TCAS 62 ทปอ จะไปทางไหน
ตั้งกระทู้ใหม่
วันนี้(19สค61)ได้เข้าไปตอบแบบสอบถามของ ทปอ ที่ร่วมกับเว็บ Dek-d ถามความคิดเห็นเกี่ยวกับระบบ tcas 61 ปีที่ผ่านมา ตามลิงค์นี้ https://www.dek-d.com/yourtcas/
" แบบสอบถามความคิดเห็นที่มีต่อระบบ TCAS 61
" แบบสอบถามความคิดเห็นที่มีต่อระบบ TCAS 61
- รวบรวมข้อมูลความพึงพอใจและความเห็นต่อระบบ
เพื่อการปรับปรุงระบบ TCAS ในอนาคต - รองรับการใช้งานแบบ Mobile friendly สะดวก รวดเร็ว ใช้งานง่าย
- ใช้เวลาไม่เกิน 10 นาที
- ห้าม! กด Back บน Browser >>> สามารถกด ก่อนหน้า ได้เท่านั้น
- แบบสอบถามนี้เป็นส่วนหนึ่งของโครงการประเมินระบบกลางเพื่อคัดเลือกบุคคลเข้าศึกษาต่อระดับมหาวิทยาลัย (TCAS)"
ซึ่งจะหมดเขตให้ตอบรู้สึกว่าจะเป็น 22 สค 2561 นี้ ก็ได้เข้าไปตอบแบบสอบถามตามที่เขาอยากจะถาม แต่รู้สึกว่าไม่ค่อยตรงกับที่เราอยากจะให้ถามเลย และท้ายสุดเขาให้แสดงความเห็นเป็นข้อความได้ 2000 ตัวอักษร ซึ่งก็ได้แสดงความเห็นไปตามที่เห็นว่าควรจะเป็น แต่ขัดใจตรงที่ 2000 ตัวอักษร มันไม่พอที่จะแสดงความเห็นอย่างเข้าเนื้อให้ได้เห็นถึงวัตถุประสงค์ที่เราอยากจะบอก เขียนไปได้แค่ tcas รอบที่ 2 ก็หมดโควตาแล้ว จึงทิ้งติ่งเอาไว้ว่าให้ตามมาอ่านในกระทู้นี้ในนามไอสไตล์ ซึ่งส่วนที่ได้แสดงความเห็นไปบางส่วนอยู่ในนี้ครับ แต่นี่ก็ตัดทอนสาระข้อความไปมากโขอยู่ ลองอ่านและแสดงความเห็นกันมาครับ เผื่อว่า ทปอ เขาตามมาอ่านจริงๆ จะได้เห็นถึงความรู้สึกที่พวกเรามีต่อระบบการรับ และอยากจะให้เป็น ให้ดี dek-d รวบรวมความเห็นตามกระทู้ต่างๆไปมอบให้ ทปอ ก็จะเป็นการดียิ่งขึ้น เขาจะได้ฟังมุมมองที่หลากหลาย
.........
ความเห็นส่วนที่ 1
- การรับแบบ tcas ก็เป็นการรับแบบเดิมๆที่เอาระบบ Entrance และ Admission มาเรียงให้เป็นระบบเสียใหม่และให้มีการเคลียริ่งกันให้จบในรอบต่อรอบซึ่งเป็นวิธีการที่ดีของระบบ Tcas แต่ รอบปี 2561 เป็นครั้งแรกจึงมีปัญหามากจากการวางระบบที่ไม่รอบคอบ ทำให้มีการกันที่คณะดีมหาวิทยาลัยดังเอาไว้เป็นจำนวนมากจากกลุ่มแพทย์/ทันตะ ( สมัยก่อนหน้านี้ก็มีการกันที่เอาไว้เหมือนกัน แต่เรามองไม่ค่อยเห็นเป็นรูปธรรมเหมือนกับระบบการรับในปี tcas61 นี้ ก็ต้องขอบคุณที่ออกแบบระบบมาจนทำให้มองเห็นการกันที่กันได้ชัดๆยิ่งขึ้น แต่ก็ต้องแลกด้วยอนาคตของเด็กเป็นจำนวนมาก อนาคตทั้งชีวิตเขาหักเหไปโดยสิ้นเชิง )
- การสอบในระบบ tcas ควรมีเฉพาะ 9 วิชาสามัญและวิชาภาษาต่างประเทศ แค่นี้พอ เพื่อลดภาระการสอบที่มากเกินไป การสอบที่มากหมายถึงเด็กต้องติวมากขึ้นไปตามวิชาที่ต้องใช้สอบ หมายรวมถึงสารพัดวิชาเฉพาะด้วย
