลยด้วยซ้ำ ถ้าอย่างวิชาสามัญปีพี่มี 6 ปีย้อนหลัง พี่เลยทำสามชุดแรกแบบไม่จับเวลาก่อน อีกสามชุดค่อยจับเวลาเหมือนจริง ของพี่พอทำเสร็จก็ตรวจเลย ไม่ได้ตรงไหนก็มาร์กไว้แล้วไปอ่านเพิ่ม วิชาสามัญปีนึงจะใช้เวลาประมาณ 2-3 วัน ส่วนความถนัดแพทย์พี่ใช้วิธีเรียนพิเศษเอา แล้วก็ทำโจทย์บ่อยๆจนนิ่ง (ส่วนใหญ่ก็ใช้เวลาวันศุกร์อะ)
ของพี่มีอีกวิธีที่จะใช้วัดผลของตัวเอง และปรับตัวให้เข้ากับธรรมชาติของการสอบ นอกจากการเอาข้อสอบเก่ามาทำ คือการสอบจำลองต่างๆ มันจะมีแหล่งสอบหลักๆที่พี่ลองสอบดูคือ
admission premium pre Tcas
mock exam ความถนัดแพทย์ 2 ครั้ง วิชาสามัญ 2 ครั้ง gat pat ของ ondemand (ไม่ต้องลงคอร์สก็สมัครสอบได้)
4. ตั้งใจเรียนในห้องเหมือนเดิม
5. ดูแลสุขภาพกายและจิตใจ แบบพี่มีตารางออกกำลังกายตั้งแต่ปิดเทอม ม.5 - ม.6 ออกให้แข็งแรง ไม่ป่วย ลากสอบได้ 1 เดือนติด พี่ออกกำลังกายในบ้านเนี่ยแหละ ขี้เกียจออกนอกบ้าน พี่ออก cardio ตามคลิปในยูทูป (พี่ต้องเอาพานไปกราบยูทูปเลยมั้ง 555 ใช้บริการเยอะมากกก) มันได้ผลมากๆ พี่ไม่เจ็บไม่ป่วยเลยตลอด ม.6 แถมน้ำหนักลงด้วย อิอิ ส่วนจิตใจก็อย่างที่บอกน้อง หาอะไรที่สบายใจ คุยกับ พ่อ แม่ พี่ น้อง ครู เพื่อน นักจิตวิทยา ฟิกเกอร์ โปสเตอร์ อะไรก็ได้ที่รู้สึกดี พี่ไม่อยากให้ช่วงเวลาม.6 ของน้องมันเป็นหายไปกับการมานั่งเครียดกับสิ่งที่ยังไม่ถึงน้า ไ่ม่ต้องกดดันตัวเองด้วยการปิดไลน์ เฟส ทวิต หรือเลิกเล่นเกมต่างๆ เพราะมันจะทำให้ข้างในร้อนรุ่มเลยล่ะ จัดเวลา อ่านเสร็จแล้วค่อยเล่น หรือเอาโทรศัพท์ไปวางไกลๆตอนอ่านหนังสือก็ได้
6. ได้เวลาสอบแล้วววววว ก่อนสอบใจเย็นๆ ถ้ารู้สึกกลัว ให้เขียนความรู้สึกตัวเองลงในกระดาษระบายมันออกมาก่อน อย่าไปฝืนบอกว่าตัวเองไม่กังวล บอกไปเลยว่า ใช่ ตอนนี้ฉันกังวลมาก แต่ฉันจะผ่านมันไปให้ได้ แล้วร่างกาย สมอง ทุกอย่างมันจะหายเกร็งเอง (แต่ก่อนพี่กลัววิชาเคมีมาก เกร็งจนสอบตก พอทำแบบนี้พี่ก็คะแนนดีขึ้น) ทำสมาธิ และเริ่มทำข้อสอบ เสร็จวิชานึงก็คือจบ แก้อะไรไม่ได้แล้ว และอย่าพยายามไปถามนู่ถามนี่เกี่ยวกับข้อสอบที่ผ่านไป อันนั้นค่อยทำหลังสอบเสร็จทั้งหมด ไม่งั้นเราจะเครียดมาก ชมนกชมไม้ไปน้อง 555
จบแล้ววววววว
ช่วงโฆษณาผลสัมฤทธิ์ เปิดชื่อกันไปเลย 5555
