Dek-D.com ใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสบการณ์ของ
ผู้ใช้ให้ดียิ่งขึ้น เรียนรู้เพิ่มเติมที่นี่
ยอมรับ

เล่าชีวิตการเตรียมตัวสอบรัฐศาสตร์ มธ

ตั้งกระทู้ใหม่
ตั้งกระทู้ใหม่
สิ่งที่ผมจะเขียนคือเส้นทางชีวิตของผม ก่อนสอบติดรัฐศาสตร์ บางส่วนก็เอามาจากบันทึกส่วนตัว หวังว่าจะเป็นแรงบันดาลใจให้ไม่มากก็น้อยนะฮะ 

ตอนที่เริ่มเรียนม.4 (2559) หลังจากที่ดีใจกับการได้เข้าเรียนในห้องกฎหมายหอวังแล้ว ผมก็เรียนไปเรื่อยๆ วันหนึ่งมีผู้หญิงผมหยิกๆคนนึงเข้ามาทักผม แล้วชวนผมเรียน pre-degree รามคำแหง ผมนำเรื่องนี้กลับไปเสนอที่บ้านว่าเนี่ย ดีนะ เรียนก่อน จบก่อน ที่บ้านสนับสนุนให้ผมเรียนอย่างเต็มที่ ผมก็ฝันหวานว่า ฉันจะต้องจบตอนมอหก ฉันจะลงทุกตัว และมีงานทำทั้งที่วัยละอ่อน(เป็นอีกสาเหตุที่ตอนนั้นยังไม่สนใจ มธ. เพราะตอนนั้นคิดว่าจบช้าสู้เรียนรามตอนนนี้เลยดีกว่า) ฉันทำได้อยู่แล้ว ไม่ใช่เรื่องยากนักหรอก แต่สุดท้ายก็เกิดความไม่ลงรอยกันเมื่อที่บ้านของผมอยากให้ผมเรียนนิติ แต่ผมอยากเรียนรัฐศาสตร์ ที่บ้านบังคับให้ผมลงนิติ แต่คนอย่างผมน่ะหรอจะยอมอ่อนข้อให้ ผมจึงยอมลงนิติไปก่อน และวางแผนว่าจะแอบลงหน่วยกิตวิชาของรัฐศาสตร์ภายหลัง แล้วพอเก็บได้ครบก็ตีเนียนไปเลย แต่ผมถูกตรวจสอบเสมอว่าแอบไปลงรัฐศาสตร์ไหม ทำให้ผมต้องเก็บวิชาพื้นฐานไปก่อน ในระหว่างนั้น ทุกเช้าผมจะกินข้าวกับเพื่อน สนทนาเรื่องการเมืองต่างๆ เรารู้สึกว่ามันสนุกและน่าติดตาม เหมือนเป็นงานอดิเรกอย่างหนึ่ง ชีวิตการเรียนก็ดำเนินไปเรื่อยๆ ปิดเทอมก็สอบราม ไม่ได้หยุดพัก ในที่สุดผมก็สอบวิชาพื้นฐานครบทั้งหมดโดยการอ่านหนังสือเล่มเต็มร่วมกับชีทราม ผ่านรวดเดียว 8 ตัว แต่ก็ยอมรับว่าเหนื่อยมากๆ

พอถึงวิชาที่เรียนกฎหมายซึ่งเลี่ยงไม่ได้แล้ว ผมก็เรียนไม่ได้ เพราะไม่ชอบเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว จากนั้นผมก็เลิกลงวิชานิติแล้วไปลงวิชาพื้นฐานมั่วๆแทน และถล่มด้วยกลยุทธ์ตื้อเท่านั้นที่ครองโลก ผมพูดถึงเรื่องรัฐศาสตร์ตลอดการสนทนาของครอบครัว ยอมรับว่าตอนนั้นสถานการณ์ตึงเครียดมาก (ทุ่มเถียงด้วยเหตุผลเดิมๆ จบด้วยการเลิกคุย แล้วก็มาเถียงกันใหม่ แต่ก็ลืมง่ายหายเร็วกันทั้งสองฝ่าย5555)

ขึ้นมัธยมห้า (2560) การต่อสู้เพื่อสิ่งที่ผมต้องการนั้นใช้เวลานานเป็นค่อนปี ไปแข่งตอบปัญหารัฐศาสตร์ ผมรู้สึกว่าต้องชนะเพื่อให้ที่บ้านรู้ว่าตัวเองไปได้ดีทางด้านนี้ แต่ก็ต้องยอมรับว่าแพ้รอบรองชนะเลิศ ตัวเองก็รู้สึกเฟล แต่เฟลมากกว่าที่เรารับความไว้วางใจจากโรงเรียนของเรา แต่เรากลับนำความว่างเปล่ามาให้ การเตรียมตัวแข่งทำให้ผมเลิกเรียนรามไปสักพัก(จนถึงตอนนี้ยังคงเก็บได้ 45 หน่วยกิต) 