- เด็กอยากเรียนตามความฝันของตนเอง แต่ทุกคนไม่สามารถเรียนตามที่ตัวเองฝันได้หากสอบสู้เขาไม่ได้ ในความเป็นจริงสุดท้ายเขาก็ต้องเลือกเรียนในสิ่งที่เขาสามารถสอบเข้าตามคะแนนที่ได้ การเอาวิชาเฉพาะต่างๆมาใช้สอบวัดผล ไม่ใช่การตอบโจทย์ที่ถูกต้อง เป็นการสร้างภาระให้เด็กเปล่าๆ หลงทางอย่างชัดเจน มีคนเก่งเพียงไม่กี่คนที่บรรลุตามวัตถุประสงค์ข้อนี้
- ( มีความพยายามที่จะสร้างกระบวนการให้เด็กค้นหาตนเองว่าอยากเป็นอะไร อยากเรียนอะไร เพื่อจะได้เตรียมตัวสอบในเรื่องนั้น กับระบบการสอบที่ต้องสอบตั้งมากมายที่มีอยู่นี้ ถามว่าดีไหม ขอตอบว่าดีและดีมากด้วย แต่จะดีกว่าไหมที่เขาอยากจะเรียนอย่างนั้นๆแล้ว เขาไม่ต้องสอบตั้งมากมาย และสุดท้ายคนที่ต้องสอบเป็นพันๆแต่มีคนสมหวังหลักร้อย สุดท้ายคนหลักพันก็ต้องเบนเข็มไปเรียนอย่างอื่น ( หรือว่าไม่จริง) ดังนั้นให้เขาสอบวิชาหลักๆแค่ 9 วิชาสามัญ+วิชาภาษต่างประเทศ ก็ใช้วัดแข่งขันคัดคนเข้าเรียนได้แล้ว เราเคยทำมา และไม่ต้องกลัวว่า่เขาจะทิ้งเพราะปัจจุบัน คณะที่เลือกให้เรียนมีมากมายแทบจะมากกว่าคนสมัครอยู่แล้ว หากยอมรับความจริง คณะดีๆมหาวิทยาลัยดังๆยังรับคนเข้าไม่เต็มเลย ผมได้ยินมา ( แต่ถ้าที่ผมได้ยินมาผิดไปก็ขออภัยด้วย))
รอบที่ 1 รอบยื่นพอร์ท
1. รอบยื่นพอร์ท ไม่ควรมีการใช้คะแนนจากการสอบ โดยเฉพาะการยืมมือต่างชาติจัดสอบ เราไม่ควรสร้างการยอมรับที่ผิดๆ การใช้วิธีการแบบศรีธนญชัย สร้างค่านิยมที่ยอมรับการทำผิดกฏให้เป็นถูกกฏ ผมได้ตั้งกระทู้เรื่องนี้ตามความเห็นนี้ https://www.dek-d.com/board/view/3792357/
2. หากจะมีการใช้การสอบใดจากรอบการยื่นพอร์ต ควรย้ายวิธีการนี้เอาไปไว้รอบที่ 5
3. รอบที่ 2 รอบโควตา เป็นรอบที่เปิดโอกาสให้กับเด็ก ตจว. ได้มีโอกาสศึกษาในมหาวิทยาลัยในเขตพื้นที่ของตนเองก่อนที่จะแข่งกับรอบส่วนกลางอันเนื่องมาจากการเหลื่อมล้ำกันในอดีตที่เด็ก ตจว สู้เด็กส่วนกลางไม่ได้ เพราะที่นั่งในมหาวิทยาลัยมีน้อยน้อยทั้งจำนวนมหาวิทยาลัย น้อยทั้งคณะฯที่เปิดสอน น้อยทั้งจำนวนรับ แต่ปัจจุบันสถานการณ์ได้เปลี่ยนไปแล้ว มหาวิทยาลัยเปิดขึ้นมากมาย จำนวนรับในคณะดังที่เป็นที่นิยมเปิดเพิ่มมากมายทุกสาขาวิชา ( แพทย์ วิศว สถาปัตย์ บัญชี นิติศาสตร์ เกษตร ฯลฯ )ประเด็นที่ต้องพิจารณาคือ กลุ่ม แพทย์และทันตะ ควรพิจารณาการรับให้เป็นบูรณาการทั้งระบบ ทั้งกลุ่มโควตา PI CPIRD และ กสพท ควรนำระบบการรับให้สอดคล้องต้องกัน มีการจำกัดสิทธิ์กันบ้างบางประการ เช่นสอบติดแพทย์รอบโควตา CPIRD PI แล้ว หากสละสิทธิ์ก็ไม่ควรมีสิทธิ์สมัครแพทย์รอบ กสพท เป็นต้น
