ยังมีใครคิดบ้างคะ? ว่าคนรวยมักจะดูถูกคนจนน่ะค่ะ คิดว่าตนเองรวยแล้วเลิศเรอเพอร์เฟคไปหมดทุกอย่าง เราแค่อยากรู้ว่ายังมีใครอีกไหม?
ตั้งกระทู้ใหม่
เราสงสัยและอยากรู้ค่ะ ว่ายังมีคนแบบนั้นไหม
11 ความคิดเห็น
ผมว่ามันเป็นไปได้ยากด้วยซ้ำ ที่จะไม่มีคนแบบนั้นในสังคมเลยล่ะครับ
มนุษย์มันมีหลายประเภท หลายบุคลิก เรียกได้ว่าจำนวนเยอะเกินไปที่จะบอกว่าไม่มี
เราก็ว่างั้นแหละ มันขึ้นอยู่กับนิสัยสัน(ดาน)ของคนเราด้วย ว่ามันเป็นยังไงค่ะ
เท่าที่เจอมาคือ เสี่ยเจ้าของเขาเป็นคนที่รักลูกน้องให้เกียรติลูกน้อง มีอะไรให้บอกเขาพร้อมช่วย
ในขณะเดียวกันผู้เป็นรองฯ มักจะชอบทำตัวข่มพนง.คนอื่น เขาชอบคิดว่าคนอื่นไม่มีเหมือนตัวเอง ไม่ได้กินของดีๆ เหมือนตัวเองจนเราระอา
คือ ของบางอย่างเราก็ไม่ได้คิดว่ามันแพงจนเอื้อมไม่ถึง แต่บ้านเราก็กินกันจน แล้วไงล่ะ?
เช่น มีครั้งหนึ่งเราเล่าธรรมดาๆ ว่า ที่บ้านทำน้ำแกงใส่กัง-ฮื่อ-ยู่ (เอ็นหอย) ซึ่งอาเราไปจีนแล้วซื้อมา มันไม่ได้แพงมากจนอื้อหือ อู้หูนะ เขาก็พูดทำนองว่าเรามีปัญญาซื้อกินเนอะ เราก็เลยพูดไปว่าเราได้มาเป็นของฝากจะได้จบๆ ไป เขาอวดว่าบ้านเขากินกะเพาะปลาแบบชิ้นใหญ่ๆ (อันที่แบบแห้งโลละเป็นพัน) เราก็เลยฟังเงียบๆ ไปว่า ที่บ้านกินกันทุกอาทิตย์ แล้วทำไมอ่ะ มีอะไรน่าอวด หรือนู่นนี่นั่น เราก็ฟังเฉยๆ บ้านเราไม่ได้รวยเท่าเขา แต่เราก็ไม่รู้จะอวดไปทำไม เรื่องถ่ายรูปอวดลงโซเชี่ยลยิ่งไม่มี
แต่มันก็ทางใครทางมันล่ะนะ
ก็มันขึ้นกับว่าพวกคนรวย มีนิสัยสามัญสำนึกแบบไหนค่ะ เราไม่ได้เหมารวมว่า คนรวยจะต้องมีนิสัยแบบอวดรวยอะไร เราพูดให้เข้าใจตรงนี้เลยค่ะ^^
เราคิดว่าคนจนนั่นแหละดูถูกตัวเอง แล้วก็คิดว่าคนรวย/หรือคนอื่นจะดูถูกตัวเอง คนรวย?(ใช้คำว่าคนมีความรับผิดชอบจึงมีเงินละกัน)เขาไม่มานั่งเสียเวลาคิดถึงเรื่องคนอื่นหรอก แค่เรื่องตัวเองก็ปวดหัวจะแย่แล้ว
อืม โอเคค่ะ เราถึงได้ถามไงว่า ยังมีคนคิดแบบนั้นอยู่ไหม เลยหาคำตอบจากข้อสงสัยนี้ค่ะ
ยังมีใครคิดบ้างคะ?
ตอบ ไม่ใช่เราค่ะ เราตอบไปแล้วว่า เราคิดว่าคนจนนั่นแหละดูถูกตัวเอง
ยังมีใครอีกไหม?