ชีวิตเข้าสู่วงจรของธรรมศาสตร์ตั้งแต่ต้นปี 2561 ผมติดค่ายแรกไปคือ ค่าย BIR the future ของรัฐศาสตร์ภาคภาษาอังกฤษ ผมชอบมากนะ ผมมีเพื่อนเยอะขึ้น รุ่นพี่ใจดีมาก จำได้พี่ไลน์คนแรกชื่อหมิง 5555 ผมอยากเรียนมาก แต่ค่าเทอมแพงไปหน่อยที่บ้านจึงไม่อนุมัติ หลังจากนั้นอีกค่ายก็ตามมาคือค่ายเปิดถ้ำสิงห์ 11 ผมก็ชอบมากนะ เพื่อนเยอะ พี่ใจดี แล้วแบบลองติวอะไรดูแล้วมันใช่มาก นี่แหละที่ต้องการ พอทำข้อสอบจำลองก็แบบปวดหัวทำไม่ได้เลย55555 ในที่สุดผมก็เลือกรัฐศาสตร์ ธรรมศาสตร์ ภาคปกติ
การต่อสู้ค่อนปีของผมจบลง ผมเจรจากับที่บ้านและบรรลุข้อตกลงว่า

“หากผมสอบเข้ารัฐศาสตร์ ธรรมศาสตร์ได้ แม่ต้องให้ผมเรียนรัฐศาสตร์”

การพูดออกไปแบบนั้นในสายตาที่บ้านคงจะห้าวเป้งไปสักหน่อย แต่ทางบ้านก็อยากให้เข้ามหาวิทยาลัยปิดอยู่แล้ว ผมจึงเอารามไปแช่ตู้เย็น สตาร์ทเครื่องรัฐศาสตร์ แต่การเจรจาครั้งนี้เปรียบเสมือนการข้ามภูเขาลูกแรกท่ามกลางเทือกเขาหิมาลัย  

ชีวิตช่างผกผันไปเรื่อยเหมือนสายน้ำ วันดีคืนดีผมเขียนใบสมัครทำงานหารายได้ภาคฤดูร้อนของ สพฐ ที่เพื่อนสามเสนคนนึงแชร์มา ผมลองเขียนไปดู โดยเลือกสำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี ทำเนียบรัฐบาล คิดว่ารับแค่ 8 คน เขียนไปเล่นๆ คงไม่ติดง่ายๆหรอกนะ แต่สุดท้ายก็ติดจริง ผมได้ไปทำงานศึกษาระบบราชการ นโยบายรัฐบาล ข้าราชการใจดีมาก ผมยังคงใช้ชีวิตอย่างสนุกสนาน ไปเที่ยวอยุธยากับชมรมภาษาเอสเปรันโต และหลังจากนั้นไม่นาน ผมโชคดีมาก มีคนโทรมาบอกว่าผมติดสำรองค่าย YPSC เขาบอกว่าเขาชื่อเอิร์น ผมไม่เชื่อเขาหรอก เลยให้เขาถ่ายรูปตัวเองกับบัตร นศ มา เขาไม่ทำ เขารู้ว่าผมล้อเล่น จากนั้นเขาก็ได้เป็นพี่ไลน์ในค่าย YPSC ค่ายที่ผมมาสายมาก ผมตาลีตาลาน และมึนตลอดค่าย ผมรีบเข้าไปนั่งหันไปมองข้างๆ ก็เห็นเพื่อนในไลน์ด้วยกัน หน้าดูหยิ่งๆอ่ะ แต่ผมจะไม่บอกชื่อ เธอชื่อกุ้ง ทำให้ผมค่อนข้างกดดันในช่วงวันแรก (พอรู้จักแล้วก็รู้ว่าเป็นคนดีจ้า) แต่ด้วยที่ค่ายรับคนน้อย(60 คน) เราก็ได้ทำความรู้จักกับเพื่อนหลายคน กลายเป็นว่าเราผูกพันกับที่นี่มากขึ้น (ค่ายจุฬาไม่รับผม)