สุดท้ายนี้พี่ขอฝากน้องๆว่า ถึงตารางพี่มันจะดูชิลล์แปลกๆ แต่มันไม่ได้หมายถึงว่าน้องจะกินๆนอนๆ แล้วสอบติดหมอหรือคณะในฝันต่างๆได้ น้องอ่านมาถึงตรงนี้น้องน่าจะรู้ว่าพี่ต้องใช้ความพยายามมากในการวางแผนและทำตามแผนแบบที่ไม่มีใครบังคับ พี่อ่านหนังสือและตั้งใจเรียนตลอด แต่วิธีที่พี่นำเสนอ มันเป็นแบบที่ไม่กดดัน ไม่ทำลายสุขภาพกายและจิต แต่ในขณะเดียวกันน้องต้องมีวินัยมากๆ และอย่าเอาตัวเองไปเทียบกับคนอื่นเด็ดขาด เพราะวิธีการและลิมิตคนเราไ่ม่เหมือนกัน อยากให้น้องสู้ๆ เราไม่มีทางตายจากการพยายามมากเกินไปหรอกน้อง ตอนไหนที่น้องรู้สึกว่าไม่ไหวแล้ว หาใครไม่ได้จริงๆ ยังมีพี่อยู่ข้างๆตลอด เข้มแข็งไว้และมีชีวิตอย่างมีความสุขน้า
รักน้องๆทุกคนจ้า
twitter : @madakolife (เด็มถามทริคต่างๆได้ ติดตามผลงานศิลปะ ร้องเพลงตั่งต่างได้ แต่ถ้าไม่อยากเป็นติ่งตามพี่อย่าฟอลเด็ดขาด พี่ขี้เกียจสร้างหลายๆแอค ถถถ)
29 ความคิดเห็น
ขอโทษที่พี่แก้บ่อยนะคะ ฮือวว พี่เพิ่งเคยตั้งกระทู้ นี่ครั้งแรกนะเนี่ย วู้วๆ
สุดยอดดด ๆ
เพิ่มเติมให้สำหรับคนที่ไม่อยากลงคอร์สความถนัดแพทย์
อันดับแรกต้องรู้ก่อนว่าความถนัดแพทย์มี 3 part ซึ่งแต่ละ part จะมีการเตรียมตัวที่แตกต่างกัน
Part 1: จริยธรรม ช่วงปีหลังๆโดยเฉพาะปีล่าสุดออกแนวเปลี่ยนไปมากจ้า การเรียนพิเศษกับอ่านเองจึงไม่ค่อยต่างกันมาก(เพราะก็ทำไม่ได้เหมือนกัน 555) การเตรียมตัวพาร์ทนี้น้องต้องไปฝึกทำจิตใจให้เป็นคนดีซะ ละก็ใช้ความเป็นผู้ใหญ่ในการตอบ(อย่าคิดไรแบบเด็กๆ) คะแนนเฉลี่ยของพาร์ทนี้ปีนี้ก็ต่ำมาก คิดว่าปีหน้าอาจจะปรับให้ง่ายขึ้นบ้าง
Part 2 : เชาว์ปัญญา อันนี้แนะนำให้ดูพวกแบบทดสอบ IQ โดยมันจะมี 3 แบบคือ มิติสัมพันธ์ เชาว์เลขแบบง่ายๆ ละก็จับใจความ พาร์ทนี้ยากอยู่ละก็เยอะ ต้องฝึกทำให้ทันจ้า แต่พาร์ทนี้ค่อนข้างโหดร้ายเพราะคนที่ IQ น้อยต้องฝึกหนักมากๆเลยกว่าจะได้คะแนนดี
Part 3 : เชื่อมโยง มันจะคล้ายกับ GAT ไทย แต่ว่าจะมีบทความเดียว 20 คำเชื่อมโยง เวลาฝึกเริ่มฝึกจากข้อสอบ GAT ไทยก่อนก็ได้ แนะนำให้ไปดูคลิปสอนใน youtube และก็ฝึก GAT ไทยซ้ำๆจนกว่าจะได้เต็ม ละค่อยมาฝึกข้อสอบความถนัดแพทย์เก่าต่อ หรือใครคิดว่าอยากจะฝึกจากความถนัดแพทย์เลยก็ได้ แต่ต้องทำซ้ำๆจนกว่าจะได้เต็มนะ พอเต็มแล้วก็พอ ไปอ่านวิชาอื่นได้ พอใกล้ๆสอบค่อยมาลองทำดูนิดๆหน่อยๆ
สำหรับคนที่จะอ่านเองก็ลองหาดูแนวโจทย์ได้จากหนังสือความถนัดแพทย์ทั่วไป ละก็อยากให้ลองดูพวกข้อสอบของที่เค้าทำจำลอง(พวก mock exam, dek-d pre ad) จริงๆไปลองสอบดูเลยก็ดีนะ จะได้รู้ว่าตัวเองพลาดอะไร เป็นกำลังใจให้น้องๆทุกคนนะ สู้ๆ