ตอบ มีอยู่แล้ว โลกใบนี้มีคนเป็นล้านๆ ทุกความคิดทุกไอเดียของคุณ หรือของใครก็ตาม มีคนคิดมาก่อนและคิดอยู่ หรือกำลังจะมีคนคิดขึ้นมาอยู่แล้ว
เคยเจอรวยดูถูกจน จนดูถูกจน รวยดูถูกรวย
สามกรณีนี้ คือเพื่อนแก๊งเราเอง
เป็นแก๊งเพื่อนหลากหลายบุคลิก๕๕๕๕ ความเห็นมักจะตีกันเอง
อ๋อค่ะ คือตอนแรกเราอ่านก็งง 555
แบบเพื่อนคนหนึ่งนางรวยมาก แต่นางดูถูกคนรวยด้วยกันว่าสมัยนี้มีแต่พวกรวยจากพ่อแม่ไม่มีปัญญาเก็บเงินได้หรอก
อีกคนก็รวย แต่ดูถูกคนจน เวลาเห็นคนจนขายของตามริมทาง นางก็จะเบะปากแบบรังเกียจ
อีกคนคือกลุ่มรากหญ้า จน เวลาเห็นคนจนก็จะดูถูกว่าไม่รู้จักทำอะไรให้ตัวเองหายจน
มีแบบนี้ด้วยหรือคะเนี้ย ไม่ไหวนา คนที่ดูถูกคนจนด้วยกันเนี่ย เราถึงกับส่ายหน้าเลยค่ะ
เราชอบมากกกกกเลยโดนดูถูกนี่
-เวลาไปธนาคารจะได้ไม่โดนถามขายประกัน
-เวลาไปเดินห้างจะได้ไม่โดนขายคอร์ส
ตอบคำถาม
คนรวยมีหลายอย่าง
1.ในใจไม่ได้ดูถูกคนจนเลย
2.ในใจรังเกียจแต่ไม่แสดงออก
3.รังเกียจทั้งในใจและแสดงออกด้วย
เห็นด้วยค่ะ มันมักจะมีหลายรูปแบบค่ะ แต่เราไม่รู้เขามาในรูปแบบไหนน่ะสิคะ อิอิ
ต่อให้มาดีแค่ไหน ก็จะคิดว่าข้อ 2 ก่อนค่ะ55
เวลาไปเปลี่ยนบุ๊คนี่โดนประจำเลยค่ะ ขายประกันนี่ หรือจะโดนลากไปขายคอร์สก็บ่อย พี่ในแผนกบอกว่า เวลาไปเปิดบัญชีแล้วเขาให้ติ๊กรายได้ก็ไม่ต้องใส่ถ้าเขาถามบอกว่า รำคาญคนขายประกันขอไม่ใส่
คงมีมั้งคะ
ว่าแต่ถ้าคุณเจอ คนรวยดูถูกคนที่ดู "จน" คุณจะทำยังไง??
ชอบคลิปนี้มากเลยค่ะ
จริง ๆ เรื่องการดูถูกแบบนี้ โดยปกติคนชนชั้นสูงเขาไม่ยกมาเป็นบทสนทนาครับ มันเป็นเรื่องที่ไม่อยู่ในสมองเลยครับ ไม่มีเลยที่จะมาจับเข่าคุยว่าวันนี้จะดูถูกใคร จะเป็นชนชั้นกลางเสียมากกว่าที่มองชนชั้นล่างอย่างดูแคลน คอยเตือนตัวเองกับคนรอบข้างว่าจะไม่มีวันเป็นแบบนั้น (หรือต่อให้ทำจริงๆ คงเบื่อตาย มองไปทางไหนก็สามารถดูถูกคนได้ แถมเป็นล้านๆคนอีก ไม่เบื่อก็แปลก)
รวยจริงเขาจะให้ความสำคัญกับเรื่องสำคัญจริงๆน่ะครับ สื่อและความบันเทิงที่เสพย์ก็คนละแบบกับชนชั้นกลาง เพราะเป็นชีวิตที่ไม่ต้องแข่งขันกับใครแล้ว เหลือแค่ก้าวให้ทันคนอื่นในโลก แล้วก็พัฒนาความรู้ตัวเอง รับผิดชอบภาระหน้าที่การงานไป (อีกอย่างก็คือมีอารมณ์ขันที่แตกต่าง หัวเราะคนละเรื่องกับชนชั้นอื่น ๆ ครับ)
อ๋อ เป็นแบบนี้นี่เอง ขอบคุณสำหรับคำตอบเกี่ยวกับข้อสงสัยนี้ ด้วยนะคะ
