Dek-D.com ใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสบการณ์ของ
ผู้ใช้ให้ดียิ่งขึ้น เรียนรู้เพิ่มเติมที่นี่
ยอมรับ

ประสบการณ์สอบ TCAS ฉบับไม่เก่งมากแต่เข้าคณะในฝันได้

ตั้งกระทู้ใหม่
ตั้งกระทู้ใหม่
สวัสดีค่าา เนื่องจากเราปิดเทอมมานานแสนนาน ไม่เปิดสักที พอใกล้จะเปิดแล้วอีกไม่นานเราก็เลยอยากจะมาแชร์วิธีการอ่านหนังสือของเราค่ะ แต่ต้อง * ไว้หลายๆดอกเลยนะคะว่าต้องใช้วิจารณญาณมากๆๆๆๆ

ต้องบอกก่อนนะคะว่าเราไม่ใช่คนเรียนเก่งอะไรขนาดที่สามารถแนะนำคนอื่นให้ถึงจุดหมายขนาดนั้น แต่เราก็อยากจะแชร์วิธีของเราในฐานะคนนึงที่ทำได้ตามเป้าหมายค่ะ

#อย่างแรกเลยคือหาเป้าหมายของตัวเอง เช่น จะยื่นรอบไหน ต้องใช้อะไรบ้าง
1.จะยื่นรอบ 4 admission = gpax + gat + onet

#หาข้อดีของคณะที่เราอยากเข้า
1.คณะที่เราอยากเข้าเป็นคณะสายศิลป์ ดังนั้น วิชาวิทย์ไม่ต้องเน้นมาก แต่ทิ้งไม่ได้เพราะใช้คะแนน o-net
2.คณะที่เราอยากเข้าใช้ gat อย่างเดียว ไม่ใช้ pat1

#หาข้อเสีย
1.มีคะแนนขั้นต่ำที่ต้องทำให้ผ่านค่อนข้างสูงเลย
2.ค่าการแข่งขันในคณะที่จะเข้าค่อนข้างสูงสมัคร 1,000 รับ ไม่ถึง 100
3.วิชาที่ใช้ยื่นน้อยก็จริง บางคนก็อาจจะบอกว่าเป็นวิชาที่ง่ายด้วย แต่อย่าลืมว่ายิ่งเป็นวิชาที่ง่ายสำหรับหลายๆคน ถ้าเราไม่เป๊ะปังจริงๆก็แพ้คนอื่นได้ง่ายๆแน่นอน

คราวนี้ก็ถึงวิธีการอ่านหนังสือของเราซึ่งเป็นความผิดพลาดของเรามากๆ ไม่อยากให้คนที่ผ่านมาอ่านเอามาใช้นะคะ T^T

#ความผิดพลาดของเรามีดังนี้
1.เราลังเลในเป้าหมาย - เราเป็นคนที่ไม่มีความฝันว่าฉันต้องได้คณะนี้ ถ้าไม่ได้จะร้องห่มร้องไห้อะไรขนาดนั้นน่ะค่ะ ก็เลยลังเลมาตลอดเลยว่าหรือจะดูๆคณะอื่นเอาไว้ดี สอบอันนั้นอันนี้เผื่อไว้ดีมั้ย นั่นเป็นสาเหตุแห่งความหายนะเลยค่ะ
2.เพราะความลังเลเราจึงเลือกอ่าน 'วิชาที่ไม่เกี่ยวข้อง' กับคณะที่จะยื่น คือ ฟิสิกส์ ชีวะ และ pat1 ซึ่งทำให้เราเสียเวลามากกกกก โดยเปล่าประโยชน์สุดๆ
3.เราดูเกณฑ์การรับไม่ชัดเจน - เราเลยเท o-net (OMG!!!) อันนี้ห้ามเอาเป็นเยี่ยงอย่างเลยนะคะ T^T