ขอบคุณที่ช่วยเพิ่มเติมให้น้องๆนะคะ
น้องสาวผมเรียนจบอนุบาลสุธีธรปี 2534 ตอนนั้นผมจำได้ว่ามีการเรียนพิเศษที่โรงเรียนแทบทุกวัน ส่วนตอนใกล้จบป.6 มีการเรียนพิเศษวันเสาร์ด้วย
เห็นกระทู้บอกว่าไม่เรียนพิเศษตลอดชีวิต
ผมเลยอยากทราบว่าตอนเจ้าของกระทู้เรียนที่โรงเรียนอนุบาลสุธีธร ตอนนั้นที่โรงเรียนไม่ได้มีการสอนพิเศษหรือไม่เคยเรียนพิเศษที่โรงเรียนใช่ไหมครับ
ลูกผมปีนี้คะแนนสอบสามารถเข้าแพทย์จุฬาได้ แต่ไม่ได้เลือกแพทย์จุฬา และไม่เคยเรียนอนุบาลสุธีธร
ในโรงเรียนที่ลูกผมเรียน ถ้าบอกว่ามีคนไม่เคยเรียนพิเศษตลอดชีวิต ผมไม่เชื่อเด็ดขาด เพราะทุกคนต้องเคยเรียนพิเศษที่โรงเรียนกันทั้งนั้น
เรียนอนุบาลสุธีธร อย่าบอกว่าจน มันไม่จริง
ไม่ขนาดกัดก้อนเกลือกินค่ะ555 แต่ยอมรับว่าในสังคมปัจจุบันเรามีไม่เท่าคนอื่นมาก แต่มันก็ไม่ถึงขั้นลำบากในการดำรงชีวิตปกติดี ตอนนั้นมีเงินจ่ายค่าเทอมปกติและค่าเทอมอาจจะถูกกว่าปัจจุบันด้วย เราว่าค่านู่นนี่นั่นที่แพงขึ้นมาคือพวกค่าเรียนพิเศษกับค่าครองชีพปกติมากกว่าค่ะ
แกเก่งอ่ะ ยอมรับเลย นี่ขนาดแกไม่เรียนพิเศษนะ ยังติดแพทย์ จุฬา ยอมแล้วค่าาา 555
อิจฉาคนหัวดีมากๆเลยอ่ะ ฮือออออ นับถือค่าาา
จริงๆแล้วไอคิวมันไม่ได้ทำให้ต่างกันมากหรอกก แค่ถ้ายังไม่เข้าใจก็อ่านให้มากขึ้น อย่าง จขกท ก็มีเรื่องที่โง่มากๆๆๆๆๆๆๆ แบบเติมยังไงก็ไม่เข้าจยขี้เกียจเติม เลยปล่อยไว้อย่างงั้นเลย 555
ความขยัน ความพยายามสำคัญที่สุดต่างหาก สู้ๆ มีอะไรให้เราช่วยบอกได้เลยน้า
น้องสาวผมเรียนจบอนุบาลสุธีธรปี 2534 ตอนนั้นผมจำได้ว่ามีการเรียนพิเศษที่โรงเรียนแทบทุกวัน ส่วนตอนใกล้จบป.6 มีการเรียนพิเศษวันเสาร์ด้วย
เห็นกระทู้บอกว่าไม่เรียนพิเศษตลอดชีวิต
ผมเลยอยากทราบว่าตอนเจ้าของกระทู้เรียนที่โรงเรียนอนุบาลสุธีธร ตอนนั้นที่โรงเรียนไม่ได้มีการสอนพิเศษหรือไม่เคยเรียนพิเศษที่โรงเรียนใช่ไหมครับ
ลูกผมปีนี้คะแนนสอบสามารถเข้าแพทย์จุฬาได้ แต่ไม่ได้เลือกแพทย์จุฬา และไม่เคยเรียนอนุบาลสุธีธร
ในโรงเรียนที่ลูกผมเรียน ถ้าบอกว่ามีคนไม่เคยเรียนพิเศษตลอดชีวิต ผมไม่เชื่อเด็ดขาด เพราะทุกคนต้องเคยเรียนพิเศษที่โรงเรียนกันทั้งนั้น
มายืนยันค่ะว่าคนไม่เรียนพิเศษมีจริงๆ
