Dek-D.com ใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสบการณ์ของ
ผู้ใช้ให้ดียิ่งขึ้น เรียนรู้เพิ่มเติมที่นี่
ยอมรับ

รีวิว 'เรียนออกแบบเว็บ 4 ปี ที่ไอซีทีศิลปากร' ฉบับ EP.4 Final

ตั้งกระทู้ใหม่
ตั้งกระทู้ใหม่

ปี 4 ชีวิตปีสุดท้ายกับ จุลนิพนธ์ (Thesis ) ตัวร้าย

ชีวิตมหาลัย ตอนปี4 เป็นอะไรที่ต้องโครตมีวินัย ต้องบอกก่อนว่าปี4ที่นี้อะ ต้องทำจุลนิพนธ์คนเดียว จุลนิพนธ์ก็คือโปรเจคจบ ที่เอาสิ่งที่เราเรียนไปตั้งแต่ปี1 มาทำเป็นโปรเจค ซึ่งด้วยความเรียนออกแบบรวมกับเทคโนโลยี สิ่งที่ทำออกมาก็ต้องเป็นเทคโนโลยีที่ตอบโจทย์ผู้ใช้ ทันสมัย ไม่ซ้ำใคร ยังไม่มีใครเคยทำ ตอนที่อยู่ปีหนึ่งปีสอง ก็ยังคิดว่า ถ้าไปอยู่ปี4 ก็คงไม่หนักมากหรอก ก็เหมือนเรียนทั่วๆ ไป แต่พอขึ้นปี4เท่านั้นแหละ ทุกอย่างที่เคยคิดว่าทำได้ สบาย ก็พังทลายลง เพราะว่า มันไม่ได้ง่ายแบบนั้น
เริ่มเลยละกันกับคำว่าจุลนิพนธ์ เริ่มจากที่เราต้องคิดหัวข้อก่อนว่า เราจะทำอะไร ซึ่งก่อนที่เราจะคิดหัวข้อ ทางอาจารย์ประจำสาขาที่คอยเป็นคนดูแลพวกเรา เค้าก็จะให้เราเข้าไปฟังบรรยาย เกี่ยวกับการคิดหัวข้อต่างๆ ว่าเราต้องเริ่มคิดจากอะไร เริ่มยังไง เอาจริงมันช่วยได้เยอะเลยนะ เวลามีคนมาช่วยชี้แนะเส้นทางให้เราว่าเราจะต้องเดินไปแบบไหนอะ หลังจากนั้นเราก็กลับมาที่ตัวเอง มาคิดหัวข้อของตัวเอง เราก็คิดไปเยอะมากๆ เค้าบอกว่าให้คิดหัวข้อที่ใกล้ๆ ตัวเราก่อน ให้เขียนสิ่งที่เราชอบมาประมาณ5-10ข้อ และสิ่งที่เราไม่ชอบ5-10ข้อ เราก็ทำออกมา และก็คิดต่อไปอีกว่า สิ่งที่เราชอบอะ มันจะเอามาทำอะไรที่เป็นจุลนิพนธ์ได้บ้าง หลังจากที่คิดแล้ว ก็เริ่มเข้าสู่การพรีเซนต์ หัวข้อของตัวเอง ซึ่งหัวข้อแรกที่เราอยากทำ อยากได้ ก็ไม่ได้ไปต่อ เพราะหลายๆปัจจัย อย่างที่บอกสิ่งที่เราจะทำต้องตอบโจทย์คนใช้จริงๆ เพราะคณะอยากให้ทำแล้วสามารถเอาไปใช้ได้จริงๆ เลย ซึ่งการได้หัวข้อมาอะ ไม่ได้มาจากเพราะว่าคิดเอง หรือหาข้อมูลในเน็ตเท่านั้นนะ แต่มันต้องเป็นสิ่งใหม่และสามารถตอบโจทย์ผู้ใช้ เราเองก็เลยต้องไปลงพื้นที่ ไปสำรวจข้อมูลต่างๆ ซึ่งมันก็ต้องใช้เวลา และหัวข้อที่เราได้มาก็คือ เรื่องเศรษฐกิจพอเพียง เราเลยต้องลงพื้นที่ต่างๆ เพื่อให้เห็นว่า มันเกิดปัญหาในเรื่องนี้และสิ่งที่เราทำ มันจะช่วยทำให้มันดีขึ้น ตอนนั้นก็คือ หาทุกที่ ที่เป็นพื้นที้พอเพียง ไปนครนายกบ้าง ไปอยุธยาบ้าง บางครั้งก็นั่งรถตู้ไปคนเดียว บางครั้งก็มีเพื่อนๆ ไปช่วย เหนื่อยแต่ก็สนุกมาก
 



