ทุกท่านเชื่อเรื่องพลังจิตมั้ย
ผมเคยถามเรื่องนี้กับเพื่อนสนิท ผมถามว่าผมเคยฝันนิมิตหรือมีเดจาวู เชื่อไหมแล้วมันเกิดขึ้นได้ไง?
เพื่อนผมนั้นมันเป็นคนหัวดีละชอบอ่านหนังสือ แถมมันเชื่อเรื่องพลังจิตและเรื่องที่ผมเล่า มันก็บอกว่าจากที่มันอ่านในหนังสือ เคยมีนักวิทยาศาสตร์กลุ่มนึงมาศึกษาแล้วอธิบายว่า ในรอบๆตัวเรานั้นมีประจุไฟฟ้าที่มองไม่เห็นอยู่ ทุกสิ่งทุกอย่างและทุกที่ล้วนมีประจุไฟฟ้านี้อยู่ แม้แต่ในสมองและร่างกายเรา โดยสมองสามารถส่งผ่านประจุไฟฟ้าได้ดีผ่านร่างกาย ทำให้เราสามารถขยับแขนขาและอวัยวะต่างๆได้ เพราะร่างกายเราเหมือนเหล็กที่เชื่อมกับสมองพอไฟฟ้าส่งผ่าน ก็จะรับและส่งต่อได้ง่าย
แต่ประเด็นคือพลังจิตจะเกิดขึ้นได้ไง เพื่อนผมก็บอกอีกว่าจริงๆแล้วเวลาก่อนที่เราจะคิดอะไรซักอย่างประจุไฟฟ้าจะเป็นตัวทำให้มันเกิดขึ้น เอาง่ายๆคือความคิดเราเกิดจากประจุไฟฟ้านั่นเอง ประจุไฟฟ้าเหมือนกับมันเป็นเชื้อเพลิงส่วนสมองก็คือภาชนะรองรับและเป็นตัวขับเคลื่อน
คำถามคือเราจะใช้พลังจิตยังไงใช่มั้ย ไม่ยากและไม่ง่าย คิดอะไม่ยากแต่ทำอะโคตรจะไม่ง่ายเลย5555
เราก็แค่ส่งผ่านประจุไฟฟ้าในสมองผ่านอะไรก็ได้ไปยังประจุไฟฟ้า รอบๆตัวเราแล้วให้มันไปกระตุ้นอะไรซักอย่างตามสิ่งที่เราคิด ฟังดูเหมือนง่ายๆแต่มันทำจริงยากขนาดมนุษยเรายังใช้ความสามาถของสมองได้ไม่เกิน20เลย บางกลุ่มยังบอกว่าใช้ได้แค่10เปอรเซ็นเท่านั้น แล้ว-เรื่องที่จะไปกระตุ้นประจุไฟฟ้าในสมองให้ส่งผ่านบรรยากาศ ไปสร้างเรื่องเหนือธรรมชาติว่าพลังจิตคนเรามันทำได้จริงเหรอ
ขอบอกก่อนเลยว่าประจุไฟฟ้ารอบตัวเรา มันเบาบางกว่ามาก อาจจะน้อยกว่าในสมองและร่างกายของเราประมาณ1ใน10ก็ได้มั้งจำไม่ได้ละเพื่อนบอก
เพื่อนผมบอกว่าทำได้จริงตามที่อ่านในหนังสือนะ แต่มันจะเกิดขึ้นเฉพาะภาวะพิเศษที่กระตุ้นให้เกิดได้เท่านั้น อย่างเช่นเคยได้ยินเรื่องที่คุณยายแก่ๆแบกของหนัก40-50โลได้มั้ย มันเกิดขึ้นเพราะมีเรื่องอันตรายหรืออพไรซักอย่างที่ทำให้แก ตกใจสุดขีด แล้วเมื่อสมองรับรู้ถึงอันตรายสัญชาตญาณของมนุษย์ ก็จะสั่งการให้หาหนทางทุกอย่างเพื่อเอาตัวรอดประจบ ด้วยอาการกลัวและตกใจจะเป็นตัวกระตุ้นเหมือนลมหอบนึง ทำให้ไฟยิ่งแรงขึ้น ประจุไฟฟ้าก็ยิ่งแรงขึ้นมาระดับนึงบวกกับอีกสัญชาตญาณการเอาตัวรอด มันยิ่งกระตุ้นประจุไฟฟ้าในสมองแล่นผ่านร่างกายทำให้คนเรา ใช้ร่างกายได้เกินเต็มประสิทธิภาพหรือเกินกว่าที่ควรมี
