Dek-D.com ใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสบการณ์ของ
ผู้ใช้ให้ดียิ่งขึ้น เรียนรู้เพิ่มเติมที่นี่
ยอมรับ

กว่าจะติดเภสัชที่นอร์เวย์ กับความฝันที่อยากเป็นหมอ

ตั้งกระทู้ใหม่
สวัสดีจ้า เราชื่อน้ำฝนนะ ตอนนี้เราอยู่ที่ประเทศนอร์เวย์ เราอยู่ที่นี่มาจะเกือบ 6 ปีแล้ว วันนี้เรามีประสบการณ์ของเราที่ในการเรียนที่นี่มาแชร์ และทำไงเราถึงติดเภสัชที่นี่ เพราะหวังว่าประสบการณ์ของเราจะเป็นประโยชน์ให้กับคนที่สนใจจะมาเรียนที่นอร์เวย์ หรือคนที่กำลังท้อกับการเรียน เพราะกว่าเราจะมาถึงตรงนี้เราก็ผ่านอะไรมาเยอะเหมือนกัน
ก่อนอื่นถ้าภาษาไทยเราเขียนแปลกหรือผิดต้องขอโทษด้วยนะคะ กระทู้นี้จะเล่าแค่เรื่องเรียนนะคะ แต่อาจไม่ได้ลงรายละเอียดมาก
เรามาเริ่มกันเลย
เราย้ายมาอยู่นอร์เวย์หลังจากที่เราจบ ม.3 ที่ประเทศไทย เราเรียนที่ยโสธรพิทยาคม จ.ยโสธร (คนลาวเด้อจ้า)

.. แม่เราแต่งงานกับคนนอร์เวย์และอยากให้เรามาเรียนที่นี่ แม่เราทำวีซ่าก่อนที่เราจะจบ ม.3 แต่พอจบก็รอวีซ่า 1 ปี เพราะเอกสารไม่ครบ พอวีซ่าผ่านเราก็ย้ายมานอร์เวย์เลย ตอนนั้นปี 2012 ตอนนั้นตื่นเต้นมากๆ
ก่อนที่เราจะเข้าเรื่องเรียน เราขอบอกพื้นฐานของเราก่อนว่า ตอนอยู่ที่ไทยการเรียนเราค่อนข้างจะดี และสำหรับภาษาอังกฤษเราก็พอรู้บ้าง เพราะแข่งทักษะทางภาษาอังกฤษบ่อยตอนเรียนประถม

เรามาอยู่ที่เมือง Flisa ใน Hedmark พอเรามาถึงนอร์เวย์ เรารอประมาณ 3 เดือนกว่าจะได้เข้าเรียนคอร์สเรียนภาษานอร์เวย์ เราได้เรียนภาษาฟรีนะคะเพราะย้ายมากับครอบครัว ตอนก่อนจะมามัวแต่ดีใจเรื่องย้ายมาที่นี่ เลยไม่ค่อยได้นึกถึงเรื่องภาษาเท่าไหร่ พอเข้าคอร์สเรียนเท่านั้นแระจ้า รู้ซึ้งถึงใจเลย ภาษาที่นี่เขาใช้ภาษานอร์เวย์กันนะคะ ซึ้งจะต่างจากภาษาอังกฤษพอสมควรเลย ถึงเราจะรู้ภาษาอังกฤษ แต่ก็ใช้เวลาระยะนึงในการปรับตัวกับสำเนียงฝรั่ง เพราะเราก็ไม่ได้เคยคุยกับชาวต่างชาติบ่อยเท่าไหร่ โรงเรียนที่เราเรียนจะเป็นโรงเรียนสำหรับชาวต่างชาติที่ย้ายมาอยู่นอร์เวย์ ส่วนใหญ่ก็เป็นคนอายุราว 25 อัพ

คอร์สเรียนภาษานอร์เวย์ก็จะเริ่มจากการเรียนพื้นฐานเลย เหมือนมานั่งเป็นเด็กอนุบาลใหม่ ท่อง ABCD แล้วเราก็ใช้เวลาพอสมควรกว่าจะปรับการพูด การอ่านให้เป็นแบบสำเนียงนอร์เวย์ เพราะเรายังติดพูดและอ่านเป็นภาษาอังกฤษ สิ่งที่ทำให้เราเรียนภาษานอร์เวย์ได้ไวคือ เราเริ่มจากการมานั่งอ่านแกรมม่า และทำแบบสรุปด้วยตัวเอง เพราะถ้าเรารู้พื้นฐานของมันและ ก็เหลือแต่การต่อยอด และเรียนศัพท์เพิ่ม ประโยชน์ของการเริ่มจากการทำความเข้าใจแกรมม่าคือ เราจะได้ไม่งงว่า รูปแบบประโยคมันเป็นแบบนี้ได้ยัง ทำไมถึงมีคำนี้เพิ่มขึ้นมา ขณะที่เราเรียนภาษา เราก็มีโอกาสได้ไปโรงเรียนแบบมัธยมปลายบ้าง เพื่อเราจะได้คุ้นเคยกับชีวิตใน รร มัยธยมที่นี่ ซึ่งทาง รร ที่เราเรียนภาษาเป็นคนจัดการให้ทุกอย่าง