คือพอได้ลงพื้นที่อะ ก็ได้เจอคนที่เค้าใช้ชีวิตแบบพอเพียง ได้พูดคุยกัน ก็มีแรงกำลังใจมากๆ ในการทำงาน เมื่อเราได้ข้อมูลมามากพอแล้ว เราก็ตัวเตรียมพรีเซนต์ ซึ่งการพรีเซนต์แต่ละครั้งก็เหมือนกับการสอบ ที่มีคะแนนมากมาย ต้องบอกก่อนว่า เวลาพรีเซนต์ จะแบ่งเป็นห้องไว้ ซึ่งห้องนึงอะ ก็มีประมาณ15-18คนได้ ก็แล้วแต่ละรุ่นด้วย ทุกครั้งที่พรีเซนต์ก็จะมีคณะกรรมการมาตรวจ และคอยคอมเมนต์โปรเจคเรา ซึ่งหนึ่งในคณะกรรมการก็จะมีที่ปรึกษาเราอยู่ด้วย บอกเลยว่า ตื่นเต้นทุกครั้งที่พรีเซนต์ แล้วจะพรีเซนต์เดือนละหนึ่งครั้ง ครั้งที่1จะเป็นการพรีเซนต์ในส่วนของหัวข้อและที่มาของหัวข้อ เช่น ทำไมถึงทำหัวข้อนี้ เจอปัญหาอะไร แล้วกลุ่มเป้าหมายเป็นใคร รวมถึงสถิติต่างๆ ที่เอามาใช้ในการอ้างอิง

ครั้งที่2 เป็นการนำเสนอสิ่งที่ปรับแก้จากรอบที่1และเพิ่มเติมของฟังก์ชั่นการทำงาน ครั้งที่3นี้ต้องเริ่มการออกแบบมาแล้ว ว่ารูปร่างของโปรเจคเป็นยังไง (ตังอย่างของโปรเจค : Application, Website, Interactive, Ar, Vr, IOT) หลังจากเดือนที่3ไปก็จะเป็นการตรวจในส่วนของโปรแกรม การทำงานต่างๆ ของฟังก์ชั่น การทำงานได้จริงและต้องไปทดสอบกับกลุ่มเป้าหมายด้วยว่ามันใช้ได้และตอบโจทย์จริงๆ
 


  จนถึงเดือนที่6 ก็ปรับแก้ไขจนถึงวินาทีสุดท้าย ซึ่งความโดดเด่นของเอกเราอย่างที่บอกมาตั้งแต่ต้นกระทู้ว่าเรียนทั้งออกแบบและโค้ด ก็คือต้องทำคนเดียวทั้งออกแบบและเขียนโปรแกรมด้วย แน่นอนว่าตั้งแต่เดือนแรกจนถึงเดือนสุดท้าย เป็นอะไรที่ต้องมีวินัยตัวเอง ความอดทน ความพยายามเรียนรู้สิ่งใหม่ๆ การจัดการกับเวลาให้ดีและออกไปผจญภัยกับโลก เรียกได้ว่า ปีนั้นเป็นอะไรที่ครบรสชาติ ร้องไห้สุด ดีใจสุด สนุกสุด
 