ย่างเข้าเดือนมิถุนา ผมเริ่มร่างแผนการเตรียมตัวสอบของผม โดยตั้งชื่อเก๋ๆว่า “แผนยุทธศาสตร์(ตามด้วยชื่อของผม)” ทุกคนต้องคิดว่าผมก๊อปมาจากแผนยุทธศาสตร์ชาติแน่ๆ ที่ผมไปศึกษามาจากทำเนียบ ตอบเลยว่า ก็บางส่วน ความจริงแล้วผมแกะวิธีออกมาจากหนังสือชื่อ “กินกบตัวนั้นซะ” ผมเริ่มด้วยการสอบ tu get พอคะแนนออกมาไม่ถึง 500 ก็รู้สึกเซ็งโคตร เสียเวลาไปตั้งเดือนนึง ผมจึงเริ่มทุกอย่างแบบจริงจังตั้งแต่เดือนกรกฎา เดือนที่ผมอายุ 16 ปี ผมร่างแผนใหม่ เอา tu get ออกจากแผน และเปิดหนังสือเปิดถ้ำสิงห์ รวมข้อมูลทุกอย่างที่มีกางไว้บนโต๊ะ ผมเลือกที่จะอ่านหนังสือทุกเล่มท้ายหนังสือเปิดถ้ำสิงห์ ผมเริ่มอ่านไปเรื่อยๆ ผมรู้สึกว่าต้องทำหลายสิ่งพร้อมๆกัน ทั้งเรียนหนังสือ บำบัดร่างกาย(ผมมีอาการหลังค่อมไหล่ห่อ) และอ่านหนังสือรัฐศาสตร์ ผมถูกรบกวนด้วยปัญหาภายในจิตใจ ผมติดโทรศัพท์ ทุกครั้งที่ผมประเมินแผนทุกสิ้นเดือนจะมีบางอย่างที่ไม่ได้ทำเพราะมัวแต่นั่งกดมือถือ ผมจึงต่อสู้กับมันมาหลายเดือนมาก สุดท้ายผมอ่านหนังสือจบทั้งหมด 16 เล่ม ด้วยความทุลักทุเล ผมจำไม่ได้สักเล่มหรอก แต่รู้สึกว่าความคิดเริ่มเปลี่ยนไป55555 

ถึงจุฬาจะไม่รับผมผมก็ยังรักจุฬาเหมือนกับตอนที่ผมไปแข่ง ในวันที่ 14 ตุลา 61 ผมได้เข้าเล่นในสภาจำลองที่โดยพี่ทัตเทพเป็นประธานจัดงาน โดยสภานี้ได้จำลองการเลือกนายกตาม รัฐธรรมนูญ 2560 ในที่สุดด้วยความบังเอิญที่ผมได้เสียงข้างมากสภา ผมจึงได้เป็นนายก และถูก ผบ.ทบ.เนติวิทย์ทำการรัฐประหาร ผมเข้าใจกลไกการทำงานของรัฐธรรมนูญฉบับนี้ขึ้นมาก ผมถูกแซวว่าผมเลือกสาวสวยมาเป็นรัฐมนตรี แต่ก็นะ สายตาของผมก็ลำเอียงแบบนั้นแหละ
การแข่งครั้งสุดท้ายของผมคือการแข่งตอบปัญหารัฐศาสตร์ ธรรมศาสตร์ ในงาน open house แน่นอนผมตกแต่รอบแรก และเอาความว่างเปล่ามาให้โรงเรียนอีกเช่นเคย ในปลายเดือนพฤศจิกายน 5555 แต่ผมก็ไม่เสียใจหรอก แค่ตื่นเต้นมากๆเวลาผลออก และเสียเวลาเดินหลงใน SC เพราะหาทางออกไม่เจอ อย่างน้อยก็ได้เจอเพื่อนค่ายที่มาแข่งเหมือนๆกัน

ในเดือนธันวาคม 2561 ผมเครียดอีกครั้งนึง เมื่อเวลารับสมัคร GAT-PAT มาถึง ผมถามทุกคนว่าจะสอบดีไหม ทุกคนก็บอกว่าควรสอบเผื่อๆไว้ ผมจึงทำตามนั้นเพราะเงินแต่ละบาทไม่ใช่ของผม ผมเอาไปสมัครและซื้อหนังสือ GAT-PATจีน พอผมอ่านแล้วถึงกับโยนทิ้ง เราไม่ได้วางแผนมาตั้งแต่ต้นนี่น่า อ่านไปก็ไม่ทัน แถม GAT ไทยนี่มันก็คิดไม่ตรงกับเราซะด้วย เฮ้อ เอางี้ เด็ดขาดไปเลย จับปลาสองมือก็มีจะมีแต่หลุดมือทั้งสองตัวแหละน่า เป้าหมายใหม่ของผมคือ 

