นักเขียนที่ไม่เคยเป็นนักอ่านแล้วจะแต่งให้ดีได้ยังไง???
ตั้งกระทู้ใหม่
ทุกคนน่าจะต้องเคยได้ยินสำนวนที่ว่า รู้เขารู้เรา รบร้อยครั้งชนะร้อยครั้ง กันใช่ไหมคะ
นั่นแหละค่ะ นักเขียนชื่อดัง(และชื่ออื่นๆ แฮ่!) หลายๆท่านก็เป็นนักอ่านด้วยกันทั้งนั้น เพื่อที่จะนำเอาสิ่งที่ได้อ่านมาพัฒนาผลงานของตัวเอง บางครั้งก็ใช้เพื่อสร้างแรงบรรดาลใจก็มี
Position หลักของเราคือเป็นนักอ่านค่ะ ได้อ่านหลายๆเรื่อง บางเรื่องยอดเฟบไม่ถึงร้อยหรือบางเรื่องคอมเมนต์เป็น0ทั้งๆที่คำโปรยก็น่าสนใจดีเราก็เกิดสงสัยว่า Why? พอลองกดเข้าไปอ่านก็ได้เข้าใจค่ะ การบรรยาย วรรคตอน ย่อหน้า การแบ่งประโยค หรือการใช้เครื่องหมาย ทำเอามึนงงและอ่านยากมากค่ะ ทั้งๆที่โครงเรื่องน่าสนใจแท้ๆ เสียดายๆ ในใจเราเลยมีความคิดขึ้นมาว่า ไม่เคยอ่านเรื่องของคนอื่นๆรึไงว่าเขาเขียนกันแบบไหน
ประกอบกับเห็นคอมเมนต์ในบอร์ดนักเขียนจากท่านนึงว่า ปกติไม่อ่านนะ เขียนอย่างเดียว เลยคิดว่า เอ๊ะ หรือนี่จะเป็นสาเหตุของเรื่อง? คุณไม่อ่านที่คนอื่นๆเขาเขียน? แล้วเขียนได้ยังไง?
เพราะเรา เขียน ให้คน อ่าน ใช่ไหมล่ะคะ ถ้าเราไม่เคยอยู่จุดเดียวกับคนอ่านแล้วเราจะเข้าใจความรู้สึกและความคิดเพื่อตอบสนองความต้องการของนักอ่านได้ยังไงว่าเขาต้องการอะไร เทคนิคการบรรยาย หรือการจัดการกับตัวอักษรที่มันยาวเป็นพรืดนั้นต้องทำยังไงถึงคนอ่านจะไม่งง และเข้าใจในสิ่งที่เราต้องการจะสื่อ
บางท่านบอกแต่งๆไปเยอะๆก็จะแต่งได้ดีขึ้นเอง เราว่าใช่ค่ะ ถูก แต่การเรียนรู้จากประสบการณ์ของคนอื่นที่ประสบความสำเร็จก็เป็นสิ่งที่จำเป็นใช่ไหมล่ะคะ เคยได้ยินไหมคะ คนเก่งนั้นเรียนรู้จากความผิดพลาด แต่คนฉลาดนั้นเรียนรู้จากประสบการณ์คนอื่น ปัจจุบันมีคนที่แต่งเก่งๆมากมาย เรียนรู้เยอะๆค่ะ เราจะได้ไม่ต้องคลำทางเอาเองให้เสียเวลา จินตนาการสำคัญค่ะ แต่เทคนิคก็คือสิ่งที่จำเป็นเช่นกัน
( บางทีอาจจะมีก็ได้นะ นักเขียนที่แต่งดีๆแต่ไม่เคยอ่านผลงานของคนอื่นๆ แต่เราไม่เคยเจอนะ ทั้งในเด็กดีและโลกภายนอก ถ้ามีก็ช่วยทักท้วงหน่อยล่ะกันนะคะ )
***เจตนาของเราคืออยากมีนิยายดีๆอ่านค่ะ ชอบอ่านนิยาย อยากเพิ่มจำนวนนิยายปังๆในเด็กดีที่เราสิงสถิตอยู่เป็นประจำนี้ ฉนั้นถ้าเรื่องไหนที่เราเขียนในกระทู้นี้ได้ทำร้ายจิตใจใครไปก็ apologize จริงๆนะคะ***
นี่อาจจะเป็นความคิดเห็นของเราคนเดียวก็ได้ว่า การเป็นนักเขียนก็ควรเป็นนักอ่านด้วย ทุกคนเห็นด้วยหรือไม่คะ? แลกเปลี่ยนกันได้นะ แล้วทุกคน ชอบการเป็น นักเขียน หรือ นักอ่าน มากกว่ากันล่ะคะ?
