แชร์ประสบการณ์การเตรียมตัวสอบเข้ามหาลัยเชิงเทคนิคตามประสาเด็ก (ไม่) ฉลาดแกมโกง – Part 1
เนื่องด้วยพี่ได้บนไว้ในกระทู้ ‘กระทู้บ่น หาสาระมิได้ของเด็กแอดรอบ 4’ เมื่อนาน (?) มาแล้ว 5555 และในที่สุด! พี่ก็ได้ตั้งกระทู้แก้บนซะทีค่ะ (ดีใจมากกก) และในตอนนี้ คณะที่พี่แอดได้ คือเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดลค่ะ
ตามหัวข้อกระทู้เลยนะ วันนี้พี่จะมาแนะนำการสอบเข้ามหาลัย และวิธีการเอาตัวรอดจากระบบ TCAS ซึ่งเนื้อหาก็จะครอบคลุมทั้งการวางแผนเก็บเกรด อ่านหนังสือ การวางแผนคะแนน ไปจนถึงจุดที่พีคสุดคือ…แนวทางการเดาข้อสอบ ทั้งนี้ทั้งนั้น พี่ขอเตือนไว้ก่อนเลยว่า นี่คือแนวทางการเตรียมตัวเชิงเทคนิค เป็นการเตรียมตัวแบบทางลัด ซึ่งพี่ไม่รับรองผลว่าจะใช้ได้กับทุกคน ขอให้น้องๆ อ่านโดยใช้วิจารณญาณ แล้วนำไปปรับใช้กับตัวเองต่อไป
สำหรับกระทู้เนี่ย พี่จะตั้งทั้งหมด 3 กระทู้ สำหรับ 3 Part นะคะ อัดกระทู้เดียวไม่น่าไหว ตาลายตายก่อน 555
Part 1 – แชร์ประสบการณ์การเตรียมตัวสอบ
Part 2 – แชร์ประสบการณ์ทำข้อสอบ & เก็บคะแนนให้ปัง
Part 3 – แชร์ประสบการณ์พลิกวิกฤติเป็นโอกาส ปรับตัวให้ปังกับระบบ TCAS
เข้าเนื้อหาพาร์ทแรกกันเลยแล้วกันเนอะ…
พี่เริ่มเรียนพิเศษตั้งแต่ ม.4 แต่เป็นการเรียนที่สะเปะสะปะมาก เป้าหมายก็ยังไม่มี แถมไม่ตั้งใจเรียน ปรับตัวเข้ากับชีวิต ม.ปลายไม่ได้ ช่วงนี้น่าจะเป็นช่วงที่เละเทะที่สุดในชีวิต ม.ปลายของพี่ โชคดีหน่อยที่อย่างน้อยพี่ก็ยังประคองเกรด ประคองชีวิตของตัวเองเอาไว้ได้
พอเข้ามา ม.5 พี่เริ่มปรับตัวใหม่ จูนสมองตัวเองละ…โอเค ชั้นกำลังจะเข้ามหาลัย ชั้นจะเสเพลไม่ได้ ตอนนั้นแหละที่พี่เริ่มศึกษาอย่างจริงจัง แล้วมานั่งพิจารณาสัดส่วนคะแนนแอดมิชชัน
ตอนนั้นก็คิด โห…เกรดนี่ใช้ 20% เลยเหรอวะ
นั่นหมายความว่า เต็ม 30,000 จะเป็นคะแนนของเกรดไปแล้ว 6,000 แล้วพี่จะตักตวงคะแนน 6,000 นี่ได้ยังไง เกรดเฉลี่ยตอน ม.4 ของพี่ถ้าจำไม่ผิดน่าจะ 3.7 คิดเต็ม 6,000 ก็ได้ 5,500 เลขสวยนะ แต่มันยังน้อยเกินไป พี่ยังมีส่วนต่างจากพวก 4.00 ตั้ง 500 แน่ะ (ใครบอกว่า 500 คะแนนนี่น้อยนี่เจ๊ไล่ตบเรียงคนนะจ๊ะ 555 ถ้าลองเข้าสนามแอดจริงๆ เดี๋ยวรู้) แล้วพอมีวิธีไหนบ้างที่จะลดส่วนต่างนั้นลง
พี่เป็นคนที่มีปัญหาเรื่องการบริหารเวลา พี่ยอมรับว่าเป็นคนที่ไม่สามารถทำอะไรหลายอย่างพร้อมกันได้ เพราะงั้นเรื่องการเก็บเกรดไปด้วย อ่านหนังสือไปด้วยนี่ลืมไปได้เลย พี่พังแน่ เพราะงั้น เลยวางแผนไว้ว่า
ม.5 จะเก็บเกรด และ ม.6 จะอ่านหนังสือ!!!