*ตอนเข้าเรียน Grunnskole
และพอเราเรียนภาษาไปได้สักพัก ครูเขาก็จะมาคุยกับเราว่าเราเรียนเป็นไงบ้าง และมาถามเราว่าเราอยากเรียนต่ออะไร เพราะเขาก็จะได้ทำเรื่องให้เราถูก ครูที่นี่เขาใส่ใจนักเรียนทุกคนมาก เราบอกกับครูว่าเราอยากเป็นหมอ (อย่าพึ่งงงไปนะคะ ว่าทำไมหัวข้อถึงเป็นเภสัช เรื่องยาวนึดนึง ) และเพราะเราอยากเป็นหมอ เราไม่สามารถเข้า รร มัธยมปลายได้เลย เพราะภาษาเราต้องแน่นกว่านี้ พอเราเรียนภาษาไปได้สัก 6-9 เดือน (เราจำไม่ค่อยได้เท่าไหร่) เราก็ได้เข้าคอร์สที่เรียกว่า Grunnskole เป็นเหมือนแบบคอร์สเด็ก ม.3 ที่โรงเรียนที่นี่นะคะ เพื่อเรียนภาษาให้แน่น การเรียนก็เหมือนเรียนทั่วไปเลย มีวิชาเหมือนใน รร. แต่ที่นี่เขาจะมีแค่ วิชาภาษานอร์เวย์ อังกฤษ คณิต วิทยาศาสตร์ ภูมิศาสตร์ ประวัติศาสตร์ ประมาณนี้นะคะ จะไม่เรียนเยอะเท่าที่ไทย

พอเริ่มเรียน ก็ถึงจุดเปลี่ยนเลยค่ะ เรามาอยู่ได้ไม่ถึงปี ภาษาก็ไม่แน่นเท่าไหร่ เข้าเรียนแรกๆ แทบไม่เข้าใจเลยว่าครูพูดอะไร แต่เราก็ไปเรียนทุกวันนะคะ และเพราะนิสัยของเราที่เป็นคนแบบอะไรยากๆ เราจะชอบทำ เราจะไม่ยอมได้เกรดแย่ๆ แน่ๆ พอกลับบ้านมาเราจะทำตารางเรียนเลยค่ะ ว่าวันนี้เราควรอ่ายอะไรบ้าง แต่ช่วงนั้นยังไม่ค่อยจริงจังเท่าไหร่ เกรดที่นี่สูงสุดคือ 6 นะคะ แล้วเวลาสอบจะเป็นแบบเขียนกับพูดเท่านั้น คือคนที่ได้ก็ได้ คนที่ไม่ได้ก็ไม่ได้เลยค่ะ ไม่มีสิทย์เดาเลย เขาจะสอบทุกครั้งเวลาเราเรียนบทนั้นๆเสร็จ จะไม่มีสอบปลายภาคหรืออะไรแบบที่ไทยนะคะ คือจบบทแล้วสอบเลย

แต่การเรียนที่นี่จะดีอย่างนึงคือ ครูเขาใส่ใจมาก คือเราจะเรียนแต่เนื้อหาเน้นๆ ไม่มีการจดแบบเอาเป็นเอาตายนะคะ ไม่มีรายงานหรือโครงงานอะไรแบบที่ไทยเลย การบ้านก็มีบ้างเพื่อให้เราได้ทบทวน ครูที่นี่เขาจะไม่กดดันเด็ก อย่างเช่นเวลาเราตอบไม่ถูก ครูจะไม่ว่าเราผิดนะคะ แต่เขาจะพูดอ้อมให้เราได้คิด และช่วยแนะให้เรา ทำให้เรารู้สึกว่าเราใกล้เคียงคำตอบ แค่อาจจะต้องคิดเพิ่มอีกนึดนึง เวลาเราสอบ อย่างเช่นวิชาคณิต ถึงเราตอบไม่ถูก แต่เราพยายามที่จะหาคำตอบ เราก็ได้คะแนนนะคะ อาจจะแบบ 1/3 เพื่อให้เรามีกำลังใจในการเรียน ครูจะทำให้เรารู้สึกมีความสุขเวลามา รร ค่ะ ไม่มีความกดดันอะไรเลย ถึงเราทำงานไม่เสร็จ เราแค่บอกครู ครูก็เข้าใจ เด็กที่นี่ถึงเขาจะมีอิสระมาก แต่เวลาเรียน ทุกคนจะตั้งใจเรียนนะคะ แทบไม่มีลอกงานกันเลย