มนุษย์ทุกคนมีด้านดีและด้านร้าย
คนจนมองคนรวยร้าย ๆ ก็มี คนรวยมองคนจนร้าย ๆ ก็มี และทั้งคู่ก็สามารถมองแต่ละฝ่ายในแง่ดีได้เช่นกัน
สำหรับคนรวย
เชื่อว่าหลายคน ไม่ได้คิดดูถูกคนจน และพยายามหาโอกาสที่จะบริจาคผ่านช่องทางต่าง ๆ อยู่เสมอ
ความร้ายกาจของคนรวยจะอยู่ที่ ทรัพสินของเขา มันจะอยู่ส่วนยอดของพีระมิดเสมอ คือด้านล่างทำงานไป ด้านบนได้เงินเยอะ จริงอยู่ว่า คนที่อยู่ด้านบนต้องวางแผน ต้องเสี่ยง แต่สุดท้าย เงินที่บริษัททำได้ คนที่อยู่สูงมักจะได้มากกว่าเสมอ เป็นกฎธรรมชาติที่มนุษย์สร้างกันขึ้นมาเอง
ด้วยเหตุนี้ คนจนไม่สามารถถีบตัวเองออกมาจากความจนได้ (ยกเว้นถูกหวยเบอร์ใหญ่) เพราะกฎที่ระบบทุนนิยมสร้างขึ้น และระบบทุนนิยม ถูกควบคุมโดยคนรวยอีกทีหนึ่ง
ดูจากตัวเลขที่คนรวย 1 เปอร์เซ็น มีทรัพสินเกินครึ่งของคนทั้งประเทศ แค่นี้คนรวยก็ไม่ใช่ผู้ใสสะอาดอีกต่อไปแล้ว แม้พวกเขาจะไม่ได้เจตนาจะรวยขนาดนั้น แต่ด้วยระบบที่พวกเขาใช้งานอยู่ มันกดหัวคนอื่น เป็นความร้ายกาจของระบบทุนนิยม ที่ไม่มีใครผิดไม่มีใครถูก
ก็จริงของคุณค่ะ พวกมนุษย์มักจะตั้งกฎพวกนี้ขึ้นมาเอง ความเป็นจริงแล้ว มันไม่มีอยู่เลยมากกว่าค่ะ ขอบคุณสำหรับคำตอบดีๆนะคะ
ยังมีใครคิดบ้างคะ? ว่าคนรวยมักจะดูถูกคนจนน่ะค่ะ คิดว่าตนเองรวยแล้วเลิศเรอเพอร์เฟคไปหมดทุกอย่าง เราแค่อยากรู้ว่ายังมีใครอีกไหม?
สวัสดีค่ะ
รู้สึกว่าเป็นกระทู้ที่มีสาระค่ะ เป็นประเด็นที่ดีที่เราสามารถยกขึ้นมาคุยกันได้สาระ เป็นความรู้ หรือแม้สามารถที่จะเกิดเป็นมุมมองที่แตกต่าง...ทั้งใหม่ และเก่าของแต่ละคน ซึ่งเราจะสามารถแลกเปลี่ยนกันได้ เพื่อเกิดการเรียนรู้...เพิ่มเติม ต่อยอด ว่าเหตุเช่นนี้เคยเกิดขึ้นจริง หรือเกิดขึ้นได้จริง และเพราะอะไร?เหตุเช่นนี้จึงเกิดขึ้น
คือรวมๆเป็นกระทู้ที่มีประเด็นเป็นสาระค่ะ
ตามหัวข้อกระทู้เลยค่ะ
เราสงสัยและอยากรู้ค่ะ ว่ายังมีคนแบบนั้นไหม
ช่วยออกความเห็นนะคะ และข้อความต่อไปนี้ เป็นคำตอบ หรือเป็นบทสนทนากับคุณเพื่อแลกเปลี่ยน และในบางตอนนั้นแน่นอนเป็นความเห็น เป็นมุมมอง...เป็นแง่คิด คือเป็นความเห็นส่วนบุคคลซึ่งมีต่อคำถามของคุณนะคะ
ยังมีใครคิดบ้างคะ? ว่าคนรวยมักจะดูถูกคนจนน่ะค่ะ คิดว่าตนเองรวยแล้วเลิศเรอเพอร์เฟคไปหมดทุกอย่าง เราแค่อยากรู้ว่ายังมีใครอีกไหม?