หรือการการมีสมาธิก็เป็นตัวกระตุ้นที่คล้ายๆกัน ยกตัวอย่างก็เช่นนักกีฬา เวาลาฟอร์มขึ้นหรือมีสมาธิดีในช่วงนั้นเขาจะใช้ร่างกายได้เต็มที่ หรือเกินแล้วพอจบหลังจากนั้นพวกเขาก็จะเหนื่อยปวดเมื่อยหรือ บางคนก็เกิดอาการขาชากล้ามเนื้อเกร็งเพราะใช้ร่างกายหนักเกินไป แต่ใช้สมาธิจะกระตุ้นประจุไฟฟ้าได้เบาบางกว่าการตกใจ เพราะมันจะเหมือนลมที่ค่อยๆเป่าให้ไฟแรงขึ้น แต่ตอนตกใจกลัวโกรธหรืออารมณ์ต่างๆจะเป็นเหมือนนำ้มันที่ราดเข้าไฟ มันจะทำให้ไฟบึ้มลุกพรวดขึ้นมา แต่มันจะควบคุกยากหรือไม่ได้เลย ก็เล่นเทนำ้มันลงกองไฟมันจะคุมยังไง แต่การมีสมาธิเหมือนค่อยๆเป็นค่อยๆไปมันทำให้เราควบคุมมันได้ เหมือนกับบางคนที่พอเขาตกใจกลัวโกรธ อารมณ์ที่เกิดขึ้นอย่างรุนแรงจะเป็นตัวกระตุ้นประจุไฟฟ้าชั้นดี แต่ใช่ว่ามันจะเป็นได้ทุกคนที่มีอารมณ์รุนแรงนะ บางคนอารมณ์รุนแรงก็ยังกระตุ้นได้น้อย เพราะมันเหมือนพรสวรรค์
เพราะฉะนั้นอารมณ์ความรู้สึกจะเป็นตัวกระตุ้นชั้นดี เหมือนนักรบสมัยก่อนที่อารมณ์หึกเหิมจะกระตุ้นและกีดกันสัญชาตญาณความกลัว เราเลยต้องปลุกระดมทหารก่อนเสมอ ที่เล่ามาก็ทำให้รู้ว่าคนเราสามารถใช้พลังจิตได้ และจริงๆก็ใช้อยู่ในชีวิตประจำวันแต่แค่เบาบางกว่าที่คิด หรือเห็นในหนัง
เคยมั้ยเวลาเราดีดไม่ว่าจะเป็นเพราะอะไรร่างกายเราก็จะฟิต รู้สึกมีเรี่ยวมีแรงและไม่รู้สึกเหนื่อยแต่พอหมดก๊อกก็ลิ้นห้อย นั่นแหละคือพลังจิตอย่างนึง ประเด็นต่อมาคือพลังจิตที่ซับซ้อนกว่าเดิมครับ
และถ้าถามว่าจะใช้พลังจิตเหมือนในหนังได้ยังไง ก็ง่ายๆคุณท่านใช้ความสามารถของสมองได้เกิน20เปอร์เมื่อไหร่มันก็น่าจะเกิดขึ้นจริงได้
ฟังดูง่ายปะ5555
แต่ที่ว่ามามันไม่เกี่ยวกับเรื่องไอคิวอีคิวนะ มันเกี่ยวกับเรื่องของจิตสมาธิและอารมณ์ทั้งนั้น. เพราะถึงหัวดีแค่ไหนคุณท่านก็กระตุ้นไฟฟ้าในสมองไม่ได้หรอก หรือว่าในอนาคต-คนหัวดีมันจะคิดค้นเครื่งใช้พลังจิตได้ก็ไม่รุ้ ถ้าทำได้จริงที่ผมว่ามาที่มันใช้ไม่ได้ก็เอ๋อนะ5555
นอกเรื่องเยอะละ มาต่อกัน นอกจากการควบคุมสิ่งของภายนอกแล้ว ก็ยังมีเดจาวู
ประเด็นนี้เพื่อนผมก็ไม่ค่อยเข้าใจว่ามันเกิดได้ไง เดจาวูคือเรื่องในอนาคตที่เกิดขึ้นจริง และมันจะส่งผ่านทางประจุไฟฟ้าย้อนเวลากลับมาเข้าสมองเราได้ไง เราไม่ได้ตกใจกลัวมีสมาธิหรือมีอารมณ์ใดๆเกิดขึ้นดันเกิดเดจาวูขึ้นเฉยเลย