ช่วงแรกที่เรียนฝนก็จะเน้น อ่านจำอย่างเดียวเลย เพราะภาษายังไม่แน่น แบบว่าจะสอบบทนี้วิชาวิท เราก็จะทำสรุปแล้วท่องจำเลย วิธีนี้หนักและเสี่ยง เพราะเราไม่รุ้ว่าครูจะถามเกี่ยวกับอะไร หรือเน้นเรื่องไหน แต่มันก็เป็นวิธีที่ดีที่สุดในตอนนั้น คือเพราะเราเดาไม่ได้ ก็เลยจำทุกอย่างเลย แต่ถ้าครูจะเน้นเรื่องไหนเรื่องนึง อย่างน้อยเราก็ได้ตอบบ้าง อาจจะไม่ลึก แต่ได้คะแนนสักนิดก็ยังดี วิชาที่เราทำได้ดีที่สุดคือ คณิต เพราะที่นี่เรียนคณิตไม่หนักเท่าไทย คือ ม.3 ของเขา อาจจะเท่ากับคณิต ม.1 ที่ไทยงี้ และที่นี่เราสามารถใช้เครื่องคิดเลขได้นะคะ เวลาสอบข้อสอบจะมี 2 ชุด ข้อสอบง่าย กับยาก เรียนว่า part 1 and part 2 หรือภาษานอร์เวย์ว่า Del 1 og Del 2. ชุดแรกนิง่าย เราไม่สามารถใช้ตัวช่วยได้นะคะ ชุด 2 เราสามารถใช้ได้ทุกอย่างเลย ไม่ว่าจะเป็นเครื่องคิดเลข หนังสือ แต่ยกเว้นอินเตอร์เนต ถึงจะง่าย แต่จะได้ 6 ไม่ใช่เรื่องง่ายนะคะ เพราะคณิต ทุกอย่างต้องเป๊ะมาก และผิดได้ไม่เกิน 2-3 คะแนนเท่านั้น ถึงจะได้ 6 ภาษาถือว่าเป็นตัวสำคัญเหมือนกัน เพราะถ้าเราไม่เข้าใจโจทย์ เราก็จะไม่รู้ว่าหาคำตอบยังไง ยากสุดคือความน่าจะเป็น เพราะต้องภาษาโหดมากกกก เทอมแรก เกรดเราวิชาทั่วไปจะอยู่ที่ 3-4 แต่คณิตอยู่ที่ 5 พอเข้าเทอมที่ 2 เราก็ตั้งใจเรียนมากขึ้น เพราะเรารู้สึกว่าเราสามารถทำได้ดีกว่านี้ และถ้าเราอยากเป็นหมอ เกรดแค่นี้ เราไม่ได้เป็นแน่ๆเลย พอเทอม 2 เกรดก็ดีขึ้นค่ะ 5 อยู่ 2 วิชา ที่เหลือก็ 4 กับ3 นี่คือเกรดตอนจบมาค่ะ ถืออยู่ในระดับปานกลาง

เล่าเรื่องเรียนมาพอสมควรแล้ว ขอเล่าเรื่องชีวิตที่นี่บ้างนะคะ สำหรับวัยรุ่นอายุ 17 การย้ายมาต่างประเทศช่วงแรก เราอาจจะตื่นเต้นกับชีวิตใหม่ แต่พออยู่ไปสักพัก มาแล้วค่ะน้ำตา เพราะภาษาที่ไม่เคยเรียนมาก่อน กับความฝันที่อยากเป็นหมอ มีท้อแน่นอนค่ะ พออยู่มาได้สักพัก ในช่วงที่เข้าเรียน ก็มีบ้างที่เราไม่อยากอยู่ที่นี่ เราอยากกลับบ้าน อยากกลับไปมีชีวิตแบบเดิม ชีวิตที่การเรียนเราดีกว่านี้ ชีวิตที่ไม่ใช่การไป รร แบบคนหูหนวก เป็นไบ้ แต่ก่อนตอนเราอยู่เมืองไทย เราเรียนได้ที่ 1 ทุกปีนะคะ ไม่เคยได้รับรู้กับความรู้สึกที่ว่าการเรียนแย่ๆเป็นยังไง แต่ตอนนี้เราเข้าใจแล้ว ว่าคนที่เขาเรียนไม่ได้มันเป็นยังไง ถึงเราจะรู้ในสิ่งที่เราเรียน แต่เพราะภาษาเราไม่เก่ง มันก็ยากที่จะพูดหรืออธิบายกับครู ชีวิตใน รร มันไม่ได้สนุกอย่างที่เราคิดเลย เราได้มายืนอยู่ในจุดที่ล่างสุด ต้องได้พบกับผลการสอบที่เราทำได้ไม่ดี และต้องต่อสู้กับความรู้สึกตัวเองที่จะทำให้มันดีขึ้น เพราะอายุก็ 17 แล้ว แต่เรายังไม่ได้เข้า ม.4 เลย ก็มีบ้างค่ะ ที่ทุกข์ใจอยากกลับไปเรียนที่ไทย ร้องไห้บ่อยมาก ตอนนั้นก็ติดทอสับ เพราะที่นี่ก็แทบไม่มีเพื่อนเลย

พอเราจบ Grunnskole เราก็ได้เข้าเรียนที่ รร มัธยมปลาย ทุก รร ที่นี่เขาไม่มีสอบเพื่อจะเข้าเรียนนะคะ เกรดคือสิ่งที่สำคัญที่สุด คือเกรดเราต้องถึงมาตรฐานของ รร นั้นๆ เราถึงได้เข้าเรียน เราติดที่ Elverum videregående (Elverum high school) เพราะ รรใกล้บ้านไม่มีวิชาที่เราจะเรียน Elverum จะห่างจากบ้านเราประมาณ 1 ชั่วโมง by bus ปีแรก เรานั่งรถบัสไป-กลับทุกวันค่ะ พอเข้า รร จิงๆ ชีวิตก็เปลี่ยนไปอีกรูปแบบนึงค่ะ ได้เจอเพื่อน ก็ไม่ค่อยเครียนเท่าไหร่ ยิ่งพอได้เริ่มเรียน ก็ยิ่งชอบระบบการเรียนที่นี่มาก คือความรู้และความเข้าใจของนักเรียนเป็นเรื่องที่สำคัญสุดค่ะ ที่นี่คุณครูจะพยายามสอนเราให้เข้าใจมากที่สุด ทุกเทอมครูจะมานั่งคุยกับนักเรียนแต่ละคน เพื่อถามว่าการเรียนเป็นยังไง ครูสอบเข้าใจมั้ย มีอะไรที่เราอยากให้ครูทำเพิ่มมั้ย และสังคมที่นี่ก็ดีนะคะ ทุกคนเขาจะไม่ล้อเลียนเรา เวลาเราทำผิด เขาจะคอยให้แต่กำลังใจ ไม่ซ้ำเติม เราเข้าเรียนสายสามัญถ้าเทียบกับไทยนะคะ ที่นี่เรียกว่า studiespesialisering คือ ม.4 ที่เราสามารถเลือกสายเรียนได้แล้วนะคะ แต่ละสายจะเรียนไม่เหมือนกัน เช่น คนที่อยากเป็นพยาบาล ก็จะเป็นสายพยายามบาล คณิตก็อาจจะไม่ยากกับสายสามัญประมาณนี้ค่ะ