2.1 คนที่สมัครและติดแพทย์/ทันตะรอบโควตา PI CPIRD สมัครและติดแพทย์/ทันตะแล้วควรตัดสิทธิ์ที่จะสมัครแพทย์/ทันตะรอบ กสพท หากมั่นใจว่าจะติดทั้งแพทย์/ทันตะ ทั้งรอบ2 และรอบ 3 ก็คิดให้รอบคอบว่าจะสมัครในรอบไหน เหตุที่เอาแพทย์/ทันตะ เป็นตัวตั้งเพราะเป็นกลุ่มเด็กเก่งที่มีผลกระทบต่อระบบการรับในรอบ กสพท และกันที่เด็กโควตาที่เขาควรจะติดแพทย์แต่แพ้กลุ่มนี้ต้องไปติดคณะอื่นที่ไม่อยากได้ สุดท้ายพอกลุ่มนี้สละสิทธิ์ คนที่อยากเรียนที่ได้คะแนนถัดไปก็หมดสิทธิ์เพราะไปติดคณะอื่นลำดับถัดไปแทน จะเห็นว่าถ้ามองแบบผิวเผินก็ไม่มีผลกระทบอะไร แต่ถ้ามองลึกๆ มันกระทบกันมาก ( ลองเอาความคิดเรื่องอยากให้เด็กรู้ตัวตนว่าอยากเรียนอะไรเข้ามาจับดู แล้วจะเห็นถึงสัจธรรม )
3. รอบที่ 3
รอบที่ 3 รอบรับส่วนกลางร่วมกันทั่วประเทศ กลุ่มแพทย์/ทันตะ เป็นกลุ่มเด็กที่มีคะแนนสูง ระบบการคัดเลือกที่เด็กกลุ่มนี้เข้าไปเกี่ยวข้องต้องพิจารณาถึงผลกระทบอย่างละเอียดถี่ถ้วนและรอบด้าน ในความเห็นควรแยกการคัดเลือกเฉพาะแพทย์และทันตะเอาออกมาจากคณะอื่นและยิ่งได้มีการคัดเลือกก่อนคณะใครอื่นจะยิ่งดีมากขึ้นไปอีก ไม่ควรเอาเภสัช/สัตวแพทย์มารับรวมกับกลุ่มแพทย์/ทันตะ แต่จะใช้ข้อสอบเดียวกันก็ไม่เห็นเป็นไรแต่ขอเถอะ อย่าเอาไปเป็นลำดับหนึ่งในแพทย์/ทันตะเลย ( ลองทำวิจัยย้อนหลังดูหน่อยปะไร ว่า แต่ละปีคณะแพทย์/ทันตะมีเด็กซิ่วติดเข้าไปในรอบ กสพท มีกี่มากน้อยเท่าไร ถ้าเอาตัวเลขออกมากางแล้วจะตกใจ(เดาเอาจากที่ได้สัมผัสแบบผิวเผินอ่านะ) ) หากว่าแยกเอาออกมารับก่อนไม่ได้ ก็ให้รับแบบเดิมมีเลือกอันดับเหมือนเดิม เพียงแต่ให้มีการเรียงลำดับ ติดได้เพียงลำดับเดียวตามลำดับที่เรียง โดยให้เลือกแพทย์/ทันตะได้ 4 อันดับเหมือนเดิมและติดได้เพียง 1 ที่ ส่วนคณะอื่นๆให้เลือกได้เป็น 1 ลำดับ วิธีการรับให้เรียงลำดับแทน เช่น ลำดับที่ 1 เลือกวิศวะได้ 1 ที่ ลำดับที่ 2 เลือกแพทย์/ทันตะ ได้ 4 ที่ ลำดับที่ 3 เลือก สัตวได้ 1 ที่ อันดับที่ 4 เลือก เภสัชได้ 1 ที่ รวม 4 อันดับ คะแนนติดอันดับไหนก่อนก็ติดอันนั้นเพียงที่เดียว ถ้าอยากเรียนแพทย์มากกว่าวิศวะก็ให้เรียงแพทย์ไว้อันดับ 1 แทนวิศวะ การสอบใช้ 9 วิชาสามัญอย่างเดียว
รอบที่ 4 รอบแอดมิชชั่น รอบเก็บตก ใช้วิธีการรับแบบเดิมแต่ใช้คะแนน 9 วิชาสามัญและวิชาภาษาต่างประเทศเฉพาะบางภาษาอย่างเดียว หาวิธีคิดคะแนนใหม่