“สอบเข้ารัฐศาสตร์ในรอบสอบตรงให้ได้”

ทำให้ผมเครียดหนักกว่าเดิม แต่ผมก็มีเหตุผลนะ นอกจากไม่ได้วางแผนไว้แล้ว อีกอย่างนึงผมอยากพิสูจน์ตัวเองด้วยว่าตัวเองชอบรัฐศาสตร์จริงๆหรือเปล่า ที่สำคัญคือตอนนั้นมองว่าถ้าเราไปในทางที่พยายามมาตลอดแล้ว มันก็ไม่น่าจะยากอะไร ผมยังไม่ได้บอกเป้าหมายนี้กับครอบครัว ผมอ่านหนังสือของผมต่อไป และในเดือนนั้นผมทราบว่า ผมติดค่ายเปิดถ้ำสิงห์ 12 ชีวิตหลังจากนั้นในปี 2562 คือชีวิตของคนที่กดดันจนเป็นบ้าซึ่งมันยาวมาก 

ปีใหม่เราก็เหมือนคาดหวังให้ตัวเองเป็นคนใหม่..
2562 ใกล้เข้ามาแล้ว ทุกคนต่างฉลองปีใหม่ แต่ตัวเรานี่สิดันทิ้งเพื่อนกลับบ้านก่อน กลับบ้านนั่งจับเจ่าอยู่กับตัวหนังสือ และทบทวนแผนการที่ผ่านมาว่าได้ผลดีหรือไม่ ผลของมันนั้น ผมขอยกตัวอย่างเป็นรายงานที่เขียนถึงพ่อ ในเดือนพฤศจิกายน 2561 เพื่อขอความเห็นในการสมัคร GAT-PAT

“แผนนี้ได้ดำเนินมาถึง 8 เดือนแล้ว ความผิดพลาดใหญ่เลยก็คือความไร้ระเบียบของตัวผมเอง ซึ่งทำให้งานเดินไปได้อย่างล่าช้าเกินกำหนดไปบ้าง ผมไม่ได้นิ่งนอนใจกับเรื่องนี้ ผมพยายามเปลี่ยนแปลงตัวเองตลอดระยะเวลาที่ผ่านมาทำให้เดือนสิงหาคมสามารถทำเป้าหมายได้สำเร็จมากที่สุด แต่ปัญหายังคงเกิดขึ้นอีกคือ ผมใส่ใจในปริมาณงานมากกว่าคุณภาพของงาน ทำให้ผมต้องกลับมาทบทวนตัวเองอีกครั้งว่าเราได้รับรู้อะไรไปบ้าง ปัญหาประการสุดท้าย คือ แผนการที่ผิดพลาด และไม่ตรงจุด ทำให้วิธีการไม่สัมพันธ์กับผลลัพธ์ เช่นผมอยากเข้าสาขาการระหว่างประเทศ แต่ดันไปสะสมความรู้ด้านการเมืองการปกครองมากเกินไป”
 
รวมถึงต้องพิจารณาด้านงบประมาณอีก ค่าใช้จ่ายทุกอย่างถูกบันทึกไว้ ผมจำเป็นต้องเสนอรายงานไปด้วยเพื่อเป็นการยืนยันว่าเงินของพ่อไม่ได้สูญเปล่า
         
“เป้าหมายของงบประมาณที่ป๋าให้มาได้ถูกใช้เพื่อการศึกษาเป็นจำนวนมาก ด้วยความที่ผมเป็นมือใหม่หัดใช้เงิน ผมอาจจะบริหารเงินไม่ชำนาญนัก ผมคิดว่าผมสามารถบริหารเงินที่ป๋าให้ได้มีประสิทธิภาพมากกว่านี้ แต่ผมรับรองได้เลยว่าเงินส่วนใหญ่ได้ลงทุนไปกับการศึกษาแทบทั้งสิ้น  การใช้งบประมาณบางครั้งมีปัญหาไปบ้าง ทำให้ต้องเอาเงินจำนวนนี้ออกไปก่อน บางครั้งก็ทำให้งบในสมุดไม่สมดุลกับงบจริงในบัญชี ทำให้ต้องรัดเข็มขัด หรือยืมคุณตาเพื่อมาทดแทนเงินที่หายไป ทำให้เกิดหนี้เพิ่มขึ้น แต่ตอนนี้ผมก็ใช้หนี้จำนวนนั้นหมดไปแล้ว บางคนได้วิพากษ์วิจารณ์ว่าเงินพ่อสามารถนำมาใช้ได้เลย ไม่จำเป็นต้องใช้คืนให้เป็นภาระ แต่สำหรับผมแล้วมันจำเป็นมากๆ เพราะเงินที่หายไปนั้นไม่ได้ใช้ไปเพื่อพัฒนา จึงต้องนำกลับมาคืนในจำนวนเท่าเดิม”
 