ปีแรก การเรียนเราก็ยังถือว่าอยู่ในระดับปานกลางอยู่ พอเราจบ ม.4 เราขอย้ายไปพักอยู่หอใกล้ รร เพราะไปกลับทุกวัน เราก็เรื่มเหนื่อยค่ะ เพราะงานก็เริ่มเยอะขึ้น แต่แม่ไม่อยากให้เราย้ายค่ะ และเรากับแม่ก็ไม่เคยอยู่ด้วยกันมาก่อน ฉะนั้นก็มีปัญหาการไม่เข้าใจ การปรับตัวบ่อยค่ะ ในช่วงปีแรก ที่ รร เขาก็จะมีหมอ สำหรับนักเรียนที่มีปัญหาอยากคุยกับใครสักคน เราเจอหมอแทบทุกเดือนค่ะ เพราะตอนนั้นชีวิตกดดันมาก ทั้งปัญหาที่บ้าน ปัญหาการปรับตัวกับสังคม การเรียนที่เราต้องทำให้ดี สุดท้ายเราก็ตัดสินใจย้ายค่ะ เราย้ายมาอยู่หอใกล้ รร ทุกคนอาจจะงงว่าแล้วเราได้จ่ายค่าหอมั้ย จ่ายค่ะ แต่รัฐบาลเป็นคนจ่าย คือนักเรียนทุกคนที่นี่จะได้เงินเดือน เหมือนทุนอ่ะค่ะ ทุกเดือน สำหรับค่าเรียน ค่ากิน ค่าที่พัก เราได้มากน้อย ขึ้นอยู่กับรายได้ที่บ้านค่ะ

พอเราย้ายมา และกำลังจะขึ้น ม.5 เราตัดสินใจเข้าเรียน IB (ib international baccalaureate) คือทุกอย่างเป็นภาษาอังกฤษนะคะ สำหรับนักเรียนที่อยากเรียนต่างประเทศ เพราะถ้าจบ IB เราสามารถสมัครได้แทบทุกมหาลัยและไม่ต้องสอบภาษาค่ะ IB จะต้องเรียน 2 ปีนะคะถึงได้ใบจบ ตอนแรกเราคิดว่าจะไปเรียนแพทย์ที่อังกฤษเลยเลือกเรียน IB (ที่นี่ยังจะไม่รอดเลย ยังจะไปอังกฤษไม่เจียมจริงๆ 55)

*ไปทัศนศึกษาที่ลอนดอนจ้า


*อันนี้ลงหนังสือที่ รร

คือช่วงชีวิตในช่วง ม.4-5 การเรียนของเราถือว่ายังไม่โอเคนะคะ ถ้าเทียบกับการที่เรายังอยากเป็นหมอ ช่วงนั้นเราเจอกับปัญหาหลายๆอย่าง ถึงตั้งใจแต่ก็ยังทำได้ไม่ดี รู้สึกเศร้าค่ะ รู้สึกว่าไม่รู้ว่าความฝันของการเป็นหมอ เราคงเอื้อมไม่ถึง เรายังไม่ได้ 6 สักวิชาเลย
นี่คือเกรดตอนเรียน IB นะคะ ตอนนั้นชีวิตเศร้ามาก เรียนไม่ได้เลย เกรดตกมาก ความกดดันเยอะมาก ชีวิตช่วงนั้นเจอดราม่าเยอะมากค่ะ เรื่องครอบครัวตอนนั้นมีผลกับเรามาก ร้องไห้ทุกคืนค่ะ ไปสอบ exam แบบไม่อ่านหนังสือเลยค่ะ สภาพจิตใจแย่มาก


แต่พอจบ IB ปีแรก เราก็เปลี่ยนใจกลับมาเรียนแบบเดิมค่ะ ก็คือ studiespesialisering และเรียนซ้ำ ม.5 อีกครั้ง

ก่อนอื่นขอเล่าเกี่ยวกับการเรียนมหาลัยที่นี่นะคะ คือเวลาเราไปต่อมหาลัย เราจะใช้เกรดไปสมัครในสิ่งที่เราอยากเรียนนะคะ คือเกรดเฉลี่ยนของเราตอนจบ ม.6 สำคัญมากค่ะ แต่เราก็สามารถแก้เกรดได้นะคะ เรื่องนี้สำหรับใครที่อยากรู้ก็ถามได้ค่ะ คือหมอ เป็นสายเรียนที่เข้ายากที่สุด ที่นี่เรียนฟรีนะคะ ไม่เสียค่าเทอม ดังนั้นถึงเข้ายาก แต่แต่ละมหาลัยก็จะมีเกรดเฉลี่ยที่ต่างกันค่ะ ที่หินและสูงสุดคือ Univerisity of Oslo ค่ะ เพราะเป็นมหาลัยในเมืองหลวง สมมุติเกรดเฉลี่ยนเราได้ 5.5 *10 (ต้องคูณเฉยๆค่ะ) ก็เป็น 55 เราก็จะเอาไปเทียบว่า แต้ม 55 นี้เข้าเรียนสายไหนได้บ้าง คือหมอนิ 60+ ค่ะ ต้องได้ 6 แทบทุกวิชาเลย นอกจากเกรดแล้ว เราก็ได้แต้มภาษา แต้มอายุเพิ่มด้วยค่ะ