จากการถกเถียงกันระหว่างผมกับเพื่อนไปมาผมก็ได้ความว่า
บางทีแม้แต่ในเส้นเวลาก็คงจะมีประจุไฟฟ้าอยู่เช่นกัน แล้วลายเส้นหรือเรื่องที่เกิดขึ้นในอนาคตมันน่าจะทับกันเลยส่งผ่านมาให้สมองของตัวเราในอดีต
พูดงี้คงจะงงกัน เดะอธิบายให้ด๊ง่ายขึ้น
ประมาณว่าเรากินขนมปังพร้อมชาเขียวอยู่ห้องนั่งเล่น พร้อมกับดูหนังเรื่องอวตาร แล้วจู่ๆก็นึกขึ้นได้ว่านี่มันเคยเกิดขึ้นแล้วนี่นา ตอนนั้นเองที่เรานึกไปถึงช่วงเวลาก่อนเกิดเดจาวู เราเคยเจอเหตุการณ์นี้ทางความคิดหรือฝันมาก่อน ในช่วงเวลานั้นเองสมองก็อาจจะส่งผ่านเรื่องราวผ่านประจุไฟฟ้า ผ่านเส้นเวลาไปยังตอนเกิดเรื่องครั้งแรก และทำให้เราเกิดเดจาวูขึ้นเหมือนกับหลูบที่วนไปมา เพราะเรื่องราวที่คิดมันผ่านเส้นเวลาไปมา และทับซ้อนกันเป็นหลูบที่ไม่มีจบสิ้น บางคนอาจจะยังงงอยู่ บอกตามตรงผมก็ยังไม่แน่ใจในความคิดนี้ เพราะ เรื่องประเด็นเดจาวูเราคิดขึ้นเองว่าเกิดได้ยังไง
แต่ผมว่ามันก็ใกล้เคียงนะ เพราะลองเอาความคิดตัวเองไปเทียบกับที่ไปดูมาแล้ว คล้ายกันอย่างไม่น่าเชื่อครับ
แล้วคนอื่นๆล่ะ คิดเห็นยังไงกันบ้างครับ
ปล.เรื่องใช้พลังจิตก็เห็นบ่อยอยู่ทุกเรื่องนะในมังงะอนิเมะและนิยายหรือแม้กระทั้งในหนัง ที่พระเอกมีลูกฮึดหรือมีความรู้สึกแรงกล้าอยากจะปกป้อง อยากชนะ แม่งก็เกิดขึ้นทันตาเห็นเฉย5555
5 ความคิดเห็น
สมัยเรียนมัธยมเคยมีวิทยากรมาอธิบายเรื่องพลังจิตกับพวกผม วิทยากรท่านก็ให้พวกผมยืนกางแขนหลับตา แล้วให้จินตนาการว่าเราเป็นต้นไม้ มีแรงลมมากระทบ ใบและกิ่งก้านของเราสั่น เสร็จแล้วแกก็บอกว่า
“เห็นไหม ร่างของเราสั่นไหวเหมือนต้นไม้ต้องลมจริงๆด้วย”
เสร็จแล้วแกก็ให้สะกดจิตตัวเอง ว่าต่อไปนี้ เราจะต้องเรียนเก่ง ขยันเรียน
ผมซึ่งนั่งฟังอยู่นานแล้ว หันไปกระซิบบอกเพื่อนข้างๆว่า
“ถ้ากูมีพลังจิต สิ่งแรกที่กูจะทำคือสะกดจิตให้วิทยากรหยุดพูด”
แนะนำให้ไปปฏิบัติธรรมในวัดป่าที่ห่างไกลตัวเมืองสักเดือนหนึ่ง คุณจะพบทุกคำตอบที่คุณถาม
อาการตกใจจนแบกของหนักได้ หรือรู้สึกว่าเวลาช้าลงและควบคุมทุกอย่างได้ในเสี้ยวของเสี้ยววินาทีในนักกีฬา เกิดขึ้นได้เพราะอะดรีนาลีน