เป็นคนหนึ่งที่ไม่เคยเรียนพิเศษเลยค่ะ (จริงๆ มีเรียนตอนประถมแต่มันคือชั่วโมงพิเศษสำหรับทำการบ้านค่ะ แค่อยู่รอพ่อแม่มารับ (ไม่ใช่โรงเรียนที่ว่ามาด้วยค่ะ)) ตอนนี้เรียนอยู่ที่จุฬา ที่ผ่านมาอาศัยความขยันกับการวิเคราะห์จับกลุ่มเชื่อมโยงข้อมูลในห้องเรียนค่ะ บางทีตอนก่อนสอบเก็บคะแนนก็จะไม่อ่านหนังสือเพราะข้อมูลมีอยู่ในคลั่งสมองอยู่แล้ว แต่รอเรียกมาใช้ค่ะ แต่การทำโจทย์จะช่วยใส่น้ำมันหล่อลื่นให้สมอง ทำให้เรียกข้อมูลมาได้ไวกว่าไปนั่งนึกในห้องสอบค่ะ
เรียนคณะแพทย์ใช่หรือไม่ครับ
ตอนเรียนเพื่อรอพ่อแม่มารับ ใกล้สอบปลายภาคหรือว่ากลางภาคเขาไม่ติวข้อสอบให้หรือครับ
ตอนประถม โรงเรียนไม่ได้สอนพิเศษวันเสาร์ให้หรือครับ เห็นมีหลายโรงเรียนสอนพิเศษให้เพื่อจะได้ไปเข้ามัธยมดีๆ เพื่อเป็นชื่อเสียงให้กับโรงเรียน
เห็นหลายโรงเรียนสอนพิเศษเด็ก บางทีเรืยกเด็กมาเข้าค่ายที่โรงเรียน เพื่อจะล่าเหรียญทองวิชาการ
มัธยมก็เห็นหลายโรงเรียนจ้างติวเตอร์ข้างนอกมาสอนเด็กในโรงเรียนนะครับ
หลายโรงเรียนมัธยมก็เรียกเด็กมาเรียนวันเสาร์นะครับ
เคยเข้าค่ายวิชาการไหมครับ หลายโรงเรียนสนับสนุนให้เด็กไปเข้าค่ายวิชาการนะครับ
ไม่มีติวอะไรทั้งสิ้นเลยค่ะ เป็นการเรียนเพื่อต่อเวลารอพ่อแม่มารับจริงๆ เป็นโรงเรียนประถมแถวบ้านที่ไม่ได้มีชื่ออะไรน่ะค่ะ การสนับสนุนทางการศึกษาเลยอาจจะไม่ได้ดีพอ ส่วนเรื่องค่ายวิชาการส่วนตัวเคยมีโอกาสได้แค่ตอนม.ต้นค่ะ เพราะสมัยนั้นเรียนห้องเรียน gifted วิทยาศาสตร์ โรงเรียนจะมีจัดค่ายให้ปีละครั้ง (3 ปีในม.ต้น) กับค่ายครึ่งวันอีกเทอมละหนหรือปีละหนไม่แน่ใจ เป็นค่ายวิชาการเหมือนกันค่ะ แต่พอขึ้นม.ปลายมาก็ไม่ได้เรียนแล้วค่ะ รู้สึกว่าเปลืองงบผู้กครองไปหน่อย
คิดว่าขึ้นอยู่กับตัวเด็กด้วยค่ะ หนูเองก็มีช่วงที่เบื่อการเรียน ดื้อ ไม่ไหวอยู่เหมือนกัน เพิ่งมาจริงจังกับการเรียนจริงๆ ก็ตอนม.ปลาย อาศัยความรู้เดิม+ปรับพื้นฐานตัวเองให้แน่นก่อน จะเหนื่อยหน่อยเพราะต้องเอาของเก่ากับของใหม่ไปพร้อมกัน ถ้าเด็กพื้นฐานดีแต่แรก(ได้รับการสนับสนุนทางการศึกษาตั้งแต่เนิ่นๆ )ก็จะไม่เหนื่อยแบบนี้ค่ะ สำคัยคือต้องวิเคราะห์ข้อมูลเป็น จัดกลุ่มข้อมูลได้ ฝึกทำแบบฝึกหัดหรือฝึกตั้งคำถามในประเด็นยิบย่อยบ้าง ฝึกการคิดในแง่ว่า "ทำไม" หรือ "ถ้า" บ่อยๆ จะทำให้ข้อมูลถูกดึงมาใช่ได้ง่ายขึ้นค่ะ ตัวหนูเองไม่ได้ต้องการจะอวดความรู้หรือบอกว่าเป็นคนฉลาด แต่จะบอกว่ามันขึ้นอยุ่กับตัวเด็กจริงๆ ว่ารับไหวไหมและต้องการจะรับไหม ส่วนตัวมีแนวคิดว่ายิ่งรู้มากก็ยิ่งดี แถมรู้สึกสนุกกับการคิดวิเคราะห์ด้วยก็เลยชอบการเรียนค่ะ