การสอบ GAT/PAT เป็นการสอบที่ซ้ำซ้อนกับ 9 วิชาสามัญ การสอบวิชาเฉพาะก็เป็นการเอาโครงสร้างโดยรวมของวิชาชีพนั้นๆเอามาออกข้อสอบ ถ้าจะให้พูดกันตรงๆก็คือเหมือนกับเอาเนื้อหาโดยรวมของวิชาชีพนั้นๆเอามาออกข้อสอบ ในความเป็นจริงควรเป็นเรื่องที่เขาจะต้องเข้าไปเรียนในมหาวิทยาลัยหลังจากที่เขาสอบเข้าไปได้แล้ว กลายเป็นว่าบังคับให้เขาต้องรู้หลักวิชานั้นๆทั้งหมดก่อนเข้าห้องสอบ ถามว่า ถ้าเด็กไม่ได้เรียนพิเศษจากติวเตอร์ที่ได้ประมวลเนื้อหาสรุปรวบยอดมาให้ทั้งหมดแล้ว เด็กคนนี้จะสอบเข้าได้ไหม ตัวอย่างชัดๆเช่นคณะสถาปัตย์ วิชาชีพครู และอื่นๆอีกเป็นต้น ( ตอบได้เลยว่ายากมาก )
รอบที่ 5 รอบการรับแบบอย่างไรก็ได้ จะรับแบบพอร์ทมีการสอบ ก็เอามาไว้ที่รอบนี้ คณะใด มหาวิทยาลัยใดยังได้เด็กไม่ครบก็เอามาไว้รอบนี้ รอบยื่นพอร์ทเก่งอังกฤษแบบมีสอบ TOEFL , IELTS , BMAT , SAT ฯลฯ เอามาไว้ที่รอบนี้ได้เลย อย่าเอาไปไว้ที่รอบที่ 1 ให้มันผิดวัตถุประสงค์ สร้างบรรทัดฐานในสังคมต่อไป
....
บทส่งท้าย
1. การใช้คะแนนสอบ O-Net ควรยกเลิก เพราะวัตถุประสงค์ที่นำมาใช้เพราะกระทรวงศึกษาธิการยืมมือการสอบเข้ามหาวิทยาลัยมาใช้สอบเพื่อวัดผลสัมฤทธิ์ทางการศึกษาของชาติ ( หรือว่าไม่จริง????...ถ้าไม่หลอกตัวเอง ) การสอบยิ่งมาก ภาระอันหนักหน่วงก็ยิ่งไปตกกับเด็กมาก
2. การสอบ GAT/PAT ควรยกเลิก ควรใช้เฉพาะคะแนน 9 วิชาสามัญ + วิชาภาษาต่างประเทศ อาจจะมีคนแย้งว่า นี่มันเป็นระบบ Entrance แบบเมื่อ 40 ปีที่แล้วเลยนี่หว่า.... ใช่เลย วิธีการเดียวกันเด๊ะๆ แต่มีคณะจำนวนรับและรอบสอบมีถึง 5 รอบ มีให้เลือกสอบคณิตแบบยาก คณิต กข กับ คณิต ก และสอบอังกฤษยากกับอังกฤษง่าย ให้เด็กวิทย์กับเด็กศิลป์ได้เลือกสอบตามความสามารถของตนเอง เด็กวิทย์จะสอบวิชาอะไรก็ได้ที่จะต้องใช้ในการยื่นเข้าตามที่คณะกำหนด เด็กศิลป์ก็มีวิชาง่ายให้สอบ ก็ไม่แปลกที่จะย้อนกลับไปใช้วิธีการเดิม ที่เห็นว่าดี
3. ช่วงที่ผ่านมา ทปอ ได้ทำประชาพิจารณ์ เกี่ยวกับการออกแบบระบบการรับ tcas 62 ซึ่งทำจบหมดแล้ว ตามความเห็นของผม เป็นสิ่งที่ ทปอ คิดระบบเอาไว้หมดแล้ว และต้องการฟังความเห็น เห็นด้วยหรือเห็นต่าง คิดว่าความหลากหลายของความเห็นน่าจะไม่มาก ก็แปลกใจว่าทำไม ทปอ ไม่เอาหลักการ เหตุผลและแนวคิดเอามาลงในเว็บของ ทปอ ให้ประชาชนพ่อแม่ผู้ปกครองและตัวนักเรียนได้รับรู้ว่ามันเป็นอย่างไร ทั้งที่มันเป็นเรื่องที่ทำได้ง่ายมากๆ มีเหตุผลอะไรที่ไม่ทำช่วยตอบทีเถอะ ในเวลาที่ควรฟังความคิดเห็นอย่างถูกช่องทางง่ายและเป็นวงกว้างทำไมไม่ทำ เอาไว้ค่อยพอคิดเสร็จทำเสร็จแล้วจึงเอามาเปิดเผย ซึ่งก็ไม่สามารถจะแก้ไขอะไรได้แล้ว ถึงตอนนี้ก็คอยดูเถิด ... จำความเห็นนี้เอาไว้ดีๆนะครับ