สำหรับเราตอบจบ IB แล้วมาเริ่ม ม.5 ใหม่ นี่แหละค่ะ ช่วงเปลี่ยนของทุกอย่าง พอเราเจอกับปัญหาหลายๆอย่าง การปรับตัวบ้าง ครอบครัวบ้าง เลิกกันแฟน ชีวิตลงดิ่งมากเลยค่ะ ช่วงนั้น หลายๆอย่างมันเกิดขึ้นในชีวิต แต่ก่อนที่จะตัดสินใจเรียน ม.5 ซ้ำ เราได้มานั่งคิดทบทวนทุกอย่าง เพราะครูที่ รร ก็แนะนำให้เราขึ้น ม.6 เลย ตอนนั้นเราอายุ ประมาณ 19-20 ค่ะ แต่เรามานั่งคิดว่า ถ้าเราเริ่ม ม.6 เลย คงยากที่เราจะติดหมอ เพราะ IB ก็เรียนไม่ค่อยเหมือน รร ปกติเท่าไหร่ คือเนื้อหาอาจจะเชื่อมกันไม่ได้ ปัญหาหลักก็คือภาษา เพราะเราอยากเก่งภาษานอร์เวย์มากกว่านี้ และปัญหาในชีวิต เราก็มานั่งคิดว่า สิ่งที่ิอยู่ตรงหน้าเรามันอาจจะยาก และความเป็นไปได้น้อยมากที่จะเอื้อมถึงความฝัน แต่เราจะขอลองดูสักครั้ง จะทำให้มันดีที่สุด ถ้าเราทำไม่ได้ เราจะยอมรับผลของมัน สิ่งที่ทำให้สู้อีกอย่างคือ ความสุขของแม่ และตากับยายค่ะ เราอยากเห็นรอยยิ้มของท่านในวันที่เราสำเร็จ เพราะทั้งชีวิตเรามีกันแค่นี้ ตอนแรกคิดว่าเรียนจบจะไปต่อหมอที่โปรแลนด์ เพราะที่นั่นเข้าง่ายกว่ามากๆ พอเริ่มเข้า ม.5 ตอนนั้นเราต้องเลือกวิชาสำคัญหลักค่ะ เพื่อจะไปต่อสายที่เราจะเรียน แล้วเขาก็จะแยกนะคะ ม.5 ก็เป็น เคมี1 ฟิสิกส์1 งี้ ม.6 ก็สามารถเลือกได้แบบ 2 การที่เราจะเป็นหมอ เภสัช วิชาที่ต้องมีคือ ฟิสิกส์1 เคมี 1+2 คณิต (R1 หรือ S1+S2) เราเลือกเคมี1 คณิต S1+S2 ชีวะ 1 เราเลือกเรียนฟิสิกส์ไม่ทัน เพราะเขาเรียนกับไปครึ่งแล้ว ครูบอกว่าเราสามารถเลือกได้ตอน ม.6 เราเลยโอเคค่ะ ปีนี้เป็นปีที่เราทุ่มเทมากที่สุด เราพักอยู่หอคนเดียวนะคะ เวลาส่วนใหญ่คืออ่านหนังาสือกับออกกำลังกาย ถามว่าเหงามั้ย มีบ้างค่ะ ร้องไห้บ้างกับความกดดัน แต่เราคิดเสมอว่ามันแค่ช่วงนี้เท่านั้น ขอแค่เราอดทน วันที่เราสำเร็จ วันนั้นเราอยากจะไปไหนก็ได้ อยากทำอะไรก็ได้ เพราะที่เราทำอยู่ ไม่ใช่แค่ตัวเอง ยังมีคนข้างหลังที่รอเราอยู่

แต่ก่อนเราจะสอบได้อยู่แค่ 4 กับ 5 เคยคิดว่ามาอยู่นอร์เวย์ไม่กี่ปี คนที่นี่รู้ดีว่าจะได้ 6 คือต้องผิดได้ไม่เยอะ และยากมากเวลาสอบ คงต้องใช้เวลาอีกสักพักสำหรับเรา แต่ไม่ใช่ค่ะ ทุกอย่างเป็นไปได้เพราะความพยายาม สอบเคมีบทแรก เราได้ 4 พลาดไปเพราะลืมจำเนื้อหาสำคัญ คณิตได้ 5 (ผิดเรื่องง่ายๆซ้ำๆ 55) เราตั้งใจมากช่วงนั้น พอบทที่ 2 3 4 เราได้ 6 ค่ะ ทั้งเคมี คณิต ชีวะ คือไม่อยากเชื่อเลยค่ะ ว่าเราจะมีวันนี้ หลังจากนั้นเราก็ได้เกรดนี้มาตลอดค่ะ ฟังดูมันดูง่ายนะคะ แต่ตอนทำนิทุ่มทุนมากกกก ทั้งอ่าน ทั้งฝึก ทบทวนแล้ว ทบทวนอีก




จบ ม.5 วิชาสำคัญหลักเราได้ 6 ทุกวิชาค่ะ พอใกล้จบก็จะมี exam ค่ะ ในแต่ละปี ซึ้งเขาจะจับฉลากว่าเราจะได้สอบวิชาไหน แบบไหน ซึ้งมีแบบพูด กับเขียน ตอน ม.4 ห้องเราไม่ได้สอบค่ะ โชคดีไป แต่ ม.5 ต้องสอบทุกคนค่ะ คนละวิชา เราได้คณิต แบบเขียน ข้อสอบคือโหดมากกว่าการสอบปกติค่ะ และเข้มงวดมาก จะมีคนเฝ้าตลอดเวลา และเราสอบได้ 6 ค่ะ คือมันเป็นความรู้สึกที่อธิบายไม่ได้เลย เรามองย้อนกลับไปคิดถึงสิ่งที่ผ่านมา คือเราผ่านอะไรมาเยอะมาก กว่าจะมาถึงตรงนี้ ตอนนี้เราจบ ม.6 แล้วค่ะ และได้ย้ายมาอยู่ที่ Oslo