ปล.ต้องขอโทษด้วยนะคะถ้าทำให้เข้าใจผิดหรือคาดหวัง แต่หนูไม่ได้เรียนแพทย์ค่ะ ตอนที่ตัดสินใจเลือกคณะกลัวว่าถ้าเลือกแพทย์จะเป็นการลดโอกาสที่จะเรียนรู้ของตัวเอง (เพราะในหัวจะมีแต่ข้อมูลทางสายนี้ แค่แพทย์ก็หนักแล้วจะเก็บความรู้สายอื่นคงยากน่ะค่ะ) อีกอย่างคือไม่ชอบอาชีพทางนี้ด้วย ที่เลือกเรียนในระดับป.ตรีก็เลือกที่จบมาพอมีงานทำเป็นหลัก เพื่อหารายได้ไว้เรียนต่อทางด้านที่อยากเรียนน่ะค่ะ แต่สายแพทย์คงไม่เหมาะจริงๆ
ขอบคุณ คุณ fonja สำหรับคำตอบครับ
สำหรับเจ้าของกระทู้ ช่วยมาตอบหน่อยได้ไหมครับ ขอบคุณล่วงหน้าครับ
ต้องขอโทษคุณ sea master ด้วยนะคะที่มาตอบช้า คือ จขกท เพิ่งกลับมาจากค่ายเฟรชชี่หมอค่ะ ไม่ค่อยได้ใช้โทรศัพท์ในค่าย และขอบคุณคุณ fonja ที่ช่วยตอบแทน จขกท นะคะ
เรียนพิเศษที่หนูหมายถึงคือการเรียนพิเศษข้างนอกโรงเรียน แบบไปเรียนกับติวเตอร์ข้างนอกแบบนี้มากกว่าค่ะ
คือตอนจขกทเรียนที่สุธีธร โรงเรียนก็มีการสอนพิเศษวันเสาร์ภายในโรงเรียนค่ะ แต่ หนูไม่ได้เรียนเพราะเดินทางลำบาก ส่วนการจัดติวสำหรับการสอบเข้า อันนั้นหนูไม่นับเพราะไม่ต้องจ่ายเงินค่าเรียนเลย และคุณครูก็เอาโจทย์ต่างๆมาสอนให้ในเวลาเรียนเลยด้วย ทุกคนได้เรียนเหมือนกัน และถ้าคุณ sea master สงสัยเรื่องการติวแข่งขันต่างๆ คือในแต่ละโรงเรียนที่ จขกท เรียน จะมีการติวพิเศษสำหรับแข่งขัน ซึ่งอย่างในอนุบาลสุธีธร จขกท ก็เป็นตัวแทนแข่งขันวิทยาศาสตร์เพราะคุณครูท่านเมตตาให้หนูได้เพิ่มเติมความรู้แบบฟรีๆ ซึ่งมันก็เป็นผลสืบเนื่องมาจากการที่นักเรียนตั้งใจเรียน ทบทวน และทำคะแนนออกมากได้ดีในวิชาวิทยาศาสตร์ค่ะ เรื่องค่ายวิชาการหนูมองว่าไม่ได้เกี่ยวอะไรกับการเรียนพิเศษนะคะ ค่ายคือการเสริมประสบการณ์ด้านต่างๆ ในเชิงปฏิบัติ ซึ่งแตกต่างจากการเรียนพิเศษ เพื่อติวสอบมาก ตอนที่หนูเข้าค่ายวิชาการ ก็เข้ามาจากการไปแข่งนี่แหละค่ะ ส่วนค่ายที่สมัครเองแบบ สอวน หนูก็ไม่ได้เข้า ไม่ใช่เพราะไม่ดีนะคะ แต่หนูอยากใช้เวลาปิดเทอมไปกับงานอดิเรกมากกว่า สรุปคือสิ่งที่คุณ sea master กล่าวมานั้น เป็นสิ่งที่ไม่จำเป็นต้องเสียเงินเพิ่มเติมเพื่อเข้าร่วมเลยค่ะ จะเสียก็แบบค่ากินอยู่ในค่ายนิดหน่อย และที่สำคัญ หนูไม่เคยคิดว่าการเรียนพิเศษเป็นเรื่องที่ผิด แต่หนูไม่ชอบแนวคิดที่เรียนพิเศษไปทุกที่แบบไม่จำเป็น เรียนซ้ำไปซ้ำมา เรียนจนเกินแรงตัวเอง ไม่มีเวลาส่วนตัวหรือทบทวนสิ่งที่เรียน