ตอนทำจุลนิพนธ์ไม่เคยคิดเหมือนกันว่า จะผ่านมันได้ แต่ก็ต้องสู้กับมัน สู้กับตัวเอง

สู้กับคณะกรรมการต่างๆ และเมื่อวินาทีสุดท้ยของการทำจุลนิพนธ์จนลบ มันคือน้ำตาแห่งความสุขอะ มันดีใจมันภูมิใจตัวเองมากๆอะ มันเหมือนปลูกต้นไม้ แล้วผลมันออกและเราได้กินผลไม้ที่เราปลูกอะ 55555555 เพราะเรารู้ตัวเองว่าแต่ละเดือนเราต้องให้กำลังใจตัวเอง ต้องเอาชนะให้ได้ จริงๆ เรามีเพื่อนมีครอบครัว มีอาจารย์ด้วยที่คอยกำลังใจตลอดเวลา ถึงทำให้มีแรงผ่านมาได้ ผลสุดท้าย ตอนนี้ที่เราผ่านมาได้ ทุกอย่างที่เราทำไปอะ มันส่งผลกับเราจริงๆ นะ ทุกเรื่องเลย ทำให้เรารู้สึกว่า ตอนเราออกมาทำงานใช้ชีวิตจริงแล้ว เรามีความอดทน มีความพยายาม โดยที่เราไม่ต้องฝึกแล้วอะ เพราะที่ตอนทำจุลเราได้ฝึกฝนมาแล้ว ตอนนี้ก็ยังขอบคุณตัวเอง ที่วันนั้นสู้เดินต่อ ไม่ว่าเจออะไรกับอะไรก็บอกตัวเองว่าจะไม่ยอมแพ้ ทำให้เรามีดีถึงทุกวันนี้ และขอบคุณมหาลัย คณะและอาจารย์อะ ที่คอยสอนและชี้แนะทุกอย่าง ตอนที่เรียนอะ ก็ยังไม่เข้าใจหรอก แต่พอได้ออกมาใช้ชีวิตจริงอะ เข้าใจละว่าทำไมต้องสอนต้องฝึกแบบนี้ ตอนนี้อะ กล้าพูดได้เต็มปากเลยว่า ภูมิใจกับตัวเองมากที่ได้เรียนคณะนี้สาขานี้เอกนี้


 

ปล. เอกของเรา เมื่อทุกคนที่ผ่านการตรวจจุลนิพนธ์แล้ว ก็จะได้จัดงาน Thesis exhibition และปีของเราก็จัดไปแล้ว ที่ Centralword ถ้าอยากดูรูปว่าพวกเรามีความสุขและภูมิใจแค่ไหน ก็กดเข้าไปดูได้

คลิกที่นี้จ้า  ได้เลย
 


ถึงเรียนจบแล้วแต่ชีวิตมหาลัยยังไม่จบนะจ้ะ

เพราะว่าระหว่างที่พวกเราทำจุลอยู่นั้น ก็มีการคัดเลือกเด็กที่จะไปโครงการทุนการศึกษาเพื่อสร้างเสริมประสบการณ์

โดยพวกเราได้ไปดูงานที่ประเทศเกาหลีจ้า

โดยทุนนี้ได้จัดขึ้นเป็นปีแรกของคณะเราเลย เอกของเราได้ไปประเทศเกาหลีใต้เป็นเวลา 7 วัน 5คืน

โดยมีนักศึกษาไปทั้งสิ้น 8 คน ตั้งแต่ปี2-ปี4 อาจารย์ได้มีการสอบสัมภาษณ์คัดเลือกจากงานที่เราทำให้คณะ ให้เอกและจิตอาสา รวมถึงภาษาอังกฤษของเราด้วย ในทัวร์นี้พวกเราไปแบบไม่มีทัวร์ใดใดทั้งสิ้น แบคแพคเอง แต่เรื่องการวางแผนพวกเราก็ต้องทำกันเองด้วยนะ โดยมีอาจารย์ที่ปรึกษาโครงการพาไปทั้งหมดสองคนเพื่อดูแลเราและดูแลความประพฤติ5555555 และนอกนั้นอาจารย์จะมีมิชชั่นต่าง ๆให้เราทำในแต่ละวันด้วย(มิชชั่นนี่แหละตัวสนุกเลย)

โดยวันแรกเราได้นัดเจอกันที่สนามบินสุวรรณภูมิ จ้าตื่นเต้นกันมาก อาจารย์จึงหามิชชั่นให้ลดความตื่นเต้นด้วยการให้จับคู่หาของ เรียกว่าอะไรก็ได้ที่อยู่ในสนามบินสุวรรณภูมินี้ที่มีความแปลก ขอแปลกที่สุด มาคนละ 1 อย่าง หรือจะมากกว่านั้นก็ได้ พวกเราก็วิ่งกันสิครับ หัวหมุนเลย โดยพอจบภารกิจพวกเราก็ได้มานัดเจอกันที่ เกทที่จะขึ้นเครื่อง



 

พวกเราเดินทางด้วยสายการบินไทย เครื่องลำใหญ่ที่นั่งสบาย(เหมือนได้ค่าโฆษณา555555) เดินทางใช้เวลาทั้งหมด 6 ชั่วโมงเต็มๆ


 

เนื่องจากเราเดินทางดึกเราเลยถึงที่เกาหลีเป็นเวลาเช้าตรู่มาก เช้าที่สดใส หลังจากจัดการกับด่านตรวจคนเข้าเมือง และที่สนามบินเสร็จเราก็เดินทางไปยังรสบัสที่จะพาเข้าไปยัง เมียงดง สนนราคาอยู่ที่ประมาณ 400 บาท และเราก็จะถึงถนนเมียงดงสถานที่ที่เกสต์เฮ้าส์ของเรานั้นตั้งอยู่นั่นเอง  