ตอน ม.5 เลยเป็นจุดเริ่มต้นของความหนักหน่วงในชีวิตค่ะ พี่ตัดสินใจลงเรียนคอร์สใหญ่เป็นครั้งแรก (ฟิสิกส์ออนดิมานด์) การเรียนคอร์สใหญ่ไม่ได้มีประโยชน์แค่ใช้ในการสอบเข้า แต่มันยังเป็นการสรุปเนื้อหาในคาบเรียนของเราด้วย เรียกได้ว่ายิงปืนนัดเดียวได้นกสองตัวเลยล่ะ แล้วพี่ก็ตั้งใจเรียนไปเรื่อยๆ (ไร้สาระนึดนึง ตอนนั้นพี่เพิ่งดูอนิเมะ Assassination Classrooom แล้วพี่ก็ปลื้มอกปลื้มใจคุณชายกาคุชูมาก ก็ตัดสินใจยกเจ้าหนุ่มน้อยคนนี้แหละ เป็นไอดอลในการเรียน) สุดท้ายพี่ก็ได้เกรด 4.00 มาครองค่ะ ตอนนั้นคือดีใจหนักมาก เป็นเกียรติยศชื่อเสียงแก่วงศ์ตระกูล 555
การที่พี่ได้เกรด 4 ครั้งนั้นมันทำให้พี่คิดได้ว่า ถ้าเราตั้งใจจะทำจริงๆ ก็ทำได้นี่ แล้วเราหายไปหลบซ่องไหนมา ทำไมถึงไม่ทำ
สุดท้ายแล้ว ช่วงเวลาแห่งความฝันก็ผ่านไป ได้เวลาตื่นมาพบกับความจริง พี่ระลึกได้ว่าสถานีต่อไปคือการสอบเข้ามหาลัย และการสอบเข้ามหาลัยนั้นจะยากกว่าการคว้าเกรด 4.00 หลายเท่า การได้เกรด 4.00 คือการแข่งขันกับตัวเอง แต่การสอบเข้ามหาวิทยาลัย คือการแข่งขันกับคนอื่น
ตอน ม.6 นี่พี่บอกเลยว่าให้ใช้วิจารณญาณในการอ่านคำแนะนำของพี่ให้มากๆ เพราะ ม.6 ปีนี้ เป็นปีที่พี่ทิ้งเกรดค่ะ อ่านหนังสือเป็นหลัก เกรดเป็นรอง ลาได้ลา ขาดได้ขาด เพื่อเพิ่มเวลาอ่านหนังสือและเรียนพิเศษให้กับตัวเอง
นี่คือรายชื่อและการรีวิวตัวอย่างคอร์สเรียนพิเศษที่พี่ลงนะคะ
V-Serise ฟิสิกส์ ออนดิมานด์ – พวกติวเตอร์ก็สอนดีนะ แต่สำหรับพี่คือเร็วไปนิดนึง ในบางเรื่องพี่เค้าก็พิสูจน์สูตรลงลึกไปถึงเนื้อหาระดับมหาลัย เพื่อให้เราเข้าใจในเนื้อหาจริงๆ และที่ชอบที่สุดคือการทำโจทย์แบบจับเวลาจริง ทำให้ได้ฟีลลิ่งกดดันมาด้วย เหมาะสำหรับน้องสายถึกที่อยากเข้าใจในเนื้อหาฟิสิกส์ถึงแก่นแท้
อย่างนึงที่ชอบมากถึงชอบที่สุดคือพี่โหน่งจะแนะนำแนวทางในการสอบเข้ามหาลัยแก่เราเสมอ พี่ได้อะไรๆ จากคำแนะนำของพี่โหน่งมาเยอะแบบเยอะมากๆ ชาบูพี่โหน่งเลยค่ะ!