หนูแค่ต้องการจะบอกว่า มีคนอีกมากที่ไม่ได้เรียนพิเศษ หนูอยากให้ผู้อ่านทุกท่านลองเปิดใจดูว่าในโลกยังมีวิธีการเรียนอีกหลายแบบ ซึ่งไม่มีวิธีการที่ตายตัวหรือถูกผิดหรอกค่ะ หนูอยากจะเป็นกำลังใจให้เพื่อนๆที่มีวิธีการเรียนแบบที่แปลก ไม่แมส ให้ก้าวต่อไปในจุดที่เราโอเคโดยไม่เสียความมั่นใจ
ส่วน คุณ fonja นี่คล้ายๆเราเลยนะคะ 5555 ชื่นชมมากๆเลยที่ชอบศึกษาหาความรู้ด้านอื่นๆอยู่เสมอ จขกท จะเอาใจช่วยให้ผ่านมหาวิทยาลัยไปได้อย่างสวยงามนะคะ
สุดท้ายขอขอบคุณทั้งสองท่านที่ให้ความสนใจในกระทู้ของ จขกท นะคะ หวังว่ากระทู้เล็กๆนี้จะเป็นประโยชน์แก่ทุกท่านไม่มากก็น้อยค่า
ขอบคุณมากครับสำหรับคำตอบ
ผมเห็นพาดหัวกระทู้ และยิ่งอ่านในรายละเอียดเนื้อเรื่องแล้ว บวกกับรู้จักโรงเรียนอนุบาลสุธีธรดี จึงอดจะตั้งคำถามไม่ได้
ผมทราบอยู่แล้วว่ามันต้องมีอะไรพิเศษอยู่ และทราบอยู่แล้วว่าคำตอบจะออกมาอย่างไร
นิยามคำว่าเรียนพิเศษของผมอาจจะแตกต่าง ซึ่งผมเห็นว่านอกเหนือจากการเรียนชั่วโมงเรียนปกติ หรือสอนหนังสือมากกว่าที่โรงเรียนทั่วไปทำกัน เป็นการเรียนพิเศษ รวมทั้งการเรียนในห้องเรียนวิชาการพิเศษ เช่น ห้องเรียน Gifted หรือเรียนโรงเรียนจุดประสงค์ที่จัดตั้งขึ้นมาพิเศษทางด้านวิชาการ การเข้าค่ายวิชาการ รวมทั้งเรียนวิชาการในชั่วโมงเรียนปกติแต่ผู้สอนไม่ใช่บุคลากรของโรงเรียน เข่นจ้างอาจารย์พิเศษหรือติวเตอร์หรืออาจารย์มหาวิทยาลัยมาสอน
อาจจะคนอื่นที่เห็นต่าง คำว่าพิเศษ ผมมองข้อเท็จจริงจากการปฏิบัติที่พิเศษครับ
ขออนุญาตอธิบายเพื่อความเข้าใจที่ถูกต้องนะคะ คือโรงเรียนอนุบาลสุธีธรไม่มีการจ้างครูข้างนอกเข้ามาสอน ทั้งหมดเป็นความสามารถของครูในโรงเรียนทั้งนั้นและเรียนในเวลาค่ะ ส่วนที่ไม่ได้เรียนในเวลาก็เพราะต้องสอบแข่งขันค่ะ ซึ่งทุกคนก็สามารถเรียนได้โดยไม่ใช้เงิน ยังไง จขกท จะขอยืนยันว่า โรงเรียนอนุบาลสุธีธรเป็นโรงเรียนที่ดีและใส่ใจนักเรียนทุกๆคนโดยแทบไม่พึ่งพาทรัพยากรจากภายนอกเลย