23 ความคิดเห็น
เป็นนักอ่านก่อนมาเป็นนัก(หัด)เขียนครับ ผลงานเขียนที่อ่านเรื่องแรกก็ แฮร์รี่ พอตเตอร์ หลังจากนั้นก็อ่านมาเรื่อยๆ อ่านหลายๆแนว (แต่ส่วนใหญ่ชอบแนวแฟนตาซี)ก่อนจะเริ่มมาเป็นนัก(หัด)เขียน
เห็นด้วยค่ะ อย่างเราส่วนใหญ่อ่านนิยายรักมากที่สุดก็เลยถนัดแต่งแนวนี้ที่สุด เคยหัดแต่งแนวอื่นแล้วไปไม่รอด เพราะเรายัง "อ่าน" ไม่มากพอ ก่อนเราจะมาแต่งนิยายเราก็อ่านมาเยอะ สำนวนเราทุกวันนี้ก็ซึมซับมาจากการอ่านนี่ล่ะค่ะ แล้วใช้ประสบการณ์ในการขัดเกลาภาษาให้สวยขึ้น ขนาดอ่านมาเยอะ แรกๆ ที่แต่งสำนวนก็ไม่ได้เรื่องเลยค่ะ ฝึกไปเรื่อยๆ ถึงได้เข้าที่เข้าทาง
เป็นเด็กกดเกมตู้เล่น KOF ก่อนมาหัดเขียนนิยาย
ตอนนั้นภูมิใจมาก คิดว่าเขียนนิยายใคร ๆ ก็ทำได้ ก่อนจะรู้ว่านิยายที่เขียนมันห่วย พอมาศึกษาเรื่องการเขียนนิยาย ก็พบว่าไม่ง่าย ปัญหาเรื่องการเขียนมันมีมาก
การอ่านนิยายคนอื่น ไม่ช่วยให้เก่งขึ้นมา แต่ต้องเริ่มจากการอ่านเพื่อซึมซับศัพท์และสำนวน
การเขียนนิยายไม่มีสูตรสำเร็จ ทุกอย่างต้องสะสมใช้เวลารู้
คนที่ไม่ใช่นักอ่านแต่เขียนเป็นเล่าเรื่องเก่งก็มี เป็นพวกโชคดีเกิดมามีพรสวรรค์
[นิยายในเว็บ]
ลองไปสุ่มอ่านจากหลายเรื่อง พวกการเว้นวรรคหรืออื่นๆก็เป็นปัญหาค่ะ เขาอาจจะอ่านแต่ทำไม่เป็น
"ประกอบกับเห็นคอมเมนต์ในบอร์ดนักเขียนจากท่านนึงว่า ปกติไม่อ่านนะ เขียนอย่างเดียว เลยคิดว่า เอ๊ะ หรือนี่จะเป็นสาเหตุของเรื่อง? คุณไม่อ่านที่คนอื่นๆเขาเขียน? แล้วเขียนได้ยังไง?"