Ultimate Series เคมี เดอะ เบรน – เอาจริงๆ พี่ติดใจพี่ไผ่อะ 555 ติวเตอร์คนโปรดของพี่เลย สอนดี เนื้อหาแน่น และไม่เกินขอบเขตที่เด็ก ม.ปลาย จะเข้าใจ ไม่เครียด บางทีก็มีทริคแปลกๆ อาจจะแอบ 18+ เล็กน้อย แต่เชื่อเถอะ ฮา แล้วจำได้ด้วย 555 (อย่ามองพี่แบบนั้นสิ พี่ออกจะเป็นคนไสยๆ XD)
ความรู้สึกส่วนตัวของพี่อะ เดอะเบรนกับออนดิมานด์ค่อนข้างจะเป็นขั้วตรงข้ามกันนะ เรื่องบางเรื่องที่ติวเตอร์สอนในเนื้อหาคล้ายๆ กัน แต่ความรู้สึกตอนเรียนจะต่างกันอย่างสิ้นเชิงเลย
คอร์สที่เหลือที่พี่ลงก็จะเป็นคอร์สเล็กๆ แล้วล่ะค่ะ เป็นคอร์สตะลุยโจทย์ที่ช่วยตกผลึกความรู้ของเราให้ออกมาเป็นรูปเป็นร่าง (ฝากส่งความรักถึงพี่ยู เดอะเบรนด้วย นี่ก็ติวเตอร์คนโปรดของพี่อีกคน 555)
อย่างนึงที่อยากฝากไว้สำหรับคนเรียนพิเศษ บางคนอาจจะคิดว่าการเรียนพิเศษที่ดี คือการเรียนหนักๆ นานๆ เลิกสองทุ่มสี่ทุ่ม แต่จริงๆ แล้วพี่บอกเลยว่าไม่ใช่
ในชีวิตนี้พี่เรียนพิเศษเลิกดึกสุดคือหนึ่งทุ่ม แต่โดยปกติจะเลิกหกโมงเย็น วันละ 2-3 ชั่วโมงไม่เกินนั้น ส่วนวันหยุดก็เรียน 4-6 ชั่วโมง ตามสะดวก สาเหตุก็เพราะว่าสมองของพี่มันไม่ถึกทนเท่าชาวบ้าน เอาจริงๆ มันจะไบร์ทได้แค่ชั่วโมงเดียว หรือมากสุดก็สองชั่วโมง ถ้าพี่ฝืนเรียนมากกว่านั้น ผลลัพธ์จะเป็นความว่างเปล่า หรือไม่คุ้มค่ากับเวลาที่เสียไป
หรือสรุปคือ การเรียนพิเศษที่มีประสิทธิภาพมากที่สุด อาจไม่ใช่การเรียนที่ยาวนานที่สุด แต่เป็นการเรียนที่มีระยะเวลาที่เหมาะสมกับตัวเองที่สุดนั่นเอง
แล้วเวลาที่เหลือล่ะ พี่เอาไปทำอะไร? คำตอบคือเอาไปทบทวนค่ะ พี่ทบทวนทีละนิด นิดน้อยมาก 555 อาศัยความสม่ำเสมอ (จริงๆ ก็ไม่ได้สม่ำเสมอขนาดนั้น แต่ก็พยายามทำให้บ่อยที่สุดเท่าที่จะทำได้) ทำข้อสอบเก่า ทำโจทย์ที่เหลือที่ติวเตอร์ไม่ได้เฉลย พี่ขอย้ำว่าสาระมันอยู่ตรงนี้…บีหนาไอเอียงยูขีด ต่อให้น้องจะเรียนพิเศษหนักขนาดเลิกตีสามอยู่ทุกวัน แต่ถ้าน้องขาดการทบทวนและฝึกทำโจทย์ด้วยตัวเอง ผลลัพธ์ที่ได้จะไม่มีทางเกินสิบจากร้อย
มีติวเตอร์คนนึง ใครจำไม่ได้ (กราบขอขมาลาโทษค่ะ TT) เคยบอกว่า การเรียนพิเศษก็เหมือนการที่ติวเตอร์ชกมวยให้เราดู เราจะรู้ How to ชกยังไงให้ชนะ แต่ตราบใดที่เรายังไม่เคยลงสังเวียนเอง (ฝึกทำโจทย์เอง) เราก็จะไม่มีวันรับรู้ถึงความกดดันบนนั้นและพ่ายแพ้ในที่สุด
