Dek-D.com ใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสบการณ์ของ
ผู้ใช้ให้ดียิ่งขึ้น เรียนรู้เพิ่มเติมที่นี่
ยอมรับ

ปรสบการณ์การเป็นนักเขียนแบบงงๆ(อ่านเพลินๆ)

ตั้งกระทู้ใหม่
ตั้งกระทู้ใหม่
สวัสดีค่าา ตาป๋องค่าา วันนี้เราไม่ได้มีเรื่องอยากมาปรึกษานะ แต่มีเรื่องอยากมาเล่าให้ฟัง

ก่อนอื่นเลยเราชื่อครีมนะคะ ตอนนี้เรียนอยู่ชั้นม.5โรงเรียนหนึ่งในจังหวัดนครราชสีมา เป็นเด็กศิลป์-ภาษาที่ขี้เกียจมากคนหนึ่ง55555 เอาเป็นว่าเข้าเรื่องเลยดีกว่าเนอะ:)

จริงๆ เราเป็นคนชอบอ่านนิยายมากอ่านได้ทุกแนวเลย เข้าสู่วงการนี้ตั้งแต่ป.6เห็นจะได้กกตัวอยู่ในด้อมแจ่มใสค่ะเพราะรู้สึกว่านิยายของบ้านนี้น่ารักมากกก จนได้ออกจากถ้ำ(เข้าสู่โลกโซเชียล)ตอนม.2เราเลยค้นพบว่าเห้ยยย นิยายน่ารักๆ ไม่ได้มีแค่บ้านแจ่มใสสีส้มนิ ยังมีอีกตั้งหลายบ้านแน่ะ นับแต่นั้นมาเราก็ยังคงอ่านมาเรื่อยๆ อ่านมาตลอดจนกระทั่งขึ้นม.4เราจึงเริ่มเขียนนิยายแบบจริงๆ จังๆ ครั้งแรก

นิยายเรื่องแรกของเรา เราเขียนในสมุดตอนป.6 ค่ะ ภาษางุ้งงิ้งมากๆ เปิดอ่านแต่ละทีแทบเขวี้ยงเข้าป่าแน่ะ555555 แต่เรายังเก็บไว้นะทุกวันนี้ยังอยู่ในลิ้นชักอาถรรพ์ของเราอยู่เลย เข้าเรื่องจริงๆ เลยละกัน นิยายเรื่องแรกที่เราเขียนแบบจริงๆ จังๆ ตอนม.4มีชื่อว่า LION! เกิดเป็นสิงห์ ค่ะ สาบานเลยว่าเรื่องนี้แต่งตามใจตัวเองล้วนๆ ไม่ได้คาดหวังว่าจะมีคนหลงเข้ามาอ่านหรือติดตามมากมายขนาดนี้ เรารู้แค่ว่าตอนนั้นอยากเขียนนิยายสักเรื่องให้จบ(เพราะตั้งแต่เขียนในสมุดมาไม่คยจบเลย5555) อ้อ! เราเคยลงฟิคgot7ในเด็กดีด้วยนะ(ตอนม.2) แต่ไม่มีคนมาอ่านเลย ยอดชมที่เพิ่มขึ้นก็เป็นเพราะเราเข้าไปอ่านของตัวเองทั้งนั้น5555 พอมาแต่งเรื่องเกิดเป็นสิงห์เราเลยไม่ได้คาดหวังอะไรมากมาย คอมเมนต์ไม่เช็ก ยอดแฟนคลับไม่เช็ก แต่งเสร็จอัปเสร็จคือจบเลยสำหรับเรา

จนวันนั้นเรานั่งไถแอปนิยายเด็กดีอยู่ดีๆ ดันเห็นนิยายตัวเองติดอันดับกับเค้าด้วย! เห้ย!!! จริงเหรอ! เราอ่านชื่อเรื่องซ้ำหลายครั้งมากจนมั่นใจแล้วว่าเออนี่แหละ นิยายเราเอง5555 เราก็เลยเริ่มไล่อ่านคอมเมนต์แล้วก็ดูยอดแฟนคลับที่เพิ่มขึ้นอย่างงงๆ จำได้ว่าเราอัปไป7ตอนแล้วยอดแฟนคลับยังอยู่ที่22คนอยู่เลย(อันนี้จำขึ้นใจมากนะ555) พอไปเช็กดูวันนั้นพบว่า300เกือบจะ400คนอยู่แล้ว เราตกใจมากเพราะมันเป็นจำนวนแฟนคลับที่ไม่น้อยเลยสำหรับเรา

พอรู้ว่ามีคนรอติดตามผลงานมากมายขนาดนี้จากตอนแรกที่เขียนเล่นๆ เราเลยกลับมาตั้งใจมากขึ้น ซึ่งผลตอบรับมันทำให้เราแทบร้องงงง จากฟิคgot7 0แฟนคลับในวันนั้น กลายมาเป็นนิยายรักหวานแหวว9,379แฟนคลับในวันนี้