-ขอตอบจากใจคนที่ปัจจุบันไม่อ่านนิยายในเว็บนะคะ ก่อนอื่นเกริ่นก่อนเลยว่าเราเป็นนักอ่านมาก่อนค่ะพอเริ่มเขียนเวลาก็ทุ่มเทให้กับการเขียนไม่มีเวลาอ่าน บางทีอ่านนะแต่เราว่ามันไม่ถูกจริต บางเรื่องอ่านแล้วนึกถึงการแชทคุยกัน ไม่มีบรรยายมีแต่บทสนทนา มันทำให้เราเลือกอ่านเป็นรูปเล่มของสนพ.ต่างๆมากกว่า
จริงอยู่ที่บางคนไม่อ่านการเว้นวรรคอาจเพี้ยนๆไปบ้างแต่บางคนที่ไม่อ่านแต่อดีตเคยอ่านมาก่อนเขาอาจจะก็มีความรู้คิดตัวนะคะ
การเป็นนักเขียนก็ควรเป็นนักอ่านด้วย ทุกคนเห็นด้วยหรือไม่คะ? แลกเปลี่ยนกันได้นะ แล้วทุกคน ชอบการเป็น นักเขียน หรือ นักอ่าน มากกว่ากันล่ะคะ?
ข้อแรกส่วนตัวเราว่าก็ควรอ่านแหละค่ะ แต่ก่อนอ่านก็ควรดูด้วยว่าเรื่องไหนดี ข้อสองเราชอบเขียนมากกว่าค่ะ ถ้าอ่านบนเว็บต้องเป็นผลงานที่ถูกจริตเราจริงๆ ไม่ก็ของคนรู้จักที่ภาษาดีในระดับนึง (แต่ก็นั่นแหละ ไม่ค่อยมีเวลา นี่ก็ไล่ถอนเฟบอยู่) ส่วนใหญ่จึงจะอ่านรูปเล่ม
ไม่อ่าน อาจจะหมายถึง...บางทีเขาอาจจะมีประสบการณ์ตรง รึมีความนิยมชมชอบหนัง ละคร ซีรีส์ อยากเขียนก็เท่านั้น โพล่งๆออกมาเหมือนระบายความคิด หมดหน้าที่คนเขียนของเขาแล้วก็จบ อยากอ่านก็อ่าน
ผมเป็นหนึ่งในคนที่เริ่มเขียนก่อนเริ่มอ่าน
ทุกวันนี้ถึงได้มานั่งเสียใจ ว่าทำไมตรูไม่รู้จักการอ่านมาตั้งแต่แรกว้า
เห็นด้วยนะฮะว่าการที่จะเป็นนักเขียนก็ควรเป็นนักอ่านด้วย
(ถึงการอ่านจะเป็นสิทธิส่วนบุคคลก็เถอะ)
เราว่าการอ่านเนี่ย มันช่วยได้มากในงานเขียน อ่านมากก็จะมีข้อมูลมาก ทำให้เราสามารถนำเอาข้อมูลนั้น มาตัดสินใจอะไรต่าง ๆ ในชีวิตได้ โดยไม่ได้แค่นำมาประยุกต์แต่เพียงเรื่องของงานเขียนเท่านั้น อ่านมากได้มากเป็นผลดีต่อทุกเรื่องจริง ๆ นะฮะ
คนที่ประสบความสำเร็จส่วนใหญ่ก็มีหนังสือในดวงใจกันทั้งนั้นเลย :) แต่ถ้าใครไม่ชอบอ่านเราก็ไม่ควรไปบังคับ เพราะการอ่านเนี่ยถ้าโดนบังคับอ่าน คือ มันจะไม่สนุกแล้วอ่ะ สงสารหนังสือเล่มนั้นที่อาจจะถูกไม่ชอบ ทั้ง ๆ ที่หนังสือคือไม่ได้ผิดอะไรเลย