* รร ที่เราเรียนจ้า
นี่คือการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ในเวลา 1 ปีค่ะ หลังจากกลับมาเรียน ม.5 เทอม 2 สู้หนักมาก


นี่คือเกรดปีสุดท้ายค่ะ พยายามเปลี่ยนเกรดภาษานอร์เวย์ แล้วเราก็ทำได้ค่ะ

ปีสุดท้ายก็ถือว่าเป็นอีกปีที่หนักกับเราค่ะ เราต้องสูญเสียพ่อเลี้ยงแบบกระทันหัน ท่านดูแลเราดีมาก เรารักเหมือนพ่อแท้เลยๆค่ะ ตอนนั้นเราสอบเคมีได้เต็ม กำลังโทรไปบอกแม่ แต่แม่ดันบอกก่อนว่าพ่อเสียแล้ว เราพูดไม่ออกเลย คือมันทรมานมากช่วงนั้น เทอมแรกคือเราต้องใช้ความอดทนสูงมากที่ต้องรักษาเกรดไว้ให้เหมือนเดิม จำได้ว่าตัวเองเคยทั้งนอน ทั้งอ่านเลยค่ะ หลับไปกับหนังสือ หรืออ่านทั้งน้ำตาก็มี แต่เพราะมันปีสุดท้ายแล้ว เราจะทำมันพังไม่ได้ พยายามบอกกับตัวเองว่ามันเป็นแค่อุปสรรคที่จะพิสูจน์ว่าเราจะเป็นหมอที่ดีได้มั้ย เราจะยอมแพ้รึเปล่า แต่เราก็ผ่านมันมาได้ค่ะ ตอนไปรับใบจบคุณครูเดินมาบอกกับเราว่า ไม่ว่าตอนนี้เราจะเจอเรื่องแย่ๆแค่ไหน ขอให้เราสํญญากับครูว่า เราจะไม่ยกเลิกความตั้งใจในการเป็นหมอเด็ดขาด คือเราพูดไม่ออกเลยค่ะ คุณครูที่นี่ดีกับเรามาก และเป็นเหมือนครอบครัวของเรา วันนั้นเราก็ตั้งใจอย่างหนักเลยค่ะ ว่าเราจะไม่ถอยเด็ดขาด

เราเลือกที่จะเรียนหมอนะคะ แต่เราต้องไปเรียนฟิสิกส์เพิ่ม เพราะตอน ม.6 คาบฟิสิกส์ดันมาตรงกับเคมี 2 ซะงั้น เราเลยไม่ได้เรียนฟิสิกส์ ตอนเราจบเพื่อนๆเขาก็ส่งเกรด หาที่เรียนค่ะ เรารู้ว่าเราอยากเป็นหมออยู่แล้ว ยังส่งไม่ได้ แต่ลองส่งเข้าไปสมัครเภสัชดูค่ะ ถึงรู้ว่าสุดท้ายจะไม่ได้เรียนก็ตาม สรุปเราติดค่ะ เราติดเภสัชที่ OsloMet คือดีใจมาก ว่าอย่างน้อยในชีวิตนึงก็เคยติดเภสัช มันเป็นความรู้สึกที่ดีมาก เราอยากเรียนที่มหาลัยนี้มากค่ะ แต่เขาไม่มีหมอ เสียดายมากๆ เภสัชที่นี่เข้าได้ 2 แบบนะคะ คือแบบ Bachelor คือเรียน 3 ปี แล้วต่ออีก 2 ปี อันนี้ไม่มีฟิสิกส์ได้ค่ะ อีกอันคือ master 5ปีเลย แต่ต้องมีฟิสิกส์ เคยคิดว่าจะเรียนเภสัชก่อน ค่อยเรียนหมอด้วยค่ะ เพราะอยากเรียนที่นี่มาก มหาลัยน่าเรียนมาก


เพราะความฝันเราคือการเป็นหมอ ถึงเราจะติดเภสัช เราก็ยังเลือกหมอค่ะ เรายอมเสียเวลาอีก 1 ปีเพื่อเรียนฟิสิกส์แล้วไปสมัครหมอปีหน้า ตอนนี้เราจะเข้าเรียน คอร์ส Anatomi and Physiology ที่ Atlantis medisinske høgskole เปิดเทอมเดือน august และมกรา ก็เข้าคอร์สฟิสิกส์ กับแก้เกรดบางวิชาค่ะ

เหลืออีก 1 ปีกับการต่อสู้เพื่อความฝัน ถึงตอนนี้เราจะอายุ 22 เราก็พร้อมที่จะสู้อีก 1 ปีเพื่อความฝันของเราค่ะ เราไม่เคยเสียดายเลยค่ะ ที่เราไม่เลือกกลับไทยและยอมเสียเวลาเกือบ 3 ปี วันที่เราเฝ้ารอคอยคือการกลับไปไทย หาตากับยาย และบอกกับท่านว่า ฝนติดหมอแล้วนะ ...