#สิ่งที่ทำให้เรารอดตายมาได้
1.เราประเมินภาพรวมการอ่านหนังสือเราเอาไว้ก่อนแล้ว
1.1 ภาษาอังกฤษ - เราค่อนข้างชอบภาษาอังกฤษเลยเทน้ำหนักการอ่านน้อยที่สุด สำหรับเราข้อสอบ eng เป็นข้อสอบตายตัวเรื่องแนวแต่ไม่ตายตัวเรื่องสิ่งที่เอามาออก เช่น เปลี่ยนบทความ reading ทุกปี แต่อันที่ค่อนข้างตายตัวจะมีพวก conver + grammar เราท่องแค่ vocab ที่เราไม่ถนัด
1.2 ภาษาไทย - คิดว่าเป็นข้อสอบที่ตายตัวและสามารถเก็บง่ายถ้าชินข้อสอบ ทำข้อสอบเก่าเยอะๆก็พอ
1.3 สังคม - เราคิดว่ายังไงก็เก็บไม่หมดแน่ๆ อ่านเท่าที่ได้ไม่กดดันตัวเองขนาดนั้น (อยู่ที่ความสามารถของตัวบุคคลนะคะ) + ดูแนวข้อสอบ

+ขอสารภาพตรงๆเลยนะคะว่าเราใช้เวลาเกือบทั้งปีอ่านในวิชาที่ไม่จำเป็น คือ เรานั่งฝึกโจทย์ pat1 ก่อนนอนทุกวัน อ่านฟิสิกส์ ชีวะ จบเล่มทั้ง 2 วิชา แต่ที่ทำแบบนั้นก็เพราะเรามั่นใจว่าสามารถเก็บวิชาที่ใช้ได้หมดแล้วนะคะ ดังนั้นการวางแผนสำคัญเนอะ

#สิ่งที่สำคัญที่ควรคิดช่วงอ่านสอบ
1.ปรับ Mindset ของตัวเองเป็นเรื่องสำคัญมากๆค่ะ - เพราะเป็นส่วนหนึ่งในการให้กำลังใจตัวเอง
1.1 เราคิดว่าเป้าหมายจริงๆในการเข้ามหาลัยคือการเรียนเพื่อใช้ประกอบอาชีพ ไม่ใช่จุดจบในชีวิต
1.2 เราเชื่อว่าถ้าเราทำดีที่สุดในแบบของเราแล้วยังไงเราก็จะได้ไปอยู่ในที่ที่เป็นที่ของเราจริงๆค่ะ แล้วคณะที่เราชอบอาจจะไม่ใช่คณะที่ใช่จริงๆก็ได้
1.3 เราไม่เครียดถ้าจะไปในคณะรองๆลงมา เราไม่ยึดติดกับมหาลัยดังๆ แต่ที่เอาไว้อันดับ 1 เพราะอยากรู้ลิมิตตัวเองว่าจะไปได้ถึงไหน ถ้าไม่ได้ก็ไม่โทษตัวเอง
1.4 ถ้าคณะนั้นเราอยากเข้าจริงๆ แล้วเข้าไม่ได้ในปีนี้จริงๆเราไม่กลัวที่จะเสียเวลาซิ่ว การซิ่วไม่ใช่เรื่องผิด อยู่ที่ว่าเรายอมเสียเวลาไปปีนึงแล้วเราได้ประโยชน์อะไรเพิ่มจากปีก่อนบ้าง และก็คิดไว้ตลอดว่าการพยายามในแบบเดิมๆ = ได้ผลลัพธ์แบบเดิมๆ ถ้ามีเวลาเพิ่มอีกปีจะต้องทำมากขึ้น ลองเปลี่ยนสิ่งที่ไม่เวิร์คดูก็จะดีเอง
1.5 คิดเสมอว่าทุกคนมีลิมิตและเทคนิคไม่เหมือนกัน อย่ากดดันตัวเองว่าต้องอ่านหนังสือให้เท่าคนอื่น บางคนอ่านหนังสือสไตล์ชิวๆอาจจะได้ผลดีกว่าก็ได้ ยกตัวอย่างเช่นเรา ตั้งแต่ขึ้น ม.6 มาเทที่เรียนพิเศษทุกที่เลย ไม่ก้าวเข้าไปเลย เพราะวางแผนอ่านหนังสือที่บ้านเอาไว้ ในขณะที่เพื่อนเรียนยัน 2 ทุ่มทุกวัน เคยคิดเหมือนกันว่าเราคิดผิดรึเปล่า แต่ดูตัวเองดีกว่าดูคนอื่นเนอะ
1.6 ไม่ว่าผลจะเป็นยังไง เราจะไม่จบการสอบนี้ด้วยการโทษตัวเองว่าทำไมตอนนั้นไม่ทำอย่างงั้นอย่างงี้ เราเลือกแล้วว่าเราจะไม่กดดันตัวเอง จะอ่านหนังสือไม่หนักเท่าคนอื่น จะพักผ่อนอย่างเต็มที่ ถึงผลออกมาแย่จริงๆ เราจะคิดว่าเราทำดีที่สุดแล้วในแบบที่เราทำได้
1.7 อย่าดูถูกตัวเองเด็ดขาด!!! เราเคยดูถูกตัวเองเหมือนกันที่ว่า คณะดัง ม.ดัง ฉันเข้าไม่ได้หรอก ยากแน่นอน เรื่องนี้ไม่จริงหรอก อย่ากังวลขนาดนั้น เราสามารถทำได้ทั้งนั้น อย่ากังวลและลองยื่นดู บอกตัวเองไว้ว่า ยื่นแล้วไม่ติดอย่างน้อยก็ได้ลองแล้ว โอกาสติด 1% ก็ถือว่ายังมีโอกาสแต่ถ้าไม่ยื่นเลยโอกาสติดก็ 0 ตั้งแต่ต้นเลยนะ