4. มีเรื่องขัดใจ ทปอ อยู่เรื่องหนึ่งที่ติดอยู่ในหัวตลอดมา หากท่านเป็นผู้ติดตามข่าวสารของ ทปอ ผ่านสื่อสังคมออนไลน์ อย่างน้อย 2 ช่องทาง คือเว็บไซท์นี้ http://www.cupt.net/tcas และผ่านเฟซบุ๊ค ที่เว็บนี้ https://www.facebook.com/cuptthailand/ สิ่งหนึ่งที่ท่านจะพบก็คือ ข้อมูลข่าวสารที่ ทปอ อยากจะสื่อที่เป็นทางการ จะมาไม่พร้อมกันในเรื่องที่สำคัญๆ บางเรื่องไปอยู่ในเว็บไซท์ บางเรื่องไปอยู่ในเฟซบุ๊ค อยากเสนอแนะว่าข่าวสารสำคัญที่เป็นทางการ หากจะนำเสนอขอให้นำเสนอพร้อมๆกันทุกช่องทาง คงไม่มีใครที่จะไปตามทั้งเว็บไซท์ เฟซบุ๊คและทวิทเตอร์(มีป่าว?)หรอก ก็ขอฝากให้ช่วยพิจารณาด้วยบทส่งท้าย
1. การใช้คะแนนสอบ O-Net ควรยกเลิก เพราะวัตถุประสงค์ที่นำมาใช้เพราะกระทรวงศึกษาธิการยืมมือการสอบเข้ามหาวิทยาลัยมาใช้สอบเพื่อวัดผลสัมฤทธิ์ทางการศึกษาของชาติ ( หรือว่าไม่จริง????...ถ้าไม่หลอกตัวเอง ) การสอบยิ่งมาก ภาระอันหนักหน่วงก็ยิ่งไปตกกับเด็กมาก
2. การสอบ GAT/PAT ควรยกเลิก ควรใช้เฉพาะคะแนน 9 วิชาสามัญ + วิชาภาษาต่างประเทศ อาจจะมีคนแย้งว่า นี่มันเป็นระบบ Entrance แบบเมื่อ 40 ปีที่แล้วเลยนี่หว่า.... ใช่เลย วิธีการเดียวกันเด๊ะๆ แต่มีคณะจำนวนรับและรอบสอบมีถึง 5 รอบ มีให้เลือกสอบคณิตแบบยาก คณิต กข กับ คณิต ก และสอบอังกฤษยากกับอังกฤษง่าย ให้เด็กวิทย์กับเด็กศิลป์ได้เลือกสอบตามความสามารถของตนเอง เด็กวิทย์จะสอบวิชาอะไรก็ได้ที่จะต้องใช้ในการยื่นเข้าตามที่คณะกำหนด เด็กศิลป์ก็มีวิชาง่ายให้สอบ ก็ไม่แปลกที่จะย้อนกลับไปใช้วิธีการเดิม ที่เห็นว่าดี
3. ช่วงที่ผ่านมา ทปอ ได้ทำประชาพิจารณ์ เกี่ยวกับการออกแบบระบบการรับ tcas 62 ซึ่งทำจบหมดแล้ว ตามความเห็นของผม เป็นสิ่งที่ ทปอ คิดระบบเอาไว้หมดแล้ว และต้องการฟังความเห็น เห็นด้วยหรือเห็นต่าง คิดว่าความหลากหลายของความเห็นน่าจะไม่มาก ก็แปลกใจว่าทำไม ทปอ ไม่เอาหลักการ เหตุผลและแนวคิดเอามาลงในเว็บของ ทปอ ให้ประชาชนพ่อแม่ผู้ปกครองและตัวนักเรียนได้รับรู้ว่ามันเป็นอย่างไร ทั้งที่มันเป็นเรื่องที่ทำได้ง่ายมากๆ มีเหตุผลอะไรที่ไม่ทำช่วยตอบทีเถอะ ในเวลาที่ควรฟังความคิดเห็นอย่างถูกช่องทางง่ายและเป็นวงกว้างทำไมไม่ทำ เอาไว้ค่อยพอคิดเสร็จทำเสร็จแล้วจึงเอามาเปิดเผย ซึ่งก็ไม่สามารถจะแก้ไขอะไรได้แล้ว ถึงตอนนี้ก็คอยดูเถิด ... จำความเห็นนี้เอาไว้ดีๆนะครับ
.....