และเราก็หลงตั้งแต่วันแรกเลยจ้าไปเกสต์เฮ้าส์ชื่อเดียวแต่ผิดที่ 555555 ชื่อว่า 24 Guesthouse Myeongdong Avenue ที่พักเป็นเตียงสองชั้นในห้องเล็กๆแต่อบอุ่นมาก ห้องน่ารักเจ้าของก็น่ารักชอบไปประเทศไทย แต่กว่าจะถึงได้พวกเราก็ได้ทำการขอโทษอาจารย์และเพื่อนๆไป เพราะว่าทริปนี้อาจารย์จะให้วางแผนการเดินทางใช้แอปพลิเคชันและแผนที่ออนไลน์ต่างๆในการเดินทางเอง โดยอาจารย์จะทำเพียงแค่ได้แต่มองเธอข้างหลัง (เพลงมา) เพื่อฝึกฝนให้เรารู้จัดเดินทางในต่างแดนด้วย

เราไม่สามารถเข้าพักที่เกสต์เฮ้าส์ได้เลยทันทีจึงต้องฝากของไว้และเพื่อไม่ให้เสียเวลาเราจึงตรงดิ่งไปดูงาน Art ที่ Leeum, Samsung Museum Of Art เป็นสถานที่ที่รวมงานศิลปะแบบทั้งดิจิตอลและแบบรูปปั้น หลากหลายชั้นและมี Audio Guide ด้วย เพราะคำอธิบายส่วนใหญ่นั้นเป็นภาษาเกาหลี จึงมีเครื่องAudio Guide ไว้บริการบรรยายเป็นภาษาอังกฤษ วิธีใช้งานคือเพียงเราไปยืนตรงเซ็นเซอร์หน้าของที่เราต้องการรู้รายละเอียดตัวเครื่องจะบรรยายออกมาทันที (ฉลาดมากก)

 

Photo: http://www.leeum.org/html_eng/exhibition/permanent02.asp

Photo: http://www.leeum.org/html_eng/exhibition/permanent01.asp
 

งานศิลปะเยอะแยะไปหมดใช้เวลาราว 2-3ชั่วโมงเพื่อที่จะดูงานศิลปะทุกชั้นให้ครบ จากนั้นเราก็พักเหนื่อยด้วยอาหารจากร้านอาหารเกาหลีที่อยู่ใกล้ๆ เนื่องจากหิวและเหนื่อยมากจากการเดินทาง เมนูที่เราลองสั่งมาคือ จาจังมยอน บะหมี่ดำ สำหรับเราคือรสชาติปกติไม่ได้โดดเด่นแต่ไมได้ไม่อร่อยก็สรุปคือกินได้นะ  


หลังจากนั้นเราก็ได้เดินผ่านพิพิธภัณฑ์แห่งนึง Yongsan Crafts Museum เป็นพิพิธภัณฑ์ของทำมือทั้งหลายที่สวยงามมากมี Workshop ให้ขึ้นไปทำและมีร้านขายของข้างล่าง คุณป้าคุณน้าก็น่ารักมากให้ของแจกของกันใหญ่เลย

เมื่อเราได้ทำการดูงานศิลปะ ณ ที่แรกเสร็จสมบูรณ์ก็ใช้เวลาไปเกือบเย็น เราจึงต้องเติมความพร้อมของร่างกายวันใหม่ด้วย หมูย่างเกาหลี ร้านที่เราได้ไปเป็นร้านหมูย่างที่อยู่ในถนนเมียงดง ร้านอยู่ชั้นสองและมีความร้านสุราผสมอยู่ คนเกาหลีส่วนใหญ่มาเพื่อดื่มสุราแกล้มกับหมู แต่เรามากินหมูล้วนๆ 555555555 โดยที่ร้านนี้ไม่ได้เป็นบุฟเฟต์จะตกเป็นชิ้นละ200-300 บาท เมื่อหารเฉลี่ยแล้ว8คนก็ตกคนละ 500บาท (ราคาแรงอยู่) ต่อจากนั้นก็เวลาชอปปิ้ง อาจารย์ก็จะให้เวลา 1-2ชม.ในการซื้อของทั้งที่ตัวเองอยากได้และเพื่อนฝากมา 55555 ในเวลานี้ และเราก็กลับที่พักด้วยแรงที่เหลืออยู่เพียงน้อยนิดและผลอยหลับไปในที่สุด