ตลอดการเขียนนิยายเรื่องนั้นเรามีความสุขมาก เรารักทุกตัวละครและรักคนอ่านทุกคน ขอบคุณทุกคอมเมนต์ติชมและชื่นชอบในผลงานเรา กว่าจะเขียนได้แต่ละตอนมันเหนื่อยมากแต่พอได้อ่านหนึ่งคอมเมนต์จากคนแปลกหน้าที่คอยซัพพอร์ตเราอยู่ตลอดเวลามันทำให้เราหายเหนื่อยและมีกำลังที่จะเขียนต่อ จุดคอมพลีทที่สุดสำหรับเราคงจะเป็นเราเขียนนิยายเรื่องนี้จนจบด้วยโทรศัพท์ห้างๆ เพียงเครื่องเดียวในชีวิตของเรา

ใช่ค่ะนิยายทุกเรื่องที่เราแต่งเราแต่งในโทรศัพท์หมดเลย บ้านเราไม่ได้มีฐานะร่ำรวยอะไรมากมายเราเลยไม่มีคอมฯหรือโน๊ตบุ๊คในการเขียนนิยายเหมือนคนอื่นๆ ถามว่าเหนื่อยมั้ย? ก็เหนื่อยนะคะ5555แต่เราเลือกที่จะเสพความสุขเข้าใส่ตัวเอง เช่น การอ่านคอมเมนต์ที่ให้กำลังใจเชิงบวก การพูดคุยกับนักอ่านผ่านคอมเมนต์อะไรแบบเนี้ยทำให้เราหายเหนื่อยได้มากจริงๆ จำได้ว่าเราโดนแม่ด่าว่าติดโทรศัพท์จนไม่สนใจการเรียนซึ่งจริงๆ แล้วเรากำลังแต่งนิยายให้อีกเก้าพันชีวิตที่ติมตามผลงานของเราได้อ่านต่างหาก

เราเคยเครียดมากตอนแม่ขู่ว่าจะยึดโทรศัพท์ด้วยนะ กลัวนักอ่านรอ5555

นิยายเรื่องนี้จบไปได้สักพักเราก็ได้เจอกับพี่ปุ้ย(นามปากกา KAI-FENG)ในนิยายเซ็ตที่มีคนชวนไปร่วมโปรเจ็กต์ด้วย พี่เขาเป็นคนเดียวที่รู้ว่าเราเขียนนิยายในโทรศัพท์(ในหมู่เพื่อนนักเขียนด้วยกัน) เพราะฟ้าบันดาลหรือพี่แกสงสารเราก็ไม่รู้พี่แกเลยช่วยเราจัดหน้านิยายเรื่องนี้และลงขายในรูปแบบEBOOKให้เรา555 บอกเลยว่าเราดีใจมากกก แม้จะไม่ได้เป็นรูปเล่มแต่ได้เป็นหนึ่งในนิยายบนรถเข็นของนักอ่านเราก็ดีใจมากแล้ว

แม้ยอดขายจะไม่ได้มากมายแต่อย่างน้อยเราก็มีเงินให้พ่อกับแม่ใช้นะเออ(เปล่าค่ะ เราใช้บัญชีแม่ขายอีบุ๊กพอเงินอีบุ๊กเข้าเขาเลยไม่รู้ว่าเป็นเงินจากการขายนิยายของเรา เขาก็เลยใช้เกลี้ยงเลยT^T)

มีนักอ่านจำนวนหนึ่งแนะนำให้เราสร้างเเฟนเพจ ซึ่งเราสร้างไม่เป็นเลยไม่สร้าง55555 จนสุดท้ายต้องไปเสิร์ชหาวิธีการต่างๆ จนสร้างเป็นและกระแสตอบรับค่อนข้างดี นิยายเรื่องถัดมาที่เราได้ตีพิมพ์เป็นรูปเล่มคือ Lotto Men แมนๆ ลูกหนึ่ง สารภาพอีกว่าเรื่องนี้เราก็แต่งในโทรศัพท์จนจบเหมือนกัน(และลำบากพี่ปุ้ยให้ช่วยจัดหน้าให้อีกแล้ว555) เรื่องนี้คือจุดพีคของเรามากเพราะยอดขายเกิดคาดจนทำให้เราซื้อโน๊ตบุ๊คเครื่องแรกด้วยตัวเองได้(ไม่ต้องเขียนในโทรศัพท์อีกแล้วค่ะ//ปาดน้ำตาT^T) แต่จิตใจเราก็เปราะบางเพราะเรื่องนี้เหมือนกันนะคะ โดนกระแสวิพากษ์วิจารณ์หนักพอสมควร ซึ่งเราก็ยอมรับและปรับปรุงให้มันดีขึ้นกว่าเดิมตามคำแนะนำของนักอ่าน