ส่วนที่เขาถามมาให้เราตอบ ส่วนใหญ่ไม่ใช่ส่วนที่เราอยากจะแสดงความเห็นเลย
ส่วนที่เราอยากแสดงความเห็นก็ให้แค่ 2000 ตัวอักษร
เขียนได้เทียมนี้ก็เกิน 2000 ตัวอักษรมาโขละ ตัดออกจนไม่ได้ใจความ
ดูแล้วเขาก็คงแค่อยากจะทำให้ครบกระบวนการกระมัง
ไอสไตล์
หมายเหตุ...ส่วนที่เขาถามมาให้เราตอบ ส่วนใหญ่ไม่ใช่ส่วนที่เราอยากจะแสดงความเห็นเลย
ส่วนที่เราอยากแสดงความเห็นก็ให้แค่ 2000 ตัวอักษร
เขียนได้เทียมนี้ก็เกิน 2000 ตัวอักษรมาโขละ ตัดออกจนไม่ได้ใจความ
ดูแล้วเขาก็คงแค่อยากจะทำให้ครบกระบวนการกระมัง
ไอสไตล์
มาถึงตอนนี้ ก็ได้แก้ไขเนื้อหาตามที่อยากจะแสดงความเห็นครบถ้วนแล้ว อย่าได้แปลกใจที่เนื่้อหาเกิน 2000 ตัวอักษรไปมากโขอยู่ ความเห็นต่างๆที่ได้แสดงไปเป็นความเห็นส่วนตัว นักเรียน พ่อ แม่ ผู้ปกครอง ที่มีความเห็นเป็นเช่นไร ควรแสดงความเห็นออกมา เพื่อเผื่อว่าผู้เกี่ยวข้องจะได้นำไปพิจารณาแก้ไขให้มันดียิ่งขึ้น ความเห็นของท่านมีผลต่อวิธีการรับเด็กเข้าเรียนในมหาวิทยาลัยในอนาคตอันใกล้นี้ และต่อๆปครับ
5 ความคิดเห็น
มาดูกันว่าเด็กคนหนึ่งต้องสอบอะไรบ้าง
ถามว่าเด็กคนหนึ่งอยากเรียนหมอ มีอยู่ 30,000.+ คน
เป็นตัวเลขผู้สมัครเข้าสอบ วิชาความถนัดแพทย์/ทันตะปี 2561
( อาจจะอยากเรียนเภสัช/สัตวแพทย์ด้วย)
ถามอีกว่า ในจำนวนนี้ มีเพียง ประมาณ 3,000 - 4,000 คน เท่านั้น
ที่จะได้เรียนตามจำนวนที่รับได้ทั้งหมด
ถามอีกว่า คนอีก 30,000 คน ที่ไม่ติดต้องไปสมัครเรียนอะไรต่อ
หากอยากจะเรียนวิศวะคุณต้องสอบ GAT/PAT สำรองเอาไว้
ถ้าจะเรียนสถาปัตย์คุณก็ต้องสมัครและสอบGAT/PATสาขานั้นๆเผื่อเอาไว้ด้วย
ถ้าจะเรียนบัญชี / นิติศาสตร์ / คณิตประกันภัย / เศรษฐศาสตร์ ล่ะ คุณต้องสอบอะไรเตรียมเอาไว้
หนักแค่ไหนที่เด็กรุ่นใหม่ต้องแบกรับกับระบบวิธีการในปัจจุบันนี้
โลกไม่ได้สวยไปเสียทั้งหมด
คนที่อยากจะเรียนในสาขาที่ตัวเองอยากจะเรียนไม่ได้สมหวังไปเสียทุกคน
ดังนั้นการสอบเผื่อเอาไว้จึงเป็นเรื่องที่พบได้ในชีวิตจริง
นี่ยังไม่นับรวมกับเกรดที่จะต้องทำสะสมให้ดีเอาไว้ระหว่างเรียนด้วยนะ
เหนื่อยแทนจริงๆ
เห็นด้วยกับคุณไอสไตล์ทุกประการครับ
ยื่นพอร์ตรอบ5 ตลก555555555555 ตรรกะไหน
ลองอ่านดีๆนะครับ...