สำหรับเรายังไม่ได้เป็นนักอะไรเลยฮะ555 แต่แค่ชอบอ่านหนังมาตั้งแต่เด็ก ๆ และมีความใฝ่ฝันจะเขียนนิยายเป็นของตัวเองมาตั้งแต่นานแล้ว จนตอนนี้ก็ยังไม่มีเป็นของตัวเองเลยฮะ555 เพราะลองเขียนดูแล้วมันยากกว่าการอ่านมาก ๆ เห็นคนที่แต่งจบเป็นหลาย ๆ เรื่องก็ได้มองตาปริบ ๆ ยิ่งเขียนได้สนุกด้วยนี่ยิ่งเก่งมากเลย
ตอนนี้เราเองได้แต่ลองเขียนรีวิวหนังสือที่ดองไว้ หยิบมาอ่านละก็เขียนลองดู เพื่อลดกองดองและเพื่อสะสมสกิลเขียนถึงจะอ่อนด๋อยแต่ก็เขียนย้อมใจไปก่อน55555
เนื่องจากตอนนี้มาเขียนแล้วค่ะ แต่ใช่ว่าจะไม่อ่าน ก็อ่านของตัวเองนั่นแหละค่ะ
เราอ่านได้หมดนะถ้าถูกจริต อ่านแล้วจะได้เห็นความแตกต่างหลายอย่างเลย
เช่น บนเวบมันอาจไม่ผ่าน สนพ แต่ก็ได้เห็นการดำเนินเรื่อง ความคิด หรืออะไรก็แล้วแต่
แต่ถ้าผ่าน สนพ อันนี้ก็ต้องผ่านหลายคนเพื่อให้ผลงานออกมาดีที่สุด
แต่ไม่ว่าจะอย่างไร เราควรอ่านงานจากหลากหลายแหล่งค่ะ เพื่อเพิ่มพูนประสบการณ์
แต่ถ้าคนไม่อ่าน คงมีทั้งแบบ เคยเป็นคนอ่านมาก่อนและพอมาเขียนเลยหยุดอ่าน
หรือเป็นพวก อ่านเพียงน้อยนิดแต่จับทางได้ก็สามารถเขียนออกมาได้ดี
หรืออีกพวก ไม่อ่านหรอก พอเขียนแล้วก็ออกมาไม่ดี
ฟัง พูด อ่าน เขียน เราว่าสี่อย่างนี้จะช่วยให้ทำได้ดีขึ้นค่ะ
เราอ่านเยอะมากกกกก อ่านได้ทั้งวันทั้งคืน นิยายเล่มหนาๆสิบเล่มอ่านจบในสองวัน (เก้าโมงเช้ายันตีสาม) อ่านมาตั้งแต่ ป.6
แต่ก็...ยังเขียนไม่เก่ง TT ฮือ
(ไม่ได้เกี่ยวกับหัวกระทู้ เล้ย แหะๆ)
ด้วยความที่อ่านนะแต่เป็นนิยายเว็บอังกฤษมาเป็นร้อยพันหมื่นตอน ไม่ค่อยได้จับนิยายที่เป็นรูปเล่มกับเป็นภาษาไทยมาก ก็บอกเลยว่ามีปัญหาเรื่องสำนวนและการใช้วรรคมาก แต่ก็ค่อยๆ ปรับภาษาและสำนวนไปเรื่อยๆ
มายกมือด้วยค่ะ อ่านแต่จีนไม่ได้อ่านนิยายแปลไทยด้วย มีปัญหาการใช้คำและการอธิบาย สุดท้ายใช้คำง่ายมาก อาจจะมีนักอ่านคิดในใจ ผู้เขียนคนนี้จบม.ปลายหรือยังหว่า ฮ่า ๆ อายจังเลย
ไม่ต้องอ่านก็ได้นะ บางคนอาจจะมีทักษะการเขียนบท เอามาใช้เขียนนิยายก็ได้นะ เวลาเราเขียนเราชอบเรียงภาพเป็นช็อต แบบช่องการ์ตูนหรือเวลาดูหนัง แล้วเอามาบรรยายเรียงกันก็ได้เหมือนกัน ไม่เชื่อลองดูสิ
มาเป็นอีกเสียงที่บอกว่าจริงค่ะ เราเองเขียนแนวไหนก็อ่านแนวนั้นแหละะ