สิ่งที่เราทำ แล้วเราเรียนดีขึ้นนะคะ
1. สำคัญที่สุดคือเราต้องเชื่อมั่นในความตั้งใจของตัวเองค่ะ ถึงใครๆจะบอกกับเราว่าเราทำไม่ได้ เราไม่เคยย่อท้อค่ะ ทุกครั้งที่เราสอบได้ไม่ดี เราจะบอกตัวเองเสมอว่า "ไม่เป็นไร เอาใหม่" กี่ความเจ็บปวด น้ำตา เราจะบอกกับตัวเองว่ามันจะผ่านไป ขอแค่เราไม่ท้อ ตอนเรากลับไปไทย เจอคนดูถูกเยอะค่ะ ว่าอายุขนาดนี้แล้วทำไมยังเรียนไม่จบ สงสัยคงมีครอบครัว คงเลิกเรียน แต่เราไม่เคยสนใจค่ะ เรารู้ว่าเราทำอะไรอยู่ เราแค่รอให้ถึงเวลา
2. หมั่นฝึกฝน ไม่ขี้เกียจค่ะ ทุกครั้งที่เราขี้เกียจ เราจะบอกกับตัวเองว่า ถ้าเรื่องแค่นี้ยังขี้เกียจ เราจะเป็นหมอที่ดีได้ยังไง การฝึกฝนมันช่วยได้จริงๆนะคะ ตอน ม.5 เราฝึกแบบฝึกหัดทุกข้อในหนังสือค่ะ เกรดเราถึงเปลี่ยน แต่ก่อนไม่เคยฝึกเลย มีแต่ท่องจำ พอเราฝึกข้อสอบเราจะรู้ว่าช่องโหว่ของเราอยู่ที่ไหน เราควรฝึกอะไรเพิ่ม
3. มีแบบแผน และทำมันอย่างสม่ำเสมอ เราจะมีตารางอ่านหนังสือนะคะ ว่าแต่ละวันควรอ่านอะไร แล้วก่อนสอบ เราจะฝึกประมาณ1 อาทิตย์ก่อนสอบค่ะ แต่เราก็มีพักบ้างค่ะ เช่น วันศุกร์ กับเสาร์ เราจะไม่ใช้เวลาไปกับเรื่องไร้สาระนะคะ เช่นเล่นทอสับทั้งวัน นั่งคิดมาก จมทุกข์ เราจะคิดว่าขนาดคนนอร์เวย์เองเขายังต้องพยายามเลยค่ะ แล้วเรามีพื้นฐานไม่เท่าเขา เรายิ่งต้องขยันกว่า เวลาส่วนใหญ่ของเรา เราจะใช้ไปกับการพัฒนาการตัวเอง การอ่าน การเรียนรู้ การออกกำลังกายค่ะ The better you become, the better you attract (คนละเรื่องแระ 55)
4. สำหรับภาษาทั้งอังกฤษ นอร์เวย์ ตอนนี้เราได้ทั้ง 2 ภาษาค่ะ ภาษาอังกฤษเราเคยฝึกเยอะมากๆ และทุกวันนี้เราก็ฝึกอยู่ แล้วเคยมีแฟนเป็นคนอังกฤษ เลยได้มาเยอะเหมือนกันค่ะ การเรียนภาษาอังกฤษของที่นี่กับที่ไทยไม่เหมือนกันนะคะ ตั้งแต่มัธยมต้น จะไม่มีมานั่งเรียนแกรมม่าแล้ว คือเรียนเหมือนเรียนทั่วไป เรื่องนู้นนี่นั่น เขียนเรียงความ โหดสุดคือการบรรยายกลอน แล้วเด็กที่นี่พูดอังกฤษได้แทบทุกคน เราเคยเจอเด็กประถมพูดอังกฤษกับเราด้วย เหวอมาก 55 คือภาษาอังกฤษเราก็ต้องมาฝึกใหม่หมดเหมือนกันค่ะ นี่ก็เป็นอะไรที่ยาก ที่เรียน 2 ภาษาพร้อมกัน อีกทั้งต้องทำให้ดีทั้ง 2 ภาษา สำหรับเราภาษาเป็นอะไรที่ยากที่สุด เพราะมันต้องใช้เวลาในการทำความเข้าใจรูปแบบของภาษานั้นๆ ก็เหมือนจนกว่าฝรั่งจะเข้าใจสำนวนไทยอ่ะค่ะ เวลาเราพูด เราจะไม่มานั่งคิดมากนะคะ ว่าพูดผิด ถูก เพราะประสบการ์ณเป็นครูสอนที่ดีค่ะ ถ้าเราไม่ใช้มัน เราก็จะไม่ได้เรียนรู้

ที่เราเขียนกระทู้นี้ขึ้นมาเพราะหวังว่ามันจะเป็นประโยชน์กับกำลังใจให้ใครหลายๆคนนะคะ ให้อย่าท้อกับสิ่งที่ทำอยู่ เราไม่ได้มีวันนี้เพราะว่าเราเก่งมาจากไทยนะคะ ทุกอย่างเรามาเริ่มต้นใหม่หมด แต่เราแค่ไม่เคยไม่พยายาม ทุกคนมีสิทย์มายืนในจุดที่ฝนยืนอยู่นะคะ มันไม่เกี่ยวว่าฉลาดมากน้อย ประสบการ์ณในชีวิตที่ผ่านมาทำให้ฝนเข้าใจว่าความเก่งไม่ใช่ทุกอย่าง แต่ความอดทน และมุ่งมานะต่างหากที่จะพาเราไปสู่ความสำเร็จ และทุกอย่างอาจจะต้องใช้เวลาค่ะ I won't stop when I am tired, I will stop when I succeed. สำหรับใครที่มีคำถามเกี่ยวกับเรื่องเรียน ภาษา การใช้ชีวิต ชีวิตวัยรุ่นที่นี่เป็นยังไง สังคมที่นี่เป็นยังไง หรืออยากให้เราเล่าเพิ่ม ก็ถามมาได้นะคะ IG: katie31271ใน IG ฝนก็จะอัพรูปเกี่ยวกับชีวิตในนอร์เวย์และการฝึกภาษาทั้งอังกฤษและนอร์เวย์ค่ะ
https://www.youtube.com/playlist?list=PL91X7-HQ9KhLQN22zO83PALEcXSXNR42y
ฝนจะอัพวิดิโอเกี่ยวกับศัพท์ภาษาอังกฤษลงใน youtube นะคะ เป็นคำศัพท์ที่จำเป็นและจากง่ายไปยากค่ะ