ตอบคุณว่าโดยส่วนตัวที่เห็นๆ หรือมีโอกาสพบเจอ หรือสัมผัสได้ว่า เขาเหล่านี้พอจะมีอยู่ค่ะ หากแต่อาจจะไม่มากมาย หรือหนาแน่นเป็นเปรอร์เซ็นต์ที่มากมายเช่นในอดีตกาลที่ผ่านมา
คือเข้าใจว่าน่าจะมีอยู่ค่ะ ที่ว่าน่าจะมีอยู่ เพราะเข้าใจว่ามาวันนี้แม้สังคมของมนุษยชาติจะเจริญขึ้นมามากมายจากที่เคยเป็น(จากที่ได้มีการอ่าน และเปรียบเทียม...จากกาลเวลา จากประวัติศาสตร์...จากการดู หรืออ่าน แม้จะผ่านการส่งผ่านความบันเทิงต่างๆโดยผ่านพล็อต คือผ่าน นิยาย หนัง หรือละคร ก็ตามที เห็นว่ามีอยู่ แต่ก็เป็นจำนวนที่ลดน้อยถอยจำนวนลงนะคะ)
ซึ่งเจ้าของเม้นต์เข้าใจด้วยว่า...อาการ ความรู้สึกดังที่คุณยกมานี้...คือการคิดว่าตนเองรวยแล้วเลิศเรอเพอร์เฟคไปหมดทุกอย่าง นี้ แท้จริง...เป็นอาการของจิตใจ จิตสำนึกนั้นเองค่ะ
คือเป็นอาการความรู้สึกที่อึดอัดคับแคบ...จากเขาเองเป็นสาเหตุโดยแท้จริง
และสาเหตุที่เป็นแบบนี้หรือก็มีหลายๆมูลเหตุเป็นปัจจัย นั้นเป็นความจริงนะคะ
สาเหตุที่แย่ๆที่สุดสำหรับเขาเหล่านี้ หากจะยกตัวอย่างพอสังเขปได้ นั้นคือเขาเหล่านี้เคยอดอยากยากจนมาก่อนเคยทุกข์ทรมานมาก่อน และจากการที่เขาเคยถูกดูถูกเหยียบหยามจากสังคม...
หรือพ่อแม่ หรือปู่ย่าตายายของเขาทั้งหลายเคยถูกสังคมกระทำในเหตุดังกล่าวมาก่อนอย่างแน่นอน
และเมื่อเกิดเป็นเขาเหล่านี้ ซึ่งแน่นอนเมื่อวันหนึ่งเขาต่อสู้...เพื่อความสำเร็จ เพื่อความภาคภูมิ เพื่อให้รอดพ้นจากการดูถูกเหยียบหนาม ก็เกิดเป็นเศรษฐีใหม่
และด้วยความที่เขาต้องเหนื่อยเหน็จ ในรูปแบบต่างๆที่ต้องฟัด เพื่อการนี้...บ่อยครั้งที่ทำให้เป็นสาเหตุของเขาเหล่านี้จมดิ่ง...ลงลึก โดยที่เขาไม่รู้ตัว เขาจึงถูกปลูกฝัง ถูกอบรมสั่งสอน คือถูกสอนให้คิด ถูกสอนให้เป็น ทำ พูด เพื่อแก้แค้น หรือเอาคืน...สังคม...ในรูปแบบของเขา
ซึ่งเหตุเช่นนี้เกิดขึ้นได้ในคน...เป็นธรรมดานะคะ
เพราะจริงแล้วความที่ว่าใหม่...นั้นเกิดขึ้นได้ เพราะทุกอย่างในโลกนี้...มีจุดเริ่มเสมอ นั้นก็เป็นความจริงนะคะ
คือทุกอย่างมีจุดเริ่มต้นในตัวตนของมันเอง นั้นก็เป็นความจริง
เช่นการบังเกิดเศรษฐีใหม่ หลายๆคนทั่วโลก(อาจจะไม่ทุกคน)...จะมีอาการที่เช่นที่คุณยกมานี้ นั้นก็เป็นความจริงที่เกิดขึ้นได้ค่ะ