จากกระทู้หนูอาจจะดูไร้สาระจนทำให้ไม่เชื่อใช่ไหมคะว่าเป็นคนที่เรียนแต่ในห้อง 5555 พอเรียนในห้องได้ดีครูก็เมตตาให้สิทธิ์ติวไปแข่งขัน ทั้งหมดมันเกิดจากการเรียนแค่ในห้องและทบทวน ถึงคุณไม่เคยต้องจ่ายเงินเพิ่มหรือไปเรียนนนอกเวลามาก่อนคุณก็มีสิทธิ์ต่อยอดได้ หนูไม่มีเจตนาหรือความลับอะไรแอบแฝงอยู่จริงๆค่ะ หนูไม่ได้หวังว่ามีใครมาเข้าใจด้วย เพราะมีคนแบบหนูน้อยจริงๆ (ไปบอกกับใครเขาก็หาว่าโกหกอยู่แล้วค่ะ 555) แต่หนูเชื่อว่าถ้าเพื่อนๆหรือรุ่นน้องมีความพยายามและนำวิธีของหนูไปปรับใช้ ไม่ว่าจะอยู่โรงเรียนอะไร มีปัจจัยต่างกันอย่างไร หรืออาจต้องเรียนพิเศษหรือเข้าโครงการพิเศษต่างๆอย่างที่คุณว่าเพราะปัจจัยของคนเรามันไม่เหมือนกัน หนูเชื่อว่าทุกคนจะมีอนาคตที่สวยงามอย่างที่ตั้งใจแน่ๆ
นิยามคำว่า พิเศษ และ เรียนพิเศษ ผมกล่าวโดยรวม ไม่เฉพาะเจาะจงไปที่โรงเรียนใดโรงเรียนหนึ่ง
ใครจะเห็นด้วยหรือไม่ ขึ้นอยู่ที่วิจารณญาณของแต่ละบุคคลครับ
การปฏิบัติใดก็ตาม ที่มากเกินกว่าปกติที่ทั่วไปพึงปฏิบัติ ผมถือว่าเป็นพิเศษครับ เช่นการเรียนใดที่มากกว่าการเรียนปกติ ถือว่าเป็นการเรียนพิเศษ
เรื่องจะฟรีหรือเสียเงิน ผมไม่ได้มองเป็นประเด็นครับ
ชอบๆนี่ก็ไม่เรียนพิเศษเหมือนกันอ่านเอง แต่ที่ต่างกับเธอคือยังไม่ติด 55555555
สู้ๆ เราต้องติดๆ เราเป็นกำลังใจให้
นอกเรื่อง พี่ดูอนิเมเรื่องอะไรคะ ช่วงนี้ท้อมาก
น้องลองหาเรื่อง กินทามะ gintama ดูค่ะ ถึงมันจะทะลึ่งแต่มันดีจริงๆ โครงเรื่องมันน่ารัก อบอุ่นใจ เสริมกำลังใจมากเลย ระวังจะติดโงหัวไม่ขึ้นน้า แหะๆ
ว่าแล้ววว พระเอกหัวเงินนิสัยเกรียนๆ
FCคุณกินเหมือนกัน อิอิ
กริส มาคุยกันได้น้าา เรื่องนี่ถนัดกว่าเรียนอีก // เดี๋ยวนะ...
พี่ทำอังกฤษ ยังไงให้ได้เยอะๆ ครับ ท่องศัพท์ยังไงวันละกี่คำครับ
พี่คะ คือหนูอยู่ ตอ ม.5 เครียดมากๆ พึ่งสอบซัมไป พอมาอ่านกระทู้พี่แล้วมีกำลังใจขึ้นมากๆค่ะ ม.5 คือเครียดมากๆจนบางทีก็คิดว่าจะทำได้มั้ยสอบเข้า มหาลัยเนี่ย แต่พอมาอ่านกระทู้พี่ละรู้สึกอยากลองพยายามดูใหม่ ขอบคุณมากเลยนะคะ
สู้ๆน้า อย่าไปหมดหวัง ถ้าเราพยายามเราทำได้อยู่แล้ว สอบซัมม. 5 เทอม 1 ตอนพี่ พี่ก็ช็อกเหมือนกันค่ะ เป็นช่วงที่ท้อเลย แต่ความจริงพอย้อนกลับมาคิดดูคือ มันยากจริงๆ 555 ถ้าน้องเรียนเข้าใจแล้วก็ทบทวนมัน ก็ทำข้อสอบมหาลัยได้ละค่ะ
ช่วยชี้ทางสว่าง สังคม กับ อังกฤษ หน่อยครับ สังคมแตะเลข8 นี่เก่งมากๆๆเลยครับ ไม่รู้จะจัดการกับวิชานี้ยังไงดี อังกฤษด้วยนะครับ
ขอบคุณครับ
สุดยอดมากๆค่ะขอบคุณมากเลยนะคะ หนูจะลองนำไปใช้ค่ะ dek63
ตอนพี่ม.6พี่อยู่ห้องคิงหรือห้องควีนครับ
ควีนจ้า ห้อง 125 ตึก 2
จขกท.เก่งจังเลยค้า
มีเรื่องจะถามมม คือเวลาเราทำโจทย์ไม่ได้ทั้งๆที่เรียนมาเเล้ว จขกท มีวิธีจัดการยังไงคะ เราท้อมากเลย ขนาดทวนเเล้วนะ