ตื่นมาในเช้าวันสดใสวันที่2 เราได้ไปวิ่งริมคลอง คลองชองกเยชอน (Cheonggyecheon) ซึ่งไม่ไกลจากที่พักเราเลย เลียบคลองจะมีศิลปะรายล้อมอยู่เต็มไปหมด และวันที่เราไปเป็นวันเสาร์ เลยไม่ค่อยมีผู้คนออกมาวิ่งมากมายนัก พูดเลยว่าได้เหงื่อไปเต็มๆ 5555555

จากนั้นเราก็กลับห้องจ้าพวกเราก็อาบน้ำเพื่อไปที่ Samsung D’light สถานที่รวบรวมวิวัฒนาการของเทคโนโลยี ทั้ง AR, VR, Interactive มากมาย ซึ่งเป็นของแบรนด์ Samsung แบรนด์เจ้าใหญ่ของเกาหลีใต้นี้เอง

ก่อนเข้าไปก็จะมีให้ลงทะเบียนแบบนี้ เห็นหน้าทุกคนเลยในทริป 55555555 ในนั้น  

หลังจากเล่นเครื่องเล่นเสร็จ(หือ?) เราก็ได้ไปต่อยังพิพิธภัณฑ์ที่สำคัญมากๆของกาหลี National Museum of Korea นั่นเอง พิพิธภัณฑ์มีทั้งหมด 3 ชั้น ไม่รวมชั้นล่าง แต่ละชั้นจะแตกต่างตามยุคสมัยไปมีทั้งเครื่องปั้นดินเผาที่เยอะมาก และไม่เยอะไปเท่าโถ หรือไหในสมัยก่อนของประเทศเกาหลี (เยอะจริงๆนะ)

ยังยืนยันว่าไหและโถเยอะจริงๆ ระหว่างนั้นก็ไมได้เดินดูเฉยๆ อาจารย์ให้เราเลือกงานที่เราชอบที่สุดตามประเภทของศิลปะที่มีแบ่งตามสมัยต่างๆอีก เราก็ต้องวิ่งกันละครับ หัวหมุนเช่นเคย หลังจากหาเสร็จก็มาพรีเซ้นเป็นคนๆไป ซึ่งเป็นสิ่งที่ทำให้เราได้ความรู้จริงๆไม่ใช่แค่ดูเฉยๆ และเรื่องราวในวันนี้ก็จบลงด้วยการนอนหลับอย่างง่ายดายด้วยความเหนื่อยล้าจากการเดิน

เช้าวันต่อมาที่สดใส วันที่3 แน่นอนจ้าต้องไปดูงานนน วันนี้จะตื่นเต้นเป็นพิเศษ เพราะเราจะได้ไปหมู่บ้าน Bukchon Hanok Village หมู่บ้านที่นักท่องเที่ยวมาตามถ่ายรูปเยอะมากๆและสวยมากจริงๆ กลิ่นอายของหนังเกาหลีพีเรียดนี่ลอยมาเลย วันนี้มีมิชชั่นให้หานวัตกรรมที่แปลกใหม่ไม่เหมือนที่ไทยมาคนละ2อย่าง (โหวววว) ซึ่งเราก็ต้องแยกย้ายถ่ายรูปกันค่ะ

ทางเดินขึ้นเขามากๆๆ ยอมใจคนเกาหลีจริงๆ ผู้สูงอายุก็สามารถเดินขึ้นได้แบบไม่เครียดและไม่เหนื่อย ต่างกับเราเลยทีเดียว หลังจากเราหานวัตกรรมเสร็จแล้วก็ได้ไปนั่งพูดคุยกันที่ร้านสตาร์บัคในละแวกนั้นเพื่อมา Discuss นวัตกรรมต่างๆที่เราไปเจอมา

ไปต่อกันยาวๆที่ซีรีย์พีเรียดเลยก่อนเราจะเข้าไปยังพระราชวังเคียงบกที่เลื่องรือ เราก็ได้พบกับ National Palace Museum of Korea เป็นพิพิธภัณฑ์อีกเช่นเคย ที่เกาหลีพิพิธภัณฑ์เยอะมากกกก และคนก็มาเยอะด้วยเช่นกัน ไม่ใช่แค่นักท่องเที่ยวแต่ชาวเกาหลีเองก็มาด้วย โดยส่วนใหญ่แล้วจะเล่าถึงความเป็นมาของราชวงศ์เกาหลีที่เราเคยดูตามซีรีย์นั่นแหละ แต่จะเจาะลึกและส่วนใหญ่บรรยายเป็นเกาหลีอีกด้วย (ฮืออออไม่รู้เรื่อง)