คือเมื่อเขาประสบความสำเร็จ เขาจะเหยียบยํ่าดูแควนผู้อื่น และเข้าใจว่าตนเป็นอะไรที่วิเศษเลิศเรอเพอร์เฟ็ค...สาเหตุที่เป็นแบบนั้นคือเขาหลงไปกับ ความสำเร็จ หลงไปกับทรัพย์สินเงินทอง และที่แย่สุดๆคือเขาหลงเข้าใจผิด และลืมตัวตนของเขาเองเป็นที่ตั้งว่าตนนั้นเคยมีสภาพเป็นเช่นไรมาก่อนหน้านี้
ซึ่งสาเหตุเช่นนี้เราเรียกว่าการ...หลงไป...หรือลงลึกเกินไป...จนลืมตัวตนของเขาก็ได้นะคะ
และสาเหตุเช่นนี้มีที่มาค่ะ และนั้นคือ ความเหน็จเหนื่อย เหมื่อยล้า ความอาฆาตรแค้น พยาบาท ซึ่งเขาเคยถูกกดดัน...มาก่อนหน้าเป็นเหตุนั้นเองค่ะ
เพราะในความจริง ทุกอย่างมีสาเหตุเป็นปัจจัย เป็นความเที่ยงแท้ เป็นแก่นสารแน่นอนนะคะ
สรุปแล้ว...เจ้าของเม้นต์นี้เข้าใจว่าอาการที่ว่าคิดว่า "ตนเองรวยแล้วเลิศเรอเพอร์เฟคไปหมดทุกอย่าง หรือเขาเหล่านี้ติดนิสัยเหยียบยํ่า ดูถูกคนที่จนกว่า...นั้นแท้จริงเป็นอาการของจิต ที่ถูกปลูกฝัง ที่ถูกอบนมสั่งสอน ให้แค้นเคือง ให้ติดอยู่ในความคับแคบ ตื้นเชิน จนเขาเหล่านี้ไม่สามารถเปิดใจยอมรับผู้อื่นได้
คือในความรู้สึก เขาเหล่านี้ จึงมีอาการดังที่ว่าตนพิเศษว่าผู้คนที่เขามีน้อยกว่า...
หากแต่ในความจริงแล้วเป็นอาการเจ็บปวดทุกข์ทรมานที่เขาทั้งหลายติดอยู่นั้นเองค่ะ
คือจริงแล้วเป็นอาการเจ็บปวดทุกข์ทรมานที่เขาทั้งหลายติดอยู่นั้นเองค่ะ...สาเหตุที่เจ้าของเม้นต์นี้มีความคิดแบบนี้ หรือเข้าใจแบบนี้ ต่อเขาเหล่านี้ มีสาเหตุมาจากที่ว่า เคยพบเจอผู้ที่รํ่ารวยมากมาย ซึ่งมีทรัพย์สินเงินทอง มีธุรกิจเป็นมูลค่าหลายๆร้อยล้าน หรือเป็นพันล้าน หากแต่เขาทั้งหลายก็ไม่มีอาการ หรือไม่มีความรู้สึกที่ติดจะดูถูกใครๆ หรือเหยียบยํ่าใครๆ ตรงกันข้าม เขาเหล่านี้ทำทุกๆอย่างที่จะอยู่กับสังคมให้ได้ทุกชนชั้นเงียบๆ เป็นปรกติสุข และที่แปลกมากมายนักคือเขาเหล่านี้มีความเมตตา ปรานี เป็นที่ตั้ง เป็นชีวิต เป็นจิตใจ
คือทำบุญ ให้ทาน หรือแม้มีจิตที่โอบอ้อมอารี มีจิตใจที่เผื่อแพร่ เห็นผู้คนทุกข์ทรมานเขาก็อยากที่จะมีส่วนร่วม
คือโดยรวม เขาเหล่านี้ดูคล้ายต้องการที่จะรํ่ารวยด้วยการมีจิตใจที่กว้าง ลึก หรือรํ่ารวยด้วยความมีศีลธรรม คุณธรรม นั้นเองค่ะ
และแน่นอน เขาเหล่านี้คือมหาเศรษฐีตัวจริง...เงินหรือ ทรัพย์สมบัติหรือ คงจะมีค่าเพียงแค่เงิน หรือเป็นเพียงของนอกกาย...ที่เขาพึงจะมีได้ หากแต่เขาเหล่านี้ต้องการมากกว่าเงิน...ซึ่งมีค่ามหาศาล...ต่อการมีชีวิตกับครั้งหนึ่งบนโลกนี้...