ผมกลับมาทบทวนทุกอย่าง ผมร่างแผนใหม่เป็นแผนเร่งรัด ผมเลิกอ่านหนังสือเพิ่มเติม แต่หันไปอ่านเปิดถ้ำสิงห์ของปีก่อนทีนี้ ผมเริ่มเก็งข้อสอบมากขึ้น หัดเขียนเรียงความด้วยตัวเอง ใช้ความรู้จากที่ผมเรียนพิเศษคอร์สเรียงความออนไลน์โดยดูร่วมกับเพื่อนอีกสองคน และความรู้ในการจัดระเบียบความคิดจากครูปิยะพร สมบุญ พอวันที่ผมไปเปิดถ้ำสิงห์ครั้งที่ 12 ผมเจอกับพี่ๆที่เคยเข้าค่ายครั้งก่อน วันนี้เขามาเป็นพี่สตาฟ และก็เพื่อนๆร่วมรุ่นที่เตรียมตัวเข้ามหาลัย ผมรู้จักเพื่อนมากขึ้นมากกว่าแต่ก่อน ผมภูมิใจมากนะที่สอบข้อสอบจำลองได้ที่สองของค่าย จากปีทีแล้วทำไม่ได้เลย คนในค่ายก็บอก-ติดแน่ ผมเข้าใจว่าเพื่อนหวังดี แต่ผมก็ต้องหักห้ามใจไม่ให้ลอยไปไกล เพราะ เวลาที่ผมเล่นหมากรุกทุกความประมาทย่อมหมายถึงความผิดพลาดเสมอ ผมได้พวงกุญแจตึกโดมมาอันนึง (มารู้ทีหลังว่ามันคือแฟลชไดรฟ์)
 
 พอผมกลับบ้านไปแล้ว ผมมุ่งมั่นกับแผนนี้มากขึ้นทุกวัน ครูแนะแนวเอาใบงานมาให้ผมทำ ให้เขียนคณะที่ชอบ 4 อันดับ ผมเลือก รัฐศาสตร์ การเมืองการปกครอง ธรรมศาสตร์ ทั้ง 4 อันดับ ครูก็ ให้กำลังใจนะบอก มุ่งมั่นดี แต่บางคนก็บอกว่าจะไหวหรอ มันสอบเข้ายากมากเลยนะ ผมก็ท้อแหละ ได้ยินอะไรแบบนี้ แต่อีกใจนึงก็คิดว่า “เดี๋ยวผมจะทำให้ดู”
 
ผมพิจารณาอีกครั้งถึงข้อผิดพลาดจากข้อสอบ ผมยังตามข่าวไม่เยอะพอ ทีนี้ทำไงดีล่ะ ผมเคยตั้งกลุ่มติวรัฐศาสตร์ไว้นี่น่า ผมอัพเดตข่าวลงบางวัน บางเวลาก็หายไปเป็นเดือน เอาแหละผมจะสวมบทนักข่าว แล้วเสนอข่าวให้พวกเพื่อนๆเลยละกัน ผมติดตามสำนักข่าวเกือบ 10 สำนัก ทั้งในและต่างประเทศ ผมแปลทุกข่าวที่คิดว่าน่าจะสำคัญ ทั้งจาก BBC Aljazeera Reuter DailyMail มติชน วอยซ์ รวมถึง นสพ.ที่ส่งมาบ้านทุกวัน โชคดีที่ผมยังมีทักษะการอ่านข่าวที่ฝึกฝนมาแต่มัธยม ผมจึงทำเรื่องพวกนี้ได้ไม่ยากเย็นนัก ผมจดข่าวใส่สมุด ถ่ายรูป อัพลงกลุ่มทุกวันเป็นเวลาเดือนกว่าๆ (รู้งี้น่าจะทำตั้งนานแล้ว) บางวันผมเหนื่อย ผมก็คิดว่าเพื่อนรออ่านอยู่ ทำให้ต้องมาเขียนลงทุกครั้ง แต่ผมก็มีความสุขนะ เวลาเพื่อนได้อ่านข่าวของผม ในบางครั้งที่ทำข่าวอยู่ ผมท้อนะ ที่คิดว่าที่เราทำไปมันจะออกข้อสอบปะวะ แต่ผมก็ให้กำลังใจ ตัวเองว่า