แต่ก็ยอมรับจริง ๆ ว่าเป็นคนอ่านน้อยเพราะไม่ค่อยเจอเรื่องที่ถูกใจ เพราะอย่างนั้นมั้งบางทีเราเองก็รู้สึกว่าสำนวนตัวเองแปลก แล้วก็จับกลุ่มนักอ่านได้แค่กลุ่มเล็ก ๆ แต่จะบอกให้ลองเอาอย่างพวกสำนวนสวย ๆ ดู บางทีมันก็แอบรู้สึกว่าเอ๊ะ นี่ไม่ใช่แนวเรานะเหมือนกัน เลยยังเลือกเขียนแบบที่ชอบอยู่ และยอมรับยอดอ่านน้อยนิดอยู่ต่อไปค่ะ 55555
คำถามนี้มันก็เหมือนกับคำถามที่ว่า "เป็นพ่อครัวได้ไหม ถ้าไม่เคยลองชิมอาหารของคนอื่น และก็ไม่เคยลองชิมเครื่องปรุง"
คำตอบง่ายนิดเดียวครับ พ่อครัวคนนี้ทำอาหารให้ผมกิน ผมจะไม่กินเด็ดขาด ไม่ใช่ว่ากลัวมันไม่อร่อย แต่กลัวมันเป็นอาวุธชีวภาพ เว้นเสียแต่ คุณพี่แกเสี่ยงตาย(ลองชิมด้วยตัวเอง)มานานแล้วถึง 40 ปี รสชาติอาหารพัฒนาจนรับประทานได้แล้ว
ไม่อ่านมาก่อนก็เขียนได้ครับ แต่เขียนแล้วออกมาเป็นยังไงล่ะ?
อยากเขียนนิยายให้ออกมาดี คนนิยมอ่าน ก็ต้องอ่านนิยายเรื่องอื่นเป็นตัวอย่างมาก่อน
ไม่ใช่อ่านสารคดี ดูการ์ตูน เล่นเกม แล้วเขียนไปตามตัวเองอยาก
ศิลปะแต่ละแขนงย่อมมีรูปแบบที่เหมาะสมของมันเอง จึงต้องศึกษาทำความเข้าใจมาก่อน
อีกอย่างคือนักเขียนใหม่มักจะชอบตั้งกระทู้ถามนั่นถามนี่มากมาย ทั้งที่ถ้าลองหานิยาย
สักเล่ม หรือ สองสามเล่มมาอ่านก็น่าจะหาคำตอบได้เอง แต่กลับมาถามหาคำตอบ
ทีละข้อ ทีละข้อ จนทำให้บางทีเราเองก็ขี้เกียจจะตอบปล่อยผ่านไป
จริง ๆ แล้วผมว่าเขียนกับอ่านมันคนละส่วนกันแฮะ
ก่อนจะมาเขียนนิยายผมเองก็ไม่ได้ชอบการอ่านมาก่อน จนทุกวันนี้ก็ไม่ได้อ่านนิยายสักเท่าไหร่นะ แต่จะชอบอ่านพวกบทความ อะไรทำนองนี้เสียมากกว่า
เลยเห็นในมุมหนึ่งว่าคนชอบอ่าน พอมาลองเขียนนิยายแล้วก็เขียนไม่ออกอยู่บ่อยไป สุดท้ายก็ต้องเข้าลูปลองเขียนไปเรื่อย ๆ จนได้ทักษะส่วนนี้มาเอง และในภายหลังผู้เขียนเองก็ต้องพยายามสร้างสไตล์ที่เขียนให้ฉีกจากแนวทางหรือการนำเสนอของเรื่องที่เคยอ่านมาด้วย
แต่... กระนั้น ถ้าสนใจจะเดินในเส้นทางนี้ ผมก็ยังสนับสนุนให้นักเขียน ชอบอ่านเข้าไว้ครับ
เพราะถึงแม้ว่าเราจะพยายามไม่เดินตามรอยเกินไปจนถูกมองว่าลอก แต่เราเองก็ต้องการข้อมูล แรงบันดาลใจ และแรงกระตุ้นอยู่ดี
การเขียนในกรอบความคิดเดิม มันมีโอกาสจะตันได้ง่าย ๆ ครับ เว้นแต่คุณเป็นสายครีเอทีพที่หัวแล่นง่าย คิดอะไรได้เยอะแยะ...