คือหากจะพูดตรงๆ กว้างๆ คือเขาเหล่านี้รํ่ารวยความสุข รํ่ารวยมันสมอง รํ่ารวยสติ และปัญญา หรือเขาเข้าใจสัจธรรม ความจริง...ที่สูงส่ง ซึ่งเป็นแก่นแท้ของการมีชีวิต หรือนี่คือ ผู้ที่รํ่ารวยอย่างแท้จริง...หรือที่เราจะให้อีกชื่อเป็นภาษาไทย แก่เขาเหล่านี้ได้...คือ คนเหล่านี้...คือผู้ที่มีกรรมดี...นั้นเอง
เพราะเขาเหล่านี้เกิดมาก็มีทรัพย์สมบัติเป็นที่ตั้ง สมบัติทั้งภายนอก และภายในจิตใจ...ในจิตใต้สำนึก หรือที่เราเรียกเป็นชื่อซึ่งเป็นรูปรรม หรือนามธรรมว่า เขาเหล่านี้คือ...เศรษฐีเก่า ดั่งเดิม บุญเก่า ทรัพย์สมบัติเก่า ที่เขาสะสมมา...และในความเป็นจริงโดยธรรมชาติคือ เมื่อที่เป็นเขา เป็นของเก่า ดั่งเดิม เป็นของจริง...เขาเหล่านี้ก็ไม่จำเป็นที่จะต้องตื่นเต้น หรือไม่มีความตื่นเต้นที่จะทำในสิ่งซึ่งเกิดจากการกดดัน...นั้นก็ไม่บังเกิด หรือเขาไม่จำเป็นต้องเหยียบยํ่าใครๆ ที่ด้อยกว่าเขาเป็นความบันเทิงแต่อย่างใดอีกต่อไป...นั้นก็เป็นความจริงนะคะ
เพราะฉะนั้นประเด็นที่คุณถามมานี้...แท้จริงเป็นอาการของจิต...ค่ะ
อาการของจิตที่เกิดขึ้นมามีปฎิกริยาแตกต่างกันไป...ตามวาระ ตามเหตุการณ์ ตามมูลเหตุ เป็นที่มา...ทั้งหลายนี้คือความจริงที่เกิดขึ้นได้กับจิต...ของคนซึ่งเกิดขึ้นเป็นการกระทำ หรือการปฎิบัติในรูปแบบต่างๆกันไป...ตามที่เราเห็นๆ
หรือที่เราเรียกว่า...เกิดเป็นวาระ...ที่ต่างกัน เป็นแก่นสารอย่างแท้จริงนั้นเองค่ะ
สรุปอีกครั้ง...ทั้งหมดนี้...แท้จริงเป็นอาการ เป็นการกระทำ เป็นการปฎิบัติ...ผ่านจิตใจ ผ่านจิตสำนึก ของแต่ละคน...ซึ่งเกิดขึ้นได้ในคน..อย่างแท้จริง
และสุดท้ายอยากแนะนำว่า...หากพบเจอ..เศรษฐีใหม่ผู้ที่ติดเหยียบยํ่า ดูถูก เหยียบหยามผู้อื่นเป็นความบันเทิง...นะคะ จงเมตตา ปรานีต่อเขา แผ่เมตตาให้กับเขา
หรือขอพรให้เขาหลุดพ้นจากความทุกข์ทรมานั้น...น่าจะเป็นวิธีที่ดีที่สุดค่ะ
เพราะการดูถูกเหยียบหยามผู้อื่น ไม่ว่าจะด้วยสาเหตุใด นั้นมีมูลเหตุมาจากความอึดอัดคับแคบ ความืดมน และตกตํ่า คือความทุกข์ทรมานของเขาเอง นั้นเองค่ะ
เพราะในความเป็นจริง...การที่คนเราจะเป็นสุข สงบ สันติได้ หรือมีจิตใจที่สูงส่งได้นั้น...ทรัพย์สมบัติ หรือเงินทองนอกกาย ไม่ใช่สิ่งที่สำคัญ หรือไม่ใช่สิ่งจำเป็นแต่อย่างใด นั้นคือความจริง...ที่สุดในชีวิตของคนซึ่งพึงจะเกิดขึ้นได้
คนเรานะคะ ตามธรรมชาติ เราสามารถเป็นคนดี มีความสุขได้ เพียงนั่งหลับตาหายใจเข้าออกเฉยๆ และคิดแต่สิ่งดีๆ เท่านั้นเราก็เป็นผู้รํ่ารวย...ในความสุข ได้ในตัวตนของเราเอง เป็นธรรมชาติค่ะ
คำตอบทั้งหมดนี้...คือมุมมอง คือความเข้าใจ ซึ่งมีต่อผู้ที่คิดว่าตนมีมากมายกว่าผู้อื่นแล้วดูถูกเหยียบหยามผู้ที่มีน้อยกว่า...หรือเจ้าของเม้นต์นี้...เข้าใจว่าเขาเหล่านี้ แท้จริงไม่มีอะไรเลย ไม่มีแม้จิตสำนึก...ไม่มีชีวิต และจิตใจก็ไม่มีแม้เซ้นส์แห่งความเข้าใจ ที่จะสามารถรับรู้ได้ถึงความจริงดังที่ว่า...แท้จริงเราๆทุกๆคนเกิดมาตัวเปล่า...ในวันที่เรามาจุติ แม้เสื้อผ้า หรือภาษาคน ก็ไม่มีติดตัวมา เราเกิดมาเพื่ออยู่ เป็น ในวาระหนึ่ง...บนโลกนี้ก็จริง แต่แก่นสาร หรือความจริงเราไม่มีอะไรเลย เราไม่สามารถเป็นเจ้าของสิ่งใดๆได้เลย
การเป็นเจ้าของ...เงินทอง ทรัพย์สิน เงินทอง ทั้งในด้านนิติกกรรมใดๆทั้งสิ้น คือเราอุปทาน หรืออุปโลกมันขึ้นมา..เท่านั้นเอง เพราะสุดท้าย...เราๆทุกคนก็ตายลง...และไม่สามารถเอาอะไรไปได้เสียอย่าง...นี้คือความจริงที่เราต้องไม่ลืม ความเป็นจริงที่เป็นเรา...ค่ะ
หากผู้ที่ติดที่จะดูถูกเหยียบหยามเพื่อนมนุษยชาติด้วยกันในรูปแบบดังกล่าว...เจ้าของเม้นต์นี้เข้าใจว่า เขาคือผู้ที่ยากจนที่สุดในโลกคนหนึ่ง หากเห็นเมื่อไร พบเจอเมื่อไร ก็สงสารเขา แผ่เมตตาให้เขาด้วยค่ะ
บางครั้งเห็นเขาแย่มากๆ อยากเข้าไปโอบกอดเขาเลยด้วยค่ะ เพื่อให้ความรัก ความอบอุ่นที่บริสุทธิ์ แท้จริงซึ่งมีค่ามากมาย และเป็นความสุข สันติ ที่เพื่อนมนุษยชาติจะพึงให้แก่กันได้นะ ซึ่งเขาอาจจะไม่รู้ว่าเพียงเท่านี้เขาก็จะสงบได้และเป็นสุขได้ โดยไม่เกี่ยวกับเงินทอง ข้าวของ หรือทรัพย์สมบัติของเขานะ รู้สึกแบบนั้นเลยด้วยค่ะ
(แต่ก็ทำได้เพียงคิดนะ เพราะเข้าไปโอบกอดเขาสิ เขาได้ด่าเปิงว่าเราต้องการสมบัติเขาเข้าให้5555 หากแต่แผ่เมตตาให้เขาเสมอๆค่ะ)
เพราะเข้าใจว่า อันความเป็นจริงดังที่ว่า คนเราเกิดมาล้วนมีกรรม...ที่แตกต่างกัน เป็นแดนเกิด กรรมดังที่ว่านี้หรือก็นำพาให้คนเรา ทำ เป็น อยู่ ซึ่งเราเรียกว่า...เกิดเป็นวาระ...ที่แตกต่างกันไป..นั้นก็เป็นความจริงที่
และกรรม...ดังที่ว่านี้...เกิดเป็นธรรมชาติที่แตกต่าง...ของคนเรา...อย่างที่หลีกหนีไม่พ้น...เป็นตัวบงการค่ะ
เข้าใจว่าเหตุดังกล่าวนี้ เราๆต้องยอมรับ...และทำความเข้าใจในความแตกต่างที่มีอยู่จริง...ของคนเรานี้ให้จงได้...เราๆทุกคนก็เป็นสุข สงบได้อย่างแน่นอน แม้จะมีผู้ที่เฝ้าดูถูกเหยียบหยามใครๆ เพราะเขามีกรรมของเขา เป็นแดนเกิด...แต่เราก็จะสามารถอยู่ได้ความสันติสุขร่วมกันค่ะ
ทั้งหมดยาวๆๆๆๆนี้คือคำตอบ ตอบว่า...เห็นว่ามีอยู่จริง...พร้อมสาเหตุการมีอยู่...ของเขาเหล่านี้...แถมๆๆๆเข้ามาด้วย...เลยค่ะ555
(ชอบๆๆๆ ทำการบ้าน ชอบทำแบบฝึกหัดหล่ะ555 ทำมากๆๆๆกว่าที่ครูสั่งด้วยยยน๊าาา5555 จากเด็กนักเรียนหัดคิด หัดเขียนค่ะ)
จากหัวข้อที่คุณถามเข้ามา(ด้วยคำตอบซึ่งเป็นมุมมอง ความรู้สึกส่วนบุคคล)ค่ะ
ขอบคุณสำหรับคำตอบของคุณด้วยนะคะ เราเข้าใจแล้วค่ะ
จะเรียกว่าดูถูกก็เอาเถอะครับ แต่คนเราถ้าอยู่ในสังคมเดินถนนขึ้นรถเมล์กินข้าวแกงน่ะนะ มันก็ต้องนึกเปรียบเทียบชั่งตวงวัดกันอยู่ไม่มากก็น้อยแหละครับ ผมกล้าพูดนะว่า "แต่ละคนเป็นคนหนึ่งคนเหมือนกัน แต่ไม่ใช่หนึ่งคนที่เท่ากัน" ยกตัวอย่างแบบพอฟังได้ก็เช่นคนค้าขายแผงลอย ขอทาน คนกวาดขยะ ครูสอนหนังสือ พลทหาร พนักงานออฟฟิส คิดเอาเองว่าคนเหล่านั้นมีต้นทุนชีวิตแค่ไหนและเป็นประโยชน์กับสังคมหรือเป็นภาระที่ถ่วงลากสังคมแค่ไหน ? บางทีมันก็ชวนให้ผมคิดนะว่าสุดท้ายเมื่อมีคนได้รับความเดือดร้อน พวกเขาคู่ควรกับความช่วยเหลือมั้ย ทำไมรัฐต้องเอาภาษีที่คนทำงานสุจริตหามาได้อย่างเหนื่อยยากไปโอบอุ้มพวกที่จนเพราะงอมืองอเท้าด้วย ทว่าสุดท้ายสิ่งที่ชัดเจนคือคนแต่ละคนนั้นแตกต่างเหลือเกิน วิถีชีวิต ความคิดและการกระทำรวมทั้งผลลัพธ์จึงแตกต่างกัน
เห็นความคิดนี้แล้ว รู้สึกว่าแสดงถึงมุมคิดอีกมุมเลยนะคะเนี้ย
รายชื่อผู้ถูกใจความเห็นนี้ คน
แจ้งลบความคิดเห็น
คุณต้องการจะลบความคิดเห็นนี้หรือไม่ ?