          วิชาเฉพาะแต่กว้างดังสมุทร
 จะไปขุดจากไหนหาได้รู้
ช่วยไม่ได้แล้วยังไงกูจะเอา
ขึ้นภูเขาลงทะเลกูก็ยอม

ผมทำทุกอย่างเท่าที่คนจะทำได้ ผมทำสรุปทุกอย่าง จดทุกอย่าง ผมไม่รู้ด้วยซ้ำว่าข้อสอบจะออกอะไร แต่ถ้าใจผมกว้างเท่าข้อสอบ พยายามทุกอย่างแบบสุดความสามารถ ผมก็คงไม่เสียใจอีกต่อไปแล้ว ถ้าผมเปรียบดังกัปตันที่ล่องเรือไปในท้องทะเล ผมอาจเป็นแบบแมกเจลแลนที่ถูกชนเผ่าฆ่าตาย แต่บางทีผมอาจเป็นแบบโคลัมบัสก็ได้ หลังจากอ่านมาพอสมควรแล้วผมจึงพิจารณาว่าตัวเองยังขาดไปอีกหรือเปล่า ผมเรียนพิเศษมาสองที่แล้ว อ่านเองก็แล้ว ผมนั่งไถโทรศัพท์ไปเจอพี่คนนึงที่รับสอนพิเศษซึ่งเพื่อนรักของผมส่งมาให้นานแล้ว แต่ไม่ได้เข้าไปดู ผมก็เอ้อ เรียงความเราก็ยังไม่ค่อยได้ ลองไปเรียนดู (สุ่มมั่วอีกแล้ว เราไม่รู้ด้วยซ้ำว่าเขาเป็นใคร) พอผมเรียนกับเขาแล้ว ดีมากเลยแบบเราเรียนแล้วเข้าใจมาก แต่ผมก็ต้องทบทวนหนักมากทีเดียวเลย เขียนหลาย 10 คำถาม สุดท้ายแล้ว ผมก็สามารถนำทักษะเรียงความจากครู 4 คน มารวมกันจนได้ในแบบของตัวเองในที่สุด

เข้าสู่ต้นเดือนมีนาผมก็ยังไม่มั่นใจเท่าไรนัก ผมต้องไปสอบ GAT PAT ONET ทำให้เสียเวลาอ่านหนังสือไปบ้าง แต่เราก็เลือกสมัครเองนี่นะ หลังจากนั้นผมตัดสินใจบอกครอบครัวว่าผมเทวิชาที่ไปสอบทั้งหมด แม่ผมตกใจอย่างมากผมถูกต่อว่า “-คิดว่า-เก่งนักหรือไง เอาแต่ทางเดียว ไม่ติดจะทำไง กูไม่รู้จะเถียงกับ-ยังไงแล้ว” ผมก็บอกว่าจะเรียนรามตามที่สัญญาเอาไว้ แม่ผมไม่ค่อยมั่นใจนัก ผมก็ไม่รู้ว่าจะเอาหลักฐานมาจากไหนว่าผมจะติดรัฐศาสตร์ ด้วยวิธีห่ามๆแบบนั้นคงมีแต่น้ำเสียงที่หนักแน่นว่า “ผมทำได้” แม่ผมเงียบลงและก็ไม่ได้พูดเรื่องนี้อีกเลย ผมเชื่อว่าแม่ผมแอบเห็นความพยายามของผมมาโดยตลอด เพราะช่วงนี้ลูกชายมักกลับบ้านด้วยความเหนื่อยอ่อน ไม่ขึ้นมาคุยกับแม่บนห้องอย่างเคย จับเจ่าอยู่กับหนังสือนั้นแหละ

มาถึงก่อนสอบสองวันผมนัดติวกับเพื่อนหอวัง 4 คนที่บ้านเพื่อน ผมพยายามพูดในสิ่งที่ผมรู้มาตลอด และหวังว่าทุกคนจะได้เรียนด้วยกัน ก่อนสอบหนึ่งวัน เพื่อนค่ายชื่อ ธนชัย และณัฏธินันท์มาชวนผมไปติวหนังสือกับผองเพื่อนที่หอสมุดป๋วย ให้ตายสิ ไปก็ไป ช่างโชคดีจริงๆ ธนชัยกับณัฏธินันท์ และผองเพื่อนช่างเป็นคนที่มีข้อมูลรอบตัวเยอะมากจริงๆ เก็งโดนข้อสอบด้วย (ต้องขอบคุณธนชัยกับณัฏธินันท์ และผองเพื่อนด้วยจ้า) ผมจดทั้งหมดและพิมพ์ลงในกลุ่มติวอีกที เพื่อที่จะมั่นใจได้ว่า เพื่อนผมจะรู้ในสิ่งที่ผมรู้วันนี้