การอ่านเก็บข้อมูล หรือดูอะไรใหม่ ๆ บ้าง บางทีก็ช่วยกระตุ้นไอเดียของเราได้ดี
สรุปก็คือไม่ต้องเป็นนักอ่านก็เขียนได้ล่ะครับ แต่จะดีกว่าถ้าสร้างนิสัยให้ชอบการอ่านได้ และจะดีขึ้นอีก ถ้าเราอ่านแล้วสามารถหยิบจับสิ่งที่อ่านมาประยุกต์ใช้กับนิยายเราได้ในโอกาสต่อไป
สิ่งพวกนี้ผมว่ามันก็เหมือนวัตถุดิบ หรือท็อปปิ้งตกแต่ง ไม่เอามาเพิ่มก็ไม่เสียหายอะไร
เพราะคุณมีทั้งวัตถุดิบ และแนวทางการปรุงแต่งของตัวเองอยู่แล้ว (แถมบางคนมั่นใจในแนวทางนั้นๆ เสียด้วย)
แต่ว่าถ้าสามารถเอาวัตถุดิบหรือท็อปปิ้งจากที่อื่นมาเพิ่มได้ มันก็ทำให้นิยายมีความสวยงามมากขึ้นเลยล่ะ
เพียงแต่ก็ต้องใช้ให้เป็นด้วยล่ะนะครับ ไม่ใช่เอามาใช้โต้ง ๆ ทั้งแบบนั้น เพราะไม่งั้นก็อาจถูกมองว่าลอกมาได้เหมือนกัน... โดยเฉพาะพล็อตนิยายแนวตลาดที่แพร่หลายในยุคนี้
ผมชอบความคิดเห็นของท่านมาก อ่านแล้วนึกถึงตัวเองเลยครับ
เห็นด้วยค่ะ มันอยู่ที่ว่าอ่านอะไรด้วยแหละ จะว่าไปตอนเขียนนิยายตัวเองก็ไม่อ่านนิยายคนอื่นที่เขียนแนวเดียวกัน กลัวเผลอไปซึมเอาสำนวนเขามาใช้ (ลอกโดยไม่รู้ตัว) จะอ่านพวกสารคดี บทความ หรือตำราวิชาการแทนค่ะ ได้ไอเดียใหม่ๆ มาใส่ในนิยายก็จากข้อมูลพวกนี้แหละ
มีเหตุผลค่ะ555
ไม่เคยอ่านของคนอื่นรึไง
ว่าเขาเขียนกันแบบไหน
ค่ะ555555555
แต่ถ้าแค่ไปอ่านแล้วมาปรับ
มันอาจจะไม่ใช่สไตล์ของใครบางคนก็ได้
เพราะเค้าอาจจะได้รับอิทธิพลบางอย่าง
การที่เค้าเขียนโดยไม่สัมผัสงานของคนอื่น
อาจจะมีความออริจินอลบางอย่างก็ได้
เริ่มไปไกละ55555
แต่การอ่านเป็นสิ่งที่ดีนะคะ
แล้วก็อย่างที่ว่าการเป็นนักเขียนก็ควรเป็น
นักอ่านด้วย พอรับ(อ่าน)มาเยอะๆ
ก็อยากจะปล่อย(เขียน) ออกไป
แต่ในกรณีเราอ่านอย่างอื่นมาเยอะ
แต่อยากจะมาปล่อยในลักษณะแบบนี้สะมากกว่า
เริิ่มไปไกลกว่าเดิม55555555
คนอ่านมาเยอะไม่ได้หมายความว่าจะเขียนเก่ง ส่วนคนที่เขียนเก่งก็อาจไม่ได้อ่านเยอะมากมายก็ได้ มันน่าจะอยู่ที่่วิธีการจัดการ กระบวนการเรียนรู้ ทำความเข้าใจและนำไปใช้ แต่ละคนก็มีวิธีซึมซับและนำเสนอแตกต่างกันออกไป เป้าหมายหนึ่งๆ นั้นไม่ได้มีแค่หนทางเดียวที่จะนำไปถึง
มันก็จริงส่วนนึงครับ ตอนม.ต้น พักเที่ยงแทบจะวิ่งเข้าห้องสมุดหยิบนิยายที่ตัวเองคั่นหนังสือไว้มาอ่านตลอด ปัจจุบันแทบไม่ค่อยมีเวลา เพราะทำงาน+ติดเกม เลยใช้วิธีเล่นพวกเกมแนว RPG หรือเกมที่เน้นการเล่าเรื่อง เพื่อค้นหาแรงบันดาลใจแทน จะซื้ออ่านก็เฉพาะเรื่องที่อยากซื้อ อย่างเรื่องล่าสุดที่ซื้อมาก็กันดั้ม Hathaway's Flash ที่ตอนนี้จะทำหนังใหญ่ฉายในโรงแล้วยังอ่านเล่มสามไม่จบ...