#สิ่งสำคัญ (มากๆ) ที่ต้องทำบ้างในช่วงสอบ
*สำหรับเรานะ เราคิดแบบโง่ๆเลยคือการจะเข้าคณะที่หวังได้ = การทำข้อสอบในห้องสอบจริงได้ ไม่ว่าคุณจะอ่านหนังสือหนักแค่ไหน ได้นอนวันละ 2 ชม.ทุกวัน เรียนพิเศษกับติวเตอร์ระดับประเทศ ฝึกโจทย์ กสพทแล้วได้คะแนนถึงแพทย์ ฬ ทั้งนี้ทั้งนั้นสิ่งเหล่านี้เป็นแค่ขั้นกระบวนการ ถ้าวันสอบจริงคุณพลาด ไม่ว่าจะเพราะสุขภาพ ความเครียด หรือทำข้อสอบไม่ทัน ทุกอย่างก็ 'จบ' ป่ะ? ดังนั้นสิ่งสำคัญก็คือ รู้จักข้อสอบ + เวลา + จัดการความเครียด การฝึกฝนของคุณในขั้นกระบวนการจะช่วยให้คุณสามารถทำสิ่งเหล่านี้ได้อย่างสบายๆมากขึ้น แต่ถ้ากระบวนการของคุณไม่เป็นผลในวันสอบจริงก็ถือว่าล้มเหลวนะ

1.รู้จักข้อสอบจากการทำข้อสอบเก่า - มากน้อยแค่ไหนแล้วแต่ความสามารถ แต่ควรผ่านตามาบ้าง สำหรับเราคือเราทิ้งหนังสือเรียนแล้วใช้ข้อสอบเก่าเป็นแบบเรียนเลย สำหรับเราคิดว่ามันประหยัดเวลามากๆ (แล้วแต่วิธีของแต่ละคน)
2.ควรพักสมองตัวเองบ้าง - 10 นาทีจะมีค่าถ้าเราปล่อยให้สมองพักจริงๆ แบบทิ้งทุกอย่างไว้สัก 10 นาที ไม่ต้องคิดว่าอีกกี่วันจะสอบ ปล่อยให้มันเป็นเรื่องในอนาคตอะไรงี้