หลังจากนั้นสถานที่ที่เรารอคอยก็มาถึง Gyeongbokgung Palace สถานที่ๆนักท่องเที่ยวทุกคนต้องไปและใส่ชุดฮันบก ซึ่งสภาพอากาศตอนนั้นต้องยอมค่ะ เพราะร้อนมากแต่ด้วยความอยากใส่ของเราเราจะใส่เราจะไม่แคร์อากาศแล้ว และแล้วก็ได้ใส่กันทุกคน วึ่งใครใส่ชุดฮันบกหรือชุดประจำชาติเค้าเนี่ยไม่ต้องเสียค่าเข้านะคะ แต่คนที่ใส่แต่ใส่ไม่ตรงเพศต้องเสียค่ะ (แงงงง) และเราก็ได้ไปใส่ฮันบกถ่ายรูปกันค่ะ

โอโหเกาหลีกันซะไม่มี 5555555555 ถ่ายได้แค่ประมาณ 1ชม.ก็ไม่ไหวกันแล้วค่ะร้อนมาก ชุดที่ไปเช่าเนี่ยเราไปร้านตรงข้ามวัง ราคาสนนอยู่ที่ 15000 วอนสำหรับชุดที่มีดีเทล ชุดธรรมดาจะอยู่ที่ 10000วอนค่ะ แล้วแต่ว่าร้านจะจัดโปรโมชั่นด้วยไหมนะ แต่ขอยืนยันเลยจริงๆว่าพระราชวังสวยมาก ต้องไปให้ได้นะ

จบกันไปกับความเกาหลีสุดๆ และพวกเราก็จบกับการผจญภัยวันนี้ด้วยความเหนื่อยล้า(อีกแล้วหรอแก) แต่มีความสุขสุดๆ และเราก็กลับเกสต์เฮ้าส์ของเรากัน

เริ่มต้นเช้าวันที่ 4 แล้ว มากันที่พิพิธภัณฑ์อย่างต่อเนื่อง

ในนี้จะเต็มไปด้วยก่อนจะมาเป็นเกาหลี เราอินมากๆ มีทั้งก่อนดนตรีเกาหลีจะเกิดขึ้น และหลังสงครามดนตรีเป็นอย่างไร หลากหลายอย่าง ที่เกี่ยวกับประเทศเกาหลี ประทับใจมากๆ ที่มี Audio Guide อีกแล้วจ้า มีนักเรียนเกาหลีตัวเล็กตัวน้อยมากมายเต็มไปหมด ที่เกาหลีสนับสนุนเรื่องนี้จริงๆ

และพวกเราก็ได้มาต่อกันทันที่ที่  Seoul Art Center  ประทับใจที่นี่มากเพราะว่าได้ไปพบเจอนิทรรศการที่แต่ละคนเข้าไม่เหมือนกัน ที่นี่จะจัดแสดงผลงานของศิลปินชื่อดังต่างๆให้พวกเราได้ชม ในขณะนั้นมีทั้งหมด 3 ศิลปินเราจึงแยกกันชม

Exhibition: Chagall Love and Live
 

Exhibition: Niki de saint phalle
 

จากนั้นเราก็เดินทางต่อไปยังสถานที่ที่มีคนเกาหลีถ่ายรูปเยอะเช่นเดียวกัน แม้กระทั่ง Seoul Fashion Week ก็เคยมาจัดที่นี่ Dongdaemoon History & Culture Park

สวยมากและถ่ายรูปได้หลายมุมมาก เป็นสถาปัตยกรรมที่สวยจริงๆ และก็จบการเดินทางในวันนี้ วันนี้ก็ได้มีการมีตติ้งพบปะอีกเช่นเคย โดยอาจารย์ได้ให้มิชชั่น นำภาพหรือผลงานที่ชอบที่สุดในแต่ละนิทรรศการไปบรรยายให้เพื่อนๆฟังทุกคนก็จัดเต็มกันมากอินกับนิทรรศการนั้นสุดๆ ทำให้เห็นว่าเราได้ความรู้จริงๆนะไม่ใช่แค่เดินผ่าน และหลังจากนั้นเราก็ได้แยกย้ายกลับไปนอนกันเพื่อวันรุ่งขึ้น

อรุณสวัสดิ์ในวันที่ 5 วันนี้เราได้เดินทางด้วยรสบัสแล้วหลังจากนั่งรถไฟใต้ดินมาอย่างยาว สถานที่ที่เราไปคือ Digital Media Center เป็นที่ๆเหมาะกับเอกเรานะคนไม่ค่อยเยอะและมีเครื่องเล่น Interavtive เยอะ มีเล่นแข่งกระโดดเชือกเอย มีห้องจำลองงานมีเดียเอย หลากหลายให้เล่น