จริงๆ ที่เล่ามาทั้งหมดเราไม่ใช่นักเขียนมืออาชีพอะไรหรอกค่ะ แค่อยากให้นักเขียนที่กำลังรู้สึกท้อแท้ได้มีกำลังใจมากขึ้น ดูอย่างเราสิขนาดเขียนในโทรศัพท์กากๆแบบนี้ยังมีคนหลงเข้ามาอ่านเลย55555 ทุกอย่างมันมีเวลา จังหวะ และโอกาสของมันค่ะ แค่เราเชื่อมั่นและรักที่จะทำมันยังไงสักวันเราต้องทำได้แน่นอนค่ะ^^(ทุกวันนี้เรายังเขินอยู่เลยเวลามีคนเรียกว่าไรท์5555)

ไม่รู้จะเรียกว่าประสบการณ์ได้หรือเปล่า แต่อยากบอกทุกคนว่าขอบคุณที่เข้ามาอ่านเรื่องของเราจนจบนะคะ ขอบคุณหลายๆ คนที่คอยให้กำลังใจเรามาโดยตลอด ขอบคุณพี่ปุ้ย(KAAI-FENG)ที่ให้คำปรึกษาและคอยช่วยเหลือทุกอย่างเลย(หนูรักพี่มากนะเว้ย55555555) ขอบคุณตัวเองที่มีช่วงเวลาท้อแต่ไม่อยมถอย แล้วก็ขอบคุณที่นิยายของเราเคยทำให้คุณยิ้มได้นะคะ ขอบคุณจริงๆ ค่ะ :)

ฝันดีน้าาา สู้ๆค่ะ

แสดงความคิดเห็น

>

6 ความคิดเห็น

เวิ่นเว้อ 17 ธ.ค. 61 เวลา 00:22 น. 2

ถ้าอย่างนั้นก็คงพอจะมีเงินเพื่อเป็นทุนการศึกษาต่อไปได้แล้วนะคะ. อย่างน้อยก็หาเงินได้แล้ว หวังว่าคงจะไม่ดรอปนะคะ

1
BW_Bracelet 17 ธ.ค. 61 เวลา 00:56 น. 3

ฮื้ออออ ชอบเรื่องราวที่แบ่งปันนี้มากๆเลยค่ะ สุดยอด ฟ้าประทานให้คุณเป็นนักเขียนจริงๆ โชคทั้งหลายล้วนเข้าข้างไปหมดเลย สัมผัสได้ถึงการพัฒนาชีวิตไปพร้อมๆกับการพัฒนาตัวอักษรบนแป้นพิมพ์เลยค่ะ สู้ๆนะะะ(บอกตัวเองค่ะเพราะเพิ่งเริ่ม555) มีกำลังใจขึ้นเยอะ ขอบคุณที่แชร์เรื่องดีๆให้นะคะ

1
ตาป๋อง 17 ธ.ค. 61 เวลา 18:22 น. 3-1

ต้องสู้ๆนะคะ อย่าท้อ(แงงงง จริงๆก็ท้อได้แต่อย่าถอยน้า) ทำมันออกมาให้ดีที่สุดก็พอค่ะ รักในผลงานของตัวเองให้มากๆ แล้วสักวันคุณจะทำได้ค่ะ^^ สู้ๆนะค้าา

0
17 ธ.ค. 61 เวลา 10:17 น. 5

อ่านแล้วยิ้มเลย เป็นกำลังใจให้นะคะ น้องทำดีและน่ารักมาก ที่สำคัญน้องมีเพื่อนที่ดีที่คอยสนับสนุนน้องอย่างจริงใจ ก้าวต่อไปนะคะ เชื่อว่าน้องจะไปได้ไกลแน่นอนค่ะ

1
peiNing Zheng 17 ธ.ค. 61 เวลา 19:19 น. 6

(ยกนิ้วให้)


คนที่มองไปข้างหน้าและพัฒนาตัวเองไม่หยุดนิ่งก็จะมีทางให้ก้าวเดินต่อไปได้ค่ะ


ปล. ถ้ายังไงแบ่งเวลาระหว่างการเขียน การเรียนกับการใช้ชีวิตในสังคมด้วยก็ดีนะคะ งานเขียนใช้ต้นทุนอุปกรณ์ต่ำ แต่ใช้ต้นทุนความคิดสูงมาก และต้นทุนสิ้นเปลืองที่สุดก็คือ ความคิดนี่แหละค่ะ


เวลาเขียนมีอุปกรณ์แค่ ดินสอ ปากกา หรือคอม หรือโทรศัพท์ ซึ่งถ้าซื้อครั้งหนึ่งก็ใช้ไปได้ยาวเป็นปีๆ แต่ต้นทุนความคิดจะไหลไปตลอดเวลา มีได้ก็หมดได้ แถมหมดไวอีกต่างหาก ถ้าถลุงใช้ไป พอถึงเวลาหนึ่งที่ของหมด ต้องใช้เวลาเหมือนกันกว่าจะสร้างมันขึ้นใหม่ได้ค่ะ

0