#สิ่งที่ชี้ชะตาในการสอบจริง
1.จัดการความตึงเครียดในช่วงนี้ได้ดีแค่ไหน - เป็นสิ่งที่สำคัญที่สุดสำหรับเราเลย เพราะ บางครั้งเรา้คยอ่านหนังสือหนักมากๆจนบางครั้งเคยมือสั่นตอนจะเปิดข้อสอบอ่ะ สติฟุ้งซ่านจนไม่มีสมาธิเลย แต่สอบเข้ามหาลัยคือก่อนสอบเราไม่ได้คิดว่า เห้ย ยังอ่านไม่จบเลย หรืออะไรบลาๆๆ เราปล่อยทุกอย่างแล้วคิดว่าเราพร้อมแล้วนะ ไม่ว่าเราต้องไปมั่วไปเดาในห้องสอบเราก็จะมั่วอย่างมีสติและเต็มที่ ตลกนะแต่มันขจัดความเครียดได้ดีจริงๆ

2.รู้จุดอ่อนจุดแข็งของข้อสอบจะช่วยในการวางแผนการทำข้อสอบได้ดี - ที่ดังๆสำหรับเราคือ eng สามัญที่ขึ้นชื่อเรื่อง reading ยาวเหยียดกับเวลาอันน้อยนิด
ตอนเราทำคือมันมากเลย เราไม่เคยจับเวลาตอนฝึก พอทำจริงจึงต้องบอกตัวเองเสมอตั้งแต่หน้าห้องสอบยันตอนทำว่าต้องทำให้ทันนะเว้ย! ห้ามยืดยาด vocabง่ายๆต้องทำเร็วระดับเร็วแรงทะลุนรกไรงี้ ตอนทำคือเราดูนาฬิกาตลอดเลย และที่มันบ้าสุดๆ แต่ก็ได้ผลดีอยู่นะคือเราเก็บทุกอย่างที่เก็บง่ายไปหมด เช่น conver + grammar ด้านหลัง โดยข้าม reading พาร์ทตรงกลางไป โดยถือคติที่ว่า "ถ้าเก็บส่วนง่ายๆไม่ทันน่าร้องไห้กว่าทำส่วนยากๆทันแต่ไม่ได้คะแนน" แต่ๆๆ ผลจากการตั้งใจเกินเหตุคือเราเหลือเวลาทำ reading 3-4 passage รวมๆ 25 ข้อใน 20 นาที คือเราวางแผนตอนนั้นแบ่งๆ passage ใหญ่ๆตอนละ 5 นาทีนะไรงี้ ตอนนั้นคือมือพัน สมองพันกันมาก ก็ใช้ step เดิม คืออ่านคร่าวๆหาว่าเรื่องอะไร ตัวอะไรทำอะไร มีอะไรเป็นตัวเสริมมั่ง แล้วก็กาไปแบบมั่นใจมากว่าถูกจะได้ไม่ต้องพะวงให้กลับมาดูอีก ทำแบบเหมือนจะเดานะแต่ก็อ่านแล้วนะจ้ะอะไรทำนองนี้ เป็นข้อสอบที่พอฝนข้อสุดท้ายเสร็จหมดเวลาเป๊ะๆเลย ดังนั้นควรจับเวลาตอนฝึกโจทย์บ้างก็ดีเนอะเผื่อใครไม่อยากลุ้นสุดชีวิตแบบเรา