สามทุ่มก่อนวันสอบ หลังจากผมได้ลงข่าววันสุดท้าย มือผมสั่นมาก พรุ่งนี้ผมต้องเจอกับอะไร สิ่งที่คิดอยู่ทุกคืน คือหากไม่ติดชีวิตฉันจะไปทางไหน ไม่ได้วางแผนไว้ด้วยสิ บางวันฉันตะโกนขึ้นโดยไม่มีเหตุผล เพราะความกดดันที่อัดแน่นในใจ จนแม่ถามว่า “-เป็นห่าไร” ผมรู้มันไม่ใช่ประโยคคำถามหรอกนะ จากนั้นผมไปขอกำลังใจจากทุกคน แม่ ครู เพื่อน น้องค่าย น้องสาว พ่อ ทุกสิ่งที่พอจะประคองจิตใจอันบอบบางไม่ให้ทรุดลงไป ผมให้กำลังใจเพื่อนทุกคนที่กำลังอ่านหนังสือ เพื่อนก็ท้อมาปรึกษาผม ผมก็ให้กำลังใจคนอื่น ทั้งที่ตัวเองก็ไม่ไหวแล้วแหละ ผมไม่เคยบนบานกับสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่ไหนเลย เพราะนี่คือการพิสูจน์ตัวเองระหว่างผมกับ มธ. ผมอยากทำทุกอย่างด้วยตัวเอง ผมนอนหลับไป

ผมตื่นมาแต่งชุดนักเรียน พกเสื้อยีนตัวโปรดไป เจอเพื่อนเยอะมาก เดินกันอย่างกับหนอน แม้ผมพยายามทบทวนแต่ก็ไม่เข้าหัวแล้ว ผมจึงเลิกอ่านแล้วเดินเข้าห้องสอบ “เริ่มทำข้อสอบได้” ผมมองขึ้นไปบนเพดาน สูดหายใจลึกๆ อะไรจะเกิดก็ต้องเกิด ผมกลับบ้านมา ผมพยายามไม่ดูเฉลยข้อสอบ ผมลืมเรื่องทั้งหมด แล้วกลับไปทำงานที่ทำเนียบอีก 15 วัน ผมเลือกฟังเสียงเครื่องถ่ายเอกสารดีกว่าที่จะฟังเสียงในหัว การดึงกระดาษที่ติดอยู่ในเครื่องเอกสารช่วยให้ผมหยุดคิดเรื่องสอบไปได้พักใหญ่ๆ หลังจากนั้นผมก็สอบติดด้วยคะแนน 68 คะแนน.....

จบละการรีวิวกับการสอบเข้าด้วยวิธีการห่ามๆอย่างนี้ บ้าระห่ำ แหกโค้งอย่างงี้ สำหรับน้องๆ ที่จะใช้วิธีนี้ก็ขอให้พิจารณาอย่าถี่ถ้วน เพราะการลงทุนมีความเสี่ยง ผู้ลงทุนควรทำใจก่อนการตัดสินใจลงทุน บางคนก็ใช้วิธีนี้แล้วไม่ติดก็มี5555555555

สำหรับใครที่อยากทราบวิธีแบบละเอียดก็คลิกที่กระทู้นี้ได้เลย https://www.dek-d.com/board/view/3926178/


 

แสดงความคิดเห็น

>

10 ความคิดเห็น

mameawwetwka 13 พ.ค. 62 เวลา 17:10 น. 1

ดีใจกับจขกท.ด้วยนะคะ เราเห็นความตั้งใจของคุณแล้วยิ่งทำให้รู้สึกว่าความพยายามที่ผ่านมาของเรามันแค่เศษเสี้ยวของคุณเอง เราอยากติดมธ.เหมือนกันแต่เป็นคณะนิติศาสตร์นะ เมื่อก่อนนี้ไม่เคยรู้เลยว่าตัวเองจะชอบคณะนี้แน่ๆรึเปล่า เพราะที่บ้านก็ไม่อยากให้เรียน สุดท้ายกว่าจะรู้ตัวก็ปามอหกไปแล้ว การเตรียมตัวในการอ่านของเรานั้นมันประมาทเลินเล่อจนเกินไป สุดท้ายเราก็เข้ารอบสอบตรงไม่ผ่าน ยอมรับว่าเสียใจมากๆเลยนะ จนคิดอยากจะล่มเลิกการเข้าคณะนี้ไปเลย ขอบคุณจขกท.ที่ออกมาแชร์เรื่องราวของคุณนะคะ มันทำให้เรารู้สึกว่าล้มแล้วมันก็เริ่มใหม่ได้นี่ ที่ผ่านมาเรายังตั้งใจไม่ดีพอก็แค่นั้น อยากบอกกับรุ่นน้องต่อๆไปที่จะเข้านะคะ ไม่ว่าจะคณะนี้หรือคณะอื่นก็ขอให้ตั้งใจอ่านหนังสือให้เต็มที่ที่สุด สอบเข้ามหาลัยมันมีแค่ครั้งเดียวในชีวิตอย่าให้ความขี้เกียจหรือความง่วงมาเป็นอุปสรรคเลย แล้วจะต้องมาเสียใจเหมือนเรา ขอให้โชคดีกับการเข้ามหาลัยค่ะ