โดยการทำโจทย์ของพี่ ก็ไม่ได้อิงแค่หนังสือเรียนพิเศษ พี่ทำโจทย์แบบกราด…กราดมาก ทำทั้งชีทเรียนพิเศษและหนังสือข้างนอก บางทีก็ทำในเว็บ ถ้าในเว็บพี่แนะนำ RATH center ครบทุกอย่างเกี่ยวกับคณิตศาสตร์ ดีงามมาก บอกเลอ
การทำโจทย์ก็เหมือนกับการหยอดเหรียญลงกระปุกออมสิน เป็นไปไม่ได้หรอกที่กระปุกออมสินของเราจะเต็มในทันที มันต้องเกิดจากการเก็บเล็กผสมน้อย แล้วความเชี่ยวชาญต่างๆ ก็จะเกิดขึ้นก่อนที่เราจะรู้ตัวด้วยซ้ำ
การทำโจทย์ได้อะไรๆ มากกว่าที่คิด และพี่ก็ให้น้ำหนักกับการทำโจทย์มากกว่าการเก็บเนื้อหาซะอีก น้องจะได้เรียนรู้ว่าโลกนี้แXงตอแXลมาก โจทย์จะหาทางตลบแตลงตอแXลรูปแบบต่างๆ และจะได้ฝึกทำใจกับคะแนนอันต่ำเตี้ยเรี่ยดินตั้งแต่เนิ่นๆ (เฮ้ย! ไม่ใช่! 555) การทำโจทย์จะฝึกให้น้องได้กึ๋น หรือที่พี่โหน่งเรียกว่าปลาเก๋า ซึ่งกึ๋นหรือปลาเก๋าที่ได้ จะสามารถนำมาใช้ได้จริงในห้องสอบ แตกต่างจากเนื้อหาบางส่วนที่ถ้าข้อสอบไม่ออกคือจบ
พี่โหน่งเคยพูดไว้ว่า เนื้อหาความรู้ที่เราได้จากการอ่านหนังสืออาจติดตัวเราอยู่แค่ตอนนี้ แต่ทักษะต่างๆ ที่ได้รับจะติดตัวเราไปตลอดชีวิต อันนี้พี่ว่าจริงนะ
อีกเรื่องที่สำคัญมากๆ ไม่แพ้การทำโจทย์เลยก็คือ สนามสอบจำลอง พี่เป็นคนที่ทดลองสอบในสนามจำลองในแทบจะทุกสนามที่พี่ได้ข่าว DEK-D Pre ent , DEK-D Pre Ad , Pre TCAS ของ Admission Premium , สนามจำลองของแบรนด์ พี่ลองหมด มันทำให้เราได้รับรู้บรรยากาศของการทำข้อสอบจริงๆ ว่าเป็นยังไง ซึ่ง 80% ของกึ๋น (ปลาเก๋า อะไรก็ช่างเถอะ) พี่ได้มาจากสนามสอบเหล่านี้ โดยเฉพาะ DEK-D Pre ent พี่ค้นพบทริคบางอย่างในการทำข้อสอบเป็นครั้งแรก ซึ่งถือว่าเป็นจุดเปลี่ยนอันยิ่งใหญ่เลยแหละ (จะนำเสนอใน Part ถัดไป) นอกจากทริคแล้วเราก็จะยังได้รู้จุดบกพร่องต่างๆ และสิ่งที่ควรปรับปรุงในการสอบครั้งถัดไป…ซึ่งจะไม่มีโมเมนต์แบบนี้ในสนามสอบจริงที่พลาดแล้วพลาดเลย (เผาตัวเองหน่อย ในสนามพรีเอนท์ สารภาพว่าพี่ฝนคำตอบแกทเชื่อมโยงไม่ทัน 555 แทบเดินร้องไห้ออกจากห้องสอบ เป็นอะไรที่โง่มากจริงๆ)
อันนี้ก็เป็นอีกเรื่องที่สำคัญ ห้าม! ทิ้ง ONET โดยเด็ดขาด! เกณฑ์ขั้นต่ำของ กสพท คือ 60% หรือ 300 จาก 500 แต้มนั่นแหละ และพี่ขอชี้เป้าเลยว่านั่นคือคะแนนที่น้อยที่สุดที่น้องควรทำให้ได้ ถ้าน้องได้คะแนนในส่วนนี้เยอะ มันจะเป็นฐานอันมั่นคงที่จะทำให้น้องไม่ต้องเหนื่อยกับแกทแพทมาก (พี่จะบอกรายละเอียดใน Part ถัดไป)