แสดงความคิดเห็น

>

8 ความคิดเห็น

Sanbeary 23 ก.ค. 61 เวลา 07:21 น. 1

สวัสดีจ้าาา เราก็เคยอยู่ยโสธรพิท จ. ยโสธร คือกันเลยย แต่ยังบ่ทันได้จบม.3 แล้วก็ย้ายมาอยู่อเมริกา ;) #โดดเรียนจนไม่มีสิทธ์สอบ เลยลาออกอ่ะ แหะๆ

1
Katie31271 25 ก.ค. 61 เวลา 16:45 น. 1-1

อดีตก็คืออดีตน๊า เราเริ่มต้นใหม่ได้เสมอ :)

0
สตื ที่ตัวเรา 23 ก.ค. 61 เวลา 15:38 น. 2

ขอบใจน้องมากครับ เป็นประโยชน์อย่างสูงในข้อมูลที่ให้ ทั้งประสบการณ์ การต่อสู้กับชีวิตใต่างแดน ทั้งการเรียน และส่วนตัว ขวัญกำลังใจสร้างด้วยตนเองอันนี้ขอชมจริง มีความขยันหมั่นเพียรฉลาดเฉลียวที่ดีมาก ขอให้สมหวังทุกสิ่งที่ฝันนะครับ มาครึ่งทางแล้ว น้องคนไทยจะได้เห็นแบบอย่างที่ดีต่อไปจา

1
nitinard 25 ก.ค. 61 เวลา 19:42 น. 3

จขกท.เก่งมากเลยค่ะ ถ้าเป็นเรานี่คือแบบมัวแต่ท้อ ขอให้สู้ต่อไปนะคะ

เป็นกำลังใจให้ค่ะ

0
Mrpoormanbba 30 ก.ค. 61 เวลา 09:29 น. 4

อย่าหยุดพยายามน่ะครับ ผมเป็นกำลังใจให้น่ะครับ ผมก็เป็นคนนึงที่เคยมีความคิดอยากเป็นหมอ แต่ก็เจอจุดเปลี่ยนเหมือนกัน ตอนนี้มีความสุขดี ได้เจออะไรที่ชอบ และหวังว่าคุณก็จะได้เจอกับความสุขในปีหน้านะครับ สู้ๆครับ

0
Little_Mindmint 18 ส.ค. 61 เวลา 12:19 น. 5

นับถือในความพยายามและความทุ่มเทของจขกท.มากเลย ความพยายามที่มีอยู่แล้ว จะช่วยผลักดันให้จขกท.ประสบความสำเร็จและเป็นคุณหมอที่ดีในอนาคตได้แน่นอนค่ะ


ขอเป็นกำลังใจให้สู้ต่อไปนะคะ อดทนและเข้มแข็งแบบนี้ต่อไป สู้ๆนะคะ :-)

https://www0.dek-d.com/assets/article/images/sticker/yy-08.pnghttps://www0.dek-d.com/assets/article/images/sticker/yy-08.pnghttps://www0.dek-d.com/assets/article/images/sticker/yy-08.png

0
Anita 20 ก.ย. 61 เวลา 05:46 น. 6

เก่งมากค่าาา ตอนนี้อยู่นอร์เวย์เหมือนกันพึ่งมาได้ปีกว่าๆเอง อยากคุยกับพี่จังเลยค่ะ ขอไลน์ไว้ปรึกษาได้ไหมคะ

1
Katie31271 10 ก.พ. 62 เวลา 11:16 น. 6-1

ขอโทษที่ตอบช้านะคะ ไม่ค่อยได้เข้ามาดูเลย line: katety1271 :)

0
_ขนมปัง_ 4 ต.ค. 61 เวลา 20:58 น. 7

เคยอยากไปเรียนต่อนอร์เวย์เหมือนกันค่ะ แต่ว่าสภาพอากาศลมแรงและหนาวเกิน ไปเที่ยวทีมือหงิกนิ้วล็อกตลอด 5555 ถ้าฝนตกไม่ต้องพูดถึง มนุษย์ขี้ร้อนแบบดิฉันช็อคตายแน่นอน สำหรับเรารู้สึกว่าภาษาเค้าห้วนๆแต่ก็น่าสนุกดี แต่ถ้าให้ไปปรับพื้นฐานปีๆนี่คงยาก T^T เราอยากเรียนเกี่ยวกับพวกจิตวิทยาอะไรแบบนี้ แต่คงเลือกเป็นที่สก็อตแลนด์เพราะอยู่ต่ำลงมาหน่อย แต่ก็หนาวพอๆกัน //นี่เป็นมนุษย์คนไทยที่ทนหนาวไม่ได้จริงๆ

0