พี่คะ ตอนนี้เวลาที่อ่านหนังสือเหลือไม่มากแล้วแต่หนูพื้นฐานยังไม่ดีเลย เคยไม่รู้ว่าสูตรนี้ใช้ยังไง เหมือนที่เรียนมาเท่า 0 หนูควรเริ่มยังไงดี เครียดสุดๆเลย จะเริ่มทำโจทย์ก็ไม่ได้ เนื้อหายังไม่แน่นพอ
เด็กเตรียมฯติดแพทย์เรื่องปกติครับ ก็ขอชื่นชม แต่โดยส่วนตัวรู้สึกจะภูมิใจกับน้องๆที่ไม่ได้เรียนเตรียมมากกว่าครับ
อัพเดตสำหรับคนที่มาอ่านกระทู้นี้หลังจากปี 62 นะครับ วิชาคณิตที่ จขกท.ได้มาโพสต์แนะนำ นับตั้งแต่ปี62เป็นต้นไปดูฟรีไม่ได้แล้วครับ เว้นแต่ว่าจะไปสั่งซื้อเอกสารจากทาง คณิต อ.เอ๋ ครับ เนื้อหากระทู้แนะแนวไว้ดีมากเลยแต่เสียดายที่มันแนะแนวให้กับรุ่นน้องไม่ได้แบบคงทนถาวรครับ
-ถ้าใครเข้าใจภาษาอังกฤษ สามารถฟัง เขียน อ่านอังกฤษรู้เรื่องแนะนำลองKhan Academyครับ มีเนื้อหาครบนะ ปัจจุบันมีซับไทยแล้วด้วย ข้อเสียก็แค่ตัวเว็บมันออกแบบหลักสูตรมาให้เด็กฝั่งเมกาเรียน คนที่เข้ามาแรกๆเลยงงครับ แต่ว่าถ้าลองเปิดเนื้อหาเทียบกับหลักสูตรไทยดูแล้วลองเรียนไล่ลำดับเองจะโอเคขึ้น เพราะการเรียนกับKhan Academyเค้าเน้นให้มีพื้นฐานในเนื้อหาคณิตส่วนนั้นให้แน่นๆก่อนแล้วค่อยไต่ระดับครับ เนื้อหาที่เราเข้าใจแล้วก็ปล่อยได้ แต่ส่วนไหนที่ยังงงๆก็ควรไปลองค้นอากู๋เพิ่มเติมดูก็ได้ครับ
-แนะนำเว็บ rath center http://www.rathcenter.com/ เพราะเค้ามีแบบฝึกหัดย้อนหลังของปีก่อนๆและเรียงแบบฝึกหัดตามเนื้อหาไล่จากง่ายไปยากด้วย เหมาะกับการฝึกฝนครับ
-ส่วนในกรณีเรียนเองละเจอโจทย์แต่ถามใครก็ไม่ได้ ถามอากู๋แล้วก็ไม่เจอ แนะนำกลุ่ม"คณิตมัธยมปลาย"ครับ กลุ่มนี้มีเซียนคณิตฯเพียบ โจทย์ข้อไหนได้คำตอบยังไง ตีโจทย์ไม่แตก ลองไปขอคำปรึกษาได้ครับ
ถ้าน้องไม่ได้อยู่ รร.ชั้นแนวหน้าของประเทศ หรือได้เกรดไม่ได้สูงกว่า 3.7 ขอแนะนำนะครับว่าอย่าเสี่ยงอ่านหนังสือเองโดยไม่ได้เรียนกวดวิชาอย่างเด็ดขาด เพราะน้องจะเสียเวลามาก และไม่ได้เทคนิคการทำโจทย์ให้ไวจะทำให้น้องเสียเปรียบในการสอบ ขนาดเด็กเตรียมอย่างเราๆยังต้องเรียนพิเศษเพิ่มเติมเลย มีส่วนน้อยที่ไม่ต้องเรียนกวดวิชาแล้วติดแพทย์ จะเป็นพวกห้อง คิง ควีน หรือลำดับต้นๆของห้องคละ อะไรประมาณนี้ ทางที่ดีหาที่เรียนให่้เหมาะสมกับตัวเองจะดีกว่า เพื่อให้ได้ความชำนาญและความมั่นใจในการสอบ
รายชื่อผู้ถูกใจความเห็นนี้ คน
แจ้งลบความคิดเห็น
คุณต้องการจะลบความคิดเห็นนี้หรือไม่ ?