การเก็บ ONET ยากตรงไหน คำตอบของพี่คือมันยากตรงความหลากหลายของวิชา โอเน็ตมันมีห้าวิชาเนอะ วิทย์ คณิต อิ้ง ไทย สังคม ซึ่งเป็นไปได้ยากที่คนหนึ่งคนจะได้คะแนนดีทุกวิชา เช่นเด็กวิทย์อย่างพี่ & ผองเพื่อน พวกเราจะมีจุดบอดในวิชาสังคมและภาษาอังกฤษ ต่อให้คะแนนคณิตวิทย์ดีแค่ไหน แต่ท้ายที่สุดก็จะมีอิ้งและสังคม เป็นมารผจญฉุดลงจากความเจริญทุกครั้งไป
รู้จุดบอดแล้วทำยังไง? คำตอบง่ายๆ…อ่านหนังสือค่ะ สำหรับวิชาสังคมอันนี้พี่ทำใจไว้แล้ว เลยอ่านแบบไม่เน้นมาก ซื้อหนังสือสรุปแบบโคตรสรุปของติวเตอร์พ็อยต์มาเล่มนึง แล้วตั้งเป้าอ่านวันละสิบหน้าจนหมด พอหมดแล้วแทบจะเผาทิ้งเลย 555 สุดท้ายได้คะแนนมา 56…โอเค พอใจ
ภาษาอังกฤษ…อันนี้พี่ก็ซื้อข้อสอบเก่ามาทำ แล้วรู้ว่าจุดบอดคือ Grammar และ Reading พี่ก็เลยซื้อหนังสือของสองสองพาร์ทนี้แยกต่างหากแล้วทำทั้งเล่ม ก็ช่วยให้ชีวิตดีขึ้นมานิดนึง ได้ 57.5 ถือว่าดีแล้วสำหรับวิชาที่เรียกว่าจุดบอด 555
สรุปคะแนนรวมได้ทะลุเป้าค่ะ ตั้งไว้ 300 ได้จริง 360 กว่าๆ ดีใจน้ำตาเล็ด…
สำหรับเนื้อหาด้านการเตรียมตัวสอบก็จบลงเท่านี้ ต่อไปจะเป็นการลงสนามจริงแล้วนะคะ ซึ่งน้องจะสามารถติดตามได้ใน Part ถัดไป (เดี๋ยว นี่มันกระทู้หรืออะไร 5555) ซึ่งพาร์ทถัดไปพี่ก็น่าจะโพสต์พรุ่งนี้นั่นแหละค่ะ ซึ่งถ้าโพสต์เมื่อไหร่เดี๋ยวแปะลิ้งค์ให้
พาร์ท 2 มาแล้วค่ะ ตามนี้ >> https://www.dek-d.com/board/view/3864517/
1 ความคิดเห็น
อห. ตอนนี้หนูยังไม่ได้อ่านหนังสือเต็มที่เลยค่ะพี่ งานอะไรก็ไม่รู้เยอะแยะมากมายไปหมด พอคิดว่าหลังกลางภาคจะจริงจังละ งานก็เข้ามาอีก แต่ก็ไม่ใช่ไม่อ่านนะคะ แต่มันอ่านไม่เต็มที่เลยค่ะ ตอนนี้เริ่มมีกำลังใจแล้วหนูจะไปจัดตารางชีวิตตัวเองใหม่ค่ะ555 ขอบคุณค่ะ
ปล.หนูdek62นะคะ
สมัยพี่ พี่ใช้วิธีเคลียร์งานให้เสร็จในห้องไปเลยค่ะ คือเรื่องที่โรงเรียน ให้มันจบที่โรงเรียน ที่บ้านนี่จะเป็นเรื่องของการอ่านหนังสือสอบเข้ามหาวิทยาลัยแล้ว
แต่ถ้าการบ้านเยอะจนเคลียร์ที่โรงเรียนให้เสร็จในวันเดียวไม่ไหวจริงๆ พี่ก็จะใช้วิธีเคลียร์ตอนเย็นวันครูสั่งครึ่งนึง อีกครึ่งไปปั่นตอนเช้าวันส่ง (ถ้าครูสั่งวันนี้ส่งพรุ่งนี้อะนะ) แต่ถ้าครูให้เวลาทำหลายวัน อันนี้มันแบ่งย่อยได้อยู่แล้ว
จะมีแค่โปรเจ็กต์บิ๊กเบิ้มจริงๆ เท่านั้นค่ะที่รบกวนเวลาที่บ้านพี่ได้ 5555
ยังไงน้องก็ลองเอาไปปรับใช้ดูได้นะ สู้ๆ ค่ะ
ขอบคุณค่ะพี่ ยังไงก็ต้องสักตั้ง
รายชื่อผู้ถูกใจความเห็นนี้ คน
แจ้งลบความคิดเห็น
คุณต้องการจะลบความคิดเห็นนี้หรือไม่ ?