1
glasseseses 13 พ.ค. 62 เวลา 19:10 น. 1-1

ขอบคุณมากครับ เป็นกำลังใจให้ สู้ๆนะครับ


0
Mmmm 13 พ.ค. 62 เวลา 17:17 น. 2

ชอบวิธีการบรรยายมากอ่านเพลินมาก ฟังแล้วคุณดูมีความรู้มากเลยนะ เก่งมากๆๆ เป็นกำลังใจได้ดีเลย หลังจากนี้ก็มีความสุขในชีวิตมธ.นะ

1
chanoooo2 13 พ.ค. 62 เวลา 17:28 น. 3

เราก็อยากเข้ารัฐศาสตร์ มธเหมือนกันค่ะปีหน้าว่าจะไปถ้ำสิงห์อีกครั้ง(ถ้าติด) ขอบคุณนะคะที่มาแชร์ประสบการณ์ให้อ่าน เราก็จะไม่ยอมแพ้เหมือนกันค่ะ 

ป.ล.ถ้ำสิงห์12พี่อยู่ไลน์ไหนถามได้หรือเปล่าคะ5555555555

2
nomnamgaymer 13 พ.ค. 62 เวลา 19:20 น. 6

สุดๆเลยเว้ยคนนี้อ่ะ ตอนเรียนอยู่ห้องเดียวกันนี่แบบหนอนหนังสือดีๆเลย อ่านทุกวันและตลอดเวลาจริงๆ หนังสือหนา 300-500 หน้าขอแค่แกชอบก็อ่านหมดในเวลาแค่ครึ่งเดือน ครึ่งเดือน!!! แล้วก็ตอนจะสอบนี่แหละพีค หลายคนพยายามกระจายความเสี่ยงโดยจะอ่านหนังสือกว้างๆเพื่อสอบให้ดีในหลายๆสนาม ส่วนนี่แบบ"ฉันทิ้งทั้งระบบเพื่อสอบตรงสนามเดียว" ได้ยินครั้งแรกแบบ เห้ย! นี่ฆ่าตัวตายชัดๆ เอาจริงหรอ? สรุปคือจริง... ใจแกแม่งสุดๆ ประเด็นคือได้ด้วยนะ ยอดที่สุด https://www0.dek-d.com/assets/article/images/sticker/bb-big-10.png

0
Nuchanan S. 13 พ.ค. 62 เวลา 21:58 น. 7

เยี่ยมมากค่ะ รักษาความพยายามอย่างนี้ไว้นะคะ ไม่ว่าจะทำอะไร ผลออกมาจะไม่เสียใจเพราะได้พยายามอย่างถึงที่สุดแล้ว ขอชมเชยจากใจจริงค่ะ

0
momomioooooooo 16 พ.ค. 62 เวลา 18:20 น. 8

เราก็ทิ้งทุกสนามเพื่อมาสอบตรงเหมือนกันค่ะ ตอนนั้นครูที่รร.บอกเราว่า "ต้องอ่านจนไม่รู้ว่าจะอ่านอะไร" เราอ่านหนังสือจนถึงตี2ตี3 ทุกวันเป็นเวลา5-6เดือน อ่านจนเลือดตาแทบกระเด็น ตามทุกข่าวที่คิดว่าจะมีในข้อสอบ นอนดึกจนไปหลับที่รร.ทุกวัน สุดท้ายคะแนนเราอยู่ในกลุ่ม 61อัพค่ะ รู้สึกภูมิใจในตัวสุดๆก็วันนั้นแหละ

0
ManowLee. 20 ก.ย. 62 เวลา 16:53 น. 9

จขกท.ถ้าในอนาคตจะลงเลือกตั้งก็บอกกันด้วยนะ จะกากบาทเลือกให้คนแรกเลย 5555555 นับถือความตั้งใจมุ่งมั่นของคุณมากๆเลยจริงๆ

0