#ผลพลอยได้
1.ไม่กดดัน - ก่อนขึ้น ม.6 เราเคยคิดภาพในหัวว่าตัวเองต้องอ่านหนังสือหนักมากๆแน่เลย (ปกติเราจะเครียดมากถ้าจะสอบแล้วยังอ่านเนื้อหาไม่ครบ) + กับการที่รุ่นพี่ทุกคนมักจะบอกว่าถ้าไม่เต็มที่ตอนนี้อาจจะเสียใจทีหลังนะ ต้องอ่านหนักๆนะถ้าน้องอยากเข้าคณะนี้ให้ได้ ใช้คำพูดพวกนี้ผลักดันเราไม่ใช่เรื่องผิดค่ะ แต่ต้องรู้ด้วยว่าเต็มที่ของเราเป็นยังไง เต็มที่ต่างจากคำว่าฝืนธรรมชาตินะคะ ดังนั้นการคิดให้ผ่อนคลายขึ้นจะทำให้เรามีความสุขมากขึ้นเยอะเลยค่ะ
2.ผลจากการอ่าน pat1 ทำให้เรามีโอกาสยื่นคณะเยอะแยะเลยค่ะ เพราะคะแนนถึง เช่นสายกฎหมาย รัฐศาสตร์ นู่นนี่นั่นเต็มไปหมด เพิ่มทางเลือกในการเรียนถ้าสุดท้ายคณะที่หวังไว้มันไม่ใช่ในภายหลัง แต่ไม่รู้ควรจะดีใจมั้ยเพราะสุดท้ายก็เลือกยื่นคณะเดิม 555


จบแล้วค่ะสำหรับมหากาพย์การเตรียมสอบสุดเละเทะของเรา T^T แต่เราก็เละเทะอย่างมีหลักการนะ คือเราก็ได้ตามเป้าหมายที่วางไว้นั่นแหละ ถ้าผิดพลาดประการใดก็ขออภัยด้วยนะคะ

-แต่เราได้ตั้งแต่รอบ 3 นะคะ ก็ดีใจหน่อยนึงเพราะช่วงที่รอผลสอบในตอนนั้นถ้าเป็น dek62 ด้วยกันจะเข้าใจเลย คือไม่รู้ว่าจะไปอยู่ไหน คณะอะไร คนรอบข้างก็ถามตลอดว่ายังไม่ได้มหาลัยหรอ ก็รอนานนนนประมาณนึง แต่ถ้าเรายื่นรอบ 4 เราก็จะได้คะแนนมากกว่า เพราะอ่านมาเพื่อรอบนี้

-เราได้คะแนนปานกลาง ไม่ได้สูงมาก เราจึงไม่สามารถแนะนำใครได้เต็มปากหรอกว่าวิธีที่เราใช้ดีนะ ได้ผลนะ อีกอย่างอย่าลืมว่าเราก็เป็นแค่เด็ก ม.6 คนนึง บางทีถ้าเจออะไรหนักขึ้นในมหาลัยเราอาจจะ manage ตัวเองไม่ได้ก็ได้ แต่แค่ในช่วงเวลานี้เราอยากจะมาแชร์ประสบการณ์ว่าเราทำแบบนี้ เราได้สิ่งที่ชอบ + ไม่กดดันตัวเอง + มีความสุขด้วย

-บางคนอาจคิดในใจว่า ใช่สิวิชาที่ใช้น้อยนี่ วิชาที่ใช้ง่ายนี่ บอกตรงนี้เลยนะว่าถ้าคุณยังคิดแบบนี้อยู่คุณก็ลืมตั้งแต่การหาข้อดีของคณะที่ตัวเองจะยื่นแล้วอ่ะ ทุกคณะไม่ว่าจะยากแค่ไหนก็จะมีความยืดหยุ่นได้แปรผันตามระดับความสามารถตัวเองทั้งนั้น เช่น บางคณะเน้นเคมีมากกว่าทุกวิชา ถ้าคุณชอบเคมีอยู่แล้วก็อาจจะถือว่าสบายสำหรับคุณก็ได้ (จากใจคนชอบเคมีและรู้สึกว่าการ ent คณะสายสุขภาพไม่ได้ยากสำหรับเรา แต่มันไม่ใช่คณะที่ใช่ก็เท่านั้น)