แต่ส่วนมากที่ได้แนวทางก็มาจากการจัดรูปแบบหน้ากระดาษตอนทำเล่มทีสิส ในเรื่องการใช้คำ หรือเรื่องคำซ้ำที่เยอะเกินไปจนโดนตีกลับไปแก้เล่มบ่อยๆ บวกกับการที่ชอบเกมแนว RPG สไตล์เน้นเล่าเรื่อง แล้วก็ผมเป็นพวกที่ชอบพูดกับตัวเองจนคนรอบๆมองว่าบ้า เลยอยากรีดไอเดียตัวเองลงมาใส่ในหน้ากระดาษแทน
ก็จริงอยู่ ผมอาจจะไม่ใช่นักอ่าน แต่ประสบการณ์ที่ซึมซับผ่านมาในหัว บวกกับประสบการณ์ที่โดนสับเละจนไม่กล้าทำผลงานของตัวเองออกมาเลยในตอนนั้น มันก็เป็นเหมือนสิ่งที่เป็นเหมือนอุปสรรค จนกลายเป็นว่าต้องคอยหลอกตัวเองมาตลอดว่าทำอะไรมันต้องเพอร์เฟคต์ตลอด ไม่งั้นก็จะถูกด่าหรือถูกทำร้าย
จนสุดท้าย ก็ต้องย้อนกลับมาคิดว่า เราทำไปเพื่ออะไร อาหารที่เราคิดว่าอร่อยสำหรับเรา มันจะอร่อยสำหรับคนอื่นรึเปล่า หรือเราหลอกตัวเองมาตลอดว่างานของเราที่ทำออกมามันไม่ถูกปากเลย จนสุดท้ายก็ต้องกลับมานั่งคิดมากเอามือก่ายหน้าผากแล้วต้องโละผลงานที่ภาคภูมิใจของตัวเองทิ้งทั้งดุ้น แล้ววนลูปไปจนกว่าจะออกมาสมบูรณ์แบบที่สุด โดยที่ตอนนั้นมันไม่มีโอกาสให้ทำอีกต่อไปแล้ว
ให้เปรียบนิยายก็เหมือนการพูดภาษาอังกฤษ
คนที่อ่านนิยายอย่างเดียวไม่ได้หมายความว่าจะเขียนได้ดี ของแบบนี้ต้องผ่านการฝึกฝนและประสบการณ์
ส่วนการเรียนภาษาอังกฤษ แกรมม่า ถึงคุณจะเรียนทฤษฎีแน่นเอี๊ยดแต่ไม่ได้ใช้ คะแนนภาษาอังกฤษเต็ม100% แต่เชื่อเถอะว่าคุณจะพูดตะกุกตะกัก นึกศัพย์ไม่ออกพอถึงเวลาใช้จริง
ส่วนคนที่ไม่อ่านนิยายแล้วมุ่งเขียนไปเลย ก็เหมือนคนที่ไม่เคยรู้จักภาษาอังกฤษเลยแล้วจะสามารถพูดภาษาอังกฤษได้หรอ
ในเมื่อคุณไม่เคยได้ยินเสียงคนอื่นพูดภาษาอังกฤษมาก่อน ถ้าเทียบไม่เคยอ่านนิยายแต่ทดลองเขียนจากการดูหนัง การ์ตูน อื่นๆ ที่มีใช่การอ่าน ก็เหมือนกับการลอกเลียนแบบจากภาษาอังกฤษจากฝรั่งที่อยู่ในประเทศที่ไม่ได้พูดภาษาอังกฤษเป็นหลัก ผลสุดท้ายคนนั้นพูดภาษาอังกฤษได้ก็จริง แต่เชื่อเถอะว่าภาษาอังกฤษที่ออกมามันผิดเพี้ยนไปหมด รูปประโยค คำศัพท์ไม่ถูกต้องเลย