" รอบที่ 5 รอบการรับแบบอย่างไรก็ได้ จะรับแบบพอร์ทมีการสอบ ก็เอามาไว้ที่รอบนี้ คณะใด มหาวิทยาลัยใดยังได้เด็กไม่ครบก็เอามาไว้รอบนี้ รอบยื่นพอร์ทเก่งอังกฤษแบบมีสอบ TOEFL , IELTS , BMAT , SAT ฯลฯ เอามาไว้ที่รอบนี้ได้เลย อย่าเอาไปไว้ที่รอบที่ 1 ให้มันผิดวัตถุประสงค์ สร้างบรรทัดฐานในสังคมต่อไป "
เห็นด้วยกับคุณแค่ข้อเดียว คือ คะแนนรอบ Add ควรใช้วิชาสามัญ เพราะเจอคณะสายศิลป์ ใช้คะแนน PAT1 มากเกินไป เหมือนเป็นการให้ท้ายสายวิทย์ สร้างค่านิยมผิด ๆ ต่อไป
เรื่องที่ว่าให้ตัดการสอบ GAT PAT และวิชาเฉพาะออกไป ผมไม่เห็นด้วยอย่างยิ่ง ระบบ Entrance สมัยก่อน อาจจะดูเหมือนดี แต่จริง ๆ แล้วมันมีปัญหา เพราะว่าข้อสอบกลางที่เป็นวิชาสามัญ ไม่สามารถวัดความถนัดตามสาขาวิชานั้น ๆ ได้ ให้คุณลองคิดถึงกรณีสอบความถนัดของสถาปัตย์ก็ได้ ว่าถ้าไม่มีแล้วจะเป็นอย่างไร (ความถนัดสถาปัตย์ คือ PAT 4) ซึ่งจริง ๆ แล้วเห็นได้จากสถานการณ์ทุกวันนี้ ว่าถึงแม้ PAT จะมีมากถึง 7 ตัว แต่ก็ยังไม่เพียงพอ มหาวิทยาลัยต้องจัดสอบวิชาเฉพาะเองอยู่เรื่อยไป
ปล. ฝากถึงใครหลาย ๆ คน ที่พูดประมาณว่า "เด็กเก่ง ๆ กั๊กที่ จะลงรอบ 3 ครบ 4 ช่อง ทำไม ยังไงก็ติดหมอ" ต้องไม่ลืมว่า เด็กเก่ง ๆ ก็ตั้งใจเรียนมาหนักเหมือนกัน การลิดรอนสิทธิ์ของเด็กเหล่านั้น เพื่อให้โอกาสเด็กที่อ่อนกว่า (ทั้งที่บางทีอาจจะไม่สมควรได้รับ) ต้องพิจารณาให้รอบคอบกว่านั้น
ลองดูในความเป็นจริงนะ ผมไม่ได้ดูละเอียด ยกตัวอย่างที่เห็นชัดจากที่ผ่านมา เอาคณะแพทย์เป็นหลัก บังเอิญคณะอื่นผมไม่ได้ตามดูอย่างละเอียด
1. แพทย์ กลุ่มโควตา ของปี 2561 หลายมหาวิทยาลัยรับจากคะแนนดิบของ 7 วิชาสามัญตามน้ำหนักถ่วงที่กำหนดของแต่ละที่ ไม่มีการนำวิชาความถนัดทางแพทย์มาคิด ส่วนใหญ่รับรอบโควตาไปไม่ต่ำกว่า 50 เปอร์เซ็นของที่นั่งทั้งหมด
2. แพทย์กลุ่ม กสพท ของปี 2561 ใช้คะแนน 7 วิชาสามัญตามน้ำหนักถ่วงทีี่กำหนด และนำคะแนนวิชาถนัดทางแพทย์มาคิดรวมด้วย
3. จากข้อ 1 และ ข้อ 2 เด็ก 2 กลุ่มเข้าไปนั่งเรียนในชั้นเรียนเดียวกันรุ่นเดียวกัน จบออกมาเหมือนกัน และได้ทำในลักษณะนี้มาก่อนหน้านี้มาเป็นเวลานาน คำถามคือ มีเหตุผลใดที่ใช้วิธีการรับที่แตกต่างกัน ยิ่งของรอบปี 2561 ยิ่งเห็นได้ชัด เพราะใช้คะแนนตัวเดียวสกันเด๊ะๆ กสพท ใช้คะแนนวิชาความถนัด แต่ รอบโควตาไม่ใช้ มองเห็นความขัดแย้งในตัวมันเองไหมครับ