ในทฤษฎีสัมพัทธภาพ วัตถุที่วิ่งได้ด้วยความเร็วเท่าแสงจะมีมวลเป็นอนันต์ แต่ความคิดของคนเราไม่มีมวล เราจึงหันหลังกลับไปมองภาพในอดีตได้ และบางคนก็วิ่งเร็วกว่าแสง แวบๆ ภาพอนาคตมาบ้าง มันก็แค่นั้น
เดจาวูมีทฤษฎีกล่าวว่าเกิดจากสมองประมวลผลผิดพลาดครับ
https://www.catdumb.com/dejavu-reason/
ตลอดชีวิตมา ผมเองก็เคยเป็นหลายครั้งไม่ต่ำกว่า 30-40 หนแล้วมั้ง
ส่วนแรงฮึดยามคับขัน ก็ตามคห.2 คือมันเกิดจากสารอะดรีนาลีนในสมองที่หลั่งออกมาให้เราตื่นตัวครับ
ปล.ว่ากันตามตรง
ผมไม่ค่อยชอบศาสตร์ด้านพลังจิตพวกนี้เท่าไหร่แหละนะ
เพราะส่วนใหญ่มันมักจะมาในรูปของเครื่องมือที่พวกหัวใสใช้หลอกคนอื่น มากกว่าเป็นของที่นำไปใช้ให้เกิดประโยชน์แก่ชาวโลกจริง ๆ
จากประสบการณ์และภูมิความรู้รวมถึงระดับของสติปัญญา ตลอดทั้งแนวทางการดำรง
ชีวิตและวิถีการปฏิบัติตนของตนเอง ซึ่งหากจะดันทุรังร่วมแสดงความคิดเห็น ก็คงกระ
ทำได้เพียงแค่นำเอาเศษเสี้ยวความคิด และประสบการณ์เล็กๆ น้อยๆ ที่เกิดขึ้นในชีวิต
ของมนุษย์ ซึ่งสามารถเก็บข้อมูลจากประสบการณ์ในชีวิต รวมถึงข้อมูลที่เป็นเพียงแค่
ความคิด บันทึกลงในจิตสำนึกจิตใต้สำนึกระดับต่างๆ ได้ โดยมีทั้งที่เป็นไปตามเจตนา
และมิได้เจตนาทั้งที่รู้ตัวและไม่รู้ตัว ทว่าสามารถปรากฏขึ้นในจิตสำนึกได้เมื่อมีสภาวะ
ที่เหมาะสม..
ซึ่งผู้ที่เคยเสนอแนวคิดเหล่านั้นได้นำมันมาเป็นข้อมูล เพื่อสนับสนุนแง่คิดมุมมองของ
เขามาก่อนแล้ว มาใช้เป็นข้อมูลในการกล่าวอ้างอีกทอดหนึ่งเท่านั้น..
ฉะนั้นจึงขออนุญาตปักหมุดรอเก็บเกี่ยวข้อมูลจากผู้รู้พอ รอ ๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ!!
ขอบคุณทุกคนที่มาเม้นท์นะครับ ที่ผมถามมาทั้งหมดนี้สาเหตุมาจากการถกเถียงกับเพื่อนนั้นแหละ เพราะงั้นเลยอยากให้หลายๆความคิดมาช่วยแนะ แต่สุดท้ายทุกอย่างมันก็เป็นเพียงผลพวงการคาดเดาต่างๆนาๆ ในความนึกคิดของมนุษย์คนหรือกลุ่มนึงเท่านั้น มันยังพิสูจน์บ่ได้เด้อ อิ_อิ
แต่สุดท้ายนี้ผมก็เชื่อเรื่องพลังจิตนะว่ามันอาจมีจริง ไม่รู้สิเพราะผมคิดว่าบางทีถ้าเราใช้สมองส่วนที่เหลือ80-90%นั้นได้ล่ะก็ เราอาจเป็นมนุษย์พลังจิตขึ้นมาจริงๆก็ได้นะครับ ..ใครจะไปรู้ แต่ถ้าจะมีเกิดเรื่องแบบนั้นขึ้นคงต้องรอดูในอนาคตอะนะ อายุตูจะถึงบ่น้อ5555
รายชื่อผู้ถูกใจความเห็นนี้ คน
แจ้งลบความคิดเห็น
คุณต้องการจะลบความคิดเห็นนี้หรือไม่ ?