เราเองจริงๆก็แฝงตัวเป็นนักอ่านที่นี่มาหลายปีแล้วนะ แต่ก็ไม่เคยลองเขียนจริงจังจนกระทั่งช่วงนี้ ถึงได้เริ่มสมัครสมาชิกเด็กดี แต่นั่นไม่ใช่ประเด็น
เรามีพี่ชายแท้ๆคนนึงที่พยายามเขียนนิยายเป็นภาษาไทย ทั้งๆที่เขาเคยแต่อ่านหนังสือวรรณกรรมภาษาอังกฤษมาทั้งชีวิต โครงเรื่องของเขาดีมาก น่าติดตาม น่าสนใจ ดึงดูด แต่เขาบรรยายออกมาไม่ได้ เพราะเขาเรียบเรียงให้เป็นภาษาไทยไม่ได้ ทั้งที่ก็โตในไทยมาด้วยกัน อันที่จริงบรรยายนิยายเป็นอังกฤษก็ยังไม่ค่อยได้
เราเห็นด้วยว่าการอ่านเป็นเครื่องมือสำคัญที่คอยเพิ่มทักษะการเขียน แต่ถึงอย่างนั้นเราก็ยังคิดว่ามีปัจจัยอื่นๆอีก คือ ปัจจัยส่วนบุคคล(อย่างพี่เรา) ที่เราพูดอาจจะฟังดูแรง เหมือนด่า แจ่อยากให้อ่านต่ออีกสักนิด
เราจำเป็นต้องพูดถึงงานวิจัยที่บอกว่ามนุษย์มีความฉลาด 9 ด้าน หนึ่งในนั้นคือการใช้ภาษา ดังนั้น แต่ละคนมีความฉลาดทางการใช้ภาษาที่แตกต่างกัน
*****อย่างไรก็ตามทักษะทางภาษาก็สามารถพัฒนาได้ ความฉลาดทุกด้านของทุกคนสามารถพัฒนาได้
ดังนั้นแม้ต้นทุนแต่ละคนไม่เท่ากัน แต่สมองก็เหมือนกล้ามเนื้อที่ต้องอาศัยการฝึกปรือ
******ถึงอย่างนั้น การที่เขาด้อยเรื่องภาษา ไม่ได้หมายความว่าเขาจะด้อยเรื่องอื่น อาจจะเก่งเลข กีฬา วาดภาพ ฉลาดในการเข้าสังคม ฯลฯ ซึ่งเป็นความฉลาดด้านอื่นๆที่เหลือของมนุษย์ (อย่างพี่เราเก่งเลขกับฟิสิกส์มาก)
เดี๋ยวนี้เมืองนอกเขาปรับการสอนให้สามารถส่งเสริมความฉลาดของเด็กทุกคนแล้ว เพราะทุกคนมีลักษณะพิเศษ เลยเป็นไปได้ยากที่จะวัดคะแนนเด็กด้วยมาตรฐานเดียวกัน เหลือแค่ว่าเมื่อไหร่บ้านเราจะเริ่มเห็นความสำคัญก็เท่านั้น
****ดังนั้นถ้าอยากเก่งจริงๆ แค่อ่านยังไม่พอ ต้องฝึกเขียนเพื่อเรียบเรียงความคิดตัวเองด้วย
รายชื่อผู้ถูกใจความเห็นนี้ คน
แจ้งลบความคิดเห็น
คุณต้องการจะลบความคิดเห็นนี้หรือไม่ ?