แต่เล่นได้ไม่นานเท่าไหร่เราก็ต้องไปทำภารกิจที่สำคัญเพราะเรากำลังจะได้ไป มหาวิทยาลัยฮงอิก! ว้าวววว มหาวิทยาลัยอยู่ใกล้กับตลาดฮงแด เป็นแหล่งในเมืองแหล่งมหาวิทยาลัยที่แท้จริง มหาวิทยาลัยมีพิธีกรคอยมาบรรยายเรื่องต่างๆให้เราฟัง เช่นคณะที่มีในมหาวิทยาลัยมีอะไรบ้าง สัญลักษณ์สำคัญแต่ละจุด เป็นภาษาอังกฤษพูดได้คล่องมากๆ (เรานี่ต้องอายไปเลยย)

เราได้เจอกับสาขาธุรกิจด้วยจ้า มาฟังบรรยายพร้อมกัน จากนั้นพวกเราก็ได้เข้าสู่กระบวนการกินและชอปปิ้งที่ตลาดฮงแด ของเยอะมากๆ เยอะพอๆกับที่เมียงดงเลย และมีร้านค้าห้างสรรพสินค้าเยอะกว่า พวกเราได้พักรับประทานหมู/เนื้อย่างบุฟเฟต์กันอย่างเอร็ดอร่อย (กราบที่ตัดอาจารย์งามๆ5555555) อิ่มแล้วก็กลับกันเพื่อเตรียมตัวกลับในวันรุ่งขึ้น

วันที่ 6 ถึงจะใกล้กลับแล้วพวกเราก็ยังไม่ย่อท้อที่จะไปพิพิธภัณฑ์อีก 5555555 เราได้ไปพิพิธภัณฑ์เงินของเกาหลี ซึ่งเป็นสถานที่ๆรวบรวมเงินทุกยุคทุกสมัยของเกาหลีไว้ รวมถึง รวบรวมแบงค์สำคัญๆต่าในแต่ละประเทศอีกด้วย หลังจากนั้นพวกเราก็เดินทางไปยังสนามบินอินชอนด้วยรสบัสเพื่อไปรอขึ้นเครื่องกลับไทยจ้า บอกเลยว่าเป้นทริปทุนที่ประทับใจมากๆ รู้วึกได้ความรู้จริง ได้ประสบการณ์และได้มิตรภาพ ถ้ามีโอกาสก็อยากให้รุ่นน้องไสมัครและได้ไปในปีต่อๆไป ขอขอบคุณอาจารย์ที่เกี่ยวข้องทุกคนด้วยนะคะที่ให้โอกาสพวกเราในครั้งนี้ ขอบพระคุณค่ะ


 

ว่าแล้วก็เรียนจบแล้วจ้าาาาาา เร็วมากๆ4ปีผ่านไปไวเหมือนโกหก เมื่อเรียนจบแล้วสิ่งที่พวกเราคิดถึงสิ่งแรกก็คืออะไรคะ? ใช่แล้ว 'หางานทำ' ชีวิตแบบผู้ใหญ่ของเรากำลังเริ่มต้นแล้ว

ในสายงานของเรานั้นคงหนีไม่พ้นงานที่เกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ ทั้งหลาย Graphic Designer, Product Designer, UI/UX Designer ,Developer, Programmer และงานออกแบบงานโปรแกรมมิ่งอีกมากมาย บางคนก็ไปทำสายที่ตัวเองตั้งใจบ้าง บางคนก็ไปทำไม่ตรงสายเลย แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นเราได้เปรียบผู้อื่นตั้งแต่การออกแบบเรซูเม่และการออกแบบพอร์ตโฟลิโอ้ (อวดนิดนึง55555) ทั้งสองอย่างนี่เป็นประตูด่านหน้าก่อนที่เราจะได้ไปสัมผัสกับการสัมภาษณ์ ซึ่งยิ่งถ้าเราสมัครในสายงานดีไซน์เนี่ย ทั้งสองอย่างนี้ควรจะทำให้บ่งบอกตัวตนของตัวเองได้และสวยงามให้มากที่สุด ดูแล้วเข้าใจง่ายอ่านง่านดึงดูด ว่าแล้วก็ส่งไปหลากหลายบริษัท บริษัทใหญ่ บริษัทเอเจนซี่ บางคนก็บริษัท Start-Up น้องใหม่ไปเลย