4. ส่วนคณะอื่นๆ ถ้าเป็นวิศวะแบบปีก่อนๆ รอบรับตรงหลายที่ใช้เฉพาะ 7 วิชาสามัญ แต่พอมารอบ แอดมิชชั่น กลับเอา GAT/PAT+GPAX+O-Net สุดท้าย 2 กลุ่มนี้เข้าไปนั่งเรียนด้วยกัน เห็นความขัดแย้งในตัวมันเองไหมครับ
อยากเสนอให้รอบ port ที่ใช้เกณฑ์ภาษาอังกฤษในเมื่อเรียนในประเทศ ควรบังคับให้ใช้เฉพาะเกณฑ์ของมหาวิทยาลัยในประเทศไทย หรือ จะตั้งสถาบันภาษาอังกฤษในประเทศไทยมารองรับดีกว่าเสียดายเงินที่ต้องไปจ่ายแพงๆ เด็กที่ฐานะปานกลางจะได้มีโอกาสมากขึ้นและไม่ต้องเสียเงินให้ต่างชาติครับ
สถาบันภาษาอังกฤษของมหาวิทยาลัยของไทยที่จัดสอบรับรองมาตรฐานภาษาอังกฤษก็มีอยู่ในมหาวิทยาลัยใหญ่ๆเกือบทุกแห่งนะครับ เช่น ของจุฬา ก็ CU-TEP , ของเชียงใหม่ก็มี CMU-eTEGS ของ ธรรมศาสตร์ก็มี TU-GET และที่อื่นๆก็น่าจะมีอีกหลายที่ การรับรอบยื่นพอร์ทเก่งอังกฤษ หลายแห่งก็ใช้ของไทยได้ แต่ก็ไม่ใช้รับของทุกสถาบัน ที่เห็นใช้รับหลากหลายที่ก็จะเป็นของ CU-TEP เป็นหลัก เชียงใหม่คือ CMU-eTEGS ก็ใช้กับเชียงใหม่เป็นหลัก ส่วนที่แน่ๆก็คือของต่างประเทศ เกือบทุกที่จะใช้ TOEFL และ IELTS เป็นหลักเหมือนๆกันเกือบทุกแห่ง ดังนั้นก็อย่าแปลกใจว่า ทั้ง TOEFL และ IELTS นับแต่นี้กิจกรรมการเรียนพิเศษ การแย่งกันสมัครเข้าสอบจะมีมากขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ แค่ปี 2561 ปีแรกที่ใช้ 2 ตัวนี้เป็นหลักในหลายมหาวิทยาลัยในการยื่นพอร์ท เกือบทุกสนามสอบต่างจังหวัดเต็มหมดในเวลาอันรวดเร็วที่มีการจัดสอบ มีใครจะสอบสถาบันของประเทศไทยไหมครับ ตอบว่ามี แต่ก็ต้องสองของ TOEFL หรือ IELTS ที่เป็นแบบอินเตอร์ติดมือเอาไว้บ้าง เพราะมันใช้ได้กว้างกว่า
กัลยาณมิตรท่านหนึ่งส่งรูปปรัชญาแนวคิดทางการศึกษา
ตามแนวความคิดของไอน์สไตน์ ที่มีต่อการคัดเลือกบุคคลด้วยวิธีการอันจำกัด
ถ้าเปรียบเทียบกับระบบการรับเข้ามหาวิทยาลัยของไทย
ที่ใช้การสอบความถนัดทางวิชาชีพมาใช้วัดผล
รูปนี้ก็อาจจะเป็นต้นแบบของแนวความคิดในการที่นำคะแนนวิชาถนัดทางวิชาชีพมาใช้
เพราะมันตรงกันอย่างพอดิบพอดี
ลองดูนะครับ
กัลยาณมิตรท่านหนึ่งส่งรูปปรัชญาแนวคิดทางการศึกษา
ตามแนวความคิดของไอน์สไตน์ ที่มีต่อการคัดเลือกบุคคลด้วยวิธีการอันจำกัด
ถ้าเปรียบเทียบกับระบบการรับเข้ามหาวิทยาลัยของไทย
ที่ใช้การสอบความถนัดทางวิชาชีพมาใช้วัดผล
รูปนี้ก็อาจจะเป็นต้นแบบของแนวความคิดในการที่นำคะแนนวิชาถนัดทางวิชาชีพมาใช้
เพราะมันตรงกันอย่างพอดิบพอดี
ลองดูนะครับ
รายชื่อผู้ถูกใจความเห็นนี้ คน
แจ้งลบความคิดเห็น
คุณต้องการจะลบความคิดเห็นนี้หรือไม่ ?