และสิ่งนึงที่ต้องยอมรับให้ได้ก็คือ การที่คณะในฝันเป็นคณะที่คนอยากเข้าเยอะมากๆ ยากมากๆ คุณก็ต้องเตรียมใจยอมรับว่าคุณต้องเตรียมตัวหนักกว่าคนอื่น ต้องมุ่งมั่นมากกว่าคนอื่นอยู่แล้ว บอกไว้เลยว่าเป้าหมายในการใช้ชีวิตของแต่ละคนไม่มีใครเหมือนกันหรอก บางคนไม่เรียนมหาลัยอาจจะทำเงินได้มากกว่าคนที่เรียน ทุกคนมีเป้าหมาย มี way เป็นของตัวเอง ดังนั้นแทนที่จะหาข้อเสียของความฝันคนอื่น มุ่งมั่นกับความฝันของตัวเองไม่ดีกว่าหรอ?

เป็นกำลังใจให้กับน้องๆทุกคนที่ผ่านเข้ามาอ่านนะคะ จริงๆถ้าไม่มีใครมาอ่านเลยก็ตั้งใจจะเก็บไว้เป็นประสบการณ์ครั้งหนึ่งในชีวิตอยู่แล้ว เผื่อไม่ได้เขียนวันนี้แล้ววันหนึ่งเราอาจจะลืมช่วงเวลานี้ไปแล้วก็ได้ แต่ถ้ามีคนอ่านจนจบจริงๆก็อยากจะบอกว่า ในฐานะรุ่นพี่ ม.6 คนนึงที่เคยผ่านสนามสอบมาอยากบอกว่า

"ค้นหาจุดๆนึงที่ 'พอดี' สำหรับตัวเองให้ได้ แล้วชีวิตจะสบายไปเยอะเลย"
 

แสดงความคิดเห็น

>

10 ความคิดเห็น

พี่แนนนี่ Columnist 17 ก.ค. 62 เวลา 14:26 น. 1

ขอบคุณสำหรับการแบ่งปันเรื่องราวนะคะ ขอให้น้องสนุกกับการเรียน และกิจกรรมในรั้วมหาวิทยาลัยนะค้าาาาา :)

0

ความคิดเห็นนี้ถูกลบ

เว็บไซต์ Dek-D.com ขอสงวนสิทธิ์ในการงด โพสต์ข้อความซื้อ/ขาย/แลกเปลี่ยน/โฆษณา สินค้าทุกชนิดในเว็บบอร์ด เพื่อไม่ให้เป็นการรบกวนผู้ใช้งานท่านอื่น

chatuphon 5 ส.ค. 62 เวลา 03:10 น. 5

ขอบคุณนะคะสำหรับเเนวคิด ประสบการณ์ดีๆ ช่วยเป็นเเรงกระตุ้นที่ดีเลย จากDek63

0
SukanyaWanpimay 8 ม.ค. 63 เวลา 18:02 น. 8

ชอบตรงที่บอกว่าการเรียนมหาลัยเป็นการเรียนประกอบอาชีพ ไม่ใช่จุดจบชีวิตอ่ะคุณคือมันคมมากๆเลยค่ะ TT

0
potaeitk 23 ม.ค. 63 เวลา 14:21 น. 9

ขอบคุณที่มาแชร์ประสบการณ์และแนวทางดีๆนะครับบ สิ่งสำคัญช่วงสอบที่พี่เขียนไว้ผมอ่านแล้วรู้สึกน่าสนใจมากๆเลยครับเพราะเป็นทั้งวิธีทำให้้เรามองโลกในแง่ดี รวมถึงให้กำลังใจกับตัวเองด้วย ซึ่งผมคิดว่าดีมากๆๆๆ ขอบคุณอีกครั้งที่มาเขียนกระทู้ดีๆแบบนี้นะครับบบ

0