และเมื่อเราได้ผ่านการยื่นสองอย่างนี่และได้เข้ามาทำงานแล้ว ก็มาถึงเวลาทำงานที่แท้จริง ความเป็นน้องใหม่นั้น แรกๆทุกคนก็จะงงๆกับการทำงานที่แปลกใหม่ อะไรคือการทำงานแบบ Agile แบบ Scrum เราอาจจะต้องไปเรียนรู้เพิ่มเติมเพราะหลักสูตรของเราอาจจะไม่มีเรื่องนี้ แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นหลักสูตรของเราที่สอนมาก็ทำให้เราเป็นบุคคลที่หลากความสามารถปรับ ยังไงน่ะหรอ เพื่อนบางคนที่เป็นดีไซนเนอร์ ไม่ได้ทำงานแค่ออกแบบเท่านั้น ยังสามารถขายงานให้กับลูกค้ายิ่งกว่า AE ด้วยสกิลการ present งาน และจากการทำงานแบบกลุ่ม มาเป็นทีมในบริษัท เราอาจจะต้องทำงานเอกสารต่างๆที่อาจจะไม่เกี่ยวข้องกับงานของเราหรือว่าเอกสารที่เกี่ยวข้องกับงานเราก็ตามแต่เราทำได้ก็ได้ใจพี่ๆในบริษัทไปเต็มๆ ยิ่งกว่านั้นสำหรับเพื่อนสายโปรแกรมเมอร์ ยังมีสกิลการออกแบบติดตัวไปคุยกับดีไซน์เนอร์ที่บริษัทได้โดยไม่ขัดใจกัน ปล.เรื่องการสื่อสารสำคัญมากกกกกกก(กไก่ล้านตัว) เพราะว่ามุมมองของดีไซเนอร์และโปรแกรมเมอร์บางทีก็ขัดแย้งกัน แต่ไม่ต้องห่วงสกิลที่เราได้มาเมื่อตอนเรียนมาช่วยให้เราทำงานกับเพื่อนได้อย่างง่ายดายมากขึ้น (ขอบคุณคณะนี้) บางทีการทำงานกับผู้อื่นก็สำคัญมากๆ

ทั้งนี้ทั้งนั้นเมื่อเราเข้าไปสู่กระบวนการทำงานของแต่ละที่แต่ละบริษัททุกอย่างอาจจะไม่ได้เป็นไปดังใจเรา หากเราอาจจะรู้สึกอึดอัดในบางเรื่อง การทำงานอาจไม่ตรงไปตามสิ่งที่คาดหวัง บางทีเราอาจจะต้องย้ายที่ใหม่ซึ่งไม่ใช่เรื่องที่ต้องเครียดหรือกังวลก็แค่ก้าวออกมา ส่วนคนที่ได้เจอที่ดีสังคมดีดีก็ต้องรักษาสถานการณ์ให้เป็นแบบนั้นต่อไป เพื่อการทำงานในอนาคตนะ

 


กระทู้ทั้ง 4 Ep. เป็นการพูดคร่าวๆ สำหรับการเรียนและการใช้ชีวิต 4  ปีในรั้วคณะ ICT ศิลปากร สาขาออกแบบเว็บและสื่อโต้ตอบของเราทั้ง 5 คน มันอาจจะไม่ได้ครบถ้วนเหมือนที่เรามาสัมผัสด้วยตัวเองอะเนอะแต่มันคงเป็นแรงบันดาลใจหรือเป็นคำแนะนำที่ดีและไม่ดีจากพวกเรา เอาตรงๆ เราไม่อยากเห็นใครซิ่วเพราะมันก็ค่อนข้างเสียเวลาเหมือนกัน (แต่ถ้าซิ่วไปแล้วเจอที่ใช่ก็ยินดีด้วยมากๆ) ได้เรียนได้ใช้ชีวิตให้ถูกกับ lifestyle หรือความชอบตั้งแต่ปีแรกไปเลยดีกว่าาาาาาาาาาแกร 

ขอให้น้องๆ แฮปปี้กับการเลือกคณะของตัวเอง
เอาให้โดน
เอาให้ปัง 
ที่สำคัญเอาให้ติดนะเว้ยย ฮึบ

อยากเข้าที่ไหนทำตัวให้เราเป็นคนเลือกมันให้ได้นะ 
เป็นกำลังใจให้น้าาาา 
;) 


 

Ep.1

https://www.dek-d.com/board/view/3901732/

Ep.2

https://www.dek-d.com/board/view/3901799/

Ep.3

https://www.dek-d.com/board/view/3901800/

แสดงความคิดเห็น

>

1 ความคิดเห็น