มนุษย์?
ตั้งกระทู้ใหม่
ผมคิดว่า คนเราเนี่ยเกิดมาเพื่อนทำตามกิเลสหรือความต้องการของตนเอง หรือพวกคุณคิดว่าไม่จริง คนเราทุกคนย่อมมีความอยาก ความต้องการกันทั้งนั้น
ขนาดพระพุธเจ้ายังตัดกิเลสได้ไม่หมดเลย ถ้ากิเลสคือความต้องการของมนุษย์ พระพุธเจ้าก็ต้องมี พระองค์ยังต้องการตรัสรู้ ต้องการหาทางพ้นทุกข์
ใช่ไหมหล่ะ คนเราเนี่ยน้ะใช้เวลาครึ่งชีวิตกับการเดินตามความฝัน แต่ใช้ชีวิตอยู่กับความไม่ถึงครึ่งของชีวิต
สรุปง่ายๆก็คือ มนุษย์คือสิ่งที่มีกิเลสตันหามากมาย เกิดมาเพราะต้องการทำตามความต้องการของตนเอง
#แล้วทุกคนหล่ะคิดว่ามนุษย์เราเกิดมาทำไม ผมอยากได้ความคิดเห็นของทุกคนน้ะคร้าบ
3 ความคิดเห็น
กระทู้น่าสนใจดีค่ะ :)
ออกตัวก่อนนะคะว่าเราไม่ใช่ชาวพุทธ (เป็นคริสต์ค่ะ) แต่ยกพุทธศาสนาไว้ในฐานะปรัชญา ไม่รู้สิ สำหรับเราพุทธไม่ใช่ศาสนาอ่ะ แต่มันคือวิถีในการดำเนินชีวิตและแนวทางการคิดในอีกแบบหนึ่ง
กับคำกล่าวที่ว่า "ขนาดพระพุทธเจ้ายังตัดกิเลสได้ไม่หมดเลย..."
แต่ เดี๋ยว ความอยากทุกอย่างไม่ถือว่าเป็นกิเลส มาดูนิยามของคำว่ากิเลสดีกว่า:
(อ้างอิงจากวิกิพีเดีย)
กิเลเสนฺติ อุปตาเปนฺตีติ = กิเลสา แปลว่า ธรรมชาติใดย่อมทำให้เร่าร้อน เศร้าหมอง ธรรมชาตินั้นชื่อว่า กิเลส
กิลิสฺสติ เอเต-ติ = กิเลสา แปลว่า สัมปยุตธรรม คือ จิต เจตสิก ย่อมเศร้าหมอง เร่าร้อน ด้วยธรรมชาติใด ฉะนั้นธรรมชาติที่เป็นเหตุแห่งความเศร้าหมองเร่าร้อนของสัมปยุตนั้น จึงชื่อว่า กิเลส ได้แก่
โลภะ ความอยากได้
โทสะ ความคิดประทุษร้าย
โมหะ ความหลง
มานะ ความถือตัว
ทิฏฐิ ความเห็นผิด
วิจิกิจฉา ความลังเลสงสัย
ถีนะ ความหดหู่
อุทธัจจะ ความฟุ้งซ่าน
อหิริกะ ความไม่ละอายบาป
อโนตตัปปะ ความไม่เกรงกลัวบาป
เอาละ กิเลสของพระพุทธเจ้าคงถูกจัดอยู่ในหมวด ความลังเลสงสัย เป็นแน่ ขอให้ไปหานิยามของมันในกระทู้นี้ค่ะ https://www.dhammahome.com/webboard/topic/25914 แล้วจะพบว่า สิ่งที่พระพุทธเจ้ามี ที่คุณเรียกว่ากิเลสนั้น อันที่จริงเป็นความสงสัยใคร่รู้ ต้องการหาความจริง เหมือนเวลาที่เราแก้โจทย์คณิตศาสตร์ เราไม่ได้ทำมันไปเพราะกิเลสใช่ไหม แต่ต้องการรู้ในสิ่งที่เป็นอยู่จริง ๆ เป็นทางคิดที่นำมาสู่ปัญญา ซึ่งพระพุทธศาสนาเนี่ย ยกปัญญาไว้สูงทีเดียว คือ:
(จากวิกิพีเดีย)
ปัญญา แปลว่า ความรู้ทั่ว คือรู้ทั่วถึงเหตุถึงผล รู้อย่างชัดเจน, รู้เรื่องบาปบุญคุณโทษ, รู้สิ่งที่ควรทำควรเว้น เป็นต้น เป็นธรรมที่คอยกำกับศรัทธา เพื่อให้เชื่อประกอบด้วยเหตุผล ไม่ให้หลงเชื่ออย่างงมงาย
ทีนี้ เวลาที่มีคนบอกกับคุณว่า 2+2=5 คุณจะลังเลสงสัยต่อไป ดุ่ยหาไปในทางอื่นที่ไม่ใช้คณิตศาสตร์ มันก็ผิดแล้วล่ะ เพราะนั่นคือความลังเลสงสัย ต่อให้คุณหาเหตุผลใดตามความเชื่อพื้นฐานผิด ๆ เพื่อทำให้ 2+2=5 มารองรับความหลงผิดนั้น ยังไงเสีย 2+2 ก็จะเท่ากับ 4 เช่นเดิม แล้วคุณก็จะตกลงไปอยู่ในความเศร้าหมองและมองหาเหตุผลที่จะทำให้ 2+2=5 ต่อไป
การตั้งคำถามเป็นสิ่งที่ดี เพราะท้ายที่สุดจะทำให้เราได้รู้ความจริง ขอให้คุณพบคำตอบในท้ายที่สุด โชคดีกับการแสวงหาความจริงทุกสิ่งในชีวิตนะคะ
(สำหรับคำตอบที่ว่ามนุษย์เกิดมาทำไม และสำหรับตัวเรา เราเกิดมาทำไม ขอตอบในความคิดเห็นถัดไปค่ะ มันยาว)
ขอบคุณสำหรับสาระดีๆน้ะคร้าบ
มนุษย์เกิดมาทำไม?
สำหรับคำถามนี้ จะให้คำตอบโดยองค์รวมก็ไม่ได้ เพราะตัวเราเองก็เป็นแค่มนุษย์คนหนึ่ง แต่ในรายละเอียดความเป็นมนุษย์กลับไม่มีใครเท่าเทียมกันเลย ทุกสิ่งทุกอย่างเกิดจากเหตุ และคนก็มีกรรมเป็นของตนเอง (คุณมาทางพุทธ เราขอพูดในทางพุทธแล้วกัน) ดังนั้นมันก็เรื่องของแต่ละคนที่จะจัดการกับเรื่องของเขา ไม่มีอะไรถูกอะไรผิดหรอก มนุษย์บางคนอาจบอกว่าตัวเองเกิดมาเพื่อสร้างสงคราม เกิดมาเพื่อข่มขืนและเข่นฆ่า แต่มนุษย์บางคนอาจบอกว่าตนมาแค่เพื่อเขียนหนังสือสักเล่ม และอีกเล่ม และอีกเล่ม มนุษย์บางคนบอกว่าตัวเองมาเพื่อประกาศสันติ
และแต่ละสิ่งที่เราบอกว่าเรามีชีวิตเพื่อมัน สิ่งเหล่านี้ล้วนมาจากกรอบความคิดในสังคม (นี่คือทัศนะของเรา คุณจะเชื่อหรือไม่ก็ได้) พระอาจบอกว่าเขามาเพื่อทำให้ตัวเขาในชาตินี้หมดเวรหมดกรรม ปฏิบัติธรรมเพื่อจะได้บรรลุ แน่นอนว่านี่อยู่ในกรอบความคิดของพระพุทธศาสนา ใครบางคนอาจปรากฏตัวที่งานดนตรีแห่งหนึ่ง พร่ำร้องเพลงเพื่อสันติภาพ และตะลอนไปทุกที่เพื่อร้องเกี่ยวกับโลกในอุดมคติ นั่นเพราะเขาอยู่ในกรอบความคิดเรื่องสันติภาพ
อย่างไรก็ตามสังคมเราประกอบด้วยกรอบความคิดนับล้านล้าน เราไม่รู้ว่ามนุษย์คนหนึ่งกว่าจะเติบโตมา สังคมสอนอะไรเขาบ้าง ดังนั้นคำถามนี้เป็นอันต้องตกไป เพราะเมื่อเราหาคำตอบสำหรับตัวเองได้ และคิดว่ามันถูกที่สุด กับมนุษย์อีกคนมันกลับไม่เป็นจริงสำหรบเขา
แต่สิ่งที่เป็นจริงคือการเกิดและการตาย และเวลาไม่หวนกลับ ดังนั้น เราคิดว่ามนุษย์เกิดมาเพื่อใช้เวลาของตัวเองให้คุ้มค่าที่สุด การเดินตามกิเลสของบางคนอาจเป็นการใช้เวลาอย่างคุ้มค่า แต่การควบคุมตนเองให้อยู่ในทางที่ดีอาจคุ้มค่าสำหรับบางคน
ส่วนตัวเราเอง เราเกิดมาเพื่อใช้เวลาไปเรื่อย ๆ อ่านหนังสือทั่วไป เรียนคณิตศาสตร์ และฝึกเขียนโค้ด และในท้ายที่สุดอาจไม่ได้ตั้งมั่นกับสิ่งที่เป็นเรา เพราะตัวเราในตอนที่เขียนความคิดเห็นที่แล้ว กับตัวเราในตอนนี้ แทบจะไม่ใช่คนเดิม เราเคยทำมัน แต่ไม่ได้หมายความว่าเรากำลังทำมันในตอนนี้ เราเกิดมาเพื่อศรัทธาในเวลาค่ะ
ว้าว น่าทึ่งจริงๆคร้าบ
หวังว่าท้ายที่สุดจะหาคำตอบของตัวเองเจอนะคะ :)
คร้าบบ
ตามเป้าหมายที่อยู่ใจ เช่น ปรารถนา
เป็น พระพุทธเจ้า เช่น หลวงปู่ทวด เยียบน้ำทะเล
จืด หลวงปู่สิงขันติยาโม
พระปัจเจพุทธเจ้า เช่น หลวงปู่เขมโก จังหวัด
ลำปาง แห่ง สุสารไตรลักษณะ
หรือ ปราถนา เป็นอัครสาวก
รายชื่อผู้ถูกใจความเห็นนี้ คน
แจ้งลบความคิดเห็น
คุณต้องการจะลบความคิดเห็นนี